...ช่วงจังหวะชีวิตของคนเรา บางครั้งสิ่งที่เราแสวงหามานาน มันก็ไม่เคยเกิดขึ้น แต่บทที่จะเข้ามามันก็เข้ามาแบบไม่ทันได้เตรียมตัว...ย้อนหลังกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อนขณะนั้นเหตุการณ์บ้านเมืองได้เข้ามาถึงจุดแตกหัก และที่ทำงานผมถือว่าเป็นสมรภูมิของการต่อสู้ในครั้งนั้นเลยก็ว่าได้ เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ทีทำงานผมต้องปิดตัวลงชั่วคราว และพนักงานในองค์กรของผมบางส่วน ถูกส่งตัวไปทำงานยังจังหวัดต่างๆทางภาคใต้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของบริษัท และรอสถาณการณ์ดีขึ้น และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ถึงแม้จะต้องจากครอบครัวไป แต่ก้ยังดีกว่าตกงาน ผมรู้ล่วงหน้าแค่ไม่กีวันให้ไปรายงานตัวยังที่ทำงานใหม่ และจังหวัดที่ผมได้ไปลง เป็นจังหวัดที่ผมหลงรักและอยากกลับไปเยือนอีกครั้ง หลังจากเคยไปเยือนเมื่อ 20 ปีก่อน จังหวัดนั้นคือ "พังงา"

"เขาหลัก"คือที่สิงสถิตย์ของผมในขณะนั้น ผมใช้เวลาว่างจากการทำงานทุกอาทิตย์ตระเวณไปตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆในบริเวณนั้น และที่ที่ผมจะพาไปรีวิวในครั้งนี้เป็นเกาะที่ผมก็ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน มาได้ยินก็ตอนที่ตระเวณเที่ยวเกาะดังๆย่านนั้นหมดแล้ว เลยหาที่เที่ยวใหม่ ไปพบว่ามีอยูเกาะหนึ่งชื่อแปลกดี ชื่อว่า "เกาะคอเขา" ที่นั้นจะเป็นยังไงตามผมมาเลยครับ จากเขาหลัก ผมแว๊นซ์มอไซด์ขึ้นไปเรื่อยๆทางเหนือบนถนนเพชรเกษมหมายเลข 4 ไปยังอ.ตะกั่วป่าใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงกว่าๆด้วยระยะทางประมาณ 40 กว่าโล เลี้ยวซ้ายตรงแถวโรงเรียนบ้านบางม่วงขับตรงเข้าไปตามทาง แวะเข้าไปชมอนุสรณ์สถานสึนามิ ที่บ้านนำเค็มกันก่อน ในบริเวณเส้นทางเข้าหมู่บ้านจะมีอาคารหลบภัยสึนามิตั้งอยู่ ที่นี่จะมีการซ้อมอพยพหนีภับสึนามิกันอยู่เป็นประจำ

ผมเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าอนุสรณ์สถาน ความรู้สึกแรกหลังจากจอดรถแล้วคือ มันวังเวงเงียบเชียบยังไงพิกลถึงแม้จะเป็นช่วงกลางวัน ผมเดินตรงไปยังตัวอนุสรณ์สถานที่ออกแบบเป็นกำแพงที่เปรียบเสมือนคลื่นยักษ์ มีเรือประมงที่ถูกพัดมาเกยตื้นตั้งอยู่ส่วนบนของกำแพง ด้านหลังกำแพง เป็นทางเดินขนานไปกับกำแพงที่เรือตั้งอยู่ และอีกฝั่งกำแพงจะปูด้วยกระเบื้องเซรามิคซึ่งมีรายชื่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นติดอยู่ ผู้เสียชีวิตบางคนก็มีเศษซากพวงมาลัยมากราบไหว้ แสดงความอาลัยกันอยู่ ถึงแม้จะผ่านเวลาแห่งการสูญเสียมานานแต่ก็เชื่อว่าไม่มีใครลืมเหตุการณ์ในครั้งนั้นไปได้โดยเฉพาะผู้ที่สูญเสีย..

ด้านหลังของอนุสรณ์สถานมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่หน้าชายหาดบ้านน้ำเค็มเพื่อเป็นขวัญแหละกำลังใจของคนในหมู่บ้าน และมีศาลกรมหลวงชุมพร กับศาลเจ้าพ่องูทะเลไว้สักการะบูชาอีกด้วย

ส่วนชายหาดบ้านน้ำเค็ม สงบเงียบไร้ผู้คน นานๆจะเห็นเรือบรรทุกนักท่องเที่ยวไปเที่ยวชมความงามยังเกาะต่างๆบริเวณนั้นสักลำหนึ่ง มองข้ามไปยังเกาะที่สงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าที่เห็นไม่ไกล นั่นก็คือเกาะคอเขา พื้นที่ที่เคยกอดเก็บฝันร้ายของสึนามิ มหันตภัยที่หลายคนยากจะลืมเลือนเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2547 เป็นเกาะที่มีสัณฐานแบนราบเป็นส่วนใหญ่จนมองไม่รู้ว่าเป็นเกาะ มีพื้นที่ประมาณ 4 หมื่นกว่าไร่จากหัวเกาะถึงท้ายเกาะระยะทาง 27 กิโลเมตร มีป่าสนชายหาดขึ้นเรียงราย มองเห็นรีสอร์ทตั้งอยู่โดดเดี่ยวดูไร้ผู้คน แต่ก่อนนี้บริเวณชายหาดจะเต็มไปด้วยบ้านเรือนชาวประมงแต่หลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิ ชาวบ้านก็อพยพเข้าไปอยู่ลึกห่างจากชายฝั่ง หรือบางส่วนก็ย้ายมาทำมาหากินกันบนฝั่ง

ผมขับมอเตอร์ไซด์ออกจากอนุสรณ์สถานเพื่อไปยังท่าเรือเฟอร์รี่บ้านน้ำเค็ม ระหว่างทางมองเห็นตึกรูปทรงแปลกๆ ไม่มีหน้าต่างมีแค่รูเล็กๆ ซึ่งมาทราบภายหลังว่าเป็นตึกที่เขาสร้างไว้ให้นกนางแอ่นมาทำรัง และเก็บเกี่ยวผลิตผลจากรังนกนางแอ่นนำไปขาย กิโลนึงก็ได้หลายหมื่นอยู่ เกรดดีดีก็ตกครึ่งแสน มิน่าจึงสามารถสร้างตึกให้นกนางแอ่นไว้ทำรังได้

ถึงท่าเรือบ้านน้ำเค็ม เอารถมอเตอร์ไซด์ขึ้นเรือข้ามฟากในราคาคันล่ะ 20 บาท ถ้ารถยนต์ก็ขึ้นเรือเฟอรรี่ราคาคันล่ะ 150 บาทระยะทางจากฝั่งข้ามไปยังเกาะไม่ไกลแค่ประมาณ 10 นาทีก็ถึง




ผมข้ามฝั่งมาถึงจุดแรกของเกาะคือบ้านปากเกาะ จุดนี้จะมีป้ายแนะนำระยะทางไปยังหมู่บ้านต่างๆบนเกาะนี้ซึ่งมีทั้งหมด 5 หมู่บ้าน รวมถึงป้ายบอกรีสอร์ทต่างๆ ซึ่งมีไม่กี่แห่งบนเกาะนี้ บ้านปากเกาะจุดนี้ถือเป็นหน้าด่านเป็นจุดศูนย์รวมของเกาะทั้งร้านค้า ร้านอาหาร และร้่านเช่ามอเตอร์ไซด์

ถนนบนเกาะเป็นถนนราดยางอย่างดี ผมขับฝ่าเปลวแดดความร้อนไปอย่างไม่มีจุดหมายแน่นอน อาศัยว่าขับขนานไปกับชายหาด หากมีเส้นทางเลี้ยวไปยังหาดได้ก็จะเลี้ยวเข้าไปดู เส้นทางก็อย่างที่เห็นเป็นทางที่มีรอยรถวิ่งฝ่าทุ่งหญ้าสีแดงเพลิงที่เกิดจากความร้อนแล้งของภูมิอากาศแถบนี้เมื่อหน้าร้อนเริ่มเข้ามาเยือน หลายจุดบนเกาะมีร่อยรอยของไฟป่าให้เห็นอยู่ประปราย


สภาพท้องทะเลสีมรกตเบื้องหน้าสงบนิ่งไร้คลื่นลม ผืนทรายสีน้ำตาลนุ่มเท้าตัดกับสีท้องฟ้าไล่เรียงสลับกับเฉดสีน้ำเงินเข้มชวนลุ่มหลงราวกับจะทำให้คนมองดำดิ่งลึกลงไปในวังวนแห่งธรรมชาติ มีเศษซากต้นสน ยืนต้นตายหลายต้นจากเหตุการณ์สึนามิ บางส่วนของลำต้นที่ยังใช้ได้ก็ตัดเอาไปทำประโยชน์ หลงเหลือไว้แต่รากทิ้งไว้ให้ผุกร่อนไปตามกาลเวลา บางส่วนก็ดูเหมือนสัตว์ประหลาดที่หลุดมาจากนอกโลก มองไปด้านซ้ายมือจะเห็นรีสอร์ทที่ผมยืนมองอยู่ฝั่งบ้านน้ำเค็ม มองไปด้านขวาเป็นดงสนขึ้นอยู่หนาแน่น ทั่วบริเวณนี้มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า"คน"แทบจะนับจำนวนได้

ผมกลับออกมาสู่ทางหลักของเกาะและมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ผ่านรีสอร์ทสัก 2 แห่ง เจอป้ายข้างทางชื่อร้าน Sun Beach เลยแวะเข้าไปดูสักหน่อย สภาพด้านในเป็นชายหาด มีเตียงผ้าใบเล็กๆอยู่ใต้ซุ้มไม้ที่วัสดูทำจากธรรมชาติเน้นความเรียบง่ายและกลมกลืน แต่ไร้วี่แววของผู้คน


ผมเดินออกมาที่ชายหาด ทุกอย่างดูสงบนิ่งเหมือนเวลาได้หยุดเดิน มองไปทางซ้าย เห็นมีนั่งท่องเที่ยวต่างชาตินอนหลบแดดตอนเที่ยงวันอยู่ในซุ้ม ควันไฟที่เกิดจากความร้อนของอากาศทำให้เกิดไฟป่ามองเห็นได้ไกลไปทั่วบริเวณ ด้านซ้ายมือมองเห็นสันดอนเป็นผืนทรายสีขาวที่โผล่พ้นท้องทะเลลิบตานั้นคือ "เกาะผ้า"ซึ่งเป็นแหล่งดำน้ำดูปะการัง แต่ก่อนบนเกาะมีต้นไม้ปกคลุมร่มรื่นแต่หลังจากสึนามิถล่มเหลือต้นไม้ประดับอยู่บนเกาะแค่ต้นสองต้นเท่านั้น


ออกจาก sun beach ผมก็ขับสำรวจเกาะไปเรื่อยๆ เจอมุมไหนน่าสนใจก็แวะไปเรื่อย สภาพชายหาดส่วนใหญ่ที่แวะเข้าไปดูส่วนมากจะรกร้างไร้ผู้คน เพราะมันไม่ใช่จุดท่องเที่ยว จุดที่นักท่องเที่ยวจะลงเล่นน้ำก็คงเป็นหน้ารีสอร์ททีเขาพักกันซะมากกว่า


ผมขับรถมาเรื่อยๆมาเจอร้านอาหารอีกร้าน ชื่อร้าน sea sun set ซึ่งอยู่บริเวณหัวเกาะ เลยแวะเข้าไปดูวิวแล้วนั่งทานอาหารสักพัก เพราะเริ่มรู้สึกหิว ร้านนี้ก็ตกแต่งเรียบง่ายเข้ากับธรรมชาติได้อย่างลงตัว สังเกตุว่าบนเกาะจะไม่มีพวกสิ่งปลูกสร้างที่เป็นตึกอยู่เลย ร้านอาหารแทบทุกร้านก็เน้นวัสดุจากธรรมชาติเป็นหลัก ความน่าสนใจของร้านนี้อยู่ที่ซุ้มไม้หน้าหาด ที่ตกแต่งแบบหยาบๆ ให้อารมณ์เหมือนคนมาติดเกาะอยู่ที่นี่ อย่างในหนังเรื่อง Cast Away ยังไงยังงั้น


ออกเดินทางต่อ ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่ายิ่งขับลึกเข้ามายังหัวเกาะเรื่อยๆ เริ่มไม่ค่อยเห็นผู้คน และถนนนานๆจึงจะมีรถโผล่มาสักคัน เลยขับกลับระหว่างทางก็ลองสำรวจอีกฝั่งดูบ้าง ฝั่งที่เป็นป่า มองเห็นเขาลูกเล็กๆ ขับไปตามทางรอบข้างเป็นทุ่งหญ้า เกือบสุดทางมีบึงน้ำอยู่มีบ้านคนตั้งอยู่หลังหนึ่ง แต่ไม่กล้าเข้าไปสอบถาม กลัวโดนสวนออกมา จริงแล้วบนเกาะจะมีจุดพายเรือคายัคไปตามลำน้ำ และเดินป่าเข้าไปยังน้ำตกโตนทอง แต่คงไม่ใช่ช่วงฤดูฝนกิจกรรมพวกนี้จึงปิดตัว จะเปิดเฉพาะช่วงฤดูที่มีน้ำเท่านั้น

ระหว่างทางขากลับซึ่งย้อนกลับไปทางเดิมเหมือนตอนขามา มีหาดอยู่หาดหนึ่งที่ขับผ่านไป ขากลับเลยแวะเข้าไปดูสักหน่อย ชื่อหาดหาปลา จริงๆแล้วบริเวณหาดนี้จะเป็นชุมชนที่ชาวประมงออกหาปลากันแต่พอสึนามิมาก็เลยร้าง มีร้านอาหารแนวๆ Beach Bar มาเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่แล้วบนเกาะจะเป็นนักท่องเที่ยวแถบสแกนดิเนเวียหลบหนีความวุ่นวายจากภูเก็ต มาพักผ่อนอยู่ยาวๆกันเป็นอาทิตย์กันแถว เขาหลักเรือยมายังเกาะคอเขาแห่งนี้ ร้านนี้ตั้งอยู่ในดงสน จึงให้ความร่มรื่นมากกว่าร้านอื่น และมีนักท่องเที่ยวมานอนอาบแดดกันหลายคน

ชายหาดบริเวณนี้ค่อนข้างสวยกว่าตรงที่อื่นตรงทรายที่ดูเนียนตา ไม่มีเศษใบไม้ กิ่งไม้มาปกคลุม คงมีการเก็บกวาดกันอยู่ประจำ

หลังจากออกจาก "หาปลาบีช"แล้วก็ถึงเวลาอำลา ผมไม่ได้อยู่รอถ่ายภาพดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เพราะกลัวกลับเข้าฝั่งไม่ทัน และไม่ได้เตรียมตัวมาสำหรับค้างคืนด้วย มาถึงท่าเรือตรงบ้านปากเกาะประมาณ 4 โมงกว่า ระหว่างนั่งรอเรือก็นั่งมองวิวรอบๆเกาะไปเรื่อย ในความสวยงามที่เรามองเห็น มีคราบน้ำตาของผู้ที่สูญเสียจากภัยพิบัติในครั้งนั้น ถึงแม้เกาะนี้จะผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมา มีผู้เสียชีวิตที่นี่นับพันคน แต่ทุกอย่างก็ต้องดำเนินต่อไป เศษซากที่หลงเหลืออยู่คงเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงความน่ากลัวของธรรมชาติที่มนุษย์ไม่มีวันเอาชนะได้..


เกาะคอเขา เป็นเกาะทางเลือกอีกเกาะหนึ่งของจังหวัดพังงา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายของเกาะมหาชนในย่านนั้นไปหาความสงบอย่างแท้จริง สภาพบนเกาะส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบ บนหาดร่มรื่นด้วยแนวต้นสนและต้นมะพร้าว มีหาดทรายขาวสะอาดยาวหลายกิโลเมตร สามารถว่ายน้ำบริเวณชายหาดได้ บนเกาะมีที่พักแบบรีสอร์ท บังกะโล ร้านอาหาร ไว้สำหรับบริการรองรับนักท่องเที่ยว การเดินทางสู่เกาะคอเขาสามารถลงเรือได้ที่ท่าเรือหมู่ที่ ๒ บ้านน้ำเค็ม ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า โดยมีเรือรับจ้างและแพขนานยนต์ไว้บริการนักท่องเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๑๕ นาที นอกจากนั้นยังมีแหล่งท่องเที่ยวบนเกาะและใกล้เคียงที่น่าสนใจ อาทิ

เมืองโบราณบ้านทุ่งตึก ตั้งอยู่ที่หมู่ ๓ ตำบลเกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า ระหว่างปลายคลองเหมืองทองกับปลายคลองทุ่งตึก บริเวณนี้เป็นปากแม่น้ำตะกั่วป่า มีลักษณะพื้นที่เป็นเลนทราย เหตุที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า "ทุ่งตึก" เนื่องจากบนลานทรายระหว่างป่าละเมาะในเนื้อที่หลายสิบไร่นี้ มีซากอาคารโบราณสถานคล้ายตึกหรือวิหารอยู่ไม่น้อยกว่า ๓ แห่ง มีชิ้นส่วนของศาสนาและสัญลักษณ์รูปเคารพในศาสนาพราหมณ์อยู่มากมาย นอกจากนี้บริเวณพื้นยังพบเศษกระเบื้องถ้วยชาม เครื่องเคลือบของจีน เศษภาชนะเครื่องปั้นดินเผาและเศษวัสดุอื่นๆ อีกมากมายอยู่ทั่วไป นักโบราณคดีส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าทุ่งตึก น่าจะเป็นที่ตั้งของเมืองท่าโบราณ ซึ่งชาวอินเดียอาหรับและชาวมอญ

เกาะผ้า ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ ในหมู่ที่ ๔ ตำบลเกาะคอเขา ห่างจากชายฝั่งประมาณ ๑๐ กิโลเมตร มีน้ำทะเลใสสีสวยและมีปะการังจำนวนมาก มีหาดทรายขาวละเอียด สะอาด สงบเหมาะสำหรับการพักผ่อน

น้ำตกโตนทอง น้ำตกอันงดงามหนึ่งเดียวของชาวเกาะคอเขาอันเป็นต้นน้ำจืดแหล่งสุดท้ายของชาวเกาะคอเขา เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามายือน พบกับความงามของแผ่นน้ำที่กระจายเป็นละอองเย็นที่คุ้มค่ากับการเดินทางที่น่าตื่นเต้นและผาดโผนเพื่อเข้าไปเยี่ยมชม น้ำตกโตนทองนั้นปิดซ่อนตัวอยู่ในจุดไข่แดงของต้นน้ำที่ชุมชนพยายามดูแลรักษาไว้ในรูปของป่าชุมชนคลองโตน รอผู้มาเยือน สัมผัสความงามอันมีช่วงเวลาที่เปิดให้เยี่ยมชมในช่วงเดือนตุลาคม - กุมภาพันธ์เท่านั้น

การเดินทาง จากถนนเพชรเกษมหมายเลข 4 ซึ่งเป็นถนนเลียบชายหาดมาจากเขาหลัก มายังตะกั่วป่า เลี้ยวซ้ายเข้าสู่บ้านน้ำเค็ม ตรงแถวโรงเรียนบ้านบางม่วง เข้าสู่ หมู่ที่ 2 บ้านน้ำเค็ม ตำบลบางม่วง ด้วยถนนคอนกรีต ถึงท่าเทียบเรือในบ้านน้ำเค็มและโดยสารเรือรับจ้าง (เรือหางยาว เวลา 07.00-20.00 น.ค่าโดยสาร รถจักรยานยนต์ขึ้นเรือ ราคา 20 บาท ) นอกเวลาต้องเหมาลำและคิดราคาพิเศษ หรือ แพขนานยนต์ (เวลา 07.30-16.00 น. รถยนต์ 150 บาท) สู่ท่าเทียบเรือบ้านปากเกาะ หมู่ที่ 3 ตำบลเกาะคอเขา และเดินทางสู่หมู่บ้านอื่นๆด้วย ถนนลาดยาง


-ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ได้เข้ามาชม และ กด like กด share เป็นกำลังใจน่ะครับ

-แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือพูดคุย สอบถามข้อมูลการเดินทาง ได้ที่ Fanpage : สตั๊ดดอยร้อยเรื่องราว

-ติดตามบทความเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ ทริปเดินทางทั้งหมด

























สตั๊ดดอย ร้อยเรื่องราว

 วันพฤหัสที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.18 น.

ความคิดเห็น