เข้าช่วงเดือน สิงหาคม บ้านเราเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเต็มตัว บรรยากาศฝน ๆ อีกหนึ่งทริปของเรา และเป็นการเดินทางท่องเที่ยวที่ไม่ใกล้ แต่ก็ไม่ห่างไกลมากนักจาก กทม. จังหวัดจันทบุรีแค่นี้เอง จริ๊ง....จริง....

พวกเราออกเดินทางกันแต่เช้ามืด ใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์ เราเริ่มต้นแวะกันที่แรก ที่นี่เป็นที่ยอดนิยมซึ่งใครหลาย ๆ คน หลาย ๆ กรุ๊ปมักแวะมากันเป็นประจำ และเป็นสถานที่แรก ๆ สำหรับเดินทางท่องเที่ยวภาคตะวันออก เพื่อหาอะไรลองท้อง รวมถึงหาเครื่องดื่มกระตุ้นหนังตา (กาแฟ) ซึ่งมีหลายเจ้ามากมาย สถานที่นั่นคือจุดพักรถบางปะกงนั่นเอง อิ๊ อิ๊ สาธยายซะยืดยาว


กว่าจะขับมาถึงจันทบุรีก็ปาเข้าไปเกือบ ๆ 10 โมงแล้วครับผม พวกเราตั้งใจเที่ยวโบสถ์คริสต์ หรือโบสถ์วัดแม่พระปฏิสนธินิรมลเป็นที่แรก เพื่อเดินเล่นต่อที่ชุมชนริมน้ำจันทบูร สัมผัสวิถีชีวิตของชุมชนริมน้ำ ก่อนจะต่อไปยังสถานที่อื่น ๆ ที่แพลนไว้ เพราะจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้คือ ขลุง ครับ


แวะเติมแก๊สแป๊ป...ริมทางแถว ๆ ระยองฮิ...ก่อนเข้าจันทบุรี


ถึงแล้วโบสถ์คริสต์ ไปเดินเล่นกัน


สาว ๆ ไม่รีรอให้ผมถ่ายรูปคู่กับโบสถ์คริสต์ ทริปนี้เราเป็นหนุ่มหน้าตาดี (ตรงไหน) คนเดียวด้วยซิ


ดูอลังการ และสวยงามมากครับ โบสถ์คริสต์ของเมืองจันทบูร


ข้ามสะพานเพื่อไปเดินเล่นที่ชุมชนริมน้ำจันทบูรกัน


วิวบนสะพานของชุมชนริมน้ำจันทบูร


เห็นคุณลุงโผล่มาตรงหน้าต่างพอดี...และลุงแกยิ้มให้ด้วยครับ...เลยหยิบกล้องถ่ายลุงแกซะเลย...แชะ...เสียมารยาทจริง ๆ เลยเรา...ฮา ฮา


อีกมุมหนึ่งหลังจากเดินข้ามแม่น้ำจันทบุรีมา


เดินทะลุซอกนี้ก็ไปสู่ถนนชุมชนจันทบูรแล้วครับ




สงสัยอะไรกันก็ไม่รู้สาว ๆ ไม่เคยเห็นหน้าต่างกันมั้ง


เดินไปเก็บภาพไป ทั้งตึก สิ่งก่อสร้าง ผู้คน ผมสัมผัสได้ถึงวิถีชีวิตที่คงความเก่าแก่ของชุมชนริมน้ำจันทบรู มันช่างคลาสสิค ถึงแม้เรื่องราวบางสิ่งจะหายไปในเหลือบของกาลเวลาบ้าง แต่ด้วยความที่เป็นชุมชนเก่าแก่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำจันทบุรี และเป็นชุมชนของชาวจีน ชาวญวนอพยพมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โห...ผมยังไม่เกิดเลย...เก่าแก่จริง ๆ ต่อมาก็ได้พัฒนามาเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และการค้าของจันทบุรีที่สำคัญแห่งหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 ถึงแม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปมากซักเพียงใด แต่ร่องรอยในอดีตของชุมชนเก่าแห่งนี้ก็ยังไม่เลือนหายไปตามกาลเวลาจนปัจจุบันกลายสถานที่ท่องเที่ยวที่หากใครที่มาเยือนจังหวัดจันทบุรีแล้วไม่ควรพลาด

เดินเล่นได้สักพักก็เห็นแหล่งข้อมูลสำคัญ ซึ่งเป็นที่ตั้งของแหล่งเรียนรู้ชุมชนริมน้ำจันทบูร แหล่งข้อมูลชั้นดี ลักษณะตัวอาคารแบบทรงยุโรปขนาดสองชั้น โครงสร้างเป็นไม้ ภายในจัดแสดงนิทรรศการภาพถ่ายภายในชุมชนจันทบูร ซึ่งส่วนใหญ่คัดเลือกมาจากงานประกวดภาพถ่ายหัวข้อ "วันนี้ของวันวาน...ที่ริมน้ำจันทบูร" ป้าประภาพรรณ ฉัตรมาลัย เป็นประธานกลุ่ม "ชมรมพัฒนาชุมชนริมน้ำจันทบูร"


บ้านเรียนรู้ชุมชนริมน้ำจันทบูร ภายในจัดแสดงนิทรรศการภาพถ่ายภายในชุมชนริมแม่น้ำจันทบุรี


กำแพงนี้ใครหลาย ๆ คนอาจเคยเห็นในโฆษณาของยี่ห้อรังนกชนิดนึงครับ กินแล้วหน้าเด้ง ดูเด็ก


มีที่ให้เดินเที่ยวอยู่อย่างหลากหลายที่



เดินมาสักพักมองเห็นร้านอยู่ร้านหนึ่ง มองดูโดดเด่น ตัวอาคารสีฟ้าออกไปทางซี๊ด เสน่ห์จันท์ ร้านจำหน่ายของฝาก สินค้าพื้นเมือง และของดีเมืองจันท์ที่ขึ้นชื่อ เหมาะที่จะซื้อหากลับไปเป็นของที่ระลึก และเป็นของฝากที่มากคุณค่า สินค้าหลายชนิดเป็นสินค้าที่มีเอกลักษณ์เป็นของทางร้านโดยเฉพาะ

แต่ช่วงที่ผมไปร้านเสน่ห์จันท์ปิดครับ ไม่ทราบว่าทำไมถึงปิดครับ แต่ถนนเส้นนี้ยิ่งเดินยิ่งเพลินจริง ๆ และผมเป็นพวกปากอยู่ไม่สุขซะด้วยสิ เดินไป กินไป คล้าย ๆ ชิมไปบ่นไปนะครับ ทำไงได้ ก็ของน่ากิน น่าชิม น่าชม ทุกอย่างนิ ฮา ฮา


วิวอีกมุมหนึ่งริมน้ำจันทบูร...ซึ่งมองเห็นโบสถ์คริตที่เราเพิ่งเดินผ่านกันมา


เดินสำรวจกันต่อ


รองเท้าสานจากต้นกก...อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์โอทอปของที่นี่


เดินในเมืองกันจนเมื่อยแล้ว เปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวธรรมชาติกันมั่งดีกว่า จุดหมายถัดไปน้ำตกพลิ้ว ระหว่างทางเข้าน้ำตก เมฆฝนเริ่มก่อตัวขึ้น ได้บรรยากาศที่เมฆฝนปกคลุมยอดเขาสวยไปอีกแบบครับ


เส้นทางสู่น้ำตกพลิ้ว


ถึงแล้ว...ขึ้นไปเที่ยวกัน


ตัวน้ำตกพลิ้วเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มีน้ำตลอดปี จากข้อมูลบอกว่าตัวน้ำตกมีความสูง 20 เมตร ในน้ำตกมีปลาเป็นจำนวนมาก คนมาเที่ยวตื่นตากับฝูง "ปลาพลวงหิน" ตัวใหญ่มาก ๆ ครับ นักท่องเที่ยวหลายต่อหลายคนมาโยนถั่วฝักยาวที่มีขายก่อนทางเข้าน้ำตกอยู่หลายร้าน ปลาพลวงหิน ข้อมูลบอกว่าเป็นปลาตระกูลเดียวกับปลาคาร์ฟ เห็นบอกกันว่าไม่สามารถกินได้ เพราะตัวปลามีพิษ เนื่องจากกินเมล็ดพืชที่มีพิษชนิดหนึ่ง แล้วร่วงหล่นลงน้ำเข้าไป ทำให้ตัวปลาพลวงมีพิษ เจ้าปลานี้ช่างตะกละจริง ๆ หากคนกินเข้าไปจะทำให้มีอาการมึนเมา แสดงว่าเคยมีคนกินเข้าไปแน่ ๆ เลยถึงรู้ว่า "มึนเมา"


น้ำตกช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างงี้คนครึกครื้นเยอะมาก ๆ


ปลาพวงเต็มไปหมดเลยเห็นแล้วอยากโดดลงไปว่ายด้วยจริง ๆ แต่กลัวโดนตอดครับผม


อนุสรณ์แห่งความรัก พระพุทธเจ้าหลวง และพระนางเรือล่ม ตั้งอยู่ภายในบริเวณน้ำตกพลิ้ว


พระอนุสาวรีย์เป็นรูปปิรามิดทำจากแผ่นอิฐ เพื่อบรรจุอังคารของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ที่ทรงเคยเสด็จมา ณ ที่แห่งนี้ อยู่ในบริเวณอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว


สถูปพระนางเรือล่ม ภายในสภูปพระนางเรือล่มบรรจุพระอังคารของพระนางเจ้าฯ เนื่องจากพระองค์ท่านเคยเสด็จประพาส น้ำตกพลิ้ว


น้ำตกพลิ้วช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ คนเยอะเป็นพิเศษ มองไปเห็นเสื้อหลากสีสันจริง ๆ ครับ


ออกจากน้ำตกพลิ้วก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสองโมงแล้วครับ พวกเราไม่รีรอมุ่งหน้าไปที่พัก ทะเลขวัญสมุทรโฮมสเตย์ กันเลย ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอขลุง ใช้เวลาเดินทางจากน้ำตกพลิ่้วก็ประมาณ 40 กว่านาที เพราะทางเข้าเป็นหลุมเป็นบ่อ ขับทำเวลาไม่ค่อยได้

ระหว่างทางไปทะเลขวัญสมุทร ขับผ่านสถานที่ท่องเที่ยว มองเข้าไปเห็นคนเยอะพอสมควรครับ เห็นป้ายชื่อร้าน "ไอดิน กลิ่นทุ่ง" ผมจอดรถลงไปด่อม ๆ มอง ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น อ๋อคือร้านไอติม และกาแฟ ที่สามารถชมวิวทิวทัศน์ของทุ่งนาในแบบพาโนราม่า ได้เห็นความเป็นอยู่ของควายด้วยอะ ที่เหมือนจะเป็นศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ในชุมชนตำบลหนองชิ่ม เพราะมีทั้งของกินพื้นบ้าน ข้าวล้นยุ้ง ข้าวพันธุ์พื้นเมืองที่ปลูกด้วยระบบเกษตรอินทรีย์ ไว้ให้เป็นของฝากกลับบ้าน แต่ไม่สามารถแวะได้นานเลยไม่ได้สัมผัสที่นี่นานนัก กลัวเข้าที่พักเย็นจะอดไปดูการให้อาหารเหยี่ยวแดง


ไอดิน กลิ่นทุ่ง ระหว่างทางไป ทะเลขวัญสมุทรโฮมสเตย์


ทางเข้าทะเลขวัญสมุทรโฮมสเตย์ เห็นหลายกระทู้เตือน ๆ กันอยู่ครับว่า เหมือนมาบนดาวอังคาร


ระหว่างทางก่อนจะเข้าสู่ปากทางดาวอังคาร เอ้ย ไม่ใช่ครับ ปากทางเข้าไปยัง ทะเลขวัญสมุทรโฮมสเตย์ หากใครจะซื้อเครื่องดื่มหรือของกินเล่น ระหว่างทางจะมีบ้านชาวบ้านให้ซื้อหากันครับ เป็นร้านของชาวบ้านบริเวณนั้นครับ เพราะผมจำไม่ได้ว่า ในขลุงจะมีเครื่องดื่มขายหรือไม่ครับ


เฮ้อ...กว่าจะฝ่าฟันหลุมนับไม่ถ้วน ก็มาถึงซะที เห็นแล้วทะเลขวัญสมุทร โฮมสเตย์


ไปถึงทะเลขวัญสมุทรก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมงนิด ๆ ระหว่างรอสาว ๆ ติดต่อเชคอินเข้าพัก ผมก็เดินสำรวจซิครับรอไรแต่ไม่ทันได้สำรวจครับ ป้าเค้าก็เรียก "มาทานข้าวก่อน เตรียมอาหารไว้ให้แล้ว" พอเห็นอาหารมื้อนี้แล้ว "โอ้วแม่เจ้า...!!! " เลิกล้มความคิดจะเดินซนไปมาทันทีเลยครับ

อาหารมื้อแรกหลังจากเชคอินเข้าพัก ทะเลขวัญสมุทร โฮมสเตย์ เป็นมื้อเที่ยงครับ แต่ผมมาถึงก็บ่ายสามกว่าแล้วครับต้องทำเวลาเพื่อจะไปชมฝูงเหยี่ยวแดง


มาเริ่มกันที่จานนี้ดีกว่าครับ กุ้งราดซอสมะขาม รสชาติก็เหมือนกุ้งราสซอสมะขามที่เคยกินกัน แต่ที่แตกต่างคือ กุ้งตัวใหญ่ เนื้อแน่น เด้ง และสดมากครับ ให้เยอะด้วยครับ ผมจัดไปหลายตัว อันนี้ผ่านครับ อร่อย


กุ้งผัดบล็อคโคลี่อันนี้ผมเฉย ๆ ครับ ผมเลือกกินแต่่กุ้งครับ รสชาติก็เลยอร่อยครับ ฮา ฮา


ผัดฉ่าทะเล จานนี้รสชาติจัดจาน จี๊ดเลยครับ กินไปพรวดพราด ไอค่อกแค่กไม่รู้ตัวครับ แต่อร่อยครับวัตถุดิบของที่นี่สดทุกอย่าง


ปูผัดผงกระหรี่ จานนี้สาว ๆ ชอบ ปูของที่นี่เค้าใช้ปูทะเลครับ เห็นทางป้าเค้าบอกว่าเค้าใช้ปูเป็นสด ๆ ทำให้ลูกค้ากินทุกมื้อ แต่แอบคิดนิด ๆ ครับว่าทำไมเนื้อปูไม่แน่นเปลือก แต่ก็ถือว่าผ่านครับ เพราะอร่อยครับ


และที่ขาดไม่ได้แกงหมูชะมวง อาหารท้องถิ่นของเมืองจันทบุรี หากใครมาเที่ยวระยอง จันทบุรี ตราด ต้องลองกินดูครับ รสชาติออกหวาน อมเปรี้ยว


กินกันเสร็จได้เวลาเดินซน สำรวจสถานที่ แต่ก็เดินได้ไม่เยอะครับ เพราะต้องนั่งเรือออกไปเที่ยวต่อ เพราะนัดเรือไว้ และต้องไปให้ทันเวลาให้อาหารเยี่ยวแดงด้วยครับ หากใครคิดจะนั่งเรือไปดูเหยี่ยวแดงต้องเผื่อเวลาขับรถเข้ามาเจอทางขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อของที่นี่ และยังต้องนั่งเรือเข้าไปในจุดของเหยี่ยวแดงด้วยครับ ต้องใช้เวลาเดินทางพอสมควร เพราะเวลาให้อาหารเหยี่ยวก็ประมาณบ่ายสี่โมง นอกจากชมเหยี่ยวแดงแล้วที่นี่ยังสามารถนั่งเรือไปชมทะเลแหวก และหมู่บ้านไร้แผ่นดินได้อีกด้วย แต่โชคเราไม่ดี เนื่องจากการเที่ยวทะเลแหวกต้องล้มเลิก เพราะการขึ้น-ลงของน้ำไม่เป็นใจ ทำให้อดไปเที่ยวทะเลแหวกเลย หากใครอยากจะมาชมทะเลแหวกต้องเชคช่วงเวลาขึ้น-ลงของน้ำให้ดี ๆ นะครับ จะได้ไม่นกแบบพวกเรา


บรรยากาศของทะเลขวัญสมุทรโฮมสเตย์


ทางเดินระหว่างเข้าห้องพัก มองย้อนมาครับ หลังแรกที่เห็นเป็นห้องอาหาร ถัดไปก็เป็นลานกางเต้นท


ส่วนลานกางเต้นท์ เป็นลานกว้างอยู่พอสมควรครับ และถัดไปเป็นบ้านพักของพวกเราอีกหลัง ค่อนข้างส่วนตัว และวิวสวยสุดครับ


ถ่ายจากบริเวณหน้าห้องพักของผมครับ


ห้องพักของผมถ่ายจากเรือ ห้องพัก 2 คน จะไม่มีแอร์ครับ แต่มีพัดลมให้


เรือออกแล้ว กำลังวิ่งรอดใต้สะพาน เห็นคนมายืนตกปลากันอยู่


บรรยากาศระหว่างล่องเรือ ชิล ๆ


กำลังไปเที่ยวที่แรกกัน ฝูงเหยี่ยวแดงครับ ระหว่างล่องเรือก็เริ่มเห็นเหยี่ยวแดงบิน กันผ่านไปมาอยู่หลายตัวเลยครับ โห ตื่นเต้นจะได้เห็นเป๋็นฝูงพัน ๆ ตัว


โห...อันซีนอะ ลุงแกกำลังให้อาหารเหยี่ยวแดงอยู่ เค้าบอกว่าที่ให้คือหนังหมู


เป็นพัน ๆ ตัวเห็นจะได้ บินโฉบอาหารไปมา






สาว ๆ กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ไม่เคยเห็นเหยี่ยวเยอะอย่างงี้ แต่ผมกลัวเหยี่ยวจะรำคาญเสียงกรี๊ด แล้วบินมาจิกหัวเอานะครับ


นักท่องเที่ยวอีกกลุ่มที่มาดูด้วยกันครับ กำลังล่องเรือกลับที่พัก


เรือชาวบ้านแล่นผ่าน ป้าแกงนั่งชิลล์มากมายอะ


ดูฝูงเหยี่ยวแดงกันเสร็จ ล่องเรือไปกันต่ออีกสักที่ ก่อนกลับไปกินบาร์บีคิวซีฟู๊ด ที่พวกเรารอคอย เที่ยวกันที่หมู่บ้านไร้แผ่นดิน ปากน้ำเวฬุต่อ คนขับเรือเล่าให้พวกเราฟังว่า "เมื่อก่อนที่นี่เคยเรียกกันว่า "บ้านโรงไม้" เมื่อก่อนชาวบ้านเค้าตัดไม้โกงกางเอาไปทำถ่าน ตัดเสร็จก็จะเอาไม้มากองไว้ในบริเวณนี้เพื่อรอการเข้าเตาเผาถ่าน จนเป็นที่มาของชื่อ บ้านโรงไม้" อ๋อ...อย่างงี้นี่เอง ชุมชนแห่งนี้มีอายุยาวนานประมาณ 135 ปี" โห..เก่าแก่เหมือนกันแหะ เค้ายังบอกกันพวกเราอีกว่า "ที่นี่เป็นหมู่บ้านของชาวจีนอพยพ" ผมสังเกตุเห็นศาลเจ้าก็พอรู้ว่าน่าจะเป็นหมู่บ้านชาวจีน

พี่เค้ายังบอกกับพวกเราอีกว่า ส่วนเค้าเรียกกันว่า "หมู่บ้านไร้แผ่นดิน" เรียกให้สอดคล้องกับการอยู่อาศัยของชาวบ้านที่นี่ เพราะการสร้างบ้านเรือนของชาวบ้าน เค้าจะใช้วิธีการตอกเสาไม้ลึกลงไปในเลน จากนั้นจะปลูกบ้านขึ้นไปให้สูงเหนือน้ำ ลักษณะตัวบ้านเป็นแบบหลังคามุงจาก ปัจจุบันมีการใช้เสาปูน เพราะทำให้เกิดความคงทน และแข็งแรงกว่าเดิม บนหมู่บ้านมีทางถนนในหมู่บ้านด้วยครับ เป็นทางคอนเกรีตเล็กๆ กว้างประมาณ 1.5 เมตร ยาวต่อเนื่องไปโดยรอบ แต่ผมว่าน่าจะเป็นทางเดินมากกว่าถนนนะครับ จึงทำให้คนที่มาเยี่ยมเยือนสามารถเดินเที่ยวชมได้รอบหมู่บ้าน

ผมสังเกตเห็นว่าบางบ้านเค้าได้ปรับให้เป็นที่พักอาศัยแบบโฮมสเตย์ ส่วนวิถีชีวิตของที่นี่เค้าประกอบอาชีพประมง และแปรรูปผลิตผลทางทะเล เช่น ทำกุ้งแห้ง กุ้งต้มหวาน กะปิ หมึกแห้ง ปลาเค็ม ขายสินค้าท้องถิ่น ของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่หมู่บ้าน บางโฮมสเตย์ เปิดเพลงเร็กเก้ สกาด้วย ผมนี่มันตามเลย แต่ที่ฟังดูแย้ง ๆ คือ "ที่เกาะสมุยมันดียังไง...มันทำให้คุยมีความสุขใจ" อะไรประมาณนั้น เอ้ย...นี่เราอยู่ที่สมุยกันหรือนี่ นึกว่าจันทบุรี


เที่ยวอีกที่นึงก่อนกลับที่พักครับ หมู่บ้านไร้แผ่นดิน


เดินชมวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ ที่นี่มีโฮมสเตย์อยู่หลายแห่งครับ


เห็นบ้านอยู่กลางน้ำไกล ๆ เห็นทางพี่คนขับเรือบอกว่าเป็นของฝรั่งซื้อทิ้งไว้ครับ หลายปีแล้วยังไม่กลับมาดูเลย


กระชังเลี้ยงปลาของชาวบ้านครับ เพลินเลยครับ พระอาทิตย์กำลังตก ต้องรีบกลับไปกินมื้อเย็นแล้วครับเดี๋ยวไม่ทันบาร์บีคิว อิ๊ อิ๊


เดินทางกลับกันเลย....ที่เป็นเสาปักอยู่ในน้ำ...เห็นทางพี่คนขับเรือบอกว่าเป็นที่ดักปลาของชาวบ้านครับ


เย็นมากแล้ว และฝนก็เริ่มมาแล้วครับ


บรรยากาศตอนเย็น ๆ สวย สงบครับ


กำลังเดินเข้าห้องพักของผม เจอเลยนั่นไง...มียามมาเฝ้าหน้าบ้านด้วย...ไม่หลบด้วยนะ....ต้องค่อย ๆ ก้าวกลัวพี่แกจะไม่พอใจหันมางับเข้าให้


สาว ๆ มารอกินบาร์บีคิวกัน และมายืนคุยกับลุงระหว่างรอ


ผมเดินไปตรงหน้าเตาทันที รีบเก็บภาพตอนกำลังปิ้งก่อนดีกว่า หอมอะ


โอ้ว.....กุ้งม้าลายตัวใหญ่มาก...ถ้าไม่เกรงใจจะคว้ามาชิมสักตัว...ฮา ฮา


เสริ์ฟมาแล้วครับกุ้งตัวใหญ่ ๆ เนื้อ ๆ แน่น ๆ


พี่ปูก็มาตัวใหญ่มาก ผมเจอไข่ด้วย


ให้ดูขนาดกุ้งกับปูครับ ขนาดไล่เลี่ยกัน


มาอีกจานแล้วครับหอยเชลล์ ตัวใหญ่ครับ เนื้อแน่น สดมากครับ


ปลาหมึก เนื้อหวาน กรุบ กรอบ อร่อย กินแกล้มกับเบียร์เย็น ๆ นะ สุดยอด


อันนี้นี่ขอบอกถูกใจคนทั้งโต๊ะ กุ้งแช่น้ำปลา กุ้งเนื้อสด หวานกรอบครับ อร่อยครับ


ตามมาด้วยปลากระพงตัวใหญ่ครับถ้าเป็นข้างนอกราคาน่าจะไม่ต่ำกว่า 480.- ประมาณนะ ขอบอกว่าที่นี่ทำอร่อยดีครับ ปลาสดจริง ๆ


ยัง ๆ ไม่หมด ต้มยำทะเลครับ รสชาติจัด เผ็ดกำลังดีอยู่ครับหม้อนี้


ตบท้ายด้วยผลไม้ตามฤดูกาลอย่างแตงโมกับสัปปะรด เป็นของหวานปิดท้ายครับ


อาหารทะเลซีฟู๊ดมื้อเย็นของที่นี่เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ แบบเติมไม่อัน (ถ้าหมดก็เติมไม่ได้) สงสัยเหมือนกันว่าไม่อั้นยังไง แต่ก็มีให้กินจนอิ่มได้เหมือนครับ แต่พอจะเติมของบางอย่างก็หมด โดยเฉพาะปู กุ้ง แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าครับ


ตื่นเช้ามารีบเดินออกมากินมื้อเช้า เห็นบอกว่ามีข้าวต้มทะเล


มื้อเช้าที่นี่มีให้ก็ เส้นจันทร์ผัดปู และข้าวต้มทะเล แต่ที่ไม่มีรูปข้าวต้มเพราะถ่ายไม่ทันจริง ๆ ครับ เหลือแต่ข้าวต้ม ข้าวต้มจริง ๆ ครับไม่มีเนื้อกุ้ง ปลา และปลาหมึกเหลือเลย เค้าน่าจะทำมาให้พอแขกที่มาพักนะครับ เซงเลย มื้อเช้ากินไม่อิ่มอะ ต้องออกไปหาอะไรกินข้างนอกแทน


หลังมื้อเช้า ก็มาเดินเล่น สำรวจบ้านพักแต่ละหลังสักหน่อยก่อนเช็คเอาท์ออกจากโฮมสเตย์ เดินทางไปเที่ยวที่อื่น ๆ ต่อ


บ้านพักโซนที่ผมพัก ชื่อบ้านโกงกาง มี 3 หลัง แต่พวกเราพักบ้านโกงกาง 1 กับ โกงกาง 3 บ้านโกงกาง 3 จะตั้งอยู่ในป่าโกงกาง ดูจะส่วนตัว ร่มรื่น และสงบสุด อยู่ในดงป่าโกงกางเลยครับ ส่วนโกงกาง 1 ความเป็นส่วนตัวค่อนข้างน้อยไปนิด เพราะติดกับสะพาน มีรถวิ่งผ่านมาก็ได้ยินชัดเจน ยังมีคนมายืนตกปลาเกือบตลอด แต่ได้วิวสะพานก็สวยไปอีกแบบครับ


บ้านหลังนี้พักได้ถึง 10 คน เลยครับ มีแอร์ด้วย บ้านหลังนี้ชื่อบ้านแฝด วิวดีมีลานกว้างพอสมควร เป็นส่วนตัว และให้นั่งชมวิวด้วยครับ ตรงลานบ้านมีตู้เย็นไว้คอยบริการ โดนใจขาเมาด้วยแหละ เหมาะจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ


ข้ามไปดูห้องพักอีกโซนนึง บ้านพักโซนกลางน้ำ จะมีทั้งบ้านพักสำหรับ 2 ท่าน และหลายท่าน โซนนี้ชื่อว่า บ้านไม้ไผ่ เป็นบ้านพักยุคแรกๆ ของที่นี่ มีอยู่แค่ 2 หลังที่พักได้ 2 ท่านครับ ลองเชคดูกับทางโฮมสเตย์ก่อนก็ได้ครับ ผมไม่แน่ใจ ฮา ฮา


มุมด้านหลังของบ้านกลางน้ำครับ


สะพานนี้ผมไม่ได้ไปเดินเล่นครับ แต่หากใครถ้าขับรถเข้ามาพักที่ทะเลขวัญสมุทร แล้วเจอสะพานแบบนี้เมื่อไหร่ แสดงว่ามาถึง ทะเลขวัญสมุทรแล้วครับ เพราะตั้งอยู่ก่อนขึ้นสะพานพอดี เห็นทางลุงเค้าบอกว่าถ้าข้ามสะพานไปก็จะเป็นที่ตั้งของที่พักหลายแห่ง มีทั้งขาหย่าง โฮมสเตย์, ปลายจันท์ รีสอร์ท และอโลฮ่า ครับ


บ้านพักโซนกลางน้ำอีกมุมครับดูสวยไปอีกแบบ


ก่อนเดินทางออกจากทะเลขวัญสมุทร ถ่ายภาพเป็นที่ระทึก เอ้ย ลึก กันสักนิด



ขวัญสมุทรโฮมเสตย์ ตั้งอยู่ ต.บางชัน อ.ขลุง จ.จันทบุรี

สามารถสัมผัสวิถีชาวประมง กับบ้านพักแนว home stay แพ็คเกจอาหารทะเลสดๆ แบบฝีมือชาวเล อิ่มไม่อั้น 3 มื้อ ราคา 1,500 บาทต่อคน

กิจกรรมของที่นี่ก็จะมี ร้องคาราโอเกะที่โรงอาหารครับ ผมกะว่าจะร้องโชว์สักเพลง กลัวคนเค้าจะให้ไปประกวดเดอะวอยซ์ ซีซันถัดไป แหะ แหะ

ที่นี่มีเรือคายัคให้พายได้ด้วย แต่ผมไม่ได้พายครับ แต่เห็นนักท่องเที่ยวคนอื่นพายเล่นอยู่

เห็นว่าตกปลาได้ครับ อันนี้ก็เห็นนักท่องเที่ยวคนอื่นก็ตกอยู่ เห็นตกได้ปลาเก๋าด้วยครับ ตกได้ก็ให้ทางโฮมสเตย์ทำให้

ส่วนใครอยากจะไปเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ อย่างชมฝูงเหี่ยวแดง ทะเลแหวก (ต้องดูช่วงเวลาของกระแสน้ำขึ้น-ลง) และหมู่บ้านไร้แผ่นดิน ต้องเช่าเรือซึงเป็นของชาวบ้านครับ ไม่เกี่ยวกับทางโฮมสเตย์ ค่าเช่าเรือก็อยู่ประมาณ 500-1,800 บาท (ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ที่มาพักครับ) เพราะมีตั้งแต่เรือเล็กไปจนถึงเรือใหญ่

facebook : facebook.com/kwansamut/

Tel : 081 949 3251


หลังจากออกจากทะเลขวัญสมุทร สาว ๆ รีเควสกันว่าอยากมาดูปลาโลมา...ผมก็เลยจัดให้


นักท่องเที่ยวหลายท่านที่มาเที่ยวจันทบุรี คงปฏิเสธสถานที่ท่องเที่ยวอย่าง "โอเอซิสซีเวิลด์" ไม่ได้เลยครับ ใครหลาย ๆ คนก็อยากจะมาชมการแสดงโลมาที่มีชื่อเสียงของจังหวัดจันทบุรี ผมสังเกตุคนมาชมเยอะมากครับ ต่างคนต่างตั้งใจจดจ่อดูโลมาโชว์อย่างตั้งใจ ครึกครื่นกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะเด็ก ๆ มากับครอบครัว ดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ การแสดงก็จะมีครูฝึกโลมา คอยสั่งให้โลมาทำโน่น ทำนี่ ท่ามกลางเสียงพากย์ และเสียงดนตรีมัน ๆ ดีเจก็พูดพร่ำบรรยายสร้างบรรยากาศให้กับการแสดง ทำให้เกิดความสนุกสนาน และเพลิดเพลิน ได้เห็นการโชว์โลมาน่ารักๆ ในหลายรูปแบบ มีทั้งกระโดดลอดห่วง เตะบอล อุ้มลูกบอล และอื่นๆ ทำให้เห็นถึงความแสนรู้ของโลมา และความเก่งกาจของครูฝึกโลมา ที่ฝึกให้โลมา แสดงได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้ เราสามารถมาสัมผัสความน่ารัก น่าประทับใจนี้ได้ที่ โอเอซีส ซีเวิลด์ ครับ

โลมาของที่นี่ผมเห็นอยู่ก็น่าจะมี โลมาปากขวด หรือ โลมาสีชมพู มีลักษณะลำตัวกลมยาว ตัวมีสีชมพู

โลมาหัวบาตร หรือ โลมาอิระวดี หัวของน้องโลมาชนิดนี้มีลักษณะหัวกลมมนคล้ายบาตรพระ น่าลูบหัวจังครับ ผมโชคดีได้ลูบหัวน้องเค้าด้วยครับ (ขอทางพี่เจ้าที่แล้ว) และน้องเค้าก็ทักทายผมกลับมาชนิดว่า หันกล้องหลบแทบไม่ทัน น้องโลมาพ่นน้ำใส่โดนตัวผมเต็ม ๆ ฮี่ ฮี่ เปียกเลย


สาว ๆ ดูจะชอบกันใหญ่ดูแสดงโชว์ปลาโลมาเพลินกันเลย









โอเอซิส ซีเวิลด์ ยังมีน้องกวาง มารอเราป้อนอาหารกันหลายตัวเลย



บ่อนี้เป็นโรงเรียนฝึกปลาโลมาให้รู้จักสัญญาณต่าง ๆ ของครูฝึก



ถ้าทำได้จะได้รางวัลเป็นปลาไปกิน


ข้อมูลการแสดงโชว์โลมาครับใครจะเข้ามาชมเชครอบเวลากันด้วยนะครับ เพราะบางทีแพลนจะไปเที่ยวที่อื่นต่อเวลาที่แพลนเอาไว้จะได้ไม่คลาดเคลื่อน

รอบการแสดงโลมา (รอบละประมาณ 40 นาที)

- 09.00 น.

- 11.00 น.

- 13.00 น.

- 15.00 น.

- 17.00 น.

วันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพิ่มรอบแรก 07.00 น.

ราคาค่าเข้าชม

- ผู้ใหญ่ 130 บาท

- เด็ก 80 บาท

- ผู้ใหญ่ต่างชาติ 300 บาท

- เด็กต่างชาติ 200 บาท



ออกจาก โอเอซีส ซีเวิลด์ ขับมาเที่ยวแถวแหลมสิงห์ต่อครับ วันนี้เที่ยว ๆ ลูกเดียว เราแวะกันที่คุกขี้ไก่ อยู่แถวปากน้ำแหลมสิงห์ เห็นป้ายเค้าบอกว่า สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2436 หรือ ร.ศ. 112 ก็อย่างที่เราศึกษาประวัติศาสตร์กันมาแหละครับ ที่ว่ากันว่า

"ฝรั่งเศสเข้ายึดจันทบุรีในกรณีพิพาทกันด้วย เรื่องดินแดน ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ระหว่างนั้นกองทหารฝรั่งเศสประมาณ 600 คน แยกกันอยู่สองแห่ง แห่งแรกตั้งอยู่ที่เมืองจันทบุรี บริเวณ ที่เป็นค่ายทหารในปัจจุบัน อีกแห่งอยู่ที่ปากน้ำแหลมสิงห์ มีลักษณะเป็นป้อมรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสลบเหลี่ยม ก่อด้วยอิฐ กว้าง 4 ม. สูง 10 ม. หลังคาเดิมเป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้องทรงพีระมิด มีประตูทางเข้าออกหนึ่งช่อง ด้านบนเป็นช่องระบายลม ปัจจุบันชำรุดหมดสภาพไปแล้ว ในอดีตรอบป้อมมีน้ำล้อม และใช้เป็นป้อมปืน และป้อมตรวจการณ์ปากน้ำแหลมสิงห์ ชาวบ้านเรียกว่าป้อมฝรั่งเศส ต่อมาใช้เป็น ที่กักขัง นักโทษทั้งทหารญวนคนจีนคนในบังคับของฝรั่งเศสรวมทั้งคนไทยที่ต่อต้านฝรั่งเศส โดยขังคนไว้ด้านล่าง ด้านบนเลี้ยงไก่เพื่อให้ถ่าย ใส่นักโทษ คุกนี้เลิกใช้งานเมื่อทหารฝรั่งเศสถอนกำลังออกจากเมืองจันท์เมื่อปี พ.ศ. 2447" คนโดนขังคงหอมน่าดูเลยครับ ผู้รุกรานนี่แย่จริง ๆ แต่ก็เป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์

ใกล้ ๆ กันก็เป็นที่ตั้งของตึกแดงครับ ขับรถผ่านไปมา จะเห็นเป็นอาคารสีแดงโดดเด่น เป็นสถานที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2436 หรือ ร.ศ. 112 ในบริเวณป้อมพิฆาตข้าศึก โดยรื้ออิฐจากป้อมมาสร้าง เพื่อใช้ตึกนี้เป็นกองรักษาการณ์ และที่พักของทหารที่รักษาปากน้ำแหลมสิงห์ ภายในตึกแดงแบ่งเป็นห้องย่อยๆ ได้ 5 ห้อง เป็นห้องโล่งๆ บางห้องมีแผ่นป้ายให้ความรู้ บอกความเป็นมาของตึกแดง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีห้องหนึ่งเก็บปืนใหญ่ พบเจอที่ใต้แม่น้ำจันทบุรี บริเวณปากน้ำแหลมสิงห์ จากร่องรอยของตัวปั๊มข้างกระบอกปืน สามารถบอกได้ว่าเป็นปืนของทหารฝรั่งเศสที่อาจจะทำตกน้ำในระหว่างขนขึ้นฝั่ง ด้านล่างของปืนใหญ่เป็นกระสุนปืนใหญ่ และโซ่ที่ติดมากับปืนใหญ่



คุกขี้ไก่ที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์


ตึกแดง


ภายในตัวอาคารของตึกแดง


ออกจากตึกแดงเดินทางไปชมวิวปากน้ำแหลมสิงห์กันที่ สะพานแหลมสิงห์ เป็นจุดเชื่อมระหว่าง ตำบลปากน้ำแหลมสิงห์ กับตำบลบางกะไชย สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อให้เดินทางไปมาหาสู่กันได้ง่ายขึ้น รวมทั้งอำนวยความสะดวกกับนักท่องเที่ยวที่จะได้ท่องเที่ยวจากชายหาดแหลมสิงห์ แล้วมุ่งตรงไปยังชายหาดเจ้าหลาวได้เลย ซึ่งสมัยก่อนหน้านี้ต้องใช้การเดินทางโดยเรือข้ามฝั่งหากันเท่านั้น

ในส่วนของบริเวณกลางสะพาน มีทางเบี่ยงสำหรับจอดรถให้เราได้ชมวิวทิวทัศน์อีกด้วย ถ้าเรามองออกไปจะเห็นวิวที่สวยงามของปากแม่น้ำจันทบุรี และท่าเรือน้ำลึก อีกด้านหนึ่งเราจะเห็นกระชังปลามากมาย และวิถีชีวิตการทำประมงของชาวบ้านแหลมสิงห์ครับ


บริเวณกลางสะพานแหลมสิงห์ มีจุดให้จอดรถด้านข้างเพื่อให้ได้ชมวิวสองฝั่งสะพาน ข้ามถนนไปมาระวังรถวิ่งไปมากันด้วยนะครับ


บริเวณกลางสะพานแหลมสิงห์


วิวทิวทัศน์จากสะพานแหลมสิงห์


มองเห็นวิถีชีวิตการทำประมงของชาวบ้าน มองจากสะพานแหลมสิงห์


โบสถ์สีขาวโดดเด่นของวัดเขาแหลมสิงห์ มองเห็นจากบนสะพานแหลมสิงห์


ภายในโบสถ์วัดเขาแหลมสิงห์


บริเวณวัดมีจุดให้ชมวิวสะพานแหลมสิงห์ มองเห็นท่าเรือประมง แหลมสิงห์ครับ


ในวัดเขาแหลมสิงห์ มีลิงด้วย


สาว ๆ รีบคว้าขนมจากในรถมาให้ลิงแบบไม่รีรอ แต่เดี๋ยว ๆ กับแกล้มของผมด้วย กะจะเอาไว้กินแกล้มเบียร์คืนนี้ หมดกัน "ไปซื้อใหม่" คำพูดของสาวหมวยพูดเป็นคำสั่ง แหม๋...ให้อาหารสนุกกันเลยนะ เอากับแกล้มเค้าคืนมา T_T


วิวบริเวณปากน้ำแขมหนู


ขับมาถึงหากเจ้าหลาว พวกเรายังเที่ยวกันไม่เสร็จครับ แต่ขอแวะเข้าห้องน้ำ เก็บข้าวของไว้ที่ห้องพักก่อน วันนี้พวกเราพักกันที่ บ้านอิ่มสุข รีสอร์ท บรรยากาศ รวมถึงที่พักของที่นี่ตกแต่งเรียบง่ายดีครับ จะบอกว่าคล้ายๆ บ้านสวน จะไม่ค่อยเหมือนรีสอร์ทริมทะเลที่เคยไปพักมาซักเท่าไหร่ แต่ก็ร่มรืน และสงบดีครับ ผมว่าดูกว้างขวางอีกด้วย

รีสอร์ทที่นี่แบ่งเป็น 2 โซนครับ โซน Garden Zone กับ Bech Zone หากใครจะไปเดินเล่นริมชายหาด หรือเล่นน้ำทะเล จะต้องเดินข้ามสะพานข้ามคลองก่อน ซึ่งได้บรรยกาศสวยไปอีกแบบ แต่บ้านพักส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดจะอยู่ฝั่ง Garden Zone ส่วนในโซนที่เป็นชายหาดต้องเดินประมาณ 100 เมตร ไม่ไกล้ และไม่ไกลครับ ถือว่าใครมาพักที่นี่ ได้ถึง 2 บรรยากาศ ได้ทั้งพักผ่อนริมทะเล ได้บรรยากาศบ้านสวน เรียกว่าทูอินวันกันจริงๆ

ข้อมูลติดต่อครับ

Face book : Baan Imm Sook Resort

Website : http://www.baanimmsook.com/


บ้านอิ่มสุข รีสอร์ท ที่พักของเราคืนนี้


นั่งรอเช็คอิน บริเวณล็อบบี้ของรีสอร์ท บ้านอิ่มสุข ระหว่างรอมีเวลคัมดริ้งให้ด้วยครับ


หน้าตาของบ้านพักเรา เป็นไม้ทั้งหลัง


ภายในห้องพัก กว้างไม่มาก แต่ก็เล็กกะทัดรัดกำลังดี มีที่นั่งเล็กๆ ตรงด้านหน้าเตียงนอน เตียงนอนเป็นไม้ มีหน้าต่างตรงหัวนอน ในห้องก็มีทั้ง ทีวี ตู้เย็น ชั้นวางของ ถือว่าโอเค ผ่านครับ


เก็บข้าวของจัดการธุระส่วนตัวกันเสร็จแล้วก็ไปเที่ยวกันต่อเลยครับ ลุย...!!!

ขับมาไม่ไกลนัก จากหาดเจ้าหลาวไปยังอ่าวคุ้งกระเบนประมาณ 6 กม. ราว ๆ 5 นาทีครับ พาสาว ๆ มาชมสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียรติ ที่นี่เหมาะกับครอบครัวที่มีเด็กๆ มาเที่ยวมาก ๆ ครับ ที่นี่มีปลานานาชนิด หน้าตาน่ารัก จนถึงหน้าตาแปลก ๆ ให้ได้ชมกันครับ ไฮไลท์ของที่นี่ก็อยู่ตรงที่มีอุโมงค์ใต้น้ำ ทำให้เห็นปลาขนาดใหญ่ได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย ถือเป็นแหล่งให้ความรู้เกี่ยวกับสัตว์ทะเลที่อาศัยอยู่ในอ่าวคุ้งกระเบน และบริเวณใกล้เคียง เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ผมชอบครับมาเจ้าหลาวแล้วต้องแวะมา


พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียรติ









ข้อมูลการเข้าชมครับ

เวลาเปิดให้บริการ

วันอังคาร – วันศุกร์ เปิดให้บริการ เวลา 08.30 – 16.30น.

วันเสาร์ – อาทิตย์ เปิดให้บริการ เวลา 08.30 – 17.30น.

ปิดให้บริการทุกวันจันทร์ (หากวันจันทร์ใดเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์จะเปิดให้บริการ และจะปิดให้บริการในวันถัดไป)

อัตราค่าเข้าชม ไม่เสียค่าธรรมเนียม (รับบริจาคค่าอาหารสัตว์น้ำ)


ไม่ไกลจากสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ ยังมีสถานที่ธรรมชาติให้เดินศึกษากันอย่าง ศูนย์ศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน อ่าวคุ้งกระเบน ที่ให้เราได้ศึกษาระบบนิเวศ และธรรมชาติของป่าชายเลยอ่าวคุ้งกระเบนด้วยครับ

เพราะพระราชดำริของในหลวง เลยทำให้พวกเราต้องออกมานั่งกินลม ชมทะเลกันที่นี่ เป็นพระมหากรุณาอย่างหาที่สุดไม่ได้ ขอบอกว่าที่นี่เป็นห้องเรียนธรรมชาติที่กว้างใหญ่มาก ๆ ป่าชายเลนที่นี่มีพื้นที่กว่า 1,100 ไร่เลยที่เดียว และเป็นป่าชายเลนที่คงความอุดมสมบูรณ์ และสวยงามแห่งหนึ่งในเมืองไทยครับ

พวกเราเดินทอดน่อง ชมป่าโกงกาง สลับกับฟังเสียงร้องระงมของแมลง และเสียงกุ้งดีดขันกันเพลิน ๆ อีกทั้งตลอดสองข้างทางจะเห็นสังคมพืชในป่าชายเลน จำพวก ไม้แสม ไม้ลำพู ขึ้นเต็มไปหมด นั่นแสดงว่าพื้นที่แถบนี้ป่าโกงกางมีชีวิตที่สมบูรณ์มาก ป่าโกงกางเป็นเหมือนบ้าน และอนุบาล ของสัตว์น้อยใหญ่หลายชนิด ไม่เว้นแม้กระทั่งมวลหมู่แมลงที่อาศัยอยู่ในป่าโกงกางด้วย

พวกเราเดินมาถึงจุดชมวิวอ่าวคุ้งกระเบน ตรงจุดนี้เราจะเห็นแนวป่าชายเลนยาวกว่า 5 กิโลเมตร กั้นกลางระหว่างผืนน้ำกับเส้นขอบฟ้า ใครอยากนั่งรับลมทะเลเย็น ๆ แนะนำเดินมาจุดชมวิวตรงนี้ได้เลยครับ ด้านหลังจุดชมวิวไม่ไกลกันัก มีสะพานแขวน ให้ขึ้นไปยืนชมป่าโกงกาง และยืนนิ่ง ๆ เพื่อฟังเสียงของกุ้งดีดขันได้อย่างชัดเจน

เดินมาเรื่อย ๆ เพลิน ๆ ก็จะถึงศาลาพะยูน บริเวณนี้มีอนุสรณ์รูปปั้นหมูดุด หรือพะยูน จากเรื่องราวในอดีตที่อ่าวคุ้งกระเบน เคยมีพะยูนอาศัยอยู่ เนื่องจากเป็นบริเวณที่มี "หญ้าทะเล" ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ของพะยูน ต่อมาหญ้าทะเลหมดไป ทำให้พะยูนก็หายไปด้วย พะยูนตัวสุดท้ายที่พบบริเวณอ่าวคุ้งกระเบนคือ เมื่อปี พ.ศ. 2533 จากนั้นก็ไม่มีพะยูนให้เห็นอีก จนกระทั่งทางศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนมีการปลูกหญ้าทะเล ที่เป็นอาหารหลักของพะยูน ได้แก่ หญ้าผมนาง และหญ้าชะเงาใบขาว (หรือว่านน้ำ) เพื่อให้พะยูนหวนกลับมาที่อ่าวคุ้งกระเบนอีกครั้ง แต่ปัจจุบันก็ได้หายไปจากอ่าวคุ้งกระเบนเป็นเวลานับยี่สิบกว่าปีแล้ว เป็นเรื่องน่าเศร้าจริง ๆ ผมคิดว่าเจ้าหมูดุดคงงอนมนุษย์แล้วหละ ประมาณว่า "เชอะไม่กลับมาอีกแล้ว คุณหลอกดุด" มนุษย์ใจร้าย อะไรประมาณนี้

พวกเราก็งอนอดเห็นน้องหมูดุดเลยต้องเดินทอดน่องต่อไปอีกจนถึงหอดูเรือนยอดไม้ แปลกมากครับมาหลายรอบแล้ว หอชมเรือนยอดไม้ปิดทุกครั้ง แต่ทำไมครั้งนี้ถึงเปิดให้ขึ้นหอก็ไม่รู้ รออะไรหละครับเดินขึ้นซิ หอดูเรือยอดไม้เป็นหอที่มีความสูงประมาณ 15 เมตร ทำด้วยไม้ มีบันไดแบบบันไดเวียนให้เดินขึ้นลง มีจุดให้พวกไม่ค่อยออกกำลังกายได้พักหอบในแต่ละชั้น ระหว่างเดินขึ้น แต่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะ หรือสงสารดีนะครับ เพราะมีคนกลัวที่สูงอยู่ในกลุ่มด้วย ฮา ฮา เราเดินไปถึงชั้นบนสุด โห...วิวสวยมาก ๆ บนนี้มีลักษณะเป็นระเบียงห้าเหลี่ยม มีที่ให้นั่งสำหรับไว้ชมวิวอ่าวคุ้งกระเบน และวิวป่าชายเลนจากมุมสูง เห็นนกอยู่หลายชนิดครับ พวกนกยาง นกจาบคาเล็ก นกกินเบี้ยวด้วย แต่ถ่ายไม่ทันครับมันบินไปตรงไหนแล้วก็ไม่รู้


ศูนย์ศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน


นางสงสัยอะไร ไม่เคยเห็นต้นแสมอายุร้อยปีหรอ ศาลาปู่แสม จุดนี้สื่อความหมายว่า ต้นไม้ผู้สร้างแผ่นดิน เป็นจุดที่มีต้นแสมขาว อายุนับร้อยปี (จึงเรียกว่า "ปู่")


เส้นทางศึกษาธรรมชาติของที่นี่ร่มรื่นดีครับ มีร่มเงาจากต้นไม้เยอะกว่า ป่าชายเลนหลาย ๆ ที่


มุมนี้โล่งสบายสุดสายตา มองเห็นอ่าวคุ้งกระเบนแบบพาโนรามา


สะพานข้ามคลอง มุมชิลที่ใครหลายคนต้องหยุดถ่ายรูป


ศาลาพะยูน บริเวณนี้มีรูปปั้นหมูดุด (พะยูน)


ขึ้นไปชมวิวบนหอดูเรือนยอดไม้ ส่องดูนก ดูวิวกัน




วิวบนนี้สวยมาก ๆ ครับ


มีหมาน้ำกร่อยด้วย เป็นอีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศของป่าชายเลย เอ้ย...ไม่ใช่และ น้องหมาแค่มาเดินเล่นเหมือนกันพวกเราเฉย ๆ


ออกมาจากป่าชายเลนและ มุมนี้จะเป็นมุมสาธิต พร้อมทั้งอธิบายเรื่องการเลี้ยงกุ้งระบบปิด เพื่อรักษาสภาพแวดล้อม โดยใช้ป่าชายเลนเป็นตัวดูดซับธาตุอาหาร และบำบัดน้ำเสียโดยวิธีธรรมชาติ และระบบชลประทานน้ำเค็ม มีการสาธิตเลี้ยงหอยนางรมด้วย เห็นแล้วอยากลงไปแกะชิมสักสองสามตัว ฮา ฮา


ออกจากอ่าวคุ้งกระเบน สาว ๆ บ่นหิวกันทุกคน แหม๋...นี่ว่าจะชวนไปเที่ยวต่อนะเนี่ย แต่ไม่เป็นไร เริ่มเย็นแล้ว หลังจากได้อาหารตา และอาหารสมองแล้ว ต่อไปต้องหาอาหารปาก ท้องกันบ้าง ก่อนจะไปหาอะไรกินกัน แวะซื้อเสบียงกันที่ วงเวียนพะยูนกันก่อน วันนี้มีตลาดนัดด้วย สาว ๆ บอกว่าเดินเล่นกันสักพัก อ้าวเฮ้ย...ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า...ไหนบอกว่าหิวไง แต่เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปตลาดนัดมาด้วย แต่ตลาดนัดที่นี่ขายอาหารทะเลในราคาที่ไม่แพงเลยครับ หากใครจะมาหาของทะเลสดเพื่อนำไปปาร์ตี้ปิ้งย่างกัน แนะนำให้ลองมาดูตลาดนัดวงเวียนพะยูน มีทั้งปู ปลา ปลาหมึก แถมมีร้านขายส่งเครื่องดื่ม และเซเว่นด้วยครับ

ซื้อเสบียง ขนม นม เนย กันเสร็จ ขับไปอีกนิดเดียวก็ถึง "ร้านยายตุ๊ " อยู่ติดวัดเจ้าหลาว สาว ๆ บอกว่าร้านนี้มีคนแนะนำมา ราคาก็สมเหตุสมผลครับ แต่อาหารทะเลอาจจะไม่มีหลากหลายมากนะครับ อย่างปลากหมึกไข่ผมอยากกินก็ไม่มี


ไข่เจียวหอยนางรม จานนี้ก็เหมือนไข่เจียวที่เราทำกินกันที่บ้านเพียงแต่มีหอยนางรมด้วยเท่านั้นเองครับ แต่เด็ก ๆ คงชอบ


หอยนางรมทรงเครื่อง หอยถือว่าสดครับ น้ำจิ้มก็รสจัดดี โอเคครับสำหรับเมนูหอย ๆ


ปลาหมึกผัดไข่เค็ม จากนี้อร่อยครับ ปลาหมึกก็สด


ปลากระพงสามรส อีกหนึ่งจานที่รสชาติดี ผมชอบครับแกล้มเบียร์ดีมากครับ ฮา ฮา


ต้มยำรวมมิตร ต้มยำหม้อนี้ชอบตรงเค้าใช้วัตถุดิบสดให้เรา บางเจ้าเอาวัตถุดิบไม่ค่อยสดมาให้กิน รสชาติก็ซี๊ด เปรี้วย เผ็ด ใช้ได้เลยครับ


กลับมาถึงที่พักก็เกือบเย็นแล้ว แต่พอมีเวลาที่จะเดินสำรวจที่พักครับ พวกเราเข้าไปทำภาระกิจส่วนตัวในห้องพัก และเดินเล่นมากันที่ชายหาด ผมอยากเปียกแล้ว

ฟ้าเริ่มมืดแล้วทำให้สาว ๆ ตัดสินใจจะไม่เล่นน้ำกัน แต่ผมตัดสินใจที่จะเปียกครับ วิ่งตูมลงน้ำหนุกหนานอยู่คนเดียวเลย สาว ๆ นั่งบนเก้าอี้ชายหาดมองดูผมเล่น และนั่งเมาท์กัน ไม่ง้อเฟ้ย เล่นคนเดียวได้


ลานกิจกรรมของรีสอร์ทบ้านอิ่มสุข


เสียงโทรศัพท์ดังแต่เช้า โหไรอะโทรปลุกกันแต่เช้าเลย ปลุกให้ไปกินข้าวเช้า ยังอยากนอนต่ออยู่เลย แฮงค์นะเว้ย แต่ต้องลุกจากที่นอนเพื่อไปล้างหน้า แปรงฟัน และรีบตามออกไปกินมื้อเช้า ส่วนไลน์อาหารก็ไม่มีอะไรมากครับ ข้าวต้มทะเล และก็พวกอเมริกันเบรคฟาส ผมฟาดเรียบครับ ไม่ได้ถ่ายมาให้ดูเลยครับ เผอิญแฮงค์ แหะ แหะ


กินมื้อเช้ากันบริเวณนี้


กินเสร็จก็เดินถ่ายรูปเล่น อันนี้ด้านหน้าห้องพักโซนติดชายหาดครับ


ส่วนด้านหน้าห้องพักของพวกเราเป็นแบบนี้ครับ


โซนบ้านพักฝั่งตรงข้ามกันครับ


หลังจากมื้อเช้าแล้วก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อพร้อมเปียกแล้วครับ


เล่นน้ำกัน บริเวณชายหาดกว้างมาก แต่ระหว่างเล่นน้ำกันฝนตกลงมาหนักด้วย แต่ไม่นานก็หยุด





ทางเดินเข้ารีสอร์ทจากมุมชายหาดนี้ มีต้นเตยทะเล และต้นไม้อื่นปกคลุม เหมือนเดินเข้าป่าหิมพานต์ยังไงไม่รู้ครับ


สะพานเดินข้ามคลองที่แบ่ง รีสอร์ทเป็นสองส่วนระหว่าง Garden Zone กับ Bech Zone




ก่อนเชคเอาท์พวกเราเล่นน้ำทิ้งทวนก่อนที่เก็บข้าวของขึ้นรถออกจากที่พักบ้านอิ่มสุข รีสอร์ท "แวะชมวิวที่นี่ต่อเลย" สาว ๆ บอกว่ายังไงต้องไปครับ จุดชมวิวเนินนางพญา จุดชมวิวมหาชนที่ใคร ๆ ก็ต้องแวะกัน ตรงจุดชมวิวเนินนางพญานี้ เป็นอีกหนึงจุดไฮไลท์ของจันทบุรีเลยก็ว่าได้ ซึ่งสามาถมองเห็นถนนเฉลิมบูรพาชลทิตจากมุมสูง เป็นที่่มีนักท่องเที่ยวมาชมวิว ถ่ายรูป รวมไปถึงนักปั่นทั้งหลายมาปั่นจักรยานชิลล์ ๆ แล้วก็ยังมีคู่รักที่มาคล้องกุญแจ เพื่อคล้องใจกันอีกด้วย

วิวทิวทัศน์ที่นี่สวยงาม มองเห็นทะเลสุดลูกหูลูกตาเลย มองเห็นเส้นขอบฟ้า ทั้งทะเล ทั้งภูเขา ลมพัดปะทะใบหน้าตลอดเวลา เพลินมาก เป็นบรรยากาศที่น่าประทับใจอะ หากใครยังไม่เคยมาต้องมาสัมผัสให้ได้ เสียดายต้องกลับวันนี้แล้วอะ ไม่อย่างงั้นจะนั่งจนพระอาทิตย์ตกเลย

จากข้อมูลถนนเลียบทะเลแห่งนี้ มีระยะทาง 111 กิโลเมตรด้วยกัน จากปากน้ำประแส จังหวัดระยอง ไปตามถนนเฉลิมบูรพาชลทิตนี้ และไปสิ้นสุดยังจุดชมวิวเนินนางพญา จังหวัดจันทบุรี เป็นถนนแลนด์มาร์คของนักปั่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมเคยขับเลาะไปตามเส้นทางนี้มาแล้ว ถือว่าเป็นถนนที่สวยแห่งหนึ่ง

บริเวณจุดชมวิวเนินนางพญา ยังมีรถมอเตอร์ไซด์แบบพ่วงมาขายปลาหมึกแดดเดียวด้วย แต่เป็นปลาหมึกแดดเดียวคนละสไตล์กับที่เคยกินกันที่ประจวบฯนะครับ รสชาติก็ต่างกันเลยครับ แต่สดหวานเท่ากัน อร่อยด้วยครับ

สาว ๆ ชมวิว และจกปลาหมึกแดดเดียวกินกันสักพักใหญ่เลย ผมขับรถขึ้นไปอีกนิดใกล้ ๆ กันก็มีมุมสำหรับชมวิวอีกจุดที่พลาดไม่ได้ นั่นก็คือจุดชมวิวหลวงพ่อพระยืน ต้องขับขึ้นเนินเขาไปอีก แต่เป็นอีกมุมที่ทำให้เห็นภาพบรรยากาศทะเลในมุมสูง พร้อมกับลมทะเลเย็นๆ สดชื่นมากครับ ขนาดตอนกลางวันร้อนๆ ลมพัดมายังเย็นสบาย เพราะฝนกำลังจะตกแล้วเลยไม่มีแดดเลยครับ บรรยากาศก็สวยงามมาก มีศาลาให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ มีที่จอดรถกว้างเหมือนกันครับ พวกเรากราบสักการะหลวงพ่อพระยืนก่อนเดินทางกลับบ้านกันโดยสวัสดิภาพ


จุดชมวิวยอดนิยม เนินนางพญา


มุมมหาชนใครมาแล้วต้องถ่ายครับ



กุญแจคล้องรักตามความเชื่อของคนไทยที่มีต่อซีรี่ย์เกาหลี

"เนินนางพญาแห่งนี้ที่รวมใจ คู่รักใดปรารถนารักคงมั่น

ร่วมดวงจิตอธิษฐานสัญญากัน คล้องสองใจรักมั่นนิรันดร"


หากคู่รักคู่ไหนต้องการคล้องใจสานใยรักแบบหนังเกาหลี ก็สามารถนำกุญแจมาคล้องไว้ที่ราวรั้วลวดสลิง ที่อยู่ตรงจุดชมวิวได้


ภาพเหตุการณ์หน้าแตกกันทั้งกรุ๊ป เพราะมีคนบอกว่าเห็นกระเบนราหู พวกเราก็มองไปตามที่เพืิ่อนในกลุ่มเห็น มองยังไง ยังไงก็คล้ายกระเบนครับ ตัวใหญ่มาก แต่เผอิญแม่ค้าขายปลาหมึกแดดเดียวได้ยินพวกเราตื่นเต้นกัน ก็พูดขึ้นมาว่า แถวนี้มีแต่หินไม่มีหรอกกระเบนอะหนู ป้าขายอยู่ตรงนี้มาหลายปียังไม่เคยเห็นเลย ที่เห็นตรงนั้นมันเป็นก้อนหิน อ้าวเฮ้ย...หน้าแตกนี่หว่า ฮา ฮา


จุดชมวิวหลวงพ่อพระยืน หาดคุ้งวิมาน มองออกไปทางทะเล และหาดคุ้งวิมานจะพบภาพบรรยากาศสวย ๆ แบบนี้แหละครับ


เมฆฝนมาแล้ว ต้องรีบเดินทางกลับ ก่อนกลับไหว้พระเพื่อเป็นส


ก่อนเดินทางกลับกันก็ยังไม่หยุดปาก หามื้อเย็นกินกันก่อนเดินทางกลับ กทม. แวะกินเย็นตาโฟกันที่ร้านเจ๊เพ็ญ วัดไผ่ล้อม อีกร้านอาหารที่ขึ้นชื่อของเมืองจันทบุรี

เป็นอันปิดทริปอันสุดแสนเพอร์เฟคของพวกเรา เดินทางออกจากจันทบุรี แวะซื้อของฝากระหว่างทาง กว่าจะถึง กทม. ก็ประมาณสี่ทุ่มแล้ว ทริปนี้เป็นอีกหนึ่งทริปที่ได้ทั้ง กินปู ดูปลา ชมนก มองทะเล ท้องฟ้า สวย สงบ และอร่อย สุดประทับใจสำหรับพวก ปีหน้าผมมีแพลนที่จะกลับไปอีกครั้งแน่นอนครับ


ปิดทริปกันที่ เย็นตาโฟเจ๊เพ็ญ ตั้งอยู่ข้างวัดไผ่ล้อม

Muaypun Trip

 วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 15.08 น.

ความคิดเห็น