ขอฝากเพจของผมไว้ด้วยนะครับ : ) https://www.facebook.com/IWouldGoAnywhereForYou/


สวัสดีครับ สำหรับทริปลาวเหนือนี้ ในตอนแรกผมคิดว่าจะไปแค่เวียงจันทร์กับวังเวียงตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ปีนี้แล้ว แต่เผอิญมีเหตุให้ไม่สามารถไปได้ครับ เลยได้แต่เฝ้านับวันรอถึงทริปนี้ ก็มาลงที่ช่วงหยุดยาว 16-20 พ.ค. (แต่ทริปนี้ 15 - 21 พ.ค. ลางานเพิ่มอีกวันคือวันที่ 21) ในเมื่อมีเวลาตั้ง 6 วัน ผมเลยเพิ่ม หลวงพระบาง เมืองมรดกโลกของลาว เข้าไปอีกทีซะเลยครับ



ในตอนท้ายจะมีทิปเล็กๆ น้อย สรุปการเดินทาง แล้วก็สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดนะครับ : )



นี่เป็นผลงานเก่าของผมครับ



-แบกเป้ขึ้นรถไฟฟรีไปเขื่อนรัชชประภา (แบบไม่ค้างคืนบนแพ) + Full moon party (ที่ไม่ได้ไป) ด้วยงบ 4000 บาท

http://pantip.com/topic/35376237



- แบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวหลีเป๊ะ ดำนํ้าสวรรค์ปลายด้ามขวาน ด้วยงบ 4000 บาท

http://pantip.com/topic/35172219



- Backpack เกาะรถไฟฟรีไปเดี่ยวเกาะเต่า ด้วยงบ 2800 บาท

http://pantip.com/topic/34871539



- อวสานกล้ามขา ณ ภูกระดึง (พาเที่ยวภูกระดึง2วัน 1 คืน)

http://pantip.com/topic/34784230สำหรับการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปลาว ผมวางแผนที่จะเดินทางไปที่จังหวัดหนองคายเสียก่อนและเข้าลาวผ่านทางเวียงจันทร์ จากนั้นจะขึ้นไปหลวงพระบางก่อนแล้วค่อยกลับลงมาที่วังเวียง ตามลำดับครับ สำหรับการกลับไทยจากลาวก็คือ จากวังเวียงไปเวียงจันทร์ > หนองคาย > กรุงเทพฯ ตาลำดับครับ



พวกเราเลือกที่จะเดินทางด้วยรถไฟชั้น 3 สาย 77 ในราคา 253 บาท นั่งจากกรุงเทพ ไปลงหนองคาย เพื่อที่จะประหยัดงบ ไปเสียกับค่าอย่างอื่นแทนครับ



Day 1 (จากกรุงเทพฯ เดินทางสู่หนองคาย)

16.30 น.


พอถึงเวลาเลิกงาน ผมก็รีบบึ่งออกจากออพฟิตไปยังสถานีรถไฟหัวลำโพง โดยนัดเจอกับน้องๆที่จะร่วมทริปที่นั่นครับ



18.30 น.


พวกเราออกเดินทางจากสถานีรถไฟหัวลำโพงโดยรถไฟชั้น 3 สาย 77 มุ่งสู่จังหวัดหนองคายครับ โดยรถไฟจะถึงสถานีหนองคายในเวลาประมาณ ตี 5 ของวันถัดไป


สรุปค่าใช้จ่ายวันที่ 1

15 ก.ค. 59

ค่าตั๋วรถไฟชั้น 3 สาย 77 = 253 บาท



สรุปงบทั้งหมด

วันที่ 1 = 253 บาท



Day 2 (หนองคาย -> เวียงจันทร์ -> หลวงพระบาง)

5.00 น. (ตี 5 นั่นแหละครับ)

หลังจากนั่งกัก้นด้าน พวกเรามาถึงสถานีรถไฟหนองคาย ลงจากรถไปล้างหน้า เข้าห้องนํ้ากันสักพัก พวกเราก็เดินทางไปยังด่านไทย-ลาวกันต่อ

สำหรับการไปยังด่านไทย-ลาว ของจังหวัดหนองคาย จากสถานีรถไฟห่างกันแค่ 1 กิโลครับ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ขี้เกียจ เดินไปก็ยังได้เลยครับ แต่พวกผมมากันหลายคน เลยขอสบายๆ เหมารถกันไป 120 บาท (หาร6 เหลือคนละ 20) จากนั้นก็นั่งรอด่านเปิดเวลา 8 โมงเช้าครับ


* คนขับรถเหมาบางคนอาจจะเสนอขับรถพาไปส่งยังด่านฝั่งลาวหรือในตัวเมืองเวียงจันทร์เลยครับ อยากได้แบบไหนก็ลองเจรจาดู แต่ถ้าเขาบอกว่าไม่มีรถประจำทาง(รถเมล์) วิ่งจากด่านไทยไปด่านลาว อย่าไปเชื่อเด็ดขาดครับ


8.00 น.

พอด่านเปิดพวกเราไปทำเรื่องออกจากประเทศไทย(เขียนบัตรขาเข้า+ขาออกประเทศและยื่นให้ตม.ตรวจพร้อม Passport)

จากนั้นเดินออกมาจากอาคารขาออก ก็ซื้อตั๋วรถเมล์ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ราคา 20 บาท เพื่อข้ามไปด่านลาว


โดยรถเมล์จะวิ่งแวะรับคนจากทั้งด่านไทยกับลาวครับ เมื่อคนเต็มก็จะออกวิ่งข้ามสะพานมิตรภาพเพื่อไปส่งผู้โดยสารขาเข้าของอีกประเทศนึง

พอมาถึงที่ด่านลาว ก็ทำเรื่องเข้าประเทศลาว(เขียนใบขาเข้า+ออก ยื่น Passport ให้เจ้าหน้าที่ตรวจลงตรา)


จากนั้นก็ต้องเสียค่าผ่านแดนด้วยครับ ซึ่งวันที่ผมไปมันนอกเวลาราชการ เลยแพงหน่อย อยู่ที่ 55 บาทครับ โดยเมื่อเสียค่าผ่านแดนแล้ว เจ้าหน้าที่จะให้บัตรผ่านแดนมา เราก็ต้องเอาไปใช้กับเครื่องตรวจบัตร อารมณ์เหมือนใช้บัตรโดยสาร BTS ในกรุงเทพฯครับ


จากนั้นก็หารถเที่ยวแบบ One day trip ที่เวียงจันทร์ซะเลย เนื่องจากพวกเรามากัน 6 คน สรุปได้รถ Van ของ Hyundai (ถ้าคิดไม่ออกว่าเป็นยังไง ให้คิดถึง Toyota Avanza ในบ้านเรา) ในราคาเหมา 1,700 บาท หาร 6 ก็ตกคนละ 280 บาท แต่ผมจ่ายเป็นเงินกีบ ก็คนละ 58,000 กีบครับ


หลายคนอาจจะมองว่าราคา 1,700 บาทค่อนข้างแพง นั่นก็เพราะพวกผมให้คนขับพาไปจองตั๋วรถนอนที่เราจะขึ้นไปหลวงพระบางภายในเย็นนี้ที่ขนส่งสายเหนือ โดยเจ้าขนส่งสายเหนือ จะตั้งอยู่บริเวณชานเมืองของเวียงจันทร์ครับ ห่างจากแหล่งท่องเที่ยวของเมืองเวียงจันทร์ (ลองดูแผนที่ประกอบ อารมณ์ประมาณสนามบินดอนเมืองกับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิอ่ะครับ) ซึ่งสาเหตุที่เราไปจองตั๋วรถนอนกันก่อน เพราะวันที่ไปเป็นช่วงหยุดยาว(ของประเทศไทยนะครับ) เลยกลัวว่าตั๋วรถจะเต็มซะก่อน หรือถ้าเพื่อนจะให้Agent ในเมืองเวียงจันทร์จองให้ ตั๋วจะอยู่ที่ประมาณ 180,000 - 190,000 กีบสำหรับรถนอนไปหลวงพระบาง แต่ถ้าไปซื้อเองที่ขนส่งสายเหนือ จะอยู่ที่ 150,000 กีบ

สำหรับคนที่จะนั่งรถเมล์ไปลงตลาดเช้า เวียงจันทร์ (นั่งรถเข้าตัวเมืองเวียงจันทร์ เพื่อต่อไปที่อื่นๆ) จะมีรถเมล์หน้าตาแบบนี้จอดรออยู่ที่ด่านครับ ยังไงเพื่อความแน่นอน ก็ถามคนขับอีกทีนะครับ

พอได้รถเที่ยวแล้ว ก็ไปแลกเงินที่ร้านรับแลกเงินแถวๆ ด่านนั่นแหละครับ โดยวันนั้นผมได้อัตราแลกเปลี่ยนราคามาในเรท 1 บาท = 234 กีบ สำหรับทริปนี้เวียงจันทร์ หลวง พระบาง วังเวียงนี้ผมแลกไปก่อน 5,000 บาท (ควรลองคำนวณคร่าวๆว่าจะใช้เท่าไร ไม่อย่างนั้นเหลือแล้วมาแลกคืน ไม่คุ้มครับ)

พอแลกเงินเสร็จเรียบร้อยก็ออกเดินทางสู่เมืองเวียงจันทร์ครับ


โดยที่แรกที่เรามาคือ ขนส่งสายเหนือ เพื่อที่จะมาจองตั๋วรถนอนไปหลวงพระบางก่อน


เอาตารางเวลาและราคารถแต่ละรอบ มาให้ดูครับ



พอซื้อตั๋วเสร็จแล้ว พี่คนขับก็พาเราไปกินข้าวเช้าก่อน โดยพวกเราบอกอยากลองเฝอกัน พี่เขาเลยพาไปร้านที่ชอบพานักท่องเที่ยวมากิน(ผมจำชื่อร้านไม่ได้) เลยลองสั่งเฝอเนื้อมา รสชาตดีทีเดียวครับ (หรือเพราะหิวก็ไม่รู้ 5555) ทางร้านยังใจดี เอาของหวานเป็นกล้วยนํ้าว้ามาให้เรากินตบท้ายอีกด้วย


กินข้าวเช้าเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาไปเยือน Landmark สำคัญของเมืองเวียงจันทร์กันครับ โดยที่แรกของเราคือ พระธาตุหลวง


ถ้าหากจะเข้าไปชมภายในกำแพงของพระธาตุหลวงจะต้องเสียค่าเข้า 5,000 กีบ



ใกล์ๆกับพระธาตุหลวงจะมีพระนอนอยู่ด้วย



ชมพระธาตุหลวงเสร็จก็ขึ้นรถไปต่อกันที่ประตูชัย ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันเท่าไรครับ



ถ้าต้องการจะเข้าไปในตัวประตูชัยต้องเสียค่าเข้า 3,000 กีบ โดยภายในประตูชัยแต่ละชั้น จะเป็นพวกร้านค้าของฝากครับ ส่วนชั้นบนสุดจะเป็นจุดชมวิว



ลงมาจากประตูชัยก็ไปต่อกันที่หอพระแก้ว แต่รู้สึกว่าจะปิดอยู่ครับ(หรือเขาปิดตลอด ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ) ได้แต่เดินดูรอบๆ เข้าไปข้างในไม่ได้


จากนั้นก็ไปยังที่สุดท้ายของเมืองเวียงจันทร์ภายในวันนี้ คือวัดศรีเมืองครับ



เสร็จจากวัดศรีเมือง เราให้พี่คนขับพาไปซื้อซิม+Package internet โดยเราเลือก Sim ของ Lao Telecom ครับ โดยราSim อยู่ที่ 20,000 กีบ ส่วนราคา Package 1.5 gb / 7 วัน 10,000 กีบครับ จากนั้นก็ไปกินข้าวเที่ยงกัน (มื้อนี้กินข้าวตามสั่งข้างทางครับ) แล้วก็ให้พี่คนขับไปส่งที่ขนส่งสายเหนือประมาณ 14.30 แต่รถนอนไปหลวงพระบางของเราออกตอน 20.00 ก็นั่งรอไปยาวๆ ครับ



สำหรับใครที่อยากอาบนํ้า ที่ขนส่งสายเหนือจะมีห้องอาบนํ้าให้บริการด้วย โดยคิดค่าบริการสะอาดละ 5,000บาทครับ พวกผมก็จัดเลย เพราะไม่ได้อาบนํ้าครั้งล่าสุดคือเช้าของเมื่อวาน....



ถึงเวลา 2ทุ่มก็ได้เวลาขึ้นรถครับ ก่อนจะขึ้นรถจะมีแจกถุงพลาสติกสำหรับใส่รองเท้าให้ด้วย



สภาพภายในรถนอนครับ มันคือรถนอนจริงๆ ถ้าคนที่ตัวสูงเกิน 175 ซม+อาจจะมีปัญหาเวลาเหยียดแข้งเหยียดขาหน่อยครับ เพราะตัวผมสูง 175 ซม. เหยียดได้พอดิบพอดี



สรุปงบ วันที่ 1

ค่ารถสามล้อจากสถานีรถไฟหนองคาย -ด่านไทยลาว = 20 บาท

ค่ารถเมล์วิ่งข้ามสะพานมิตรภาพไปด่านลาว = 20 บาท

ค่าบัตรผ่านแดน (เหยียบแผ่นดินลาว) = 55 บาท

ค่าตั๋วรถรถนอนจากเวียงจันทร์ - หลวงพระบาง = 150,000 กีบ (ประมาณ 640 บาท)

ค่าเฝอเนื้อ (อาหาร)มื้อเช้า = 28,500 กีบ (ประมาณ 120 บาท อาจจะรู้สึกว่าแพง แต่เพราะว่าร้านที่เราไปกินเป็นร้านที่ค่อนข้างออกแนวภัตตาคาร ติดแอร์ด้วยครับ ถ้ากินข้างนอกจะอยู่ที่ 15,000 - 18,000 กีบ)

ค่าเข้าพระธาตุหลวง = 5,000 กีบ (ประมาณ 20 บาท)

ค่าซิม+แพ็กคเก็ตเน็ต = 20,000+10,000 กีบ (ประมาณ 80 และ 40 บาท ตามลำดับ)

ค่าขึ้นประตูไช = 3,000 กีบ (ประมาณ 10 บาท)

ค่าข้าวราดหน้าเนื้อไข่ดาว = 28,000 กีบ (ประมาณ 120 บาท)

ค่ารถOne day trip เวียงจันทร์ = 58,000 กีบ (ประมาณ 250 บาท)

ค่าเบียร์ลาวกระป๋องใหญ่ = 15,000 กีบ (ประมาณ 60 บาท)

ค่าอาบนํ้า = 5,000 กีบ (ประมาณ 20 บาท)


รวม 1,455 บาท



สรุปงบทั้งหมด

วันที่ 1 = 253 บาท

วันที่ 2 = 1,455 บาท

รวมทั้งหมด 1,708 บาท


Day 3 (หลวงพระบาง)

ผมลืมตาตื่นขึ้นมาประมาณหกโมงเช้าครับ ก็พบว่ารถกำลังวิ่งอยู่นั่นแหละ กำลังสลึมสะลือครับ แต่ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ผมนี่ควักกล้องออกมาแทบไม่ทันเลยครับ มันเป็นช็อตที่สวยมาก ข้างทางของเราเต็มไปด้วยทะเลหมอก โดยมีพระอาทิตย์กำลังขึ้นอยู่ตรงกลาง น่าเสียดายผมเก็บภาพดวงอาทิตย์ไว้ไม่ทันครับ……

ประมาณ 7 โมงเช้า เราก็มาถึงขนส่งหลวงพระบางครับ สิ่งแรกที่ผมทำคือไปดูรอบรถไปวังเวียง สำหรับวันพรุ่งนี้ไว้ก่อน เลยตัดสินใจจองตั๋วรถไปวังเวียงรอบ 14.00 ของวันพรุ่งนี้ไว้เลยครับ (จากหลวงพระบางไปวังเวียงถ้านั่งรถเมล์ใช้เวลาประมาณ 6-7ชม. แต่ถ้าเป็นรถตู้ ใช้เวลา 3-4 ชม.ครับ ซึ่งพวกเราไม่อยากไปถึงวังเวียงกันดึกมาก)


จองตั๋วเสร็จพวกเราก็เหมารถกะป๊อให้ไปส่งที่พักซึ่งพวกเราจองมาจาก Agoda แล้วนั่นก็คือ Soutikorn Guest house 1 (ชื่อภาษาไทยคือ สุทธิกร เกสต์เฮ้าส์)จะมี 1 กับ 2 นะครับ ต้องบอกคนขับรถให้ดี เพราะส่วนมาก ที่พักอื่นๆที่มี 1 กับ 2 จะไม่ได้อยู่ติดกันเหมือนกับสุทธิกรเช่นกันครับ โดยที่พักของเราอยู่ในทำเลดีมากๆ เพราะตั้งอยู่ใกล์กับ Landmark ต่างๆ ของหลวงพระบางครับ (ตลาดมืด, พระธาตุพูสี, วัดเชียงทอง, พิพิธภัณธ์หลวงพระบาง) ในราคา คืนละ 500 กว่าบาทครับ

แต่ถ้าเพื่อนๆ มีเวลา สามารถมา walk in หาที่พักราคาถูกๆได้ในเมืองหลวงพระบางเลยครับ สาเหตุที่พวกเราจองมาก่อน เนื่องจากเรามีเวลาอยู่ที่หลวงพระบางน้อยและในวันนี้พวกเรามีแพลนที่จะไปนํ้าตกตาดกวางสีและนํ้าตกตาดแส้ เลยไม่อยากเสียเวลาไปกับการ walk in เท่าไรครับ


เรามาถึงที่พักกันประมาณ 8โมงเช้าครับ พอถึงที่พักสุทธิกร ก็พบกับสมาชิก Pantip อีกท่านนึงที่มาเข้าพักที่สุทธิกรรอเราอยู่ก่อนหน้านี้คืนนึงแล้ว ซึ่งพวกเรานัดกันมาร่วมทริปที่หลวงพระบางโดยเฉพาะครับ ทำให้สมาชิกในทริปเราตอนนี้มีอยู่ 7 คน หลังจากเอาของฝากไว้กับเจ้าของเกสเฮ้าส์ (ตอนนั้นยังเช้าอยู่ เช็กอินไม่ได้ครับ เพราะยังมีแขกเข้าพักห้องเราอยู่)


พวกเราก็เหมารถกะป๊อไปเที่ยวนํ้าตกตาดกวางสีและนํ้าตกตาดกวางสี ได้มาในราคา 325,000 กีบ (หาร 7 แล้วตกคนละ 46 - 47000 กีบ) ซึ่งราคานี้คุ้มมากครับ เพราะส่วนมากถ้าไป join trip แค่ตาดกวางสี ราคา ก็ 50,000 - 55,000 กีบ เข้าไปแล้ว

แต่ก่อนจะไปตาดกวางสี ก็มาแวะหาอะไรกินกันตอนเช้ากันก่อนครับ พวกเราเลยเลือกที่จะลองแซนวิช (ขนมปังฝรั่งเศสยัดไส้ต่าง หรือ Subway เมืองลาว) อันขึ้นชื่อ ซึ่งอยากจะบอกไว้เลยครับว่าขนมปังเย็นชืดมาก เพราะเขาไม่ได้เอาขนมปังไปปิ้งใหม่ให้เรา(หรือผมผิดเองที่ไม่ได้บอกเขา ?) แนะนำว่ากินอย่างอื่นดีกว่า แต่ถ้าอยากลองแซนวิชจริงๆ แนะนำว่าให้ไปกินที่วังเวียงครับ เพราะที่วังเวียงทุกร้านจะปิ้งขนมปังให้เราใหม่ทุกร้าน (ประสบการณ์ตรง)


บรรจุกระเพราะเสร็จ เราก็ออกเดินทางไปยังนํ้าตกตาดกวางสี ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ก็มาถึงนํ้าตกตาดกวางสีครับ โดยบริเวณด้านหน้าก่อนถึงด่านเก็บค่าเข้าตาดกวางสี จะมีพวกร้านอาหารและร้านขายของฝากอยู่ สำหรับค่าเข้าตาดกวางสีจะอยู่ที่ 20,000 กีบครับ


สำหรับเส้นทางภายในตาดกวางสีจะมี 2 เส้นทาง คือเส้นทางที่เดินไปยังนํ้าตกโดยตรงเลยกับเส้นทางที่จะผ่านศูนย์คุ้มครองหมีครับ โดยพวกเราเลือกเส้นทางที่ 2 เพื่อที่จะไปดูเจ้าหมีกันด้วย


ผ่านจากศูนย์คุ้มครองหมีมา ก็จะเจอกับนํ้าตกตาดกวางสีแล้วครับ โดยจะมีประมาณ 4-5 ชั้นครับ โดยชั้นบนสุดไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวลงเล่น ถ้าจะลงเล่นต้องลงเล่นที่ชั้นล่างๆลงไป


พวกเราใช้เวลาอยู่ที่ตาดกวางสีจนถึงเที่ยง จากนั้นก็กลับออกมา แล้วเดินทางต่อไปยังนํ้าตกตาดแส้ครับ ใช้เวลาประมาณ 40-50 นาที พวกเราก็มาถึงทางเข้านํ้าตกตาดแส้ครับ


โดยการเข้าไปยังนํ้าตกตาดแส้ เราต้องนั่งเรือข้ามฟากเข้าไป ค่าเรืออยู่ที่คนละ 10,000 กีบ(ไป-กลับ)


พอข้ามฟากไปต้องเสียค่าเข้าไปยังนํ้าตกตาดแส้อีกคนละ 15,000 กีบ โดยที่ตาดแส้ จะมีกิจกรรมอย่าง Zipline และขี่ช้างด้วยครับ


จากจุดซื้อตั๋วเดินเข้ามาก็จะเจอร้านอาหาร พวกเราเลยกินข้าวเที่ยงกันที่นี่เลย สั่งเป็นพวกส้มตำมาครับ แต่ผมไม่ได้กินด้วย เพราะยังไม่หิวเท่าไร เลยไปนั่งดูนํ้าตกแล้วก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆครับ


ถัดจากร้านอาหารขึ้นมา จะมีแอ่งนํ้าใหญ่ของตาดแส้ครับ โดยส่วนมากคนจะนิยมมาเล่นนํ้ากันบริเวณนี้ จริงๆสามารถเดินขึ้นไปได้อีก แต่ผมขึ้นไปแล้วก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรอ่ะครับ เลยลงมากระโดดนํ้าตรงจุดนี้เล่นแทนดีกว่า


เล่นนํ้ากันอยู่ 2 ชั่วโมงก็กลับออกมากันครับ สำหรับเรือขากลับ ขึ้นลำไหนก็ได้ครับ(ยังไงก้เก็บตั๋วที่จ่ายตอนขามาไว้ด้วย กันเหนียว) พอคนเต็มเขาก็จะออกครับ


ขากลับเราให้พี่คนขับมาส่งเราที่ตีนทางขึ้นพระธาตุพูสีเลย เพื่อที่จะขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตก และชมเมืองหลวงพระบนจาดยอดพระธาตุพูสีครับ

โดยพระธาตุพูสีเราจะเดินขึ้นไปได้เรื่อยๆไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายครับ โดยระหว่างทางเดินขึ้นก็จะมีบางช่วงที่สามารถเห็นวิวเมืองหลวงพระบาง และมีพระพุทธรูปอยู่เยอะเลยครับ


แต่บริเวณก่อนจะถึงยอด ถ้าจะเข้าไป ต้องเสียค่าเข้า 20,000 กีบ พวกเรายอมเสียเพื่อที่จะเข้าไปดูพระอาทิตย์ตกกัน และก็พบว่าบนยอดนี่มีคนมารอชมพระอาทิตย์ตกอยู่เยอะพอสมควรเลย


บริเวณยอดของพระธาุพูสี จะมีชะง่อนหินยื่นออกไป ให้ถ่ายรูปเท่ๆได้ครับ


จากนั้นก็มารอพระอาทิตย์ตกกัน


หลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว พวกเราก็เดินกลับลงมาตามทาง แต่คราวนี้แยกลงอีกฝั่งนึงซึ่งเป็นด้านที่ตั้งของตลาดมืดครับ


ภายในตลาดมืดก็จะมีของฝากต่างๆ ครับตั้งแต่เสื้อผ้า เมล็ดกาแฟ งานศิลปะต่างๆ ของ Handmade ทั่วไป


มาถึงตลาดมืดก็ต้องมาลองบุพเฟ่ต์ 10,000กีบในตำนาน (แต่ร้านนี้ 15,000กีบ) โดยมีกติกาว่าทางร้านจะให้จากเรามา 1 จาน แล้วให้ตักอาหารที่อยู่ในถาดเหล่านี้ตัดตักได้แค่ครั้งเดียว (หมดแล้วห้ามเติม) สำหรับรสชาติก็ตามสภาพน่ะแหละครับ...เอา 15,000ไปกินอย่างอื่นดีกว่า


กินเสร็จเราก็เดินตลาดมืดอีกสักพัก จากนั้นก็เข้าที่พักกันครับ


สรุปงบวันที่ 2

ค่ารถสามล้อไปที่พัก = 70,00กีบ / 6 คน ตีไปคนละ 12,000 กีบ ประมาณ 50 บาท

ค่าแซนวิช(มื้อเช้า) = 20,000 กีบ (ประมาณ 80 บาท)

ค่ารถกะป๊อเหมาไปตาดกวางสี+ตากแส้ = 325,000 กีบ หาร 7 แล้วตกคนละ 46 - 47000 กีบ (ประมาณ 200 บาท)

ค่าที่พักสุทธิกร เกสต์เฮ้าส์ 1 = 500 บาท / 2 = 250 บาท

ค่าเข้าตาดกวางสี = 20,000กีบ (ประมาณ 80 บาท)

ค่าเรือตาดแส้ = 10,000 กีบ (ประมาณ 40 บาท)

ค่าเข้าตาดแส้ = 15,000 กีบ (ประมาณ 60 บาท)

ค่าขึ้นภูสี = 20,000 กีบ (ประมาณ 80 บาท)

ค่าบุฟเฟ่ต์ (มื้อเย็น) = 15,000 กีบ (ประมาณ 60 บาท)

ค่าเบียร์ลาวใหญ่ = 10,000 กีบ (ประมาณ 40 บาท)

รวม 940 บาท


สรุปงบทั้งหมด

วันที่ 1 = 253 บาท

วันที่ 2 = 1,455 บาท

วันที่ 3 = 940 บาท

รวมทั้งหมด 2,648 บาท


Day 4 (หลวงพระบาง)

เช้าวันนี้ เรามีนัดไปใส่บาตรข้าวเหนียวกันครับ แต่สรุปมีผมคนเดียวในกลุ่มที่ไม่ตื่น แล้วเมื่อคืนก็บอกคนอื่นไว้ด้วยว่าถ้าผมไม่ตื่นไปใส่บาตรก็ไม่ต้องปลุกนะ 555555 เลยไม่มีภาพตรงจุดนี้มาฝากครับ

หลังจากอาบนํ้าเสร็จแล้ว ผมก็ตามมาสมทบกับสมาชิกในกลุ่มที่ร้านประชานิยม นิยมสมชื่อจริงๆครับ คนเยอะมากๆ แต่น้องที่ไปด้วยสั่งเจ้านี่มาให้เผื่อผมแล้ว ทำให้ไม่ต้องรออาหารนาน จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าเป็นโจ๊กหรือข้าวต้ม… รสชาตก็โอเคครับ อร่อยใช้ได้

ส่วนเมนูอื่นๆในร้านทั้งอาหารและเครื่องดื่ม มีดังนี้ครับ

สำหรับแพลนในวันนี้ก็คือเราจะเดินชมเมืองหลวงพระบางกันครับ โดยเริ่มที่ตลาดเช้าของหลวงพระบาง จากนั้นก็ชมไปวัดและสถาปัตยากรรมต่างๆของเมืองหลวงพระบางจนถึงตอนเที่ยง ก็จะนั่งรถไปรถที่จะไปวังเวียงตอน 14.30 น.



เริ่มที่ตลาดเช้ากันเลย โดยตลาดเช้านี่จะตั้งอยู่ไม่ห่างจากร้านประชานิยมครับ ตลาดเช้าที่นี่ก็จะออกแนวตลาดสดบ้านเราอ่ะครับ มีทั้งของสด ผลไม้ ปลา ไก่ ฯลฯ เดินประมาณ 30 นาทีก็ทั่วแล้วครับ

จากตลาดเช้าเราก็เดินชมวัดต่างๆของเมืองหลวงพระบางซึ่งตั้งอยู่บนถนนเส้นหลักไปเรื่อยๆ ซึ่งในรูปเป็นวัดอะไรบ้างผมก็ไม่ทราบนะครับ จำได้ต่ว่าอยู่บนถนนเส้นหลักของเมืองหลวงพระบาง



สำหรับวัดที่เป็นไฮไลท์จริงๆ ก็คงเป็นวัดเชียงทองเนี่ยแหละครับ แต่ต้องเสียค่าเข้าอีก 20,000 กีบ สารภาพว่าตอนนั้นคิดว่าไม่ค่อยคุ้มเท่าไรครับ เลยไม่ได้เข้าไป รูปวัดนี่ถ่ายจากตรงจุดขายตั๋วเข้าชมครับ



ส่วนตรงนี้จะเป็นพิพิธพันธ์หลวงพระบางครับ ใกล์ๆกันจะมีพระราชวังและโรงละครอยู่ด้วย แต่ผมไม่ได้เข้าไปดูข้างในมากครับ เพราะตอนนั้นใกล์เที่ยงแล้ว

เรามาถึงขนส่งหลวงพระบางกันตอน 13.00 น. แล้วก็ลากับเพื่อร่วมทริป 1 ท่านที่ร่วมเที่ยวหลวงพระบางกับเรา ก็นั่งรอรถรอบ 14.30 กันไป แต่พอนั่งไปสักพัก เราก็สังเกตุว่าทำไมไม่มีรถของเรามาจอดเทียบท่ารอ พอไปถามที่เคาน์เตอร์ขายตั๋ว เลยได้คำตอบว่า วันนี้ไม่มีรถวิ่งในรอบ 14.30 จะมี อีกทีก็ 17.30 เลย


บังเอิญว่ามีมีพี่คนไทยคนนึงไปTrekkingที่จีนแล้วเดินทางกลับไทยผ่านทางลาว และตั้งใจจะเดินทางไปวังเวียงด้วย ซึ่งพี่เขาก็จะขึ้นรถรอบ 14.30 เหมือนกัน เราเลยชวนกันหารถตู้เหมา ซึ่งได้ร้านอาหารในขนส่งเป็นคนติดต่อให้ครับ ได้มาในราคา 1,050,000 กีบ (หาร 7 แล้วเหลือคนละ 150,000 กีบ) ก็โอเคครับ แลกกับความรวดเร็ว

สิ่งหนึ่งที่อยากให้ทุกคนทำ คืออย่าหลับบนรถระหว่างทางหลวงพระบาง - วังเวียง ก็คืออย่าหลับเลยครับ เพราะวิวระหว่างทางมันสวยจริงๆ ผมอาจจะถ่ายภาพมาได้ไม่สวยเท่าไร เพราะฉะนั้นไปให้เห็นด้วยตาตัวเองดีกว่าครับ

ประมาณ 2 ทุ่ม เราก็มาถึงวังเวียงครับ โดยเราให้รถมาส่งเราตรงที่พักของเราซึ่งได้จองมาก่อนเล้ว คือ Malany Villa ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับ Sakura Bar ในตำนานเลย และตอนที่มาถึงเป็นช่วงเวลาเหล้าฟรีของ Sakura Bar ครับ (2 ทุ่ม - 3 ทุ่ม) ผมก็ไม่พลาดที่จะไปจัดเหล้าฟรีมา…


แต่กระเพราะอาหารสั่งว่า เมิงยังไม่ได้กินข้าวเย็นนะเว้ย เมิงต้องไปหาข้าวเย็นกินก่อน หลังจากเอาของเก็บเข้าห้องเลยพากันไปเดินหาอะไรกินกันครับ สรุปว่าไปลงเอยที่แซนวิชอีกแล้ว เพราะดูน่ากินกว่าที่หลวงพระบาง แล้วก็เป็นอย่างที่หวังครับมันอร่อยกว่าจริงๆ อย่างที่ผมได้บอกไปตอนอยู่ที่หลวงพระบางว่า แซนวิชของวังเวียงเขาปิ้งให้ใหม่ร้อนๆ และด้วยราคาที่มันไม่แพงมากครับ (10,000 - 20,000กีบ) ผมกินแทบทุกมื้อเลย

ประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ กลุ่มพี่ๆน้องๆจากที่ทำงานผมก็ตามาสมทบจากเวียงจันทร์อีก 6 คน (กลุ่มนี้มาเที่ยวกันแค่เวียงจันทร์ - วังเวียง) ทำให้สมาชิกในทริปตอนนี้มีทั้งหมด 11 คน พวกเราเลยตัดสินใจจอง One day trip วังเวียงกับทางที่พักไปเลยครับในราคาคนละ 520 บาท (เงินกีบเริ่มหมด) โดยโปรแกรมจะเริ่มวันพรุ่งนี้มี ไปลอยห่วงยางลอดถํ้านํ้า - ถํ้าช้าง - พายเรือคายัคแม่นํ้าซอง - Blue Lagoon (รวมอาหารกลางวัน 1 มื้อ)


จองทริปเสร็จเราก็นั่งจิบเบียร์กันตรงห้องนั่งเล่นของ Malany Villa ประมาณ เที่ยงคืนครึ่งก็แยกย้ายกันเข้านอนครับ


สรุปค่าใช้จ่ายวันที่ 3

ค่าข้าวต้มประชานิยมม = 8,000 กีบ (ประมาณ 35 บาท)

ค่าแซนวิช = 15,000 กีบ (ประมาณ 60 บาท)

ค่ารถเหมาไปบขส.หลวงพระบาง = 8,400 กีบต่อคน (ประมาณ 40 บาท)

ค่ารถตู้เหมาไปวังเวียง = 150,000 กีบ (ประมาณ 650 บาท)

ค่าแซนวิช = 10,000 กีบ (ประมาณ 40 บาท)

รวม 825 บาท


สรุปงบทั้งหมด

วันที่ 1 = 253 บาท

วันที่ 2 = 1,455 บาท

วันที่ 3 = 940 บาท

วันที่ 4 = 825 บาท

รวมทั้งหมด 3,473 บาท


Day 5 (วังเวียง)

อย่างที่บอกไปว่าวันนี้เรามีโปรแกรมไป One day trip กันครับ ตื่นเช้าก็ไปาโจ๊กหาอะไรกินจากร้านแถวนั้นแหละครับ ประมาณ 9.30 รถก็มารับเราเพื่อเริ่มตามทริปโปรแกรม


ที่แรกที่เราจะไปคือถํ้านํ้า รถพาเราออกมานอกเมือง ประมาณ 30 นาที ก็ถึงจุดเริ่มเดินไปยังถํ้านํ้า โดยต้องเดินข้ามเจ้าสะพานแขวนนี้ และทุ่งนาไปเรื่อยๆครับ ก็จะถึงจุดล่องห่วงยางเข้าถํ้านํ้าครับ


ภายในถํ้านํ้า ก็จะเป็นถํ้ามืดๆอ่ะครับ ผมเลยไม่ได้เอากล้องเข้าไป เพราะยังไงถ่ายออกมาก็ไม่เห็นอะไร โดยทีมงานจะแจกไฟคาดหัวให้คนละอัน สำหรับวิธีการเข้า ต้องลอยตัวบนห่วงยาง เกาะเชือกที่ทีมงานเขาขึงไว้ตามกันไปเรื่อยๆ จากปากถํ้าเข้าไปประมาณ 10-20 นาที ก็ตันครับ ย้อนออกมาทางเดิม


ออกมาจากถํ้านํ้า ก็มาเล่นนํ้ากันตรงแอ่งนํ้าข้างหน้าถํ้านํ้าครับ รอทีมงานเตรียมอาหารกลางวันให้เสร็จ โดยตรงถํ้านํ้าจะมี Zipline ด้วย ถ้าใครจะเล่นก็ต้องซื้อ package แยกมาครับ


อาหารเที่ยงของเราเป็นข้าวผัด ขนมปังฝรั่งเศส กล้วย แล้วก็นํ้า 1 ขวด (ใครกินหมดนี่คือเทพมาก)


เสร็จจากข้าวเที่ยงก็ต้องเดินกลับไปขึ้นรถครับ ก็เดินย้อนกลับทางเดิมนั่นแหละครับ แต่จะแวะถํ้าช้างก่อน ซึ่งก็อยู่ตรงระหว่างทางที่เราเดินไปถํ้านํ้า แต่เป็นถํ้าเล็กที่มีหินรูปร่างเหมือนช้างงอกอยู่…

ไปดูถํ้าช้างเสร็จ ก็กลับขึ้นรถ แล้วไปยังจุดเริ่มต้นพายคายัคครับ


พี่ๆทีมงานจะบรรยายวิธีการพาย การเบรคให้ก่อนจะพายจริง โดยจะให้คนที่พายเก่งๆอยู่ข้างหลังเป็นคนคัดท้าย ถ้าใครไม่อยากพายก็นั่งไปกับลำพี่ทีมงานได้ครับ

ช่วงที่ไปเป็นช่วงหน้าฝนนํ้าในแม่นํ้าวองแรงพอสมควร เรือผมควํ่าไปสองรอบ(ไม่ได้พายเรือนาน) พร้อมกับการจากไปของกล้อง Xiaomi Yi ของผม….(ติดกับไม้เซลฟี่ไว้ ผูกไว้กับเชือกของเรือคายัค แต่ตอนเรือควั่ากระแสนํ้ามันแรง เลยพัดกล้องหายไปเลยครับ) เลยแนะนำว่าถ้าอยากเอากล้องAction camera ลงไปด้วย แนะนำให้ใช้สายคาดอกหรือคาดหัวจะแน่นอนกว่าครับ เพราะเห็นบางคนนี่อาการหนักกว่าผมครับคือที่จมหายไป มันคือกล้อง Go pro(ตัวละ 14,000+บาท ส่วน Xiaomi Yi พร้อมเคสกันนํ้าของผม 2,500บาท) และนั่นทำให้ผมแทบไม่มีภาพขณะพายเรือคายัคมาฝากเลยครับ


เราพายเรือคายัคกัน 1ชม. ก็จะมาถึงตัวเมืองวังเวียง ซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดของการพายคายัคครับ


พอขึ้นฝั่งรถก็จะมารับเราไปที่ Blue Lagoon กันต่อ โดยจะต้องเสียค่าเข้า 10,000 กีบ แต่ค่าเข้าของพวกเรารวมไปกับค่าทริปแล้ว


สำหรับที่ Blue Lagoon ก็จะเป็นแอ่งธารเล็กๆอ่ะครับ ตอนที่ผมไปนั้าไม่ได้เป็นสีฟ้าเท่าไร เพราะฝนเริ่มตกลงมาแล้ว สิ่งที่ทำให้ที่นี่น่าสนใจคือการมันมีเจ้าต้นไม้ใหญ่ต้นนึง ที่เผอิญขึ้นอยู่ริมธาร ทำให้สามารถปีนขึ้นไปกระโดดลงมาได้ บางคนปีนขึ้นไปแล้วไม่กล้าโดดก็มีครับ บ้างก็โดดกันเป็นกลุ่ม หรือกระโดดท่าสวยๆก็จะมีคนตบมือให้เยอะครับ ส่วนบางคนก็โดดแค่ชั้นล่าง ส่วนตัวผมกระโดดไปปประมาณ 7-8 รอบได้


เล่นนํ้าจนหนำใจ(แต่ที่จริงคือเวลาใกล์หมดครับ) 4 โมงเราก็ขึ้นรถกลับมาวังเวียงกัน เข้าที่พักอาบนํ้าแล้วก็ไปติดต่อเช่าจักรยานสำหรับปั่นไปผาเงินในวันพรุ่งนี้ไว้เสียก่อน


โดยมื้อเย็นวันนี้ผมเลือกชายสี่หมี่เกี๋ยวเมืองลาวครับ ร้านจะอยู่ใกล์ซากุระบาร์กับ Malany villa เลย เสร็จแล้วพวกผมก็ซื้อเบียร์มานั่งจิบและนั่งคุยกันตรงโซนนั่งเล่นของ Malany villa แล้วเอาบรรยากาศของ Sakura Bar (แต่เพื่อนบางคนในทริปก็เข้าออกสเต็ปกันข้างในซากุระ) จนประมาณ ตี 1 ซากุระบาร์ปิด พวกเราก็แยกย้ายกันเข้านอน


สรุปงบวันที่ 4

ค่าone daytripวังเวียง= 520 บาท

ค่าข้าวต้ม (มื้อเช้า) =10,000 กีบ (ประมาณ 40 บาท)

ค่าหมี่หมูแดงต้มยำ ร้านชายสี่หมี่เกี๊ยว = 15,000 กีบ (ประมาณ 60 บาท)

ค่าเช่าจักรยาน = 15,000 กีบ (ประมาณ 60 บาท)

รวม 680 บาท


สรุปงบทั้งหมด

วันที่ 1 = 253 บาท

วันที่ 2 = 1,455 บาท

วันที่ 3 = 940 บาท

วันที่ 4 = 825 บาท

วันที่ 5 = 680 บาท

รวมทั้งหมด 4,153 บาท


วันที่ 6 (วังเวียง)

วันนี้กลุ่มเพื่อนที่ทำงานที่พึ่งตามมาสบทบกันที่วังเวียง เดินทางกลับไทยกัน ทำให้กลุ่มผมเหลือแค่ 6 คนเท่าเดิม

เช้านี้มีฝนตกลงมาบ้างครับ ไม่หนักเท่าไร แต่อย่างไรก็ตามาวันนี้เรามีภารกิจไปขึ้นจุดชมวิวผาเงินกันจากนั้นก็ไปถํ้าจังต่อครับ โดยผาเงินจะอยู่ทางเดียวที่ไป Blue Lagoon ครับ แต่ถ้าเริ่มต้นเดินทางจากตัวเมืองวังเวียง จะถึงผาเงินก่อน

7 โมงเช้าเราก็ไปรับรถจักรยานกันก่อนเลย โดยทางร้านให้แผนที่กับโซ่ล็อคจักรยานมาด้วยมาด้วย ปั่นไปตามทางเรื่อยก็จะเจอ Landmark วังเวียงคือเจ้าต้นมะพร้าวแฝดหน้าตาแบบนี้ครับ


ไปตามทางเรื่อยๆ ก็จะต้องข้ามสะพานข้ามแม่นํ้าซองครับ เสียค่าข้ามด้วย น่าจะ 5,000 กีบต่อคนครับ ถ้าจำไม่ผิด

พอปั่นไปเรื่อยๆ ฝนตกหนักมากครับ(เสื้อกันฝนเอาไม่อยู่) เลยแวะร้านอาหารแถวนั้น เพื่อกินข้าวเช้าก่อนเลย จัดเฝอเนื้อมาครับ

ประมาณครึ่งชั่วโมงฝนก็หยุดตก เราก็ปั่นกันต่อไปตามแผนที่ครับ แต่ระหว่างทางนี่เจอวิวสวยมากครับ ผมนี่หยุดปั่นแล้วลงไปถ่ายรูปเลย


ปั่นต่อไปอีกไม่นาน มองทางขวามือไว้ ถ้าเจอป้ายสีเหลืองแบบนี้ก็เลี้ยวเข้าไปเลยครับ

สักพักเราจะเจอป้อมเก็บค่าตั๋วหน้าตาแบบนี้ พร้อมกับป้ายบอกว่าเดิน 20 นาทีก็ถึงยอด (สงสัยเขาจะลืมใส่มาว่าสำหรับพวกยอดมนุษย์เท่านั้น) แล้วก็อย่าลืมล็อคจักรยานกันด้วยนะครับ


เสร็จแล้วก็เดินครับ ช่วงแรกๆก็มีทางราบอยู่ แต่พอมีทางชันเท่านั้นแหละครับ แม่มชันอย่างเดียวเลย 5555555555555555 (ในเลข 5 มีนํ้าตาซ่อนอยู่)

ประมาณครึ่งชม. ก็จะมาถึงจุดชมวิวแรก โดยมีศาลาให้นั่งพักหายเหนื่อยก่อนครับ พวกเราเลยนั่งอยู่ตรงนี้กันประมาณ 30 นาที

จากจุดนี้เดินต่ออีก 5 นาที ก็จะถึงยอดของผาเงิน มีศาลาให้นั่งชมวิวเช่นกัน ส่วนด้าขวาของศาลา จะมีทางลาดลงไปให้เราลงไปถ่ายรูปคู่กับวิวด้านล่างได้ครับ พวกเราใช้เวลาอยู่ที่นี่กันจนถึงเที่ยงเลย


พอเที่ยงเราก็เดินลงกันมาข้างล่างครับ ขาลง นี่ใช้เวลา ประมาณ 30 นาทีได้ จากนั้นก็ปั่นจักรยานกลับเข้าเมืองวังเวียงเพื่อหาข้าวเที่ยงกินกัน ระหว่างทางเจอวัวเดินอยู่ เลยขอถ่ายรูปเก็บไว้สักหน่อย


เจ้าตัวนี้อยากเล่นกับผมมาก เข้ามาเลียหน้าแข้งผมใหญ่เลย ลิ้นสากสุดๆ

มื้อเที่ยงวันนี้น้องๆ ในทริปกินส้มตำไก่ย่างกัน ส่วนตัวผมเลือกเป็นแซนวิชครับ ไก่ย่างจำไม่ได้ว่าเท่าไร แต่บอกเลยว่าราคาแพงมากครับ (ลืมถ่ายรูปเก็บไว้ด้วย) ทางที่ดีอดทนกลับมากินในไทยดีกว่า


กินข้าวเสร็จก็เราก็ปั่นจักรยานไปถํ้าจังต่อครับ โดยที่นี่เราจะต้องเสียค่าเข้าสองต่อครับ สำหรับต่อแรก...เนื่องจากทางเข้าถํ้าจังอยู่ในพื้นที่ของรีสอร์ท…(จำชื่อรีสอร์ทไม่ได้) ทำให้เขาเก็บค่าเข้า 2,000 กีบและค่านำยานหาพนะเข้ามาในสถานที่ (ราคาสำหรับพาหนะจะแตกต่างกัน) โดยจักรยานเสียคันละ 2,000 กีบ เช่นกัน

ก่อนจะไปถึงทางขึ้นถํ้าจังเราก็จะเจออีก 1 Landmark ของเมืองวังเวียงนั่นก็คือสะพานส้มในตำนานครับ


ข้ามสะพานส้มมาจะมีร้านค้าขายของกินเล่นอยู่ เจอขนมครกสีเขียวแปลกดี เลยสั่งมาลองชุดนึง….ผมว่าขนมครกแบบ้านเราอร่อยกว่า


เดินผ่านพวกร้านค้ามาได้สักพักก็ถึงตีนทางขึ้นถํ้าจัง โดยจะมีทางนํ้าที่ไหลออกมาจากภูเขาอยู่บริเวณด้านหน้าด้วยครับ (จุดนนี้ผมว่านํ้าสวยกว่า Blue Lagoon อีก) มีฝรั่งว่ายทวนกระแสนํ้าเข้าไปในรูที่นํ้าไหลออกมาด้วยครับ เสียดายผมไม่ได้เตรียมชุดมา เลยไม่ได้ว่ายเข้าไปดู


ตรงจุดเนี้ถ้าจะขึ้นไปถํ้าจังต้องเสียอีก 15,000 กีบครับ….มาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องยอมเสียอ่ะครับ จ่ายค่าตั๋วเสร็จ ก็ถึงเวลาออกกำลังหน่อยล่ะครับ เพราะทางเข้าถํ้าอยู่สูงขึ้นไปด้านบนครับ…


เข้ามาด้านในถํ้าจัง ในรูปจะเป็นบริเวณโถงกลางของถํ้าครับ โดยเส้นทางหลักจะมีให้ไปทางซ้ายกับทางขวา


เราเลือกที่จะเดินไปด้านซ้ายก่อน ไม่นานครับ 5 นาทีก็สุดทาง จะมีจุดชมวิวอยู่


ทีนี้กลับมาด้าขวาบ้าง เดินสักพัก มีนํ้าท่วมอยู่ แล้วรู้สึกว่ามันคงไม่มีอะไรแล้ว เลยไม่ได้เข้าไปอีกครับ

ประกอบกับว่าใกล์ถึงเวลาปิดถํ้าแล้ว (ถํ้าปิด 16.30 น.) เลยชวนกันเดินกลับออกมา ปั่นจักรยานกลับเข้าที่พัก จากนั้นก็ให้Receptionของ Malany Villa ติดต่อรถทัวร์วังเวียง - เวียงจันทร์เพื่อกลับไทยกันครับ แต่ปรากฏว่ารถทัวร์เต็มแล้ว เลยจำเป็นต้องขึ้นเป็นรถตู้แทนครับ ในราคา 80,000 กีบต่อคน



ส่วนเย็นนี้ก็ไม่มีอะไรครับ หาข้าวตามสั่งแถวที่พักกิน แล้วก็แยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย


สรุปงบวันที่ 5


ค่าเฝอเนื้อ(มื้อเช้า) = 15,000 กีบ (ประมาณ 60 บาท)

นํ้าเปล่า = 3,000 กีบ (ประมาณ 12 บาท)

ค่าขึ้นผาเงิน = 10,000กีบ (ประมาณ 40 บาท)

ค่าแซนวิช(มื้อเที่ยง) = 10,000 กีบ (ประมาณ 40 บาท)

นํ้าขวดใหญ่ = 4,000 กีบ (ประมาณ 17 บาท)

ค่ารถตู้วังเวียง-ด่านลาว = 80,000 กีบ (ประมาณ 350 บาท)

ค่าเข้าไปบริเวณถํ้าจัง = คน 2,000 จักรยาน 2,000กีบ (ประมาณ 17 บาท)

ค่าขึ้นถํ้าจัง = 15,000 กีบ(ประมาณ 60 บาท)

ค่าข้าวกระเพราไก่ไข่ดาว(มื้อเย็น) = 25,000 กีบ (ประมาณ 100 บาท)

รวม 696 บาท



สรุปงบทั้งหมด

วันที่ 1 = 253 บาท

วันที่ 2 = 1,455 บาท

วันที่ 3 = 940 บาท

วันที่ 4 = 825 บาท

วันที่ 5 = 680 บาท

วันที่ 6 = 696 บาท

รวมทั้งหมด 4,849 บาท


วันที่ 7 วังเวียง > เวียงจันทร์ > หนองคาย > กรุงเทพฯ


วันนี้ก็เป็นวันเดินทางอย่างเดียวเลยครับ เริ่มจาก ประมาณ 8.30 รถตู้ก็มารับกลุ่มผมตรงที่พักเลย จากนั้นก็แวะรับคนอื่นๆที่จะไปเวียงจันทร์ด้วยจนเต็มรถ จากนั้นจึงออกเดินทางสู่เวียงจันทร์ครับ ระหว่างทางมีการแวะพักจุดนึงครับ เป็นเหมือนที่ให้พวกรถทัวร์หรือรถตู้มาจอดพักเพื่อให้คนมากินข้าวกัน(เรากินข้าวเช้าที่นี่) สรุปเราใช้เวลาประมาณ 3ชม.จากวังเวียง ถึงด่านลาวครับ


ที่ด่านลาวก็ทำเหมือนตอนข้ามมาจากเมืองไทยครับ คือเขียนใบตม.ขาออก ยื่นตรวจลงตรา ซื้อบัตรผ่านแดน (ที่หน้าตาละวิธีใช้เหมือนบัตร BTS) ซื้อตั่วรถเมล์วิ่งข้ามสะพานมิตรภาพกลับมายังฝั่งไทย(ราคา 4,000 กีบ) พอมาถึงด่านไทย ก็เขียนใบตม.ขาเข้า ยื่นตรวจลงตราก็เรียบร้อยครับ


สำหรับการเดินทางจากหนองคายกลับมายังกรุงเทพฯ ก็ยังเลือกรถไฟอยู่ครับ แต่เนื่องจากรถไฟจากหนองคายมีแต่รอบ 18.00 เป็นต้นไป เราเลยเลือกรถไฟชั้น 2 สาย 78 ออกจากหนองคาย ตอน 18.20 ถึงหัวลำโพง 05.00 ของวันถัดไปแล้วต้องไปทำงานกันต่อ เลยขอกลับแบบสบายๆ หน่อย


โดยตอนที่เราเสร็จจากการทำเรื่องผ่านแดนที่ด่านหนองคาน จนกระทั่งมาถึงสถานีรถไฟหนองคายเป็นเวลา ประมาณ 13.30 เองครับ ทำให้เราต้องรอรถไฟที่สถานีไปยาวๆ

18.00 ก็เข้ามาเทียบชาชะลาให้พวกเราขึ้นครับ สำหรับรถไฟสาย 78 เป็นรถไฟตู้ปรับอากาศ เบาะนั่งสามารถปรับเอนได้เหมือนรถทัวร์ มีผ้าห่มให้ด้วย ก็นั่ง+นอนกันไปยาว 10 ชม.ครับ ถึงหัวลำโพง 05.00 น. แยกย้ายกันไปทำงานต่อ ก็ถือเป็นอันสิ้นสุดทริปลาวเหนือครับ


สรุปงบ วันที่ 7

ค่าเฝอเนื้อ = 80 บาท จ่ายเป็นเงิยไทยเลยครับ เพราะเงินกีบหมด

ค่ารถเมล์ข้ามสะพานมิตรภาพ = 4,000 กีบ (ประมาณ 20 บาท)

ค่ารถจากด่านไปสถานีรถไฟหนองคาย = 100บาท/4 คนละ 25 บาท

ค่ารถไฟนั่งชั้น2สาย78 หนองคาย-กรุงเทพฯ = 498 บาท

ค่าที่พัก malany villa 2 = 674 บาท

ค่าข้าวกระเพราเนื้อไข่ดาว = 50 บาท

ค่ากาแฟเย็น = 20 บาท


สรุปงบทั้งหมด

วันที่ 1 = 253 บาท

วันที่ 2 = 1,455 บาท

วันที่ 3 = 940 บาท

วันที่ 4 = 825 บาท

วันที่ 5 = 680 บาท

วันที่ 6 = 696 บาท

วันที่ 7 = 1,397 บาท

รวมทั้งหมด 6,246 บาท

ความคิดเห็น