กว่าจะเก็บเงินได้แต่ละบาทไม่ใช่ง่ายๆ นะครัส ยิ่งถ้าใครเก็บเงินหวังใจจะไปดูใบไม้แดงที่ญี่ปุ่นด้วย แล้วละก็ไม่ใช่เงินหลักพันแน่นอน ดังนั้นไปแล้วก็คงไม่มีใครอยากจะพลาด อยากจะวืด กับการไปชมใบไม้แดงกันใช่ไหมละครับ
ขอรวบรวม "10 จุดชมใบไม้แดงในญี่ปุ่นแบบไม่วืด" แต่ละจุดที่แนะนำรับรองว่าเด็ดแบบไม่ซ้ำใคร และขอบอกว่าถ้าไปตรงกับช่วงพีค ยังไงก็จะได้ชมใบไม้แดงอย่างชุ่มฉ่ำแน่นอนนนน!!!!
"เพราะการเดินทางทำให้โลกใบเดิมของเรากว้างขึ้น" ประโยคนี้ทำให้ผมและแฟนจับมือกันออกเดินทางไปเรียนรู้โลกกว้าง เราสองคนทำเพจเล็กๆ ชื่อ "หนีงานไปเที่ยว"และ Blog ที่ชื่อ www.ibreak2travel.com อ่านมาถึงบรรทัดนี้เราอยากบอกว่า…
ย้อนกลับไปหลายปีก่อนตอนรู้จักกันใหม่ๆ "ผม คือ นักท่องเที่ยวที่ต้องทำงานประจำ ส่วนแฟนผม คือ คนทำงานประจำที่อยากเที่ยวบ้าง" เราต่างกันเหลือเกิน เมื่อมาคบกัน 2 ความต่างก็หาจุดลงตัวจนทำให้เรามาถึงจุดที่อยากทำเพจพาเพื่อนๆ คนทำงานไปเที่ยวกับพวกเราบ้าง ถ้าเราไปได้ ใครๆ ก็ไปแบบเราได้แน่นอน
เราขอฝากร้านด้วยครับ แวะไปกด Like เพจกันสักนิด เป็นกำลังใจให้พวกเราสักหน่อย (อย่าลืมตั้งค่าเป็น See First หรือ "เห็นก่อน") จะได้รู้ว่าพวกเรายังมีคุณๆ อยู่เสมอ
https://www.facebook.com/ibreak2travel/
http://ibreak2travel.com/
1. วัดอะดาชิโน-เนนบุตสึจิ Adashino Nenbutsuji Temple :
ตั้งอยู่เกือบสุดทางของถนนซากะ-โทริอิโมโตะ ในหุบเขา "อาราชิยามะ" เมืองเกียวโต
ที่วัดนี้มีการปลูกต้นเมเปิ
้ลไว้ตามมุมต่างๆ อย่างสวยงาม หากมาในช่วงวันฟ้าใสๆ เราจะได้เห็นสีแดง-เหลืองของเมเปิ้ลตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงินสด นับว่าจัดจ้านมากเลยครับ
วัดนี้มีชื่อเสียงเรื่องรูป
ปั้นหินหลายร้อยรูป ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อไว้อาลัยให้กับดวงวิญญาณ ด้านหลังของวัดมีป่าไผ่ที่สวยงามไม่แพ้ Sagano Bamboo Forest
วัดนี้มีชื่อเสียงเรื่องรูป
2. Arashiyama (อาราชิยามะ)
คือ พื้นที่สุดพิเศษที่คุณไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวเกียวโต หุบเขาแห่งนี้มีธรรมชาติที่สวยงามสุดๆ และจะยิ่งสวยมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้แดง
ในอดีตตั้งแต่สมัยเฮอัน เหล่าผู้สูงศักดิ์มักจะมาพักผ่อน ชมธรรมชาติกันที่นี่ จนมาถึงปัจจุบันคนญี่ปุ่นจำนวนมากก็ยังชื่นชอบที่จะมาเที่ยวที่อาราชิยามะครับ
ส่วนตัวผมแนะนำว่าควรใช้เวลา 1 วันเต็มๆ ตั้งแต่เช้ายันค่ำ เพื่อเที่ยวให้ทั่วอาราชิยามะเลยครับ เพราะที่นี่สวยทั้งกลางวันและกลางคืนเลยทีเดียว
ส่วนตัวผมแนะนำว่าควรใช้เวล
-หุบเขาแห่งนี้มีวัดโบราณน้อยใหญ่มากมาย หลายที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก อาทิ วัดเทนริวจิ ที่คุณไม่ควรพลาดการไปชมสวนญี่ปุ่นสวยๆ โดยมีหุบเขาอาราชิยามะกับใบไม้แดงเป็นฉากหลัง
-ไปนั่งเรือแจวล่องแม่น้ำ "โฮสึ" ชมความงามสองฝั่งแม่น้ำที่แต่งแต้มด้วยใบไม้แดง แต่ถ้าไม่อยากนั่งเรือแจว จะเลือกนั่งรถไฟ "Torokko Arashiyama - Sagano Romantic Railway" ก็โรแมนติกดี
การมาเที่ยวอาราชิยามะ เราแนะนำให้มาเช้าๆ เพราะคนไม่เยอะแถมแสงสวยยามเช้า ยิ่งได้ภาพดี เมื่อมาถึงแนะนำให้รีบไปที่ป่าไผ่ก่อนเลยครับ 5555
ใครไม่อยากเดินแนะนำให้เช่า
จักรยานขี่นะ มีร้านจักรยานอยู่ใกล้กับทางลงสถานี JR Saga Arashiyama มีจักรยานธรรมดา (วันละ 1,000 เยน) และจักรยานมอเตอร์ (วันละ 1,700 เยน) เช่าเถอะ ชีวิตดี๊ดีนะ
ใครไม่อยากเดินแนะนำให้เช่า
3. เจดีย์แดง Chureito
อีกหนึ่งอัญมณีเม็ดงามแห่งเมือง Fujikawaguchiko จังหวัด Yamanashi เจดีย์ 5 ชั้นแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงที่สามารถมองเห็นวิวเมือง Fujiyoshida และภูเขาไฟฟูจิได้ลงตัวมาก
ที่นี่เป็นหนึ่งในจุดชมวิวท
ี่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวทะเลสาบ Kawaguchiko เพราะนอกจากจะได้เห็นวิวสวยๆ ของภูเขาไฟฟูจิเต็มๆ ตาแล้ว เรายังเห็นภาพเจดีย์สีแดงสด ตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่ต้นไม้ที่จะผลัดเปลี่ยนกันแต่งแต้มสีสันกันไปตามฤดูกาล ยิ่งตอนนี้เป็นฤดูใบไม้แดง วิวจากเจดีย์ Chureito ยิ่งจัดจ้านครับ
การจะขึ้นไปชมทัศนียภาพด้าน
บนเจดีย์ Chureito นั้นสามารถขับรถขึ้นไปได้นะครับ จะมีทางรถขึ้นอยู่ แต่หากจะเดิน (เหมือนเราทั้งคู่) ก็ต้องฟิตสักหน่อยนะ บันได 200 กว่าขั้น เดินไปถ่ายรูปไป เดี๋ยวเดียวก็ถึงแหล่ะน่า 555
การจะขึ้นไปชมทัศนียภาพด้าน
4.วัดไดโกจิ (Daigoji Temple)
คือ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเกียวโตช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี
หากเข้ามาถึงที่วัดแล้วแนะนำให้เดินเข้าไปด้านในสุด เราจะพบกับสะพานสีแดงและศาลเจ้ากลางน้ำสีแดงสด เมื่อใดที่แสงอาทิตย์สาดลงมายังศาลเจ้า เราจะเห็นเหมือนกับศาลเจ้านี้สุกสว่างอยู่กลางเพลิงของดงใบไม้แดง
คำแนะนำสำหรับคนที่อยากมาถ่ายภาพที่นี่ คือ ควรจะมาช่วงเช้าตรู่หรือไม่
ก็ช่วงเย็นไปเลย เพราะสภาพแสงจะไม่เปรียบต่างมากไป ทำให้ถ่ายภาพได้สวยงาม แถมถ้าถ่ายจากอีกฝั่งของสระน้ำ เราจะได้ภาพสะท้อนน้ำที่สวยมากๆ ครับผม
คำแนะนำสำหรับคนที่อยากมาถ่ายภาพที่นี่ คือ ควรจะมาช่วงเช้าตรู่หรือไม่
5. Eikando Temple หรืออีกชื่อว่า Zenrinji Temple วัดในพุทธศาสนานิกายโจโด
ถ้าอยากชมใบไม้แดงให้เต็มๆ ตา ต้องมาวัดนี้ครับที่ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ดูใบไม้แดงที่สวยสุดๆ แห่งหนึ่งของภูมิภาคคันไซเลยทีเดียว!!!
อาคารหลักของวัดนั้นสร้างขึ้นบนเนินเขา มีทางเดินไม้เชื่อมต่อกับอาคารอื่นๆ เมื่อมาถึงแนะนำให้ไปชมภาพวาดสวนหินโบราณที่สวยมากๆ (อยู่ตรงบานประตูของโถงแรก ชื่อ Shakado) สถาปัตยกรรมภายในวัดที่มีชื่่อเสียงที่สุด คือ เจดีย์ Tahoto ซึ่งสร้างติดกับต้นไม้บนเนินเขาทางทิศเหนือของหมู่อาคารหลักครับ
อีกอย่างที่อยากแนะนำคือสวน
โฮโจครับ เค้าตกแต่งไว้อย่างสวยงาม มีทั้งลำธารเล็กๆ บ่อน้ำ และสะพานเชื่อมต่อกับส่วนที่เป็นอาคาร ยิ่งเมื่อมีสีสันสดๆ ของหมู่ใบไม้แดงเข้าไปแต่งแต้มด้วยละก็ โอ้โห สวยจนถ่าย (รูป) ไม่หยุดกันทีเดียว
หลังเดินชมสวนเสร็จ แนะนำให้มานั่งทานขนมหวานตร
งลานกว้างหน้าสระน้ำครับ ชาเขียว (แท้ๆ) เค้าอร่อยมากจริงๆ และถ้าหากมีเวลามากพอ ลองเข้าไปดูเค้าจัดแสดง Light up ในช่วงกลางคืนสิครับ เค้าว่าสวยอันดับต้นๆ ของเกียวโตเลย
หลังเดินชมสวนเสร็จ แนะนำให้มานั่งทานขนมหวานตร
6. Shisendo Temple : วัดโบราณที่ตั้งอยู่ใกล้กันบนเนินเขาทางเหนือของเมืองเกียวโต
หากอยากสัมผัสธรรมเนียมการชมใบไม้แดงแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น
จุดเด่นของวัดนี้ คือ ระเบียงชมใบไม้แดงและสวนหินนิกายเซ็น ที่มีการจัดตกแต่งภูมิทัศน์เอาไว้อย่างสวยงาม เพื่อนๆ จะได้นั่งบนพื้นเสื่อ "ทาทามิ (เสื่อญี่ปุ่นโบราณ)" แล้วรื่นรมย์กับวิวของสวนญี่ปุ่นช่วงใบไม้แดงอย่างเต็มอารมณ์ เสมือนกำลังนั่งชมภาพวาดที่อยู่ในกรอบรูปเลยละครับ
ค่าเข้าชม 500 เยน เวลาทำการคือ 09:00-17:00 น.
การเดินทาง
-รถไฟ : เดินจากสถานีรถไฟ Shugakuin ไป 15 นาที หรือเดินจากสถานีรถไฟ Ichijoji สาย Eizan Railways 20 นาที หรือนั่งรถไฟจาก the Shugakuin Imperial Villa ใช้เวลา 20 นาที
-จากสถานี Kyoto โดยสารรถไฟ JR Nara Line ถึงสถานี Tofukuji เปลี่ยนมานั่ง Keihan Main Line จนถึงสถานีสุดท้าย Demachiyanagi จากนั้นนั่ง Eizan Railways ลงที่สถานี Ichijoji ทั้งหมดใช้เวลา 40 นาที ค่าโดยสารเที่ยวเดียว 620 เยน
-รถบัสประจำทาง : จากสถานี Kyoto นั่งรถบัสหมายเลข 5 ลงที่สถานี Ichijoji Sagarimatsucho ใช้เวลา 50 นาที ค่าใช้จ่ายเที่ยวเดียว 280 เยน (สามารถใช้ 1 day bus pass ได้) จากนั้นเดินต่ออีก 5-10 นาที
7.ทัศนียภาพยามเย็นกับท้องฟ้าสวยๆ ของปราสาทฮิเมจิ เมืองฮิเมจิ ประเทศญี่ปุ่น
แสดงให้เห็นถึงความฉลาดของชาวญี่ปุ่นแต่โบราณ ที่รู้จักการจัดวางพันธุ์ไม้นานาชนิดให้แบ่งบานในแต่ละฤดูกาลอย่างสวยงาม
อย่างในช่วงฤดูใบไม้แดงนั้น ปราสาทฮิเมจิจะถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสดของต้นเมเปิ้ล และสีเหลืองสดของต้นแป่ะก๊วย ซึ่งจะยิ่งขับความงามของปราสาทให้มีสีสันงดงามมากขึ้นอีกหลายเท่า
ส่วนตัวผมแนะนำให้ติดต่อเช่
าจักรยานขี่มาเที่ยวชมปราสาทกับสถานที่โดยรอบครับ ตรงลานด้านหน้าปราสาทจะปลูกต้นเมเปิ้ลสลับกับต้นแป่ะก๊วยสวยงามมากๆ
ปราสาทแห่งนี้เป็นหนึ่งในปร
าสาทที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น ที่ไม่เคยถูกโจมตีทางอากาศ ไม่เคยต้องล่มสลาย เป็นปราสาทที่ตั้งตระหง่านท้าทายการเวลาอยู่ใจกลางเมืองฮิเมจิ เมืองนี้สวย อากาศดี ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส แนะนำให้หาโอกาสไปเที่ยวให้ได้นะครับ
ปราสาทแห่งนี้เป็นหนึ่งในปร
8.ฤดูใบไม้แดงจะไม่มีความหมายเลย ถ้าเราไม่ได้ชมฟูจิซังกับใบไม้แดงที่ทะเลสาบ "Kawaguchiko (คาวากุชิโกะ)"
ทะเลสาบแห่งนี้คือหนึ่งในสถานที่ดูภูเขาไฟฟูจิที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น
ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ต้นไม้รอบๆ ทะเลสาบจะพร้อมใจกันเปลี่ยน
เป็นสีแดง ช่วยขับเน้นให้ภูเขาไฟฟูจิที่สวยอยู่แล้ว ทวีความงามมากขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลย
รอบๆ ทะเลสาบจะมีมุมสำหรับชมฟูจิ
อยู่หลายมุมนะครับ แต่ละจุดก็อยู่ห่างกันพอสมควร อีพริ้งแนะนำให้เช่าจักรยาน, มอเตอร์ไซต์ หรือรถยนต์ เพื่อไปชมความสวยงามของทะเลสาบในจุดต่างๆ โดยรอบครับ
ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ต้นไม้รอบๆ ทะเลสาบจะพร้อมใจกันเปลี่ยน
รอบๆ ทะเลสาบจะมีมุมสำหรับชมฟูจิ
9. Shirakawa-go (หมู่บ้านชิราคาวะ) "มรดกโลกที่ยังมีลมหายใจ"
อีกหนึ่งสถานที่ที่พวกเราอยากชวนเพื่อนๆ ไปเที่ยวชมความงามในฤดูใบไม้แดงครับ
หมู่บ้านนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งที่ 6 ของญี่ปุ่น จัดเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ที่น่าสนใจคือ "มรดกโลกแห่งนี้ยังมีคนอาศัยอยู่จริง" มีเพียงไม่กี่แห่งในโลกหรอกครับที่ขึ้นทะเบียนมรดกโลกทั้งๆ ที่ไม่ใช่โบราณสถาน ซึ่งหมู่บ้านชิราคาวะเป็นหนึ่งในนั้น
ความน่าสนใจของหมู่บ้านนี้คือมีธรรมชาต
ิแวดล้อมที่สวยงามมากๆๆๆๆๆๆๆ หมู่บ้านตั้งอยู่ในหุบเขาทางตอนเหนือของจังหวัดกิฟุ (ใจกลางญี่ปุ่น) ระหว่างเดินทางไปยังหมู่บ้าน เราจะได้เห็นทัศนียภาพอันสวยงามสุดๆๆๆ ของหุบเขาที่ล้อมรอบหมู่บ้านนี้อยู่ (แนะนำว่าอย่านั่งหลับบนรถ) ซึ่งความสวยงามก็จะสลับกันไปตามฤดูกาลครับ ยิ่งช่วงฤดูใบไม้แดงยิ่งสวยมาก ภูเขาจะมีสีแดงสลับเหลือง-เขียว สวยจริงๆ ครับ
เอกลักษณ์ของหมู่บ้านแห่งนี
้คือรูปทรงของบ้านที่เป็นหน้าจั่วสามเหลี่ยม ที่คนท้องถิ่นเรียกกันว่า "Kiritsuma-Gassho-zukuri" หรือ "กัสโช่" ที่หมายถึงรูปมือพนม โดยวัฒนธรรมการสร้างบ้านสไตล์นี้นั้นมีมากว่า 250 ปีแล้ว
ภูมิปัญญาของการสร้างบ้านทร
ง "กัสโซ่" นี้ เพื่อป้องกันหิมะสะสมบนหลังคาในช่วงฤดูหนาว โครงสร้างบ้านนั้นแข็งแรงมาก การออกแบบยังคำนึงถึงทิศทางแสง เพื่อให้บ้านอบอุ่นในฤดูหนาวและเย็นสบายในฤดูร้อนด้วยครับ
หากจะมาเที่ยวที่หมู่บ้านชิ
ราคาวะ เราแนะนำให้มากันแต่เช้าเลยครับ สะดวกสุดก็คือมานอนที่เมืองทาคายาม่า (เดี๋ยวจะทำรีวิวนำเที่ยวทาคายาม่าให้อ่านกันด้วยนะ) จากนั้นตื่นแต่เช้า นั่งบัสเที่ยวแรก 7:50 น. ไปกันเลยครับ ใช้เวลาแค่ 50 นาทีก็ถึงแล้ว
เมื่อมาถึงหมู่บ้านก็ให้รีบ
ขึ้นไปที่จุดชมวิวเลย จะเดินไป หรือจะขึ้นรถบัสในหมู่บ้านก็ได้ครับ จุดรอรถบัสในหมู่บ้านจะอยู่ตรงสระบัวใกล้ๆ กับจุดลงรถ Nohi Bus นั่นเอง (ขอแผนที่ได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว) ที่หมู่บ้านมีหลายแห่งนำบ้านทรง "กัสโช่" มาทำเป็นที่พักนะครับ สนใจลองติดต่อจองกันได้ในเว็บจองโรงแรมทั่วไป
คำเตือน : หมู่บ้านนี้ไม่มีถังขยะให้น
ะจ๊ะ ซื้ออะไรกินที่นี่ ให้ทิ้งที่ร้านเลย แต่ถ้านำขยะเข้ามาเราต้องนำกลับไปทิ้งข้างนอกเองนะครับ
การเดินทาง : ซื้อตั๋ว Nohi Bus ที่สถานีใกล้กับ JR Takayama ราคาตั๋วเที่ยวละ 2,210 เยน/
คน
ความน่าสนใจของหมู่บ้านนี้คือมีธรรมชาต
เอกลักษณ์ของหมู่บ้านแห่งนี
ภูมิปัญญาของการสร้างบ้านทร
หากจะมาเที่ยวที่หมู่บ้านชิ
เมื่อมาถึงหมู่บ้านก็ให้รีบ
คำเตือน : หมู่บ้านนี้ไม่มีถังขยะให้น
การเดินทาง : ซื้อตั๋ว Nohi Bus ที่สถานีใกล้กับ JR Takayama ราคาตั๋วเที่ยวละ 2,210 เยน/
ผมแนะนำให้จองตั๋วขาไปล่วงหน้านะครับ ไม่งั้นอาจพลาดชมแสงเช้าสวยๆ ของที่หมู่บ้านนะ
ติดต่อจองตั๋วได้ที่
www.japanbusonline.com หรือโทรไปที่ (0577) 32-1688 ครับผม
ติดต่อจองตั๋วได้ที่ www.japanbusonline.com หรือโทรไปที่ (0577) 32-1688 ครับผม
10. Enkoji Temple อยู่ใกล้กันบนเนินเขาทางเหนือของเมืองเกียวโต
จุดเด่นของวัดนี้ คือ ระเบียงชมใบไม้แดง เพื่อนๆ จะได้นั่งบนพื้นเสื่อ "ทาทามิ (เสื่อญี่ปุ่นโบราณ)" พร้อมสวยหินอันสงยงาม แล้วรื่นรมย์กับวิวของสวนญี่ปุ่นช่วงใบไม้แดงอย่างเต็มอารมณ์ เสมือนกำลังนั่งชมภาพวาดที่อยู่ในกรอบรูปเลยละครับ
ค่าเข้าชม 500 เยน เวลาทำการคือ 09:00-17:00 น.
การเดินทาง
-รถไฟ : เดินจากสถานีรถไฟ Shugakuin ไป 15 นาที หรือเดินจากสถานีรถไฟ Ichijoji สาย Eizan Railways 20 นาที หรือนั่งรถไฟจาก the Shugakuin Imperial Villa ใช้เวลา 20 นาที
-จากสถานี Kyoto โดยสารรถไฟ JR Nara Line ถึงสถานี Tofukuji เปลี่ยนมานั่ง Keihan Main Line จนถึงสถานีสุดท้าย Demachiyanagi จากนั้นนั่ง Eizan Railways ลงที่สถานี Ichijoji ทั้งหมดใช้เวลา 40 นาที ค่าโดยสารเที่ยวเดียว 620 เยน
-รถบัสประจำทาง : จากสถานี Kyoto นั่งรถบัสหมายเลข 5 ลงที่สถานี Ichijoji Sagarimatsucho ใช้เวลา 50 นาที ค่าใช้จ่ายเที่ยวเดียว 280 เยน (สามารถใช้ 1 day bus pass ได้) จากนั้นเดินต่ออีก 5-10 นาที
ค่าเข้าชม 500 เยน เวลาทำการคือ 09:00-17:00 น.
การเดินทาง
-รถไฟ : เดินจากสถานีรถไฟ Shugakuin ไป 15 นาที หรือเดินจากสถานีรถไฟ Ichijoji สาย Eizan Railways 20 นาที หรือนั่งรถไฟจาก the Shugakuin Imperial Villa ใช้เวลา 20 นาที
-จากสถานี Kyoto โดยสารรถไฟ JR Nara Line ถึงสถานี Tofukuji เปลี่ยนมานั่ง Keihan Main Line จนถึงสถานีสุดท้าย Demachiyanagi จากนั้นนั่ง Eizan Railways ลงที่สถานี Ichijoji ทั้งหมดใช้เวลา 40 นาที ค่าโดยสารเที่ยวเดียว 620 เยน
-รถบัสประจำทาง : จากสถานี Kyoto นั่งรถบัสหมายเลข 5 ลงที่สถานี Ichijoji Sagarimatsucho ใช้เวลา 50 นาที ค่าใช้จ่ายเที่ยวเดียว 280 เยน (สามารถใช้ 1 day bus pass ได้) จากนั้นเดินต่ออีก 5-10 นาที
เราขอฝากร้านด้วยครับ แวะไปกด Like เพจกันสักนิด เป็นกำลังใจให้พวกเราสักหน่อย (อย่าลืมตั้งค่าเป็น See First หรือ "เห็นก่อน") จะได้รู้ว่าพวกเรายังมีคุณๆ อยู่เสมอ
https://www.facebook.com/ibreak2travel/
http://ibreak2travel.com/
หนีงานไปเที่ยว
วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 13.35 น.