นานแค่ไหนแล้วที่เราเห็นภาพพ่อของเรา เดินทางไปทั่วทุกสารทิศของประเทศไทย ทำงานหนักมากมายอย่างไม่เคยหยุดหย่อน นับตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา ในตอนนี้พ่อได้พักจากการทำงานทั้งปวงลงแล้ว แต่สิ่งที่เรายังคงเห็นอยู่คือโครงการหลวงมากมายทั่วทั้งแผ่นดินไทย ที่ยังคงขับเคลื่อนและพัฒนาต่อไป...

ในวันนี้ผมได้มีโอกาสออกเดินทางเพื่อ ตามรอยพ่อหลวง ซึ่งเป็นโครงการดีๆ ที่ทาง ReadmeTH ร่วมกับ JetradarTH จัดขึ้น ทำให้ผมได้เข้าถึงหัวใจของความเป็นคนไทยเข้าไปอีกหนึ่งก้าว ซึ่งเป็นเพียงก้าวเล็กๆเท่านั้น หากเทียบกับพ่อหลวงของเรา เพราะทุกๆก้าวที่ท่านย่างเท้าเข้าไป ล้วนเเล้วเเต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่เพื่อชาวไทยทุกคน

'โครงการหลวงวัดจันทร์' หรือที่คนส่วนใหญ่ รู้จักกันในนามของ ป่าสนวัดจันทร์ อยู่ที่ อ.กัลยานิวัฒนา จ.เชียงใหม่ เป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากพระราชดำริ สู่การพัฒนาชีวิตราษฎร ท่ามกลางป่าเขาอันกว้างใหญ่ ใจกลางธรรมชาติและสายหมอก ผมบอกได้เลยว่าถ้าใครเคยไป ปางอุ๋ง แล้วชอบบรรยากาศแบบนั้น ผมเชื่อว่าคุณจะต้องหลงรักที่นี่อย่างแน่นอน

และแล้วการเดินทางตามรอยพ่อของ ค น ห ล ง ท า ง ก็เริ่มต้นขึ้น...


การเดินทางของผมครั้งนี้ เป็นการเดินทางไปในช่วงเดือนธันวาคม ที่ผมเลือกเดินทางไปช่วงนี้ เพราะจะได้ไปให้ถูกฤดูกาลกับการไปท่องเที่ยวภาคเหนืออย่างแท้จริง นึกถึงเชียงใหม่ทีไร ความเย็นสบายของอากาศคือสิ่งแรกที่ผมจะจินตนาการถึง

ผมออกเดินทางถึงเชียงใหม่ช่วงเช้าๆ มาถึงก็รีบไปยังร้านเช่ารถกันเลยครับชื่อร้าน Bikky Chiangmai เป็นร้านที่ผมติดต่อจองรถไว้ล่วงหน้า เพราะมาช่วงนี้ใกล้หยุดยาว กลัวมาเอาหน้างานแล้วไม่มีรถ แถมเลือกได้ด้วยว่าอยากได้รถอะไร ซึ่งรุ่นที่ผมจองไว้ก็คือ Suzuki GD110i เจ้ารถสีแดงสุดหล่อที่จะเป็นพระเอกของทริปนี้ ผมนี่เรียกมัน ไอ้แดงลูกพ่อเลย นะครับ 55555+ ค่าเช่าก็ไม่แพงครับ วันละ 300 รถใหม่สวยงามเชียว

ตอนจะรับรถ น้องที่ร้านก็บอกว่า ' รถใหม่เลยนะ ฝากดูแลหน่อย' แนะ...พูดแบบนี้ ผมงี้ไม่รู้จะบอกไงว่า มันจะเจอศึกหนักจากผมนี่แหละ 55555+ ด้วยความที่รถคันนี้มันแค่ 110cc ก่อนจะซิ่งออกมาน้องที่ร้านก็ทักว่า 'พี่ขี่ขึ้นเขาด้วยรึป่าวครับ' ผมตอบเลยว่า 'ขึ้นครับ ขึ้นเขาด้วย' น้องที่ร้านรีบเตือนด้วยความหวังดีเลยว่า ถ้าพี่ขึ้นเขาด้วยผมกลัวว่ามันจะไม่ไหวน่ะสิ ไม่น่าจะขึ้นได้นะ แต่ผมก็เอาน่าาาา ก็คิดแต่ว่าสู้ตายแล้วกันนนนนนน


จุดมุ่งหมายในการเดินทางของผม อยู่ที่ อ.กัลยานิวัฒนา ได้ยินชื่ออำเภอแล้วคุ้นๆกันมั้ยครับผม ใช่แล้วววว...นี่เป็นชื่ออำเภอพระราชทานจากพระพี่นางฯนั้นเอง เดิมทีเป็นเขตของแม่เเจ่มที่แยกตัวออกมา ซึ่งจริงๆการเดินทางจะไปได้ทั้งหมด 2 เส้นทางนะครับ เพื่อไปยังบ้านวัดจันทร์ ทางแรก คือไปทางแม่มาลัย ซึ่งสะดวก และวิ่งง่ายมากๆ แต่ระยะทางค่อนข้างจะไกลจากบ้านวัดจันทร์กว่าทางที่สอง เพราะต้องขับย้อนเข้ามาอีกเกือบ 50-60 กิโล

ส่วนทางที่สอง คือทางสะเมิง ถ้าพูดถึงสะเมิง หืมมมม...ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความทรหดของเส้นทางมาก 55555+ เมื่อประมาณปีที่แล้วผมเดินทางมาที่ปางอุ๋งแล้วดันเลือกผ่านทางนั้น คือแบบ โอ๊ยยยย...น้ำตาจะไหลริน สงสารรถยนต์มากกกก

ตอนแรก... ผมลังเลมากครับ ว่าจะไปทางไหนดี ระหว่างทางไป ดันเจอป้ายเขียนชี้ว่า ไปอ.กัลยานิวัฒนา ผมก็เลี้ยวไปทางนั้นเลยครับ แต่ก็ยังชั่งใจอยู่ว่า เห้ย! นี่มันทางสะเมิง หรือแม่มาลัย ก็จอดแวะถามชาวบ้านว่า


'ทางนี้ไป อ.กัลยานิวัฒนา ได้มั้ยครับ ?'

ชาวบ้านก็ตอบกลับมาว่า : ตรงไปเลยยยย ตรงไปเรื่อยๆ เเล้วมันจะเข้าสะเมิง เข้าแม่เเจ่ม แล้วถึงบ้านวัดจันทร์เลย

ผมเลยถามกลับไปว่า : ทางสะเมิงนี่ ตอนนี้โอเคใช่มั้ยครับ มอเตอร์ไซค์ผมไปได้มั้ยครับ ?

ชาวบ้าน : ไปได้ๆๆๆ ทางดีแล้วตอนนี้ วิ่งเรื่อยๆไปได้เลย


ได้ยินแบบนี้ ผมก็เบาใจในระดับนึงแล้วครับว่าทางตอนนี้มันดีขึ้นมากแล้ว ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมต้องเดินหน้าต่อไป ถือคติไม่เคยเลี้ยวรถกลับครับผมมมม 5555+ ว่าแล้วผมก็ขี่ไปเรื่อยๆๆๆ ดูวิวสองข้างทางแวะถ่ายรูปเล่นไปตลอดทาง อากาศเย็นๆ ขี่รถตากแดดนี่ ไม่มีคำว่าร้อนเลยทีเดียว


จำเลขหน้าไมล์นี้ไว้ครับ เริ่มต้นที่ 382 (แต่จริงๆขี่ออกมาจากร้านเช่ารถแล้วประมาณสิบกว่าโลได้) จบทริปจะได้รู้กันว่าขี่ไปทั้งหมดกี่กิโล แต่บอกได้เลยว่า หนักแน่นอน ไอ้แดงลูกพ่ออออ


ขับรถมาเรื่อยๆ จนถึงจุดชมวิวสะเมิง ก็แวะกันหน่อยครับ เห็นวิวทิวเขาด้านล่างไกลสุดตา


สังเกตุได้เลยครับว่าเส้นทางนี้ ไปได้หมดทั้ง บ้านวัดจันทร์, ปาย, แม่ฮ่องสอน วิ่งทางเดียวกันได้หมดเลย ถ้าเป็นอดีตผมอาจจะไม่แนะนำการมาทางสะเมิงสักเท่าไหร่ คงจะแนะนำแม่มาลัยมากกว่าแน่นอน แต่ตอนนี้ชาวบ้านบอกว่าทางดีแล้ว ก็ต้องลองมาพิสูจน์ทางใหม่กันสักหน่อย


ระหว่างทางไป ผมก็ผ่าน วัดสะเมิง เลยแวะเข้าไปไหว้พระกันหน่อยครับ การเดินทางจะได้ราบรื่นปลอดภัย ตามมาชมบรรยากาศข้างในกันครับ...


วัดสะเมิงจะเป็นวัดเล็กๆ ที่ดูสวยงามแบบเรียบง่าย วัดทางภาคเหนือเกือบทุกวัดจะสังเกตุเห็นได้ชัดมากว่าจะมีพยานาคเป็นบันไดเข้าไป ถือเป็นเอกลักษณ์ของวัดแถบนี้เลยจริงๆ


ไหว้พระเสร็จแล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่อเลยครับ จากตัวเมืองมาจนถึงตอนนี้ ผมก็วิ่งมาได้เกือบ 70-80 กิโลได้แล้ว ตลอดทางที่ขี่มา แทบจะทั้งเส้นทางเลยครับ คือป่าๆเขาๆทั้งนั้น ขับรถวนข้ามเขาลูกแล้วลูกเล่า วนไปตามไหล่เขาเรื่อยๆๆๆ นานๆทีจะเจอเขตชุมชน ซึ่งจะเป็นแค่ระยะทางสั้นๆเท่านั้น หลังจากขี่มายาวนานน้ำมันถังแรกที่ผมเติมมามันก็หร่อยหรอเต็มทน หลังจากเจอตู้น้ำมันแบบหยอดเงินแล้วก็แวะเติมกันสักหน่อยครับผม มารอบนี้ต้องคอยดูกันว่าจะใช้น้ำมันหมดไปกันกี่ถัง เจ้า Suzuki คันนี้จะกินน้ำมันมั้ยน๊าาาา


เติมน้ำมันกันเสร็จผมก็วิ่งต่อไปเรื่อยๆเลยครับ หาร้านข้าวกันสักหน่อย ตอนนี้หิวมากกกกแล้ว นี่ตั้งแต่มาถึงเชียงใหม่ข้าวเช้า-ข้าวเที่ยงยังไม่มีตกถึงท้องเลย ขับเลยมาได้สัก 2-3 กิโลก็เจอร้านก๋วยเตี๋ยว ว่าแล้วก็แวะกันเลยครับ แต่ๆๆๆ เห็นภาพนี้อย่าเข้าใจผิดคิดว่าคือร้านก๋วยเตี๋ยวที่ผมจะกินนะครับ นี่มันร้านฝั่งตรงข้ามมมม มากินร้านนี้แต่ดันไปถ่ายร้านฝั่งตรงข้ามทำไมไม่เข้าใจเหมือนกัน 5555+


มาม่าต้มยำของผมมาแล้วววว สีแซ่บแบบนี้อร่อยแน่นอน มาเติมพลังให้อิ่มท้องกันเลยดีกว่าครับ!


ไอ้แดงลูกผมมันนั่งตากแดดรอผมกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ครับ ไปกันๆๆๆ มันรอนานแล้ว ร้อนแย่เลย


การเดินทางมาภาคเหนือสิ่งนึงที่ผมชอบมากคือ อากาศที่มันเย็นสบายนี่แหละครับ คือต่อให้ขี่รถตากแดดแรงยังไงมันก็ไม่รู้สึกร้อนเลยสักนิดเดียว ขี่สบายๆ แถมบางช่วงที่เป็นเขาเป็นป่าทึบๆ บอกเลยว่านอกจากจะไม่ร้อนแล้วยังหนาวไปยังขั้วหัวใจ 55555+


ขี่ๆไปได้สักพัก ก็จอดแวะเปิด GPS ดูกันสักหน่อย เห็นป้ายอำเภอปายก็อุ่นใจครับว่ามาถูกทางแล้ว เพราะว่าไปทางเดียวกันเลย

ส่วนเส้นทางที่ผมขับมานี่ ต้องบอกเลยว่า ช่วงแรกๆทางดีครับ แต่ว่าชันมากทีเดียว โอ๊ยยย ไอ้แดงลูกผมมันทำผมตื่นเต้นเลยครับ คือตบเกียร์ 2 ก็แล้ว ยังครับยังอืดอยู่ ขึ้นแทบจะไม่ไหว ยิ่งช่วงไหนเป็นทางชันแบบยาวๆหน่อย ไอ้เเดงมันถอดใจ ขึ้นไปๆๆ แล้วพอมันไม่ไหวมันก็ดับมันซะตรงกลางทางซะงั้น! เหมือนคนเดินๆมาเเล้วหยุดนิ่งๆตรงกลางเขานั้นแหละครับ ทิ้งผมให้ต้องใช้เกียร์เท้าสองข้างของผมยันไว้ ไม่งั้นรถไหลถอยหลังลงไปตามเขาแน่นอนนนน

ตัดสินใจเอาวะ! ตบเกียร์ 1 ค่อยๆบิดๆๆไป ถึงจะขึ้นไหว แต่การขี่เกียร์ 1 นี่ตื่นเต้นหนักมากเหมือนกันครับ คือรถมันจะกระตุกๆๆ แล้วทำท่าจะยกหน้า นี่จะขึ้นเขาชันๆ ด้วยการยกหน้าขึ้นเขาเหรอออ !?! มันจะเก่งเกินไปละ จนผมนี่คิดในใจถ้าเกียร์ 1 ไปไม่ไหว จะตบเกียร์ว่างละนะเฮ้ย! 5555+

สำหรับทางที่ว่าดีนั้น ดีตลอดจน 20 กิโลสุดท้าย หืมมมม....บันเทิงเลยครับ 5555+ ทางลูกรัง เป็นหลุมเป็นบ่อ ดินงี้แยก จากถนน 2 เลนส์ ตอนนี้มีประมาณ 8 เลนส์ จะไปทางไหนก็คงต้องถึงเวลาที่ผมจะตัดสินใจ เลือกผิดชีวิตเปลี่ยนครับ รถตกร่องแน่นอน แต่พอพ้นตรงนี้ไปได้ สวรรค์ก็รอตรงหน้าแล้วครับ คือเราก็เข้าสู่บ้านวัดจันทร์กันเลย ถึงแล้วววว


เมื่อมาถึงผมก็ได้นัดกับพี่เจ้าหน้าที่ไว้แล้วครับชื่อ พี่เช เป็นเจ้าหน้าที่ในส่วนของอบต.ของบ้านวัดจันทร์ และเป็นตัวแทนในการนำนักท่องเที่ยวมาพักยัง บ้านห้วยฮ่อม โฮมสเตย์ชาวบ้านที่ผมได้ติดต่อจองไว้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากป่าสนวัดจันทร์นัก เดิมทีผมได้ติดต่อไปยังบ้านพักของอุทยาน นี่ขนาดโทรสอบถามล่วงหน้าตั้งเดือนกว่าๆ โอ้ววววว เต็มหมดแล้วครับหลังเล็กๆ เหลือเเต่หลังใหญ่ๆแบบมากันทั้งครอบครัว อีกอย่างที่พักของอุทยานเองก็มีไม่กี่หลัง การพักโฮมสเตย์ก็เป็นอีกทางเลือกนึงที่น่าสนใจไม่แพ้กัน

หลังจากที่ผมขี่รถจนเข้ามาสู่เขตบ้านวัดจันทร์แล้ว ก็นัดแนะกับพี่เชไว้ที่ วัดจันทร์ ซึ่งภายในจะมีศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวอยู่ ตามมาชมภายในกันเลยครับ...


ด้านในก็จะมีเสื้อผ้า และผ้าทอต่างๆของชาวบ้านที่สวยงาม แล้วก็มีลวดลายสวยงามมาก เสื้อผ้าเหล่านี้ ในหลวงท่านทรงสนับสนุนให้ชาวบ้านมีอาชีพ ก่อตั้งที่นี่ขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการจำหน่ายผ้าท้องถิ่น ซึ่งก็มีหน่วยงานต่างๆมาสั่งทำผ้า เพื่อใช้เป็นชุดหรือเสื้อผ้าใส่ในโอกาสพิเศษต่างๆกันมากมาย เรียกว่าต้องสั่งล่วงหน้ากันเลยครับ


มุมนี้จะเป็นภาพของพ่อที่เคยเสด็จมาเยี่ยมเยียนชาวบ้านที่นี่ ซึ่งท่านเคยเสด็จมาหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งพี่เชบอกว่า เดิมทีชาวบ้านที่นี่จะปลูกฝิ่นกันมาก่อน ในหลวงจึงเข้ามาพัฒนาอาชีพและความเป็นอยู่ให้ใหม่ ให้ชาวบ้านเลิกการปลูกฝิ่นและหันมาทำอาชีพที่ขาวสะอาด หันมาทำนาขั้นบันได ทอผ้า และปลูกพืชผักส่งขายเข้าโครงการหลวง ซึ่งทำให้ชาวบ้านก็มีรายได้มากขึ้นๆ และชีวิตก็ดีขึ้นตามลำดับ ฟังแบบนี้แล้วผมรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูกครับ


ลายผ้าที่ปราณีตและสวยงาม ทุกชิ้นทุกส่วนทำด้วยมือล้วนๆเลยครับ


เสร็จแล้วเราก็เข้าไปยังโฮมสเตย์กันเลยครับ โดยระหว่างทางเข้าเราจะต้องผ่านวัดห้วยฮ่อมกันก่อน ก็แวะเข้าไปแปปนึงครับ แต่ว่าเข้ามาแล้วเสียดายที่โบสถ์ไม่เปิด เลยได้ชมแต่บรรยากาศรอบๆแทน โดยปกติแล้วการจะเดินทางเข้ามายังที่บ้านห้วยฮ่อมนั้นจะต้องเข้ามาพร้อมกับรถของพี่เชที่จะออกไปรับนะครับ เพราะทางที่เข้ามานั้นเป็นทางลูกรังดินแดงๆ และทุลักทุเลประมาณนึง คนไม่ชำนาญทางจะเข้ามาค่อนข้างยาก ส่วนผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์ตามพี่เชเข้ามาครับ


ถึงแล้วครับ โฮมเตย์ของผมที่จองไว้ ราคาตกคนละ 150 บาท พร้อมอาหารเย็น 1 มื้อ เพิ่มอีก 70 บาท เข้ามานี่ไม่ต้องถามหาแอร์ หรือพัดลมใดๆนะครับ บอกเลยว่าไม่มีทางได้ใช้ เพราะอากาศเย็นมากกกกก ผ้าห่มเท่านั้นครับที่ใจปรารถนาถึงงงง ห่มเข้าไปครับ มีเท่าไหร่ห่มให้หมด เผลอๆน้ำเนิ้มไม่ได้อาบแน่นอน 5555+


หลังจากเก็บข้าวของสัมภาระที่ขนมาไว้ที่ห้องกันเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาออกไปเดินเล่นบริเวณรอบๆแถวนี้กันดูหน่อยครับ ตามมาเดินเล่นพร้อมๆกันเลย...


ที่แรกที่เรามา คือบริเวณทุ่งนาครับ รอบๆนี้จะมีเรื่องราวที่น่าสนใจอยู่ที่จะได้เรียนรู้กันต่อไป


บริเวณนี้จะเป็นในส่วนของทุ่งนา และกระท่อมของชาวบ้าน ซึ่งในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวก็จะมาพักกันตรงนี้ ดูแลทุ่งนาของตน ซึ่งชาวบ้านที่อยู่แถวนี้ จะเป็นชาวปกากะญอนะครับ ทุกครั้งที่มีการปลูกข้าวก็จะมีพิธีต่างๆมากมาย ตามแล้วแต่ละขั้นตอนตั้งแต่ปลูกยันเก็บเกี่ยว ซึ่งถ้ามาช่วงกลางๆปี ทุ่งนาที่นี่ก็จะเขียวขจีสวยมากกกก หรือถ้ามาสัก เดือนต.ค. ทุ่งนาก็เป็นสีทอง ให้อารมณ์ที่ต่างกันออกไป


ส่วนกอไผ่เหล่านี้ ชาวบ้านเค้าก็ปลูกเอาไว้ใช้สอยกันนี่แหละครับ ไม่ว่าจะสร้างบ้าน ทำรั้ว ทำภาชนะ สิ่งของต่างๆ สาระพัดประโยชน์มากๆ ล้วนแล้วแต่มาจากไม้ไผ่ที่ปลูกไว้ใช้เองกันทั้งนั้น เป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้คุ้มค่ามากกกก จริงๆถ้าเราปลูกอะไร หรือทำอะไรไว้กินไว้ใช้เอง ผมมว่ามันคือความพอดีของการใช้ชีวิตโดยไม่ต้องไปแสวงหาอะไรไกลตัวเลย


หลังจากนั้นเราก็จะเดินลัดเลาะทุ่งนาไปยังอะไรกันต่อนะ ? ว่าแล้วก็เดินตามพี่เค้าไปครับ ซึ่งระหว่างทางเดินไป พี่เชเองก็เล่าว่า ที่นี่นั้น ล่าสุดก็โดนน้ำท่วมกันหมด ไร่นาชาวบ้านเสียหายกันมากมาย

ถามว่าอยู่บนเขาบนดอยแล้วยังน้ำท่วมอีกเหรอ ?

ใช่ครับ น้ำนี่ท่วมขึ้นมาจนยันถึงไร่นาบนเขากันเลยทำให้ผลผลิตปีนี้เสียหายไปเยอะมาก ฟังแล้วรู้สึกสงสารชาวบ้านเหมือนกันนะครับ ที่ผลผลิตปีนี้ต้องสูญเสียไป

แต่ถึงแม้ข้าวจะไม่สามารถนำไปขายได้ แต่ชาวบ้านก็ยังมีสวนปลูกพืชผักผลไม้ ที่อีกฝั่งนึงของทุ่งนา ที่ยังพอให้ผลผลิตปลูกกันในช่วงนี้หลังจากน้ำไปหมดแล้ว และส่งขายเข้าโครงการหลวงต่อไป


นี่เวลาเพิ่งจะ 5 โมงเย็นเองนะครับเนี่ย เห็นพระจันทร์อยู่ลางๆซะแล้ว ฤดูหนาวแบบนี้ กลางคืนจะมาไวมาก แปปๆก็มืดแล้ว ส่วนตอนเช้าก็นานทีเดียวกว่าฟ้าจะสว่าง


หลังจากเดินตามพี่เชลัดเลาะทุ่งนามาไกล พี่เชก็พาผมมาชิมเจ้าผลไม้ลูกเหลืองๆ หน้าตาแปลกอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ตอนแรกพี่เชบอกว่า รู้จักลูกโทงเทงมั้ย ? ผมยิ่ง งง เข้าไปใหญ่ว่ามันคืออะไร จนได้แกะให้ผมลองชิมดู

เกิดมาเพิ่งจะเคยรู้จัก และได้ลิ้มรสเป็นครั้งแรกกับ ลูกโทงเทง หรือ เคพกูสเบอร์รี่ (Cape gooseberry) นี่เด็ดให้กินกันจากต้นสดๆเลยครับ ที่นี่ปลูกแบบไร้สารเคมี สะอาดปลอดภัย กินแล้วอร่อยเพลินมากกกก


หน้าตาลูกโทงเทงจะเป็นแบบนี้นะครับ คือข้างนอกจะมีเปลือกบางๆสีส้มๆหุ้มอยู่ ลอกเปลือกออกแล้วกินลูกกลมๆที่อยู่ข้างใน ลูกโทงเทงนี้ อาจจะหาซื้อไม่ได้ทั่วไปเหมือนผลไม้อื่นๆ แต่ก็สามารถหาซื้อได้จากร้านโครงการหลวงนะครับ ราคากิโลละร้อยกว่าบาท เป็นผลไม้เมืองหนาวที่ในหลวงท่านทรงแนะนำเพื่อพัฒนาอาชีพ ชาวบ้านที่นี่เค้าก็ปลูกส่งโครงการหลวงกันอยู่ครับ


โอ้วววว...อร่อยมากครับ รสชาติอมเปรี้ยวอมหวาน กินได้ทั้งลูกเลยไม่มีเม็ดให้ต้องคายให้รำคาญใจ เพราะข้างในลูกของมันจะมีเม็ดเล็กๆๆๆ ยุบยิบแบบกลืนลงไปได้เลย ชิมลูกแรกอาจจะท่าทางดูกล้าๆกลัวๆหน่อย แต่หลังจากลูกนี้แล้ว บอกเลยกินยาวววววว เดินกินตลอดทางจนกลับไปรถเลยครับ 55555+


เสร็จแล้วเราจะไปต่อกันที่ จุดชมวิวพระธาตุ กันเลยครับ เลยจากที่วัดจันทร์ไปไม่ไกล ว่าจะไปเก็บภาพพระอาทิตย์ตกดินกันสักหน่อย ทางขึ้นมาจะเป็นเขาลูกเล็กๆนะครับ ขึ้นมาไม่ไกลประมาณ 1 กิโลนิดๆ ก็จะมีพระธาตุตั้งอยู่ ส่วนวิวรอบๆเหรอครับ ?

....สวยงามมากทีเดียว...

แนวเขาสูงต่ำที่สลับกันเป็นแนวยาว เห็นอาณาเขตที่กว้างขวาง และมีบ้านเรือนอยู่เบื้องล่างคือทุกอย่างลงตัวไปหมด แล้วบอกเลยครับ ควันๆขาวๆที่เห็นนั้น ตอนอยู่ในรถที่กำลังจะขึ้นมาตรงจุดชมวิว ผมนี่ตื่นเต้นมากกกก คิดออกมาเสียงดังมาก เฮ้ยๆๆๆ!! ใช่หมอกรึป่าวนั่นนนน 55555+ นั่งก้นไม่ติดเบาะเลย ตื่นเต้นมาก นึกว่าจะได้เห็นหมอกช่วงเย็นๆที่พระอาทิตย์กำลังตกดิน แต่พอลงมาก็ถึงบางอ้อเลยครับ...ควันครับ ควัน ชาวบ้านด้านล่างคงจุดเผาขยะกัน 5555+ แต่ก็สวยงามให้บรรยากาศที่ดีมากๆ ขอบคุณที่สร้างหมอกเฉพาะกิจให้กับผมนะครับเนี่ยยยย

พระอาทิตย์กำลังลับสายตาผมไปแล้วครับ...


ด้านบนนี้ ก็จะมีคนขึ้นมาชมวิวบ้าง 3-4 คน แล้วก็จะมีพระอยู่ด้วยนะครับผมเห็นอยู่ ท่านน่าจะคอยดูแลที่นี่ แต่ไม่แน่ใจว่าปกติแล้วประจำกันอยู่ที่นี่มั้ย...เอาละครับ เริ่มค่ำแล้วววว เรากลับโฮมสเตย์ของเรากันดีกว่า


กลับมาถึงโฮมสเตย์ด้วยความหิวโหยครับบอกเลย 5555+ ส่วนพี่เจ้าของบ้านก็ทำอาหารเตรียมไว้ให้แล้ว จะเป็นกับข้าวแบบง่ายๆ แต่อร่อยทีเดียว จะมีไข่เจียว น้ำพริก-ผักต้ม กับต้มอะไรสักอย่างที่ผมไม่รู้จัก แต่รสชาติดี ปกติผมนี่เป็นคนไม่กินผักไม่กินน้ำพริก มานี่ฟาดเรียบเลยครับ น้ำพริกอร่อยกลมกล่อม เหมือนจะมีเนื้อปลาอยู่ด้วยไม่แน่ใจว่าใช่ปลาทูมั้ย รสแบบชาวบ้านๆนี่แหละผมชอบมากกว่าการไปนั่งในร้านอาหารเสียอีก กินแบบนี้มันดีต่อใจให้ความรู้สึกถึงความเป็นบ้านได้ดีมาก


เช้าวันที่สองของการเดินทาง ผมรีบตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ ไก่ขันสักตี 5 ครึ่งเห็นจะได้ ผมนี่เด้งขึ้นมาจากเตียงเลย เพราะจะต้องรีบไปเก็บภาพแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ป่าสนวัดจันทร์กันครับ เช้านี้อย่าถามครับว่าอาบน้ำมั้ย ไม่อาบสิครับบบ 55555+ หนาวขนาดนี้อาบทีก็ขนหัวตั้งแน่นอน นี่ขนาดหลับยังห่มผ้าตั้ง 3-4 ผืน อากาศเย็นทะลุมุ้งมาเลย

หลังจากเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาแว๊นมอเตอร์ไซค์ออกไปที่ป่าสนวัดจันทร์กันแล้ว ขี่ไปสั่นไปครับ หน๊าวววหนาวววว ทางที่นี่ยังเป็นดินลูกรังเป็นหลุมเป็นบ่ออยู่ก็ต้องระวังๆกันหน่อย แต่ระหว่างทางลงเขาที่ขี่ออกไปจากบ้านห้วยฮ่อมซึ่งอยู่บนเขาสูงพอควร ทำให้รอบๆข้างทางเต็มไปด้วยหมอกสวยงามมาก ถึงทางจะขี่ยากแต่เจอวิวแบบนี้ก็เพลินดีนะครับเนี่ย


ขี่ออกมาจากบ้านห้วยฮ่อมได้ไม่ นานระยะทางประมาณ 4 กิโลกว่าได้ ทางไม่ไกลแต่ขี่เร็วไม่ได้เลยครับ อากาศเย็นมากจริงๆ ทางข้างๆนี่ขาวโพลนไปด้วยหมอกมองอะไรแทบไม่เห็นกันเลย

ถึงแล้วครับบบ โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ หรือ ป่าสนวัดจันทร์ หรือที่คนที่นี่จะเรียกกันว่า อ.อ.ป.

สำหรับใครที่อยากมาป่าสนวัดจันทร์ แล้วต่อด้วยปาย ผมแนะนำให้มาทางสะเมิง แล้วแวะป่าสนวัดจันทร์ หลังจากนั้นวิ่งเข้าปาย และกลับเชียงใหม่ทางแม่มาลัยนะครับ จะได้ไม่ต้องขับรถวนเข้าวนออก ขับเดินหน้าต่อไปอย่างเดียว ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะต้องเป็นคนที่ขับรถโอเคในระดับนึงนะครับ เพราะทางสะเมิงนั้น ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมีช่วงที่เป็นทางลูกรัง เป็นหลุมเป็นบ่อหนักๆอยู่บ้างช่วง และทางชันมากครับ โค้งหักศอกค่อนข้างเยอะ


ที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงวัดจั นทร์นี้ ถูกสร้างขึ้นเนื่องจากครั้งที่พ่อหลวงได้เสด็จมาเยี่ยมเยียนราษฎร ก็ทรงเห็นถึงความทุกข์ยากลำบากของชาวเขาที่นี่ จึงจัดตั้งศูนย์พัฒนาโครงการหลวงวัดจันทร์ขึ้นเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ส่งเสริมอาชีพต่างๆ รวมทั้งด้านการเกษตรและผลไม้เมืองหนาว ดังเช่นผลของโครงการที่เราได้ไปสัมผัสมากันแล้วที่บ้านห้วยฮ่อมเมื่อวานนี้ไม่ว่าจะเป็นนาขั้นบันไดเอย ลูกโทงเทงเอย งานผ้าทอของชาวบ้านเอย ที่นี่คือจุดศูนย์กลางการพัฒนาทั้งหมดนั่นเอง


หากคุณชอบบรรยากาศแบบปางอุ๋ง ผมบอกเลยว่าที่นี่คือสิ่งที่ให้บรรยากาศและความรู้สึกในอารมณ์ เดียวกันมากๆ หากอยากลองปลีกวิเวกจากคนเยอะๆที่ปางอุ๋ง มานอนรับไอหมอกที่นี่ดูบ้างก็ฟินไม่แพ้กัน ขนาดผมมาในช่วงวันหยุดยาว บอกเลยว่ามีคนเดินไปเดินมาไม่เกิน 20 คนได้ บรรยากาศสบายๆ เที่ยวแบบไม่เบียดเสียดใคร ชีวิตจะมีความสุขอะไรแบบนี้

พูดมากไปก็เท่านั้นครับ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ค่อยๆเลื่อนดูภาพไปอย่างช้าๆ ผมเชื่อว่าคุณจะซึมซับกับทุกสิ่งทุกอย่างไปทีละเล็กทีละน้อย แล้วจะรู้สึกได้เลยว่า 'มันน่าไปยืนอยู่ตรงนั้นมากแค่ไหน'...


เดินเล่นกันไปได้สักพัก ก็ไปหากาแฟดื่มกันสักหน่อยดีกว่าครับ ที่นี่จะมีร้านกาแฟอยู่ด้านใน เดินเลยออกมาจากตรงอ่างเก็บน้ำหน่อย ร้านจะอยู่ในโซนของที่พักอุทยานครับ


เสร็จแล้วเรามาเดินเล่นกันต่อดีกว่าครับ เดินไปดูรอบๆพร้อมๆกันเลย...


แต่ละจุดจะมีภาพของในหลวงในขณะทรงงานในตำแหน่งต่างๆของสถานที่นั้นๆ ทำให้เรารู้ว่าในวันวาน ณ ที่แห่งนี้ ณ ตรงนี้เคยเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นครับ


หมอกที่นี่จะลอยคละคลุ้งอยู่บนพื้นน้ำ อยู่จนถึงช่วงประมาณ 9 โมงได้ครับ หลังจากนั้นก็จะค่อยๆจางลงเรื่อยๆ จนหายไปในที่สุด

จริงๆแล้วที่นี่สามารถเดินทางมาได้ด้วยรถสาธารณะที่เป็นรถสองแถวสีเหลืองๆแบบนี้นะครับ ขึ้นมาจากตัวเมืองเชียงใหม่เลยก็ได้ วิ่งมาส่งถึงด้านในเลย สะดวกดีเหมือนกันสำหรับใครที่ไม่ได้เดินทางด้วยรถส่วนตัว


โซนนี้จะเป็นบ้านพักของอุทยานนะครับ แต่จะเป็นบ้านหลังใหญ่ๆ สำหรับมาเป็นครอบครัว แต่ถ้าเป็นหลังเล็ก ต้องเดินถัดไปอีกหน่อยครับ


มาที่นี่สิ่งที่ไม่พูดไม่ได้เลยก็คือ ต้นเมเปิ้ล นี่แหละครับ เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ต้องมาเก็บภาพไป ถ้ามาถูกช่วงถูกฤดูกาล ก็จะเปลี่ยนเป็นสีส้มทั้งต้นสวยงามมากทีเดียว


อิ่มอกอิ่มใจกับที่นี่กันเต็มที่แล้ว เราออกเดินทางต่อกันเลยดีกว่า เราจะวนกลับไปแวะที่ วัดจันทร์ กันครับผม


แนะ...ระหว่างทาง มีป้าย 'ระวังเป้อหน่า' ด้วยยยย คนต่างถิ่นแบบผมอ่านอาจจะไม่เข้าใจ ดีที่มีภาพประกอบ เลยรู้เลยว่าตัวอะไร 5555+


ถ้าใครได้มีโอกาสมาที่วัดจันทร์ คงพลาดไม่ได้กับ วิหารใส่แว่นนี้ คือทำไมต้องใส่แว่น ? เหตุผลคือ เดิมทีด้านในนี้ทึบมากเกินไป จึงมีการทำช่องนี้ขึ้นเพื่อให้มีแสงลอดเข้าไปนั่นเอง

ณ สถานที่แห่งนี้ เป็นที่ที่พ่อหลวงของเราเคยเสด็จมาแล้วถึง 4-5 ครั้งนะครับ ในอดีตทุกครั้งที่ท่านมา ประชาชนก็จะมารอรับเสด็จกันเต็มแน่นบริเวณวัดไปหมด




ส่วนโบสถ์นี้จะโบสถ์ไม้สักทั้งหลังนะครับ ไม่ว่าจะเป็นประตู-หน้าต่าง ก็มีการแกะสลักไม้อย่างสวยงาม ละเอียดละออมากๆ


เสร็จจากวัดแล้ว ผมก็หาข้าวหาปลากินกันสักหน่อย เพราะจุดมุ่งหมายของเราในวันนี้ยังอีกยาวไกลมากครับ ต้องไปถึง ปางมะผ้ากันเลย ระยะทางหลังจากนี้ ที่ผมต้องขี่ต่อไปในวันนี้ คือ...

จากวัดจันทร์ ไปปาย > 57 กิโล

จากปาย ไปปางมะผ้า > 58 กิโล

และจากปางมะผ้า ไปยังจุดหมายปลายทาง คือบ้านจ่าโบ่ > อีก 3 กิโล

เบ็ดเสร็จแล้ววันนี้ ประมาณเกือบๆ 120 กิโลได้ ไม่รู้จะขี่กันกี่ชั่วโมงนะครับเนี่ย 5555+ เพราะนี่มามอเตอร์ไซค์ แถมทางชันขึ้นเขา ลงเขาตลอดทาง เลี้ยวให้สุดลงเขาให้สุด โค้งเยอะเกินจะนับไหว แถมระหว่างทางที่ผมขี่ไป คือมีมอเตอร์ไซค์ล้มตรงช่วงโค้งหักศอกชันๆ กัน 2-3 ราย แถมบางรายขี่บิ๊กไบค์ที่ผมว่ารถดีทีเดียวแต่ก็ยังหลุดโค้งได้ ผมเลยขอแบบค่อยๆไปค่อยๆขี่ดีกว่า ปลอดภัยไว้ก่อน ถ้าช่วงไหนมันน่ากลัว ก็ลงเดินแล้วเข็นรถเอาก็ได้ครับ ผมไม่แคร์อะไรทั้งนั้นนนน

หลังจากออกจากวัดจันทร์มาได้ครึ่งทาง ก็เจอกับป้าย โป่งน้ำร้อนเมืองแปง เอ๊ะ!เข้าไปแค่ 4 กิโลเอง ไม่ไกลเลยก็เลยขอแวะเข้าไป แหมมมม แต่ลืมไปว่ามันคือ 4 กิโลบนเขา โอ้ววววว โค้งยังกับงูครับพี่น้องงงง ทางก็ชั๊นนนนชันนน เดชะบุญ 4 กิโล x 10 เข้าไปอีกนะครับ 5555+


ในที่สุดครับ...ในที่สุดดดด ผมก็มาถึง สะใจตัวเองเล็กน้อยครับที่ชะล่าใจกับคำว่าทางแค่ 4 กิโลเมตร เข้ามาข้างในน้ำงี้เดือดร้อนระอุเลย แอบคิดอยู่เหมือนกันนะครับว่าตั้งแต่มาที่นี่เจอแต่น้ำเย็นๆจนไม่กล้าอาบ มานี่เจอน้ำร้อนจะอาบซะดีมั้ย สงสัยจะพองแน่นอนนนน


เดินเล่นจนทั่วแล้วก็ออกเดินทางไปยังปายกันต่อเลยครับผม


พอใกล้จะถึงเขตปาย ก็จะบ่อน้ำร้อนอีกแล้วครับ! แต่อันนี้คืออยู่แบบข้างถนนเลย คิดในใจเมื่อกี้อุตส่าห์ขี่เข้าไป กว่าจะได้เห็นนั้นยากลำบาก แต่พอมาตรงนี้คือแบบ เฮ้ย!! อยู่ริมถนนงี้เลยหรอ แล้วความพยายามเมื่อกี้นี้คืออัลไล 5555+ แต่ก็เเวะอีกครับ เพราะที่นี่น้ำแบบเดือดปะทุแรงมาก มันสะใจเสียจริง ซื้อไข่นกกระทามาลวกกินกันหน่อยดีกว่าครับผม


อร่อยสมใจด้วยสองมือเราแล้ว ก็ขับต่อไปยังบ้านจ่าโบ่ที่ปางมะผ้ากันเลยครับ


กว่าจะมาถึงที่นี่เล่นเอาเมื่อตูดครับ โอ้ววววว ทั้งชีวิตใช้เวลาอยู่บนมอเตอร์ไซค์นานแสนนาน ออกจากบ้านวัดจันทร์มาตอน 9 โมง ถึงบ้านจ่าโบ่ประมาณบ่าย 3 โมงครึ่งได้ ขี่กันอยู่ 6 ชั่วโมง แต่ผมก็แวะตลอดทางครับ วนเข้าไปในปายด้วย แวะกินข้าว แวะพักรถบ้าง สุดท้ายไอ้แดงลูกผม ก็พาผมมาถึงยังดินแดนอันไกลแสนไกล ไม่รู้เป็นยังไงผมนี่ชอบรู้สึกว่าการมา แม่ฮ่องสอนนั้น เป็นจังหวัดที่ไกลที่สุดในประเทศไทยยังไงไม่รู้ 5555+ อาจจะด้วยเส้นทางที่ยาก และขึ้นเขาตลอด โค้งเป็นพันๆโค้ง เลยทำให้รู้สึกว่าการเดินทางนั้นมันไกลออกไป ขับนานใช้เวลามากกว่าการไปจังหวัดอื่นๆที่วิ่งพื้นราบ


มาถึงแล้วก็ติดต่อชาวบ้านแถวร้านก๋วยเตี๋ยวได้เลยครับ เค้าจะเรียกเจ้าของบ้านที่เราไปพักให้ ผมจองที่พักนี้ไว้ล่วงหน้าเดือนกว่าๆได้ ที่นี่จะเต็มค่อนข้างไว ต้องรีบจองล่วงหน้ากันเลยนี่โชคดีมากนะครับที่ผมจองได้ เพราะตอนติดต่อมาก็เหลือน้อยมากแล้ว ราคาของที่นี่ก็จะ คนละ 300 บาทครับ ที่พัก+อาหารเย็น 1 มื้อ โดยติดต่อกับตัวแทนที่ดูแลตรงนี้ทั้งหมด คือพี่ศรชัย ซึ่งเราจะได้พบกันต่อไปเร็วๆนี้

การเข้าพักที่นี่คือถ้าคุณมาตั้งแต่ 2-10 คนเป็นต้นไปก็ได้พักแบบเหมาหลังไปเลยนะครับ ไม่ได้ต้องไปนอนรวมกับใคร ดูจากภาพแล้วคือถ้ามากันเยอะ ก็มีที่นอนหมอนมุ้งให้กางเพิ่มได้ ห้องกว้างขวางดีเลยครับ แต่ถ้ามากันน้อยๆ ก็นอนมุ้งเดียวไป อีกมุ้งก็ไม่ได้เอาใครแปลกหน้ามานอนกับเรา ห้องนี้ก็จะเป็นของเราไปโดยปริยาย 55555+


มาถึงเก็บข้าวของ พูดคุยกับพี่เจ้าของบ้านเรียบร้อยแล้ว ก็กินข้าวเย็นกันให้อิ่มท้องและออกไปเดินเล่นแถวร้านก๋วยเตี๋ยว กับจุดชมวิวกันดีกว่าครับ มาดูกันว่าบรรยากาศยามเย็นที่นี่จะเป็นยังไงบ้างครับ


สวยงามกว้างสุดลูกลูกตาเลยครับ วันพรุ่งนี้จุดนี้จะเป็นไฮไลท์เด็ดยามเช้าเลยครับ รอลุ้นกันนะครับว่าพรุ่งนี้ภาพจะเป็นดั่งจินตนาการมั้ย


ค่ำแล้ว ออกมาดูดาว ถ่ายรูปเล่นกันหน่อยครับ ในขณะที่คนส่วนใหญ่หลับไหล ผมก็ถือโอกาสนี้ออกมาเดินเล่นแบบไม่มีคน สงบๆ สบายใจ ราตรีนี้มีเพียงหมู่ดาวมากมาย ไร้ซึ่งผู้คนเดินไปมา

เช้าวันต่อมาผมตั้งใจไว้ว่าจะขอเดินๆปีนๆ ขึ้นไปที่ภูผาหมอกเพื่อรอชมพระอาทิตย์ขึ้นกับทะเลหมอกในมุมสูงกัน ซึ่งเรียกว่า ภูผาหมอก เพราะจุดชมวิวตรงร้านก๋วยเตี๋ยวนี่ คนมารอกันเยอะตั้งแต่ตี 5 เลยครับ มีทั้งคนที่พักที่นี่ และขับมาจากที่พักที่ปางมะผ้าขึ้นมาดู ผมเลยติดต่อให้พี่เจ้าของบ้านเป็นผู้นำทางไป ค่าใช้จ่ายก็ 150 บาทครับ/คน ทางขึ้นก็กึ่งเดินกึ่งปีน ส่วนด้านบนยอดคือเป็นแต่หินแหลมๆ หาจุดนั่งจุดยืนยากหน่อย ต้องหาช่องวางเท้าเอาให้ได้

ส่วนพี่ที่นำทางผมแกก็น่ารักมากครับ คอยดูแลช่วยถือของด้วย นี่ก็เริ่มเดินขึ้นมากันตอน 6 โมงเช้า ใช้เวลาขึ้นประมาณ 15 นาทีเองครับ ขึ้นมาบนนี้นั่งรอพระอาทิตย์ขึ้นกันอยู่พักใหญ่ๆ คือตอนกลางวันจะสั้น ส่วนตอนกลางคืนจะยาว ทำให้ 6 โมงกว่าก็เเล้วพระอาทิตย์ก็ยังไม่มา กว่าจะเริ่มมีแสงส้มๆก็ปาเข้าไปเกือบ 7 โมงเช้าเเล้วเหมือนกัน

และเมื่อแสงอาทิตย์เริ่มมา ทำให้ค่อยๆมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าผมชัดขึ้นเรื่อยๆ มันสวยงาม ไม่ใช่เเค่เหมือนจินตนาการ แต่มันเกินจินตนาการผมไปอีก เรามาดูทะเลหมอกในเช้านี้จากยอดภูผาหมอกกันครับ


มองไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวคือคนแน่นขนัดจริงๆครับ ต้องบอกเลยว่าพอร้านเปิดปุ๊บ ทุกคนนี่มุ่งเข้าไปจับจองที่นั่งกันเต็มทั้งร้านในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ต้องบอกเลยว่าถึงแม้ว่าที่นี่จะคนเยอะ แต่ก็ไม่เยอะจนหนักหน่วงเกินไป เต็มที่ผมว่าน่าจะประมาณ 50-60 คนในร้านเดินเวียนกันเข้าออกไปมา (อันนี้ผมหมายถึงแค่เฉพาะตอนเช้านะครับ เพราะร้านเปิดทั้งวันก็จะมีขาจรแวะขึ้นมาเรื่อยๆ)


น่าอิจฉาบ้านหลังนี้เสียจริง ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลหมอกแบบนี้...


พระอาทิตย์เริ่มขึ้นชัดขึ้นเรื่อยๆแล้วครับ จากต้อนแรกคือหมอกหนา ทำให้เห็นแต่แสงส้มๆ แต่ยังไม่ทันขึ้นมาเป็นดวงกลมๆ แต่ตอนนี้เริ่มขึ้นมาแล้ววว


นี่ครับ บุคคลท่านนี้ที่ผมภูมิใจนำเสนอ พี่ศรชัย พระเอกของบ้านจ่าโบ่ ต้องบอกว่าเป็นชาวเขาที่ไม่ธรรมดาเลยเเม้แต่นิดเดียว การที่บ้านจ่าโบ่เป็นที่รู้จักได้ขนาดนี้ ทุกอย่างล้วนเริ่มต้นมาจากพี่ศรชัยคนนี้ทั้งนั้น

ทำให้ชาวเขาที่นี่มีรายได้และรู้จักปรับตัว พัฒนาถิ่นที่อยู่ไปในทางที่ดีแบบที่ยังคงรักษาระดับคุณภาพด้วยครับ คือไม่ใช่ปล่อยให้คนมาเที่ยวจนทุกสิ่งทุกอย่างเละเทะ แต่รู้จักพัฒนาโดยให้ตอบโจทย์ว่า 'การเติบโต การเป็นที่รู้จักมันต้องมาพร้อมคุณภาพเสมอ'

เห็นแบบนี้บอกเลยนั่งคุยกับแกเพลินมากนะครับ เป็นชาวเขาที่บอกว่าจบแค่ ม.6 แต่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ได้มาด้วยประสบการณ์ชีวิตล้วนๆ พูดได้หลายภาษา อ่านหนังสือเยอะมาก เก็บเกี่ยวความรู้ดีๆ เพื่อนำไปปรับใช้ คำพูดทุกคำที่ออกมาจากปาก เราจะแทบไม่เชื่อเลยครับว่านี่คือชาวเขาธรรมดาๆคนนึง ที่เกิดและเติบโตอยู่ในที่ห่างไกลแบบนี้ เพราะความคิดความอ่านเสมือนคนเมืองหัวสมัยใหม่ และมีโลกทัศน์ที่กว้างมาก

คำนิยามของที่บ้านจ่าโบ่แห่งนี้ พี่ศรชัยได้บอกผมไว้ว่า 'Slow Life but High Speed' คือที่นี่เราใช้ชีวิตกันอย่างสบายๆช้าๆ แต่เราไม่ล้าหลัง

ผมเชื่อว่า คนไทยหลายคนรู้จักบ้านจ่าโบ่กันเยอะมากแล้ว แต่ผมก็เชื่อมั่นอีกว่ามีไม่กี่คนที่จะรับรู้ว่า กว่าจะเป็นบ้านจ่าโบ่อย่างทุกวันนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร และจุดเริ่มต้นคืออะไร วันนี้ผมจึงได้รับคำตอบเหล่านั้นแล้วครับ แถมพี่ศรชัยยังมีโครงการจะพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวละแวกนี้ออกไปให้ได้อย่างบ้านจ่าโบ่เช่นกัน


นี่คือบ้านของพี่ศรชัยครับ เห็นวิวแล้วอิจฉามั้ยละครับ แหม...อยากมีบ้านอยู่แบบนี้บ้าง ตื่นมาเห็นทะเลหมอกจากระเบียงบ้านทุกวัน จ่ายเงินเท่าไหร่ก็ซื้อวิวแบบนี้ไม่ได้นะครับ เสร็จจากแวะมาดูบ้านพี่ศรชัยแล้ว เราก็มาดูบรรยากาศร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขากับวิวแสนอลังการกันเลยครับผมมมม...


นั่งกินก๋วยเตี๋ยวตรงนี้ อิ่มท้องไม่พออิ่มใจมากด้วย ไม่เคยนั่งกินก๋วยเตี๋ยวที่ไหนแล้วเงยหน้ามาเห็นภาพแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต


กินเสร็จแล้วเราก็ได้เวลาต้องเก็บข้าวของกลับเข้าตัวเมืองเชียงใหม่กันแล้วครับ วันนี้ขี่อีกยาวๆเช่นกัน 200 กว่าโล เกือบ 300 โลแน่นอน ทำใจไว้แล้วครับ 5555+


กลับมาที่พักก็เห็นพี่ๆเค้านั่งทำกับข้าวกันอยู่ ก็ขอเข้าไปถ่ายภาพเก็บบรรยากาศมาสักหน่อย


จุดนี้จะเป็นวิวที่เห็นได้จากระเบียงทีพักของผม สวยงามสบายตาวิวดีเลย


ถ่ายคู่กับคุณป้าเจ้าของบ้านผู้น่ารักสักหน่อยครับ ดูแลผมอย่างดีเลย ประทับใจมากกกกครับ


ระหว่างทางขี่กลับ จนเวลาก็สายๆแล้ว แต่ต้องบอกเลยว่าที่นี่กลายเป็นเมืองในสายหมอกเลยครับ หมอกปกคลุมทุกทิศทาง ขี่รถลงเขามาแบบฝ่าหมอกมาเลย


ขี่ต่อไปได้สักพักผมก็แอบมองเห็นลำธารอยู่ไกลๆ เลยจอดมอเตอร์ไซค์แล้ววิ่งลงไปดูสักหน่อย น้ำใสไหลเย็นชื่นใจจริงๆ แวะได้ไม่นานก็ขี่รถมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯกันต่อไป ระยะทางทั้งหมดที่ขี่มาในทริปนี้ รวมๆแล้ว 500 กว่ากิโลใน 3 วัน ซึ่งผมเองก็เพิ่งจะเคยขี่ไกลขนาดนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน


กับการเดินทางตามรอยพ่อในครั้งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นจากพื้นดิน มุ่งหน้าสู่ยอดเขาสูงชัน ที่แม้แต่เราไปในวันที่มีการพัฒนาและเส้นทางดีขึ้นเเล้ว ก็ยังแอบมีบางจุดที่ไปอย่างยากลำบากและแสนไกล ลองคิดดูสิครับว่า ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนในหลวงท่านทรงเสด็จมาในที่เหล่านี้จะยากลำบากกว่าที่เรามาสักแค่ไหน ?

การได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นเพื่อส่วนร่วมแบบที่พ่อของเราเคยทำ ผมว่ามันชัดเจนมากและคนไทยทุกคนสัมผัสได้ เพราะท่านไม่เพียงแค่พูดให้เราฟัง แต่ท่านนั้นได้ลงมือทำให้เราได้เห็นกับตา ผมเองก็ตั้งใจว่ากลับไปก็อยากจะทำอะไรที่ดีๆดังเช่นพ่อของเรา นำความรู้ความสามารถที่มีทำอะไรดีๆเพื่อส่วนร่วมเท่าที่เราจะมีกำลัง แค่นั้นผมว่าก็สุขใจแล้ว

ในวันนี้ผมเรียกการมาครั้งนี้ว่าเป็นการเดินทางที่แสนมีค่า ผมชอบคำพูดของพี่ศรชัย ที่บอกว่า 'เพราะความแตกต่าง ทำให้เกิดการเดินทาง' ซึ่งประโยคนี้ไม่มีอะไรที่ไม่เป็นความจริงเลยสักนิดเดียว คนเราออกไปยังโลกใหม่ๆ เพื่อค้นหาอะไรบางอย่างที่แตกต่าง ออกไปลองใช้ชีวิตที่แตกต่าง ออกไปเรียนรู้เรื่องราวที่แตกต่าง โดยใช้การเดินทางเป็นสื่อกลางของเรื่องราวทั้งหมด

เมื่อผมขี่รถมาไกลไปตามรอยเท้าของพ่อ กับเส้นทางสายหมอกที่พาผมมาอยู่ในจุดนี้ เหนื่อยแค่ไหนก็มีความงามและความเย็นปกคลุมใจ ได้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตกลับไป ได้พบประสบการณ์แปลกใหม่ และผู้คนมากมายที่รายล้อมตัวเรา รวมทั้งความสุขที่เกิดขึ้น ทำให้ผมได้รู้ว่า ไม่มีอะไรที่จะอยู่กับเราตลอดไป นอกจากประสบการณ์ชีวิตที่ได้มาจากการเดินทาง

.

.

.

ร่วมสนับสนุนการทำความดี ตามรอยพระยุคลบาท เพื่อพ่อหลวงของเรา โดย "Jetradar.co.th" และ "Readme.me"...ติดตามการเดินทางของ ค น ห ล ง ท า ง ได้ใหม่เร็วๆนี้...ขอบคุณครับ ^^


-------------------------------

ติดต่อจองทีพัก บ้านห้วยฮ่อม อ.กัลยานิวัฒนา : พี่เช 080 859 2978

**ก่อนเดินทางแนะนำให้สอบถามค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆ ที่เราต้องการตกลงกันไว้ล่วงหน้านะครับ เช่น ราคานำเที่ยว หรืออื่นๆนอกเหนือจากโฮมสเตย์และอาหาร

ติดต่อจองทีพัก บ้านจ่าโบ่ อ.ปางมะผ้า : พี่ศรชัย 080 677 5794

https://www.facebook.com/cbtbaanjabo

ค น ห ล ง ท า ง

 วันพฤหัสที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 23.54 น.

ความคิดเห็น