ก่อนอื่นเลยต้องสารภาพตามตรงก่อนว่า “ไต้หวัน" ไม่เคยอยู่ใน wish list ของผมเลย ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะ แต่ประมาณว่าไม่ได้ให้ความสนใจมากกว่า ก็เลยไม่ค่อยรู้ว่ามีอะไรให้เที่ยวบ้าง… เห็นผ่านตาบ่อยๆ ก็มีแต่ตึกไทเป 101 กับ Sun Moon Lake ซึ่งอย่างหลังก็ไม่ถึงกับโดนจริตผมเท่าไหร่ … แต่ในที่สุดผมก็ได้ไปเห็นไต้หวันกับตาตัวเองเป็นเวลา 5 วัน 4 คืน หลังจากทนการเกลี้ยกล่อมของเพื่อนไม่ได้ … การไปสัมผัสไต้หวันช่วงสั้นๆ ครั้งนี้ทำให้ผมได้เห็นอะไรที่ไม่คาดหวังหลายอย่าง ได้รู้จักไต้หวันมากขึ้น และรู้สึกว่าไต้หวันนั้นมีเสน่ห์ในแบบของตัวเองที่ไม่เหมือนใคร และนี่คือบันทึกการเดินทางไปไต้หวันครั้งแรกของผมครับ
หากชอบใจรีวิว ช่วยเป็นกำลังใจติดตามผลงานได้ด้วยนะครับ
- Blog : 9Mot (http://www.9Mot.com)
- Fb page : นายมด (https://facebook.com/9MotPhotography)
- IG : @9Mot (https://instagram.com/9mot)
- Youtube : 9Mot (https://youtube.com/c/9MotPhotography)
การเดินทางไปไต้หวันครั้งนี้ผมใช้สายการบิน Nokscoot ซึ่งออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองประมาณตีสองครึ่ง ใช้เวลาราว 3 ช.ม. ครึ่งและไปถึงสนามบินเถาหวนประเทศไต้หวันเจ็ดโมงเช้านิดๆ …
ข้อดีคือเราจะมีเวลาเที่ยวเต็มวัน แต่ต้องพักผ่อนให้เต็มที่ไม่เช่นนั้นจะพาลไม่สบายได้ ที่ผมชอบอีกอย่างคือบรรยากาศตอนพระอาทิตย์ขึ้นเมื่อมองจากหน้าต่างเครื่องบินนี่แหละ เหมือนอยู่บนสวรรค์เลย (จริงๆ ก็ยังไม่เคยขึ้นสวรรค์นะ แต่คิดไปเองว่าเหมือนกัน อิอิ)
ประทับใจแรกของผมสำหรับไต้หวันเกิดที่สนามบินนี่แหละครับ สถาปัตยกรรมของอาคารที่บริเวณทางเข้าจุดตรวจคนเข้าเมืองสวยงาม ใครมาก็ต้องชอบทุกคน
ขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองจะสะดวกขึ้น ไม่ต้องกรอกเอกสารเพิ่มถ้าทำ online ล่วงหน้ามาแล้ว ทั้งนี้สามารถไปกรอกได้ที่นี่ (ตรงช่อง Visa type ให้เลือกเป็น VISA Exempt , ช่อง Entry Permit/Visa No. ให้เว้นว่างไว้ ส่วนช่อง Purpose of Visit เลือกเป็น Sightseeing, สำหรับช่องอื่นๆ ก็กรอกข้อมูลของเราลงไปครับ)
หลังจากรับกระเป๋าเรียบร้อยผมก็แวะซื้ออาหารเช้ารองท้องที่ 7 Eleven ในสนามบิน สังเกตดูราคาสินค้าพบว่าไล่เลี่ยกับบ้านเรา อาจมีบางอย่างที่แพงกว่าเล็กน้อย … จากนั้นก็ไปซื้อตั่วขึ้นรถบัส (UBUS) เพื่อเดินทางไปยังสถานีรถไฟความเร็วสูง THSR (Taiwan High Speed Rail) ที่อยู่ห่างออกไปราว 20 นาที ทั้งนี้บัสจะมีทุกๆ 10 นาทีหรือถี่กว่านั้นในช่วงพีคครับ
ช่อง 2 ที่เห็นนั่นแหละครับ ติดต่อตรงนั้นได้เลย
จากนั้นก็เดินไปขึ้นที่ชานชาลาซึ่งอยู่นอกอาคาร (ชานชาลา 12)
ที่สถานีรถไฟความเร็วสูงเถาหวน THSR Taoyuan Station มีเพื่อนอีกกลุ่มที่เดินทางมาถึงล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อวานมาสมทบ โดยวันนี้เราจะนั่งรถไฟความเร็วสูงไปยังเมืองไทจง (Taichung) ซึ่งถือว่าเป็นเมืองใหญ่อันดับสามของไต้หวัน และจะพักที่เมืองนี้สองคืนเพื่อใช้เป็นฐานในการท่องเที่ยวบริเวณใกล้เคียง
สำหรับตั๋วรถไฟความเร็วสูงเราสอยมาล่วงหน้าแล้ว เนื่องจากเราวางแผนเดินทางด้วยรถไฟความเร็วแค่ 2 ครั้งตลอดทริป จึงไม่คุ้มที่จะซื้อแบบ day pass เราจึงซื้อแบบเที่ยวเดียวเท่านั้น แต่วิธีการก็เหมือนกับแบบซื้อ day pass ซึ่งไม่แตกต่างกับ JR pass ครับ คือนำ voucher ไปแลกเป็นตั๋วโดยสารที่ช่อง Periodic ticket ครับ
ได้ตั๋วมาแล้วก็ลงไปรอรถได้เลย ซึ่งถ้าใครเคยไปญี่ปุ่นมาแล้วจะรู้สึกว่าที่ไต้หวันง่ายกว่ามาก เพราะเส้นทางรถไฟไม่ซับซ้อน (โดยเฉพาะรถไฟความเร็วสูง) ไม่ต้องกลัวว่าจะหลงในสถานีเหมือนที่ญี่ปุ่น
รถไฟความเร็วสูงของไต้หวันนั้นสะดวกสบายไม่ต่างกับ Shinkansen ของญี่ปุ่นครับ กว้างขวาง สะดวกสบายและวิ่งเร็วเหมือนกัน ☺ ชมวิวแบบเพลินๆ ราว 40 นาที ก็ถึง Taichung ที่อยู่ห่างไป 100 กว่ากม.แล้ว
นื่องจากกรุ๊ปของเรามีกัน 6 คน จึงตัดสินใจว่าเราจะเหมารถเที่ยวกันเพราะมีความยืดหยุ่นในการเดินทาง ทั้งนี้ที่ไต้หวันจะคิดแบบเป็นรายชั่วโมง รวมค่าจอดค่าทางด่วน บางโปรแกรมรวมน้ำมัน บางเมืองก็ไม่รวมทั้งนี้ต้องดูรายละเอียดจากในเวปอีกที วันนี้เราเช่ากัน 10 ชั่วโมงเริ่มตั้งแต่สถานีรถไฟเลย เป็นรถตู้ยี่ห้อท้องถิ่นนั่งสบายกำลังดีตัวอย่าง package ราคาราว 6000 บาท (รวมค่าทางด่วน, ค่าน้ำมัน) หารต่อคนแล้ว 1000 บาท (ไม่รวมค่าอาหาร) เที่ยวได้ทั้งวันก็คุ้มค่าอยู่ครับ …
เพื่อความคล่องตัวเรานำสัมภาระไปฝากที่ Taichung Box Design Hotel ซึ่งเป็นที่พักสำหรับ 2 คืนของพวกเรา
จากโรงแรมรถนำเราขึ้นทางด่วนมุ่งสู่เมือง Nantou (หนานโถว) เพื่อไปยัง Shanlinxi Forest Park … ยิ่งไกลออกไป สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากเมืองเป็นสีเขียวของต้นไม้ สังเกตเห็นว่าที่ไต้หวันมีต้นหมากเยอะมาก เพื่อนที่เป็นเซียนไต้หวันเลยบอกว่าที่ไต้หวันมีการขายหมากอย่างแพร่หลาย ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย เพราะสาวขายหมากนั้นแต่งตัวออกแนว sexy เป็นพริตตี้หมากกันเลยทีเดียว เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้ไปอุดหนุน อิอิ …. เส้นทางช่วงท้ายเริ่มเข้าสู่เขตภูเขา จะว่าไปบรรยากาศคล้ายกับทางเหนือบ้านเรามาก
เราแวะทานข้าวเที่ยงกันที่ปากทางเข้า Sitou Nature Eduction Area เป็นอาหารไต้หวันแบบเป็นทางการมื้อแรกของผม (ไม่นับอาหารเช้าที่ซื้อของใน 7 Eleven ทาน) รสชาติจะเป็นแบบบางๆ ผมคิดว่าน่าจะใช้เครื่องปรุงรสน้อยมาก รสคงมาจากวัตถุดิบเป็นส่วนใหญ่ ถ้าคนทานรสจัดน่าจะรู้สึกว่าอาหารไต้หวันนั้นจืดไปเลย สำหรับผมส่วนใหญ่ทานได้ครับ แม้จะไม่ถึงกับชอบมากนัก
แวะทานข้าวเที่ยงกันที่ร้านแถวนี้ครับ
หลังมื้อเที่ยงเราเดินทางต่ออีกหน่อยไปยังหมู่บ้านปีศาจชีโถว Xitou Monster Village … ซึ่งมีอาคารร้านรวงประดับตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นที่ธีมออกเป็นแนวผีๆ ทั้งการตกแต่งสถานที่และอาหารหน้าตาประหลาด แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ดูน่ากลัว ออกจะขำๆ หรือน่ารักด้วยซ้ำ เดินไปเรื่อยๆ ด้านบนมีที่พักและบริเวณที่ตกแต่งในแบบญี่ปุ่น ซึ่งมีคนมาเดินเที่ยวกันเยอะมทีเดียว … ใครไปที่นี่ลองเช่าชุดกิโมโนญี่ปุ่นมาถ่ายภาพก็เก๋ดีนะครับ ราคาถูกกว่าที่ญี่ปุ่นได้ฟิลคล้ายกัน อิอิ
จากหมู่บ้านปีศาจเรามุ่งหน้าไต่ระดับความสูงกันต่อ เส้นทางเริ่มคดเคี้ยวหักศอก มองข้างทางเริ่มเห็นสายหมอกจางๆ ปกคลุมหุบเขา ซึ่งเป็นภาพที่ค่อนข้างแปลกตาสำหรับผมในการเจอหมอกตอนบ่ายๆ แบบนี้ … มีบางจุดเป็นไร่ชาตามไหล่เขา เมื่อมีหมอกไหลมาคลอเคลียเป็นภาพที่สวยจนอดไม่ได้ที่จะขอให้คนขับรถหยุดเพื่อถ่ายภาพริมทาง
ลืมบอกไปเลยครับว่าจุดหมายที่ Shanlinxi Forest Park เราตั้งใจมาดูใบไม้เปลี่ยนสีกัน เพราะที่นี่เป็นหนึ่งในจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยแห่งหนึ่งของไต้หวัน … ทั้งนี้ระหว่างทางเราเริ่มเห็นต้นเมเปิ้ล 2-3 ต้นที่เปลี่ยนสีแล้ว แม้จะไม่ได้อลังการนักแต่ก็พอทำให้พอมีหวังว่าด้านในอุทยานคงจะสวยสมใจ
แต่เมื่อเรามาถึงด่านตรงทางเข้าอุทยาน เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าเส้นทางปิดซ่อมบำรุง หากจะเข้าชมจริงๆ ต้องเดินเป็นระยทางค่อนข้างไกลจึงทำให้เราตัดสินใจยกเลิกภาระกิจเนื่องจากเวลาไม่พอ … แต่การเดินทางมาครั้งนี้ก็ไม่เสียเปล่า เพราะยิ่งพระอาทิตย์คล้อยลงมากเท่าไหร่ ปริมาณหมอกก็เริ่มหนาแน่นขึ้นเกิดเป็นทะเลหมอกกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา สายหมอกเมื่อแสงพระอาทิตย์ยามเย็นตกกระทบเป็นอะไรที่สวยมากจริงๆ เรียกว่าเป็น surprise แรกในไต้หวันเลยทีเดียว …
เมื่อแสงสุดท้ายหมดลง เรากลับเข้าสู่เมืองไทจง โดยให้รถไปส่งที่ Feng Chia Night Market ซึ่งเป็นย่านช็อปปิ้งใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศไต้หวัน … บรรยากาศที่นี่คึกคักไม่ต่างจากแหล่งช็อปปิ้งของญี่ปุ่น ร้านรวงเต็มไปหมด ขนาดผมไม่ได้ตั้งใจมาช็อปปิ้งยังอดตื่นตาตื่นใจไม่ได้เลย …
มาไต้หวันทั้งทีพลาดไม่ได้เลยคือลองอาหารยอดนิยมท้องถิ่น ซึ่งที่นี่มีให้ลองแทบทุกอย่างครับ ทั้งไก่, ปลาหมึกชุบแป้งทอด, น้ำมะละกอปั่น ตามด้วยข้าวผัดริมทาง เกือบทั้งหมดก็ถูกปากดีนะครับ ราคาก็ไม่แพงเหมือนของญี่ปุ่น และนี่คือเสน่ห์อีกอย่างของไต้หวันที่น่าจะถูกใจคนไทย
คืนนี้เราพักกันที่ Taichung Box Design Hotel เป็นโรงแรมแนวน่ารัก แต่ละห้องตกแต่งด้วยงาน paint ที่ไม่ซ้ำกันโดยฝีมือของพนักงานโรงแรม ขนาดห้องก็ไม่แคบเกินไปทั้งในส่วนของห้องน้ำและห้องนอน สามารถวางกระเป๋าเดินทางได้แบบสบายๆ โดยไม่เกะกะ ฟังก์ชันของห้องถือว่าทำได้ดีทีเดียว นอกจากนี้ location ยังอยู่กลางเมืองใกล้ย่าน shopping อีกด้วย
เช้าวันรุ่งขึ้นเซียนไต้หวันคนเดิมพาเราเดินลัดเลาะไปหาอะไรทานกันแบบง่ายๆ สไตล์คนท้องถิ่น เป็นร้านขายอาหารเช้าที่ได้รับความนิยมไม่น้อยเลย มีคนมาต่อคิวตลอดเวลาที่เรานั่งทานกัน … ลักษณะของอาหารเป็นแป้งหรือแป้งผสมไข่ห่อใส้ต่างๆ ทานกับชาไข่มุกไต้หวันนี่เข้ากันเลย
วันนี้เรามีโปรแกรมออกเดินทางไปเที่ยว Nantou (หนานโถว) กันอีกครั้งโดยเหมารถเต็มวันเช่นเดิม แต่รอบนี้ให้ทางโรงแรมจัดการให้ โดยโปรแกรมแรกของวันคือการไปเยือนหมู่บ้านสายรุ้ง Rainbow Military Community ที่เดิมเคยเป็นทีอยู่อาศัยของทหารผ่านศึก ภายหลังจะถูกรื้อแต่คุณลุงคนหนึ่งเสียดายเลยวาดภาพลายกราฟิคสีสันสดใสบนผนัง จนใครๆ ก็ทึ่งและในที่สุดหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปโดยปริยาย
พื้นที่ของหมู่บ้านสายรุ้งเล็กนิดเดียว ถ้ามาเจอนักท่องเที่ยวเยอะๆ ก็จะดูวุ่นวายสักหน่อยเหมือนวันที่ผมมานี่แหละ แต่ต้องยอมรับว่าลายกราฟิคที่คุณลุงวาดนั้นสดใสน่ารักและมีเอกลักษณ์จริงๆ ถ้ามาไทจงแล้วก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
ออกจากหมู่บ้านสายรุ้งรถก็นำเราขึ้นทางด่วนมุ่งหน้าไป Nantao โดยวันนี้เรามีโปรแกรมไปเยือน Aowanda National Forest Recreation Area ซึ่งจุดประสงค์ก็เพื่อไปตามหาใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสีเช่นเคย ระหว่างทางต้องใช้ทางด่วนต่อด้วยเส้นทางผ่านภูเขาสูงไม่ต่างจากเมื่อวาน
มีจุดแวะพักรถ เป็นร้านขายของฝาก ตกแต่งแนวสวนสนุกในนิทานน่ารักดี
จะว่าไปโค้งของวันนี้เยอะกว่าอีก บางช่วงจะผ่านเขื่อนเก็บน้ำขนาดใหญ่วิวสวยมาก เสียดายมีไหล่ทางให้รถจอดรถถ่ายภาพได้แค่แห่งเดียว
มื้อเที่ยงวันนี้แวะทานกันที่ร้านริมทางก่อนถึงอุทยาน อารมณ์เหมือนแวะทานข้าวตามร้านบนยอดดอยบ้านเราไม่มีผิด เมนูอาหารเป็นแบบจีน มีผักนานาชนิดที่ปลูกในพื้นที่ กับเมนูเนื้อแบบจีน รสชาติสไตล์ไต้หวันเลยคือค่อนข้างจืด แต่ผมชอบวิวตรงหลังร้านนี่แหละ สวยได้ใจจริงๆ
ทานข้าวกันอิ่มแล้วก็เริ่มเดินทางต่อ ซึ่งไปอีกไม่ไกลก็ถึง Aowanda National Forest Recreation Area ซึ่ง surprise ผมมากทีเดียวเพราะมีคนมาเที่ยวเยอะมาก (ระหว่างทางแทบไม่เห็นรถคันอื่น) ที่นี่เราเห็นต้นสนที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ใบเมเปิ้ลบางส่วนเริ่มเปลี่ยนสีเช่นกันแต่ไม่ถึงกับฟูและหนาแน่นเหมือนของญี่ปุ่น … ไฮไลต์ของที่นี่คือสะพานแขวนที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาต้องใช้เวลาเดินเข้าไปเกือบหนึ่งชั่วโมง … ด้วยความที่อยากได้ภาพสวยเราเลยตัดสินใจว่ายอมเหนื่อย แต่พอเดินไปได้พักใหญ่ฝนเริ่มตกหนาเม็ดขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องยอมแพ้และเดินทางกลับในที่สุด
ต้นสนพันธ์ุนี้เริ่มเปลี่ยนสี
มีซากุระพันธุ์จิ๋วให้ดูด้วย
บรรยากาศระหว่างทางเดินภายใน Aowanda National Forest Recreation Area
จุดที่ใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสีเยอะที่สุดก็คือบริเวณใกล้ๆ ลานจอดรถนั่นเอง
เป็นอันว่าความตั้งใจที่จะมาเก็บภาพใบไม้เปลี่ยนสีแบบอลังการที่ไต้หวันนั้นไม่สมหวัง แต่ผมก็ได้พบเห็นอะไรที่ไม่คาดคิดและสร้างความประทับใจได้ไม่น้อยเหมือนกัน
มุ่งหน้ากลับสู่ไทจง … พระอาทิตย์ฤดูนี้ตกเร็วเหลือเกิน
เนื่องจากเสียเวลาที่อุทยานไปเยอะโปรแกรมอื่นๆ ช่วงเย็นที่เป็นแผนสำรองต้องงดไป เพราะฤดูนี้ค่ำเร็วมาก 5 โมงครึ่งก็มืดแล้ว … เราจึงปรับแผนไปหาอะไรทานกันแทน และร้านที่เราเลือกคือชาไข่มุกต้นตำรับ 555 จัดของหวานกันก่อนอาหารคาวเลย
ร้านนี้ชื่อชุนสุ่ยถาง (Chun Shui Tang) อยู่ในเมืองไทจงที่เราพักนี่เอง เราลงไปนั่งกันชั้นใต้ดินของร้าน บรรยากาศตกแต่งได้เข้ากับร้านน้ำชามาก … เครื่องดื่มที่เราสั่งกันแน่นอนว่าหนีไม่พ้นชาไข่มุก มีทั้งแบบร้อนและเย็น ราคาสูงเอาเรื่องอยู่ราวแก้วละร้อยกว่าบาท แต่ถ้ามาวันที่มีโปรโมชั่นก็ถูกกว่านิดหน่อยราวๆ ร้อยต้นๆ กลิ่นของชานั้นหอม รสชาติละมุนดีครับไม่หวานบาดคอ และไม่จืด (เว้นเสียแต่คนชอบหวานมาก อาจรู้สึกว่าจืดไปนิด) ก็ยังคงเป็นไปตาม concept อาหารไต้หวันตามความรู้สึกผม นั่นคือรสชาติจะไม่จัดเหมือนบ้านเรา …อ้อลืมบอกไปว่าแก้วใหญ่มากนะครับ อันที่จริงแก้วนึงทานสองคนยังได้เลย ถ้าสั่งแบบร้อนมีไข่มุกมาให้เติมด้วย … และด้วยสาเหตุนี้เราจึงสั่งเพียงอาหารทานเล่นมาเป็นอาหารค่ำกัน เพราะอิ่มเม็ดไข่มุกซะแล้ว
กลับมาโรงแรม ผมถือโอกาสออกไปเดินสำรวจบริเวณโดยรอบ ซึ่งเป็นย่านกินดื่มยามค่ำบรรยากาศคึกคักดี และเดินไปไม่ไกลเป็นย่านช็อปปิ้งอี้จงเจีย (Yizhong) ที่มีเสื้อผ้าและสินค้าแฟชั่นขาย น่าจะถูกใจขาช็อป
วันรุ่งขึ้นเราต้องเดินทางย้ายเมืองไปยังไทเป โดยเราจะนั่งรถไฟความเร็วสูง HSR ไปเช่นเดิม
ก่อนอื่นต้องนั่งรถไฟฟ้าไปที่สถานี HSR
จากไทจงเรามุ่งหน้าสู่สถานีใหญ่ Taipei main station ซึ่งถ้าเทียบกับสถานีไฟของญี่ปุ่นก็ถือว่าไม่ได้ใหญ่โตและซับซ้อนมากครับ แต่ก็มีความคึกคักทั้งผู้คนและร้านค้าพอสมควรเลยทีเดียว …
ด้านใน
ด้านนอก
จากสถานีเราลากกระเป๋าเดินไปยังที่พัก MUIU capsule inn ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสถานีมากนัก … ระหว่างทางแวะซื้อซาลาเปาอบโอ่งดินด้วยความที่เห็นว่าใส้เยอะ 555
แม้ว่าชื่อโรงแรมที่พักของเราคืนนี้จะใช้คำว่า capsule ทว่าของจริงก็ไม่ได้เป็นช่องๆ เหมือนที่เคยเห็นในภาพของญี่ปุ่นครับ เป็นห้องนี่แหละ อย่างไรก็ตามพื้นที่เพียงพอสำหรับนอนจริงๆ แต่ก็สะอาดสะอ้านนอนสบาย สำหรับห้องน้ำจะเป็นแบบรวมแยกหญิงชายครับ แต่ละห้องมีตั้งแต่แบบนอนได้ 2 คนไปจนถึง 4 คน ทั้งนี้จะไม่เหมือนกับโรงแรม backpacker เพราะจะไม่มีการแชร์ห้องนอนกับกรุ๊ปอื่น ทำให้มีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยกว่า
เราฝากของไว้ก่อนแล้วไปเที่ยวกันต่อ
ช่วงบ่ายวันนี้เราเดินทางไปขึ้นกระเช้าเมาคง (Maokong Gondola) กัน โดยนั่งรถไฟฟ้าไปสุดสายลงป้ายเดียวกับสวนสัตว์ Taipei เลย … อ้อ การเดินทางในไทเปแนะนำให้ซื้อ Easy card นะครับ ราคาบัตร 100 NTD แล้วเติมเงินเพื่อใช้ขึ้นระบบขนส่งมวลชนหรือซื้อของใน 7 Eleven ก็ได้สะดวกกว่าการไปซื้อตั๋วเป็นรอบๆ มากมาย แม้บัตรจะคืนไม่ได้แต่ก็นำมาใช้ในการเดินทางครั้งต่อไปได้ ใครอยากใช้ให้คุ้มก็ต้องมาบ่อยๆ นะ อิอิ
จากสถานี Taipei zoo เราเดินย้อนมาราคา 200 เมตรก็จะถึงสถานี Gondola ซึ่งสามารถใช้ Easy card จ่ายค่าขึ้นกระเช้าได้ด้วยราคาไปกลับแบบสุดสายอยู่ที่ 240 NTD ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับค่ากระเช้าที่ญี่ปุ่นหรือแถบยุโรป (อันโน้นเค้าหลักพันหรือไม่ก็เกือบพันกันเลยทีเดียว) … ทั้งนี้กระเช้ามีให้เลือกสองแบบคือพื้นทึบกับพื้นใสที่เรียกว่า crystal … ถ้าไม่กลัวความสูงแนะนำให้เลือกแบบ crystal นะครับ โดยเข้าแถวแยกกัน แบบ crystal จะมีจำนวนกระเช้าน้อยกว่า แต่ส่วนใหญ่คิวก็จะสั้นกว่าเยอะ
เอาจริงๆ ทีแรกผมไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากครับ เพราะคิดว่าก็คงแค่กระเช้าขึ้นไปชมวิวบนเขาซึ่งเท่าที่เห็นเขาแถวนี้ก็เขียวๆ ไม่ค่อยน่าสนใจ และคงจะเป็นช่วงสั้นๆ (ดูจากราคาโดยไม่ได้หาข้อมูลมาก่อน)
แต่พอขึ้นไปจริงๆ เฮ้ย สวยว่ะ …. วิวด้านบนนอกจากเห็นความสวยงามของภูเขาเบื้องล่างแล้ว ยังเห็นเมืองไทไปอยู่ไกลๆ ด้วย
จริงๆ แล้วเราสามารถลงเพื่อเก็บภาพที่สถานีรายทางได้ด้วย แต่เนื่องจากมีเวลาจำกัดและวิวก็สวยเหลือเกิน กลัวลุกแล้วเสียม้า เลยนั่งต่อไปจนสุดท้ายที่สถานีด้านบนสุด …
ที่นี่คนพลุกพล่านพอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งจากจุดนี้มีเส้นทางเดินไปชมวิวและชมไร่ชาด้วย แต่พวกเราตัดสินใจกันว่าอยากเดินทางเข้าเมืองไปเก็บภาพบรรยากาศในไทเปดีกว่า เพราะได้ชมวิวตอนนั่งกระเช้าก็คุ้มแสนคุ้มแล้ว
เราเดินทางนั่งรถไฟกลับไปยังไทเป และลงสถานีซุนยัดเซ็น เมมโมเรียลฮอลล์ เพื่อหาจุดถ่ายภาพของตึก Taipei 101 ในมุมต่างๆ เริ่มจากใกล้ๆ สถานีรถไฟ, ที่ซุนยัดเซ็น เมมโมเรียลฮอลล์ และที่ตึก Cathay United Bank
จากจุดนี้ก็มีการแยกกลุ่มกัน กลุ่มแรกไปช็อปปิ้ง ส่วนผมกับเพื่อนคนนึงมุ่งหน้าไปเขาช้างเพื่อเก็บภาพตึกจากมุมสูงบ้าง … เราเอารูปจุดที่เป็นทางขึ้นให้คนขับ taxi ดู เค้างงๆ แต่ก็พยายามพาเราไป ในที่สุดก็มาปล่อยเราตรงทางขึ้นที่มีสัญลักษณ์รูปช้างคล้ายกับรูปที่ให้เค้าดู แต่มันไม่ใช่ … เรายังไม่ละความพยายามเพราะไหน ๆ ก็มาแล้ว จึงถามคนที่กำลังเดินลงจากเขาว่าที่เราจะไปนี่คือทางนี้ไหม เค้าก็บอกทำนองว่าใช่ ก็เป็นอันว่าเชื่อเค้า… เดินมาได้สักพักเพื่อนคนที่มากับผมซึ่งเคยขึ้นเข้าช้างมาแล้วครั้งนึงบอกว่าไม่ใช่ทางที่เขาเคยขึ้น แต่เท่าที่รู้คือเขาช้างมีทางขึ้นมากกว่าหนึ่งทาง เอาล่ะทีนี้ก็แค่ลุ้นว่าจะโหดกว่าทางโน้นที่หลายคนบ่นกันหรือเปล่า …
ทางเส้นนี้ลัดเลาะซ้ายขวาขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ทำให้เส้นทางเดินไม่ชันมาก แต่ก็เล่นเอาเหงื่อตกไม่น้อย แถมกระเป๋ากล้องผมวันนี้บรรจุอุปกรณ์เต็มพิกัดเลยเรียกเหงื่อมากเป็นพิเศษ … เดินหอบแฮกไปราว 20 นาทีก็ถึงจุดถ่ายภาพแรกซึ่งเป็นกองก้อนหินใหญ่มีตึก Taipei 101 เป็นฉากหลัง เย้ๆๆ ถึงซะที …
ผมรีบเดินกลับลงไปบอกเพื่อนที่ยืนพักรออยู่ด้านล่างให้ตามขึ้นมา … แต่แม่เจ้าเรามากันในวันหยุดสุดสัปดาห์ ผู้คนมากมายมหาศาลแทบไม่มีช่องว่างให้วางขาตั้งกล้อง ผมเดินต่อไปยังจุดอื่นๆ ซึ่งมุมก็จะค่อยๆ เปิดเห็นตึก Taipei มากขึ้นเรื่อยๆ และแน่นอนว่าจุดที่สวยที่สุดอยู่สุดทางพอดี แต่ที่นี่คนเยอะเช่นกัน ผมต้องปักหลักอยู่ที่แถว 3 ยังดีที่พอมีมุมให้เก็บภาพได้แม้จะไม่ได้ภาพกว้างอย่างที่ต้องการก็ตาม
ที่จริงวันนี้ฟ้าระเบิดสวยมาก แต่อากาศกลับมีหมอกค่อนข้างเยอะทำให้ภาพไกลๆ ไม่ค่อยเคลียร์นัก แต่วิวเบื้องหน้าก็คุ้มค่าเหลือเกินกับการเดินขึ้นมาในครั้งนี้
ขากลับเราใช้เส้นทางปกติที่นักท่องเที่ยวคนอื่นใช้กัน เป็นทางตรงๆ ไม่มีแยก เดินง่ายไม่ต้องกลัวหลงเหมือนอีกเส้นที่มีแยกให้แอบงง แต่ผมรู้สึกว่าเส้นนี้ค่อนข้างชันกว่าเพราะขึ้นแบบตรงๆ ไม่ได้ลัดเลาะขึ้นไปเหมือนอีกเส้นที่ผมใช้
หลังจากซื้อน้ำแก้กระหายกันที่มินิมาร์ทตรงด้านล่างก็ขึ้นรถไฟไปพบกับเพื่อนๆ ที่ย่านซีเหมินติง (Ximending) ซึ่งเป็นแหล่งช็อปปิ้งใหญ่และโด่งดังของไทเป … อย่างแรกที่ทำคือไปกิน Hotpot ที่ ร้านดัง Mala Yuanyang ครับ เพราะตอนนี้กินหมูทั้งตัวก็ได้แล้ว ใช้พลังงานไปเยอะ 555
ร้านนี้ต้องจองคิวและต้องไปตรงเวลา ไม่เช่นนั้นเวลาก็จะถูกตัดไปตามเวลาที่มาสาย ทีแรกคิดว่าการนั่งกิน buffet แบบไม่อั้น 2 ชั่วโมงจะเหลือๆ แต่ที่ไหนได้การทาน hotpot ที่นี่มันดีเลิศเหลือเกิน เนื้อเค้าสดและคุณภาพดี รสชาติของซุปก็อร่อยกลมกล่อม (ทีเด็ดคือซุปหมาล่าหรือซุบยี่หร่า) แถมด้วยไอติม Movenpick กับ Haagen-Dazs และเบียร์สด ที่สำคัญเปิดถึงตี 5 (แม่เจ้า!) … สนนราคาต่อหัวอยู่ที่ราว 500-600 NTD ขึ้นกับว่ามาเวลาไหน และถ้ามาคนเดียวชาร์จเพิ่ม 100 NTD ด้วยนะเออ ดังนั้นอย่าไปคนเดียว อิอิ … แต่ถ้าถามว่าคุ้มมั้ย บอกเลยว่าคุ้มแน่นอนครับ ขนาดผมทานไม่เก่ง ไม่ทานเนื้อวัว ยังรู้สึกว่าแค่กุ้ง, ปลากับไอศครีมที่จัดไปก็คุ้มแล้วล่ะ เหนืออื่นใดอร่อยถูกปากครับ (งานนี้ไม่จืดเหมือนมื้ออื่นๆ)
อิ่มกันแล้วก็ได้เวลาช็อปล่ะครับ งานนี้ตัวใครตัวมัน … ต้องยอมรับว่าย่านนี้มันคึกคักเร้าใจจริงๆ มีอะไรให้ดูเลือกซื้อมากมาย ทั้งของแบรนด์และสินค้าแฟชั่นยี่ห้อท้องถิ่น แต่ในส่วนของราคาโดยเฉพาะรองเท้าผมว่าที่ไทจงถูกกว่านะ
จากซีเหมินติง เราเดินกลับที่พักกันเพราะอยู่ไม่ไกลนัก ที่ MUIU capsule inn จึงถือว่าอยู่ในทำเลทองจริงๆ สำหรับไทเป
เช้าวันรุ่งขึ้นเราย้ายโรงแรมไปสัมผัสอีกประสบการณ์พักผ่อนที่ ซึ่งเป็นอีกหนึ่ง design hotel ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ Taipei main station ที่นี่มีชื่อว่า Mr Lobster's Secret Den design hostel … ตั้งอยู่บนตึกซึ่งดูทีแรกนึกว่าจะเป็นโรงแรมแบบเก่าๆ … ที่ไหนได้พอเปิดลิฟท์ออกมา โรงแรมนี้เก๋กู๊ดมากเลย ตกแต่งแนว industrial เข้ากับตัวตึก บรรยากาศนั้นอบอุ่นเป็นกันเอง ที่สำคัญห้องพักขนาดไม่เล็กจนเกินไป มีห้องน้ำในตัว ทำให้สะดวกสบาย
เช้านี้เราแค่มาฝากของไว้ก่อน แล้วเดินทางไปทานอาหารเช้าที่ร้านดัง “ติ่น ไท่ ฟง" (Din Tai Fung) ได้ข่าวว่าร้านนี้คนเยอะมาก เราเลยต้องไปกันแต่เช้าโดยเลือกสาขาใกล้สถานีรถไฟ Dongmen และโชคดีจริงๆ ที่ไปถึงแทบไม่ต้องรอคิว … บรรยากาศในร้านตกแต่งอย่างทันสมัย สะอาดสะอ้าน พนักงานบริการแบบมืออาชีพมาก มีพนักงานที่พูดภาษาไทยได้และมีเมนูภาษาไทยให้อ่านด้วย …โอ้วมันยอดมาก งานนี้ผมปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเซียนไต้หวันสั่งมาครับ
มื้อนี้เป็นอีกมื้อที่อร่อยถูกปากเลยครับ พอลงมาจากร้านโอ้โหววว คนต่อคิวยาวมาก เป็นโชคดีของเราจริงๆ ที่มาถึงเร็วเลยไม่ต้องไปต่อคิวแบบนี้
เอาล่ะเพิ่มพลังมื้อเช้ากันระดับ 10 แล้วก็เที่ยวไทเปกันต่อครับ เช้านี้เราเดินทางไปยังอนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค (Chiang Kai-Shek Memorial Hall) โดยขึ้นรถไฟฟ้าไปลงสถานีชื่อเดียวกับชื่อสถานที่ เดินออกจากสถานีก็เลี้ยวเข้าอนุสรณ์สถานได้เลย …เราโชคดีกันมากๆ จากฟ้าที่หม่นหมองเมื่อช่วงเช้า ตอนนี้กลับมาแจ่มใสมาก ทำให้อนุสรณ์สถานแห่งนี้ดูยิ่งใหญ่สวยงามมากขึ้นไปอีก … ใจจริงผมอยากมาเก็บแสงเช้าที่นี่เพราะเคยเห็นภาพแล้วสวยมาก แต่เนื่องจากรถไฟฟ้าเปิดให้บริการตอน 6 โมงเช้าซึ่งช้าเกินไปสำหรับการถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นจึงต้องพับแผนนั้นไป อย่างไรก็ตามมาในช่วงสายๆ แบบนี้ก็ได้ความสวยงามสดใสไปอีกแบบ แม้คนจะเยอะไปหน่อยก็ตาม
โปรแกรมถัดไปเรามีการแยกตัวกันเที่ยวเป็น 3 กลุ่ม แล้วมีนัดเจอกันอีกครั้งตอนเย็นเพื่อขึ้นไปชมวิวบนตึก Taipei 101 … สำหรับผมจะเดินทางไปชมแหล่งน้ำพุร้อนของไต้หวันที่ซินเป่ยโถว (Xinbeitou) ซึ่งการเดินทางง่ายมากครับ ใช้เจ้า MRT นี่แหละจากในเมืองต่อไปยังนอกเมืองได้เลย ไม่เหมือนญี่ปุ่นที่เค้ามักจะแยกระบบ Metro กับรถไฟออกจากกัน แต่ไต้หวันเค้ารวมเป็นหนึ่งเดียว บางช่วงวิ่งใต้ดิน บางช่วงวิ่งบนดิน บางช่วงก็วิ่งบนฟ้า … นี่แหละเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้การเที่ยวไต้หวันนั้นง่ายมาก
รถไฟค่อยๆ นำเราวิ่งออกจากเมือง ไปจนถึงสถานีเป่ยโถว (beitou) จากที่นี่เราเปลี่ยนไปนั่งอีกขบวนพิเศษแค่ป้ายเดียวเพื่อไปลงในเมืองซินเป่ยโถว
รถไฟขบวนพิเศษตกแต่งน่ารักมาก
เมืองซินเป่ยโถวเป็นเหมือนสถานที่พักผ่อนอีกแห่งที่นิยมในหมู่คนไต้หวัน เพราะมีแหล่งน้ำพุร้อนและออนเซ็นสไตล์ไต้หวันที่คนญี่ปุ่นมาสร้างเอาไว้ในยุคที่เข้ามาปกครองที่นี่
เส้นทางเดินสู่บ่อน้ำพุร้อน
จากสถานีใช้เวลาเดินราว 15 นาทีก็จะถึงจุดที่เป็นบ่อน้ำพุร้อนขนาดย่อม เห็นควันพวยพุ่งออกมาแบบที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าร้อนขนาดไหน …
แต่จุดอาบน้ำร้อนจะอยู่บริเวณรายทางครับ มีทั้งที่เป็นบ่อสาธารณะ และส่วนตัวราคาแตกต่างกันไป … อ้อที่นี่ไม่ต้องเปลื้องผ้าล่อนจ้อนนะครับ เค้าให้นุ่งชุดว่ายน้ำลงไปแช่ หากไม่ได้ติดตัวมาก็หาซื้อได้ตามร้านค้าในบริเวณนั้นเลย
ก่อนกลับเข้าเมืองไปเจอเพื่อน ๆ ผมแวะชม Hot Spring Museum ที่เล่าถึงที่มาของแหล่งน้ำพุร้อนด้วย อ้อที่นี่เข้าชมฟรีนะครับ
อาคารห้องสมุดที่อยู่ใกล้ๆ กันก็ดูสวยดี
จากซินเป่ยโถวผมนั่งรถไฟฟ้าเข้าเมืองไทเปอีกครั้งโดยมีจุดหมายที่ตึก Taipei 101 แต่ก่อนขึ้นตึกเราแวะไปเดินเล่นแถวย่าน Simple Market ใกล้สถานี Taipei 101 (ทางออก world trade center) ซึ่งเป็นบ้านทหารเก่า(อีกแล้ว) นำมาทำเป็นถนนคนเดิน มีร้านค้ามาตั้งขายของดีไซน์สวยและอาหารแนวฟิวชั่น มีมุมตามซอกซอยให้เก็บภาพเก๋ๆ ได้เยอะเหมือนกัน
จากที่นี่เดินไปไม่ไกลก็ถึงตึกไทเป 101
จากที่นี่เราเดินไปยังตึก Taipei 101 … ลิฟท์ความเร็วสูงเริ่มจากชั้น 5 ไปยังชั้น 89 ซึ่งเป็นจุดชมวิวแบบ 360 องศาใช้เวลาเพียง 37 วินาทีเท่านั้น เรียกได้ว่าเร็วมากๆ หากใครเคยขึ้น Tokyo Skytree ก็จะคล้ายๆ กันเลยครับ บนเพดานลิฟท์มีการโชว์แสงสีสวยๆ ระหว่างเดินทางด้วย
เนื่องจากช่วงนี้ค่ำเร็ว แม้ว่าเราจะมีถึงจุดชมวิวตอนห้าโมงนิดๆ แต่บรรยากาศภายนอกมืดแล้ว อาจเป็นเพราะวันนี้ครึ้มฟ้าครึ้มฝนด้วย และอยู่ด้านบนได้ไม่นานฝนก็ตกแบบปรอยๆ ทำให้การถ่ายภาพยากขึ้นไปอีก เราเห็นว่าฝนคงไม่หยุดตกง่ายๆ จึงตัดสินใจกลับลงมา
ที่พักคืนนี้ Mr Lobster's Secret Den design hostel
เช้าวันรุ่งขึ้นผมนั่ง taxi จากโรงแรมไปยังสนามบิน เพราะ flight ของ Nokscoot ที่เราเดินทางด้วยนั้นเป็นช่วงเช้า … อาหารก็ทานกันที่สนามบินเลย เป็นเหมือน food court ราคาไม่แพงครับ จะว่าไปพอๆ กับร้านด้านนอกด้วยซ้ำ
ระหว่างรอเรียกขึ้นเครื่องก็ซื้อของฝากติดไม้ติดมือเป็นพายสับปะรด ซึ่งเป็นของดังของไต้หวันเค้า เนื้อสับปะรดจะเนียนนุ่มละมุนกว่าขนมปังไส้สับปะรดบ้านเรานะครับ แต่ราคากล่องนึงก็แพงเอาเรื่องอยู่
ทริปนี้แม้จะมีเวลาเพียง 5 วัน 4 คืนที่ได้สัมผัสกับไต้หวัน … แต่เท่าที่ได้เห็นและได้เจอก็เพียงพอที่จะทำให้เข้าใจแล้วว่าทำไมใครหลายคนจึงหลงรักไต้หวันเหลือเกิน ไต้หวันนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เที่ยวไม่ยาก ค่าใช้จ่ายก็ไม่แพง… แล้วอย่าเพิ่งเชื่อรีวิวทั้งหมดนะครับ ลองมาเห็นมาเจอด้วยตัวเอง แล้วจะเข้าใจ
ถ้าเพื่อนๆ ชอบผลงานของ #นายมด ก็ติดตามได้จากช่องทางด้านล่างครับ
- Blog : 9Mot (http://www.9Mot.com)
- Fb page : นายมด (https://facebook.com/9MotPhotography)
- IG : @9Mot (https://instagram.com/9mot)
- Youtube : 9Mot (https://youtube.com/c/9MotPhotography)
นายมด
วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 22.48 น.