...ดอยม่อนจอง ชื่อนี้กลับมาอยู่ในความคิดอีกครั้ง หลังจากทริปที่ตั้งใจจะไปทางอ.อุ้มผาง จ.ตาก ถูก CXL เนื่องด้วยสถานการณ์ความปลอดภัยแถบนั้นที่ไม่ค่อยจะดีนักในช่วงนี้ ก็เลยตัดสินใจหาทริปใหม่ มาลงที่ดอยม่อนจองแทน ซึ่งดอยม่อนจองนี้ผมเคยเดินเมื่อ 5 ปีก่อนสมัยตอนเริ่มเดินป่าใหม่ๆ ซึ่งตอนนั้นเป็นอะไรที่สาหัสอยู่เหมือนกันกับคนที่ไม่เคยออกกำลังกาย ทำให้ไม่สามารถพิชิตยอดดอยหัวสิงห์ซึ่งเป็นยอดที่สูงที่สุดของดอยม่อนจองได้ กลับมาคราวนี้ตั้งใจว่าจะไปแก้ตัวอีกครั้ง เพราะมันค้างคาใจที่ขึ้นยอดไม่สำเร็จ และจะไปเก็บภาพเพิ่มเติมด้วยเพราะตอนนั้นยังถ่ายภาพไม่ค่อยเป็นสักเท่าไหร่

...ผมเลือกใช้บริการเดินป่ากับกลุ่ม พี่กัณฑ์ คนแบกเป้ เจ้าเก่าเพราะขี้เกียจรวบรวมหาสมาชิกไปกันเอง เพราะไหนจะเรื่องเวลาที่ตรงกัน และความวุ่นวายต่างๆ ที่ทำให้ทริปล่มมาหลายครั้ง ผมก็เลยมักเดินทางไปแจมกับกลุ่มต่างๆที่มีเป้าหมายเดียวกัน เรารวมตัวกันที่ big c สะพานควายนั่งรถตู้ไปกัน 2 คันแวะที่ อ.อมก๋อยหาข้าวเช้ารองท้อง และซื้อเสบียงสำหรับหุงหาอาหาร เสร็จแล้วเดินทางต่อไปยัง หน่วยบริการนักท่องเที่ยวดอยม่อนจอง ชุมชนบ้านมูเซอปากทางซึ่งเป็นศูนย์รวมในการจัดการนำนักท่องเที่ยวขึ้นดอย ต้องไปติดต่อที่นี่ก่อน จัดแจงหาลูกหาบ และติดต่อรถ 4 wd เพื่อบรรทุกพวกเราไปยังจุดเริ่มเดิน รวมแล้วใช้เวลาจากกทมไปถึงจุดเริ่มเดินก็ 14 ชม.กว่าจะได้เดินก็บ่ายโมงครึ่งเข้าไปแล้ว ซึ่งวันที่ไปตรงกับช่วงหยุดยาวรัฐธรรมนูญนักท่องเที่ยวเลยค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษ


นั่งรถจากหน่วยมาจุดเริ่มเดินจะเป็นทาง offroad ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่ากับระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร ส่วนเส้นทางเดินป่าขึ้นไปยังจุดกางเต้นท์ เส้นทางจะค่อนข้างชัดเจนไม่มีหลง และทางเดิน trail ค่อนข้างจะง่ายๆเดินขึ้นๆลงๆไม่ชันมากใช้เวลาเดินชิลๆถ่ายรูปไปด้วยประมาณ 3 ชม.กับระยะทาง 6 กิโล ระหว่างทางจะมีจุดถ่ายภาพ อยู่จุดหนึ่ง คิอ หินช่อ เป็นก้อนหินที่โผล่พ้นจากพื้นดินซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ เป็นจุดถ่ายภาพมุมสูง และ selfie ได้ดี มุมภาพอลังการหากใช้พวกกล้อง action camera ถ่าย ถึงแม้จะไม่มีป้ายห้ามขึ้น และทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้ว่าอะไร แต่ควรคำนึงถึงความปลอดภัย และระมัดระวังในการปีนป่ายด้วยน่ะครับ เพราะข้างบนก้อนหินค่อนข้างมีพื้นที่จำกัด

ถัดจากหินช่อมาก็เดินลัดเลาะไปตามซอกเขาก็จะมาเจอเนินไฮไลต์สำคัญ คือเนินหมาหอบ ซึ่งเป็นจมูกดอย จุดนี้จะเป็นจุดที่ค่อนข้างชัน สำหรับมือใหม่คงใช้เวลาพอสมควร แต่ก็ไม่ยากเกินผ่านไปได้ หลังจากผ่านเนินหมาหอบมาเส้นทางจะเดินไปตามเนินเขาหัวโล้น วิว 360 องศาท้องฟ้าครึ้ม ลมเย็นๆกำลังสบายพัดมากระทบหหน้าเรียกความสดชื่นได้เป็นอย่างดี มองเห็นยอดหัวสิงห์โผล่มาทักทายไม่ไกล ผมเดินเลี้ยวซ้ายลงหุบไปดูที่กางเต้นท์ซึ่งวันนี้นักท่องเที่ยวเยอะมากทำให้สถานที่กางเต้นท์ค่อนข้างจำกัด บนยอดดอยจะมีจุดกางเต้นท์อยู่ 3 จุด camp แรก คือก่อนถึงเนินหมาหอบ ไว้สำหรับที่กางเต้นท์หลักเต็มจึงมากางบริเวณนี้ แต่จะเดินขึ้นยอดไกลหน่อย camp 2 เป็นจุดกลางเต้นท์หลักเดินจากสนามกอลฟ์ช้างลงหุบไปทางขวามือ ตรงนี้จะมีห้องน้ำ มีน้ำลำธารเล็กๆให้ใช้อุปโภค บริโภค camp 3 จะลงหุบมาทางซ้าย แต่ต้องเดินมากรอกน้ำที่ camp 2 กับไม่มีห้องน้ำ ทั้ง 3 camp จะเป็นจุดกางเต้นท์ที่ทางเจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้ เพราะเป็นจุดอับลม กลางคืนอากาศบนยอดดอยจะหนาวมาก แต่เนื่องจากวันหยุดยาวสถานที่กางเต้นท์อาจจะเดินไกลหรือคับแคบไปหน่อยเลยมีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่ฝ่าฝืนกางเต้นท์กันบริเวณสนามกอลฟ์ช้างซึ่งเป็นจุดที่ห้ามกางเต้นท์


เย็นนี้ผมยังไม่ขึ้นยอด ให้พวกนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นขึ้นไปก่อน ส่วนใหญ่ที่นี่จะมากันแค่คืนเดียวขึ้นยอดตอนเย็นหรือไม่ก็เช้าวันรุ่งขึ้น สายๆก็เก็บ camp กลับกันแล้ว แต่ผมคิดว่าไหนๆก็เดินทางกันมาไกลหลายชม.มาอยู่แค่คืนเดียวมันน้อยไป และบนยอดดอยม่อนจองมันไม่ได้มีแค่ยอดหัวสิงห์อย่างเดียว ยังมีอีกหลายอย่างที่น่าสนใจก็เลย อยู่กัน 2 คืน คืนนี้ผมขึ้นมาแค่สนามกอลฟ์ช้าง มานั่งชมดาวกับเพื่อนๆ ทั้งดาวบนดินและดาวบนฟ้า รวมถึงจิบดาวลอยที่อยู่กลางวงขับไล่ความหนาวที่อุณหภูมิเลขตัวเดียวบนยอดดอย ดึกๆค่อยลงกลับไปซุกตัวอยู่ในถุงนอนใน camp เพราะทนหนาวไม่ไหว อุณหภูมิใน camp จะดีมาหน่อยอยู่ที่ 13 องศา

เช้ามืดวันที่ 2 ผมตื่นแต่ตี 4 ลุกขึ้นมาถ่ายดาว ถึงแม้จะเป็นข้างขึ้น แต่ดวงจันทร์ตกไปตอนใกล้ๆ ตี 4 เลยมองเห็นทางช้างเผือกค่อนข้างชัดเจน แต่เดือนนี้เป็นช่วงที่มองเห็นได้น้อยแล้ว จึงโผล่มาให้เห็นแค่หางๆ เท่านั้น แล้วรอถ่ายดวงอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตกที่นี่จะค่อนข้างถ่ายยากเพราะมันไม่ได้ค่อยๆขึ้นมาจากขอบฟ้า แต่มันจะโผล่มาจากชั้นของเมฆหมอกเลย โผล่มาแสงก็จ้าเลยทีเดียว

หลังจากตะวันขึ้นสักพัก หามุมถ่ายภาพเล่นสนุกๆ เดี๋ยวค่อยขึ้นยอดวันนี้ช่วงบ่ายๆ ไปนั่งเฝ้าดวงอาทิตย์ตกดีกว่า นั่งชื่นชมบรรยากาศและถ่ายรูปเล่นแล้วก็เดินกลับ camp ไปหาอะไรรองท้องแล้วพักผ่อนก่อน ข้อดีของทริป 3 วัน 2คืนคือเราไม่ต้องเร่งรีบ และได้พักผ่อนเก็บเกี่ยวความสุขกับธรรมชาติกันอย่างเต็มที่จริงๆ

บริเวณเนินก่อนลงหุบไปยังจุดกางเต้นท์จะเป็นทุ่งหญ้า และมีหลุมขนาดใหญ่ อยู่หลุมหนึ่งที่มีเต้นท์กางอยู่ ลักษณะบริเวณนี้จะเหมือนสนามกอลฟ์ ประกอบกับมีช้างลงมาหากินบริเวณนี้อยู่เรื่อยๆ เขาเลยเรียกสนามกอลฟ์ช้าง ซึ่งบริเวณนี้จริงๆเขาห้ามกางเต้นท์ แต่เนื่องด้วยที่นี่เป็นแค่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ยังไม่ได้เป็นอุทยานแห่งชาติ การบริหารจัดการยังไม่ค่อยดี แต่ก็ดีขึ้นกว่า 5 ปีก่อนมาก แต่ที่เห็นคือเจ้าหน้าที่มีน้อย ต้องใช้ลูกหาบในการช่วยแจ้งเตือนบรรดานักท่องเที่ยว ถึงกฎข้อห้ามต่างๆ แต่อย่างว่ามีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่ไม่ปฎิบัติตามอาจจะโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือไม่มีคนอธิบายถึงข้อห้ามการกางเต้นท์บริเวณนี้ เพราะมันเป็นสาเหตุให้เกิดไฟป่าจากการหุงหาอาหาร และบรรดาหญ้าแห้งก็เป็นเชื้อเพลิงอย่างดีประกอบกับมีลมพัดอยู่ตลอดเวลา หากเราดับไม่สนิท แล้วมันเกิดมันปะทุขึ้นในช่วงที่ไม่มีใครอยู่บนดอยมันจะควบคุมลำบาก แล้วผลเสียมันก็ตกกับชาวบ้าน สัตว์ป่า เจ้าหน้าที่โดยตรง เพราะฉะนั้นควรเชื่อฟังเจ้าหน้าที่ เราจะได้ท่องเที่ยวกันอย่างยั่งยืน

มาดูบรรยากาศใน camp กันบ้างหลังจากินข้าวเสร็จ ส่วนใหญ่ก็มุดเข้าเต้นท์พักผ่อน เพราะตื่นกันแต่เช้า แถมอากาศดีๆแบบนี้มันน่านอนยิ่งนัก บางส่วนก็นั่งพูดคุยจิบกาแฟ การมาตั้งแค็มป์กลางป่ากลางดอย ถิอว่าเป็นการพักผ่อนได้เป็นอย่างดีถึงแม้จะเหน็ดเหนือยจาการเดินทางไปบ้าง แต่อากาศกับธรรมชาติรอบข้างก็ช่วยเยียวยาสภาพร่างกาย แถมบรรดาลูกหาบคนพื้นบ้านมักมีสมุนไพรพวกรากไม้เปลือกไม้มาต้มให้กินช่วยบรรเทาการปวดเมื่อยได้เป็นอย่างดี ผมมาที่นี่ 2 ครั้งแล้วก็ได้กินทั้งสองครั้งแสดงว่าพวกเขากินกันเป็นประจำอยู่แล้ว

ช่วงบ่าย 3 เราขึ้นยอดหัวสิงห์เพื่อไปเก็บภาพดวงอาทิตย์ตกดินกัน ระยะทางจากสนามกอลฟ์ช้างไปยังยอดหัวสิงห์สักประมาณ เกือบ 2 กิโลได้ เส้นทางก็เดินไปตามสันดอย จนใกล้ๆขึ้นยอดก็ไต่ขึ้นไปตามก้อนหินบ้าง ตลอดรายทางมีมุมถ่ายภาพสวยๆมากมาย แต่ต้องระมัดระวังในจุดที่หมิ่นเหม่เสียงที่จะเกิดอันตรายให้มาก หากไม่มั่นใจหรือเป็นโรคกลัวความสูงก็อย่าเข้าใกล้จุดต่างๆเหล่านั้น

ในที่สุดก็ขึ้นมาถึงยอดจนได้ ทางเดินก็ไม่ลำบากมากนักเดินประมาณสัก 20-30 นาทีจากสนามกอลฟ์ช้างมาถึงยอดหัวสิงห์ วิวบนยอดหัวสิงห์มุมมอง 360 องศา เบื้องหน้ามองเห็นลำน้ำแม่ตื่นไหลคดเคี้ยวไปตามที่ราบเชิงเขา เป็นต้นน้ำของแม่น้ำปิงไหลไปลงยังเขื่อนภูมิพล มองลงไปยังพื้นที่ราบด้านล่างเป็นไม้พุ่มเล็กๆ เต็มไปทั้งบริเวณ น่าแปลกใจเหมือนกันที่ไม่เห็นไม้ใหญ่เลย ผืนป่าด้านซ้ายจะทอดยาวไปถึง อ.สามเงา จ.ตาก มีทางเดินลัดเลาไปตามสันดอยรูปร่างแปลกตาไปถึงยังองค์พระพุทธรูป และยอดหัวลิง ผมไม่รอช้าเดินลงไปสำรวจดูทันที เพราะยังมีเวลาเหลือก่อนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า

จากยอดหัวสิงห์มายังองค์พระ ระยะทางน่าจะไม่ถึงกิโล และจากองค์พระไปยังยอดหัวลิงน่าจะประมาณ 500 เมตร แต่ดูจากเส้นทางไปยอดหัวลิงแล้วจากองค์พระต้องเดินลงหุบและไต่ขึ้นยาวไปถึงยอดหัวลิง คงมีเวลาไม่พอ เลยเก็บภาพถึงบริเวณองค์พระเท่านั้น แล้วเดินกลับไปถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกบนยอดหัวสิงห์ ถัดจากยอดหัวลิงเห็นลูกหาบบอก ยังมียอดหัวหมา ยอดหัวคน และเป็นทางลงไปยังหมู่บ้านที่ต้องผ่านน้ำตกอะไรสักอย่าง เส้นทางนี้ขึ้นได้เหมือนกัน แต่ค่อนข้างจะชันและลำบากกว่าทางปกติ

ขึ้นมาบนยอดหัวสิงห์อีกครั้งเพื่อเก็บภาพดวงอาทิตย์ตกดิน ซึ่งโผล่มาให้เห็นนิดเดียวแล้วก็หายเข้ากลีบเมฆไปอย่างรวดเร็ว แต่แสงทไวไลท์หลังอาทิตย์ตกช่างงดงามยิ่งนัก

เช้าวันรุ่งขึ้น ก็ถึงเวลาเก็บ camp ออกเดินทางกลับ ตอนแรกตั้งใจจะมาถ่ายแสงเช้าอีกครั้ง แต่แบ็ตดันหมดซะก่อน ถึงแม้ภาระกิจที่จะได้ส่องกวางผาจะไม่สำเร็จ และกุหลาบพันปียังไม่ออกดอก (ออกช่วง ม.ค) แต่ก็ทำให้มีความสุขทุกครั้งที่ได้มาเยือน เราออกจาก camp 9 โมงครึ่ง นั่งรถกลับมาถึง กทมถึงเกือบตี 2 ครึ่ง บางคนก็ต้องตื่นแยกย้ายไปทำงานกันต่อ ส่วนผมก็ลาเพิ่มอีกวัน พักผ่อนร่างกาย หมดไปอีกทริปนึง คงเป็นทริปสุดท้ายของปีนี้แล้ว เจอกันใหม่ปีหน้า...


ดอยม่อนจอง เปิดให้ขึ้นเดือน พ.ย - ก.พ ต้องติดต่อขออนุญาตกับทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย หน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอ ก่อน การเดินทางไปอมก๋อย ศึกษาได้จาก click ที่นี่ เมื่อถึงหน่วยบริการนักท่องเที่ยวดอยม่อนจอง ชุมชนบ้านมูเซอปากทางติดต่อลงทะเบียน หลังจากนั้นจัดเตรียมสัมภาระ และหาลูกหาบเสร็จแล้ว ขึ้นรถ 4 wdไปยังจุดเริ่มเดินระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร และเดินเท้าขึ้นยอดอีกประมาณ 6 กิโล ราคารถ 3,000 บาท/กรุ๊ป 10 คนทั้งไปและกลับ ค่าลูกหาบ 600 บาททริป 2 วัน 1 คืนเพิ่มจำนวนวันก็คิดวันล่ะ 300 แบกน้ำหนักได้ 15 - 20 โล เตรียมอาหารให้ลูกหาบไว้ด้วย เบอร์โทรติดต่อ 080-1333970


-ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ได้เข้ามาชม และ กด like กด share เป็นกำลังใจน่ะครับ

-แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือพูดคุย สอบถามข้อมูลการเดินทาง ได้ที่ Fanpage : สตั๊ดดอยร้อยเรื่องราว

-ติดตามบทความเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ ทริปเดินทางทั้งหมด




สตั๊ดดอย ร้อยเรื่องราว

 วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.21 น.

ความคิดเห็น