เรามีภารกิจพาน้องสาวจากเมืองเหนือตะลอนเมืองกรุงแบบชิลๆๆ ชิคๆๆ และน้องสาวอยากไหว้พระ ถ่ายรูปสวยๆ เราก็เลยนึกถึงวิวแม่น้ำเจ้าพระยา และตลาดวังหลัง ที่สำคัญมีวัดอย่างวัดระฆังโฆสิตาราม และวัดบริเวณอีกหลายวัด ก็เลยเกิดทริปสั้นนี้ขึ้น

เริ่มต้นกันจากท่าเรือสาทร ที่เราเองก็ไม่เคยไป เรานั่ง BTS ไปสถานีตากสิน แล้วเดินไปทางออก 2 ก็จะเห็นผู้คนเดินไปที่ท่าเรือทั้งคนไทยและชาวต่างชาติมากมาย พอไปถึง อาจจะงง..เพราะทางซื้อตั๋วกับซื้อทัวร์ปนกันไปหมด ตะโกนเรียกชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย และด้วยหน้าตาเราอาจไม่เหมือนคนไทยงั้นสิ พูดกันมาหลายภาษา พอเราถามว่าซื้อตั๋วลงเรือทางไหนค่ะ เขาก็ทำหน้าแปลกใจ แล้วบอกว่า เดินเข้าไปข้างในเลย เดินตามๆ กันไปเถอะ แล้วเราก็เห็นคนเรียกให้ลงเรือ ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกค่ะ..ว่านั่นคือเรือด่วนเจ้าพระยา ลงไปก็มีต่างชาติเยอะเหมือนกัน เราก็เลยไปนั่งข้างหน้าเลยค่ะ หลังคนขับเรือ นั่นเอง ค่าเดินทางตลอดสายน้ำ 14 บาท เราไม่รู้ว่า ต้นทางปลายทาง รู้แค่ว่า เราจะไปวังหลัง ต้องลงท่าช้าง ตามรีวิวอื่นๆ ที่บอกกันมาก็เท่านั้น


เราก็คุยกับน้องสาวไปเรื่อย และก็ชื่นชมความสวยงามสถานที่ต่างสองฝั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาไปด้วยเช่นกันนะคะ...อยากจะบอกว่า มันชิลมากมาย และเป็นอีกการเดินทางหนึ่งที่เราเพิ่งเคยสัมผัส เราอาจเคยผ่านเส้นทางด้านหน้าของโรงแรมดังๆ เราเคยผ่านด้านหน้าของสถานที่ต่างๆ โดยไม่รู้ว่า ด้านหลังที่ติดริมแม่น้ำนั้นสวยงามแค่ไหน..ครั้งนี้มันทำให้เรารู้เลยค่ะ แถมได้สัมผัสการจราจรทางน้ำที่วุ่นวายเหมือนกันนะคะ เพราะแม่น้ำมันไม่เลนส์แบ่งให้เห็นเหมือนถนนนะคะ



เดินทางมาสักพักจนถึงท่าช้าง เราก็ขึ้นมาเพื่อนั่งเรือข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งคือตลาดวังหลัง ซึ่งมีของขายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นของกิน ของใช้ หรือของที่ระลึก แต่ก่อนจะไปเดินเที่ยวกันต่อ คงต้องขอพักสักนิด หาคาเฟอีนเติมให้ร่างกายกันก่อน เราก็หาร้านกาแฟ และแล้วก็เจอร้านหนึ่ง ชื่อร้านเป็นมงคลมากเลย ร้านชื่อ ร่ำรวย มองภายนอกก็ดูชิคๆ แต่ภายในยิ่งน่ารักมากเลย และแถมยังมีกาแฟ Signature อย่าง Rumruay Frappe ที่หอมอร่อย เจ้าของร้านก็ยังใจดีเป็นกันเองอีกด้วย



เมื่อพักเติมคาเฟอีนเข้าร่างกายกันแล้ว เราก็เดินทางต่อไปไหว้พระทำบุญกันที่วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ไปกราบขอพรสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เพื่อขอพรโดยการสวดคาถาชินบัญชรเมื่อสวดจบแล้วก็ปักธูปที่กระถางและปิดทองที่รูปปั้น แล้วอย่าลืมพรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลด้วยนะคะ และยังมีระฆังที่ให้เคาะก่อนกลับ เพื่อชื่อเสียงจะได้โด่งดัง มีคนนิยมชมชอบ ตามที่เขากล่าวขานกันมานะคะ แล้วก็เดินเล่นชมวิวท่าน้ำซึ่งมีฝูงนกพิราบเยอะมาก และมีคนให้อาหารนก อาหารปลา หรือจะปล่อยปลากันก็ได้ ซึ่งสามารถเลือกทำได้ตามแต่กำลังศรัทธา ทำบุญด้วยใจและจิตอันเป็นกุศล เราก็จะได้บุญค่ะ


เมื่อไหว้พระทำบุญ ขอพรเสร็จ เราก็ได้เวลาเสียตังค์ล่ะ ของที่นี่ราคาย่อมเยาว์ สามารถเดินเล่น ช็อปปิ้งในแบบฉบับตลาดวังหลัง ซึ่งมีของกินหลากหลาย ของใช้มากมาย ราคาก็มีทั้งถูกและแพง แล้วแต่คุณภาพกันไป และเราก็เริ่มหิว ซึ่งตอนแรกอยากทานอาหารญี่ปุ่น แต่คนเยอะมากมาย ก็เลยพาไปหม่ำ บะหมีเป็ดรสเด็ด ที่ต้องไปหาชิมกันนะคะ และขนมเอแคร์ ขึ้นชื่อของที่นั่น และยังมีขนมปังวังหลัง ขนมไทยหลากลายอย่าง หมูทอดวังหลัง กุ้ยช่ายตลาดพลู ฯลฯ เดินกันเพลินก็เป็นชั่วโมงๆ ได้อยู่นะคะ


และเมื่อทั้งช็อปทั้งกินมากมายกันแล้ว...เราได้เวลาเก็บภาพสวยๆๆ ชิคๆๆ ชิลๆๆ กันไป เราก็ต้องนั่งเรือกลับไปที่ท่ามหาราช เพื่อเก็บภาพสวยๆ แบบที่มากี่ครั้ง ก็ไม่ควรพลาด เพราะมีมุมต่างๆ ในที่นี่ที่สวยงามแน่นอน อย่างป้ายท่ามหาราช หรือบริเวณน้ำพุสีสัน หรือจะเป็นจักรยานที่จอดโชว์ข้างกำแพงเรียงรายอย่างสวยงาม






ด้วยอากาศร้อน ความเหนื่อยในการเดินทาง รวมถึงผู้คนที่มากหน้าหลายตา ทำให้เราต้องจบทริปครั้งนี้กันในเวลาที่ยังไม่ได่เห็นพระอาทิตย์ตกดินที่นี่เลย ซึ่งอยากจะบอกว่า ที่นี่ถ้ามีโอกาสมาชมพระอาทิตย์ตกน้ำจะสวยมาก เพราะเราเคยมาแล้วครั้งก่อน งั้นลองหาเวลามาชมและเก็บภาพพระอาทิตย์ตกน้ำกันที่ท่ามหาราชนะคะ แล้วเราจะหาเวลากลับมาเก็บภาพพระอาทิตย์ตกน้ำในครั้งต่อไปอีกเหมือนกันค่ะ^_^


Once Chill Life

 วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 16.39 น.

ความคิดเห็น