ทริปแรกประจำปีนี้ กับภาระกิจพิชิตภูเขารูปหัวใจที่ชื่อว่า "ภูกระดึง" เป็นการเตรียมตัวก่อนถึงทริปใหญ่ช่วงสิ้นปี แล้วทำไมเราต้องมากันถึง 2 หน กว่าจะจบภาระกิจ มาร่วมติดตาม และเที่ยวไปพร้อมๆ กันครับ...


เข้ามาพูดคุยกับพวกเรา "Have you ever" ได้ที่

https://www.facebook.com/hyehaveyouever/ หรือ IG : haveyoueverth

หนแรก

ออกเดินทาง (6 พฤศจิการยน 2559)

นัดเจอกันที่ขนส่งหมอชิต 3 ทุ่ม จองรถกันไว้รอบ 4 ทุ่มครับ เราซื้อตั๋ว VIP ของ บ.ข.ส. โดยจองออนไลท์ครับ แล้วไปชำระเงินที่ Counter Service นำสลิปการชำระเงินไปขึ้นตั๋วที่หมอชิตอีกที เมื่อถึงเวลาก็เริ่มออกเดินทาง ขึ้นรถได้สักพักก็หลับเอาแรงครับตื่นมาตอนรถแวะให้ทานข้าว และหลับยาวตื่นอีกทีก็ผานกเค้าละ มาถึงผานกเค้าน่าจะประมาณ ตี 5:30 ได้

วันแรก (7 พฤศจิกายน 2559)

ลงรถมาก็มานั่งพัก กินข้าว ล้างหน้า ล้างตาชาร์จโทรศัพท์กันที่ร้านเจ๊กิมชิวๆ ตั้งกล้องถ่ายภาพเล่นกับผานกเค้าเพลินเลย มองหันหลังกลับไป คนไปกันหมดเหลือผมกับเพื่อน 2 คน(เนื่องจากวันที่เดินทางเป็นวันจันทร์คนจึงไม่เยอะเท่าไรครับ) จึงรีบเก็บของแล้วไปที่คิวสองแถว พี่คนขับบอกว่า "คงไม่มีใครมาเพิ่มแล้วละ มันวันธรรมดา"เลยได้เหมารถแดงไปอุทยานกัน(300 บาท)

ทริปนี้กะมาแบบชิลๆ ครับ สบายๆ มาหาเอาข้างหน้า มาถึงอุทยานก็ซื้อบัตรผ่าน จองเต๊นท์(เครื่องนอนอื่นๆไปเช่าเอาด้านบนครับ) หลังจากนั้นก็ไปชั่งน้ำหนักสัมภาระระที่จุดชั่งน้ำหนัก ค่าบริการก็กิโลละ 30 บาทครับ บรรยากาศเช้านี้ฟ้าไม่เปิด เมฆค่อนข้างมาครึ้มครับ หลังจากชั่งสัมภาระเรียบร้อยก็เดินช๊อปปิ้งที่ร้านค้าภายในอุทยาน ได้สตั๊ดดอยกับเสื้อกันฝนกันคนละชุด

ฝากของลูกหาบเสร็จแล้วก็ศึกษาเส้นทางกันสักหน่อย

ได้เวลาลุยครับ 9 กิโล สบายๆ ครับ

ได้มีโอกาสคุยกับพี่ลูกหาบ เค้าสามารถแบกได้เที่ยวนึงได้ถึง 70 กิโล

ถึงแล้วซัมแฮก ที่นี่มีบริการทุกอย่างครับ ของกิน ห้องน้ำ สะดวกสบายมาก แวะทานแตงโมให้หายเหนื่อย แล้วเดินทางต่อครับ

หลังจากซัมแฮกธรรมชาติก็ลงโทษครับ ฝนเทลงมาอย่างหนัก เส้นทางที่เคยแห้งเปียกชุ่มไปด้วยฝนและน้ำขัง คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ถอยสตั๊ดดอยกับชุดกันฝนมาได้ใช้กันยาวๆ ครับทริปนี้ ฝนก็ตกไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย กล้องถ่ายรูปที่เตรียมมานอนอยู่ในกระเป๋าครับ ไม่มีโอกาสเอาออกมาเก็บภาพ เดินไปอย่างระมัดระวัง พักทุกซัมที่มี และแล้วก็ถึงหลังแปครับ คิดว่าถึงข้างบนฝนคงซาๆ แต่ที่ไหนได้ฝนเจ้ากำตกหนักเข้าไปอีก

กับป้ายผู้พิชิตภูกระดึง ท่ามกลางสายฝน จากนั้นก็เดินฝ่ากระแสฝนที่หนักขึ้นเรื่อยๆ จากหลังแปไปเป็นทางราบระยะทาง 3 กิโล ก่อนจะถึงจุดกางเต็นท์ครับ

เดินต่อจนมาถึงบริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางฝนก็ซาลง ก็ติดต่อเช่าถุงนอน แผ่นรองนอน หมอน มีพร้อมครับ เช่าไว้ก่อนยังไม่ได้ไปรับของนะครับคงต้องรอฝนหยุดกันอีกสักพัก เลยไปหาอะไรร้อนๆ ทานกันก่อน ทางร้านที่ไปทานมีเตาผิงไฟให้หายหนาวกันด้วย นั่งพักรอฝนหยุดไม่นานลูกหาบก็ขนสัมภาระมาถึงพอดีก็ชำระค่าบริการกันไป เดินหาเต๊นท์ที่จะเข้าพักก็เกือบทุกหลังเปียกหมด มีน้ำขังข้างใน แต่เจ้าหน้าที่ได้กาง fly sheet เพิ่มไว้ให้ส่วนหนึ่งบริเวณนั้นจะเปียกน้อยหน่อย ก็ขอยืมผ้าจากเจ้าหน้าที่มาเช็ดเต๊นท์ให้แห้งขนเครื่องนอนและสัมภาระเข้าที่พัก หมอกลงหนามากมีฝนปอยๆ ลงมาวันแรกก็ได้แต่นอน กิน แล้วก็นอน ปรอบใจตัวเองวันพรุ้งนี้คงดีขึ้น....

วันที่สอง (8 พฤศจิกายน 2559)

แผนวันนี้คือ นั่งจิปกาแฟดูพระอาทิตย์ขึ้น สายๆ ออกเดินทางชมน้ำตก รอชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก นอนชมหมู่ดาว

แต่...

ฝนตกมาต่อเนื่องตั่งแต่ประมาณเที่ยงคืน เช้าก็ยังไม่หยุด มีทั้งฝนทั้งหมอก เสียงประกาศดังก้อง "วันนี้งดออกไปชมพระอาทิตย์ขึ้น ฟ้าฝนไม่เป็นใจ" วันนี้เลยไม่ได้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น แต่ไม่เป็นไร ฝนตกยังงี้มีน้ำตกให้เราดูแน่ๆ

ประมาณ 10 โมง เสียงประกาศดังอีกระลอก "ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าไปเส้นทางดูน้ำตกทั้งหมดเด็ดขาด เนื่องจากน้ำป่าไหลหลาก" โถ่...มีน้ำแต่ดันเยอะเกิน เหลือแค่เดินเรียบหน้าผาไปผาหล่มสักเท่านั้น ประมาณ 11 โมงนั่งทานอาหารที่ร้านเดิม ป้าเจ้าของร้านให้ยืมเต้นไปกางในศาลาเพราะกลัวว่าถ้าฝนตกอีกจะนอนไม่ได้ ต้องขอบคุณป้าเจ้าของร้านข้าวมากครับ หลังจากจัดแจงยกเต๊นท์และย้ายของไปเสร็จก็ออกเดินทางไปผาหล่มสัก

ระหว่างทางไปผาหมากดูกบรรยากาศมีแต่หมอก ฝน ทางเดินลื่นและชุ้มไปด้วยน้ำ บางจุดมีน้ำขัง แต่ สตั๊ดดอย เอาอยู่

บรรยากาศสองข้างทาง มีแต่หมอกหนา ทำให้คิดถึงหนังเรื่องนึง "The Mist - มฤตยูหมอกกินมนุษย์" มันจะมีสัตว์ประหลาดมากินเราไหมเนี้ย...

ระหว่างทางไปผาหล่มสักยังคงมีหมอกหนา และฝนตกอยู่ตลอด ค่อนข้างระวังครับ เพราะทางเรียบหน้าผาเป็นเหวลึก

จุดนี้คือจุดชมวิว "ผาเหยียบเมฆ" ครับ ปกติแล้ว จุดนี้เป็นจุดชมวิวด้านล่างที่สวยมากๆ แต่วันนี้หมอกหนา มีลมแรง ครับ ไหนๆ ก็มาแล้วเก๊กท่าถ่ายรูปสักหน่อย...

การมาภูกระดึงครั้งนี้ เราใช้วิธีการเดินทั้งสิ้นครับ บนภูกระดึงมีบริการเช่าจักรยานนะครับ คิดเป็นรายวัน แต่ครั้งนี้เราเลือกที่จะไม่เช่า เพราะเส้นทาง และทัศนวิสัยไม่ค่อยเป็นใจครับ เราอาจจะติดหล่มที่ไหนสักแห่ง หรือไม่ก็ปั่นตกหนาผาก็เป็นได้

พวกเราก้มหน้าก้มตาเดินฝ่าหมอกหนาเหมือนเคย โดยแทบจะไม่ได้แวะจุดชมวิวเลย เพื่อรีบไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง

ถึงสักที "ผาหล่มสัก" ก็ยังมืดมิดไปด้วยหมอก แต่ก็พอมีโชคครับฟ้าเปิดมาให้เราเห็นแสงอาทิตย์ และเก็บภาพวิวสวยๆ เป็นระยะๆ

เมื่อได้รับโอกาส พวกเราจึงรีบรัวชัตเตอร์เก็บภาพ เลนส์ที่แบกมาด้วยก็มีโอกาสได้หยิบเอามาใช้งาน เราเก็บภาพกันอยากเร่งรีบก่อนที่แสงจะหายไปให้ม่านหมอก

ถ่ายภาพกำลังเพลินก็ได้เวลาเดินกลับ ใจจริงเราอยากอยู่กันต่อครับ ฟ้ากำลังสวยเลย แต่ไฟฉายที่เราเตรียมกันมาพลังความสว่างมันชั่งน้อยเหลือเกิน คงสู้กับหมอกไม่ไหว เรียกได้ว่า "ไฟฉายหิ่งห้อย"

ถึงวังกวางก็ทานอาหารร้านป้าเหมือนเดิม โชคดีมากครับที่เราเชื่อป้าเจ้าของร้านเรื่องเต็นท์ ตกดึกฝนกระหน่ำตกลงมาและตกไม่หยุดจนถึงเช้า...

วันที่สาม (9 พฤศจิกายน 2559)

วันนี้พวกเราต้องลงแล้วตามแผน วันนี้ไม่มีการไปดูพระอาทิตย์ขึ้น อีกยังมีหมอกลงหนา และฝนตกปอยๆอยู่ตลอด การมาภูกระดึงรอบนี้ของเรามีแต่หมอกและฝน ถือว่าเป็นการพักผ่อนอย่างจริงจัง เพราะ นอน กับ กิน แล้วก็ นอน ห้าๆๆ

บริเวณร้านอาหารที่จุดกางเต๊นท์วังกวาง จะมีน้องกวางเดินไปมา และไม่ตื่นคนครับ

บรรยากาศลานกลางเต็นท์ภูกระดึงในม่านหมอก ถ้าวันฟ้าใส อากาศดี คงเต็มไปด้วยเต็นท์นักท่องเที่ยว

แล้วก็ได้เวลากลับครับ ระหว่างทางกลับไปหลังแป จะมีต้นสนเดียวดายต้นนี้เด่นเป็นเอกลักษณ์ ไม่ถ่ายด้วยคงไม่ได้ครับ ถือว่ามาไม่ถึง

พี่ๆลูกหาบ จะมีรถลากสัมภาระครับ พี่เค้ากำลังเตรียมแพ็คของใส่ไม้แบกลงภูครับ

ระหว่างทางลงครับค่อนข้างลื่นมากๆ โดยเฉพาะบริเวณหินครับ

แวะเติมพลังครับ

ปิดท้ายภาระกิจด้วยภาพผานกเค้าครับ มารอบนี้เราไปต่อกันที่เชียงคาน แต่รีวิวนี้ของรีวิวเฉพาะภูกระดึงครับก็ถือว่าจบแล้วสำหรับหนแรกนี้

การมา ภูกระดึง รอบนี้มีทั้งอุปสรรค ความประทับใจในเวลาเดียวกัน และทำให้เราเห็นจุดบกพร่องของเรา พวกเราต้องวางแผนให้ดีกว่านี้เพราะ ธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาครับ และที่สำคัญ เราจะไม่ลืมเช็คสภาพอากาศก่อนออกเดินทาง...

แล้วเราจะกลับมาแก้แค้นใหม่ "ภูกระดึง"

เข้ามาพูดคุยกับพวกเรา "Have you ever" ได้ที่

https://www.facebook.com/hyehaveyouever/ หรือ IG : haveyoueverth

หลังจากที่เราไปภูกระดึงกันมาอาทิตย์ก่อน เรายังรู้สึกว่ามันยังไม่ถึง "ภูกระดึง" ครับ ยังมีความรู้สึกค้างๆ คาๆ จึงปรึกษากันว่าเราควรจะมาซ้ำอีกสักรอบให้มันหายข้องใจ แต่ถ้าทิ้งช่วงนานไปกลัวว่าน้ำตกจะแห้งเสียก่อน พวกเราเลยตัดสินใจกลับไปเยือนอีกรอบครับ ไปตอนไหนดีละ ลางานไปอาทิตย์นี้เลยละกัน...


เข้ามาพูดคุยกับพวกเรา "Have you ever" ได้ที่

https://www.facebook.com/hyehaveyouever/ หรือ IG : haveyoueverth

หนที่สอง

ออกเดินทาง(พ. 16 พฤศจิกายน 2559)

ครั้งนี้พวกเราเตรียมของทั้งหมดมารวมตัวกันที่ทำงาน พอเลิกงานก็เปลี่ยนชุดพร้อมออกเดินทางครับ นั่งพัก สัก 2 ทุ่มครึ่งก็แบกเป้ขึ้นรถมาที่ขนส่งหมอชิตกันเลย รอบนี้ไม่ได้จองตั๋วรถไว้เพราะโทรไปสอบถามแล้วเต็ม เราเลยวัดดวงไปหาตั๋วเอาที่หมอชิตกันเลย โชคดีครับได้รถของ "ภูกระดึงทัวร์" รถรอบ 4 ทุ่มเหมือนเดิม เมื่อทุกอย่างลงตัวก็นอนกันยาวๆ ครับ

สัมภาระที่เราเตรียมไป เยอะขึ้นกว่าครั้งก่อน รอบนี้เราแบกเต็นท์ไปกันเอง เป็นการช่วยประหยัดค่าที่พักครับ

ถึงร้านเจ๊กิมประมาณตี 5:30 เหมือนรอบก่อน


วันแรก(พฤ. 17 พฤศจิกายน 2559)

บริเวณข้างร้านเจ๊กิมจะมีจุดจำหน่ายตัวรถทัวร์ครับ พวกเราซื้อตั๋วขากลับรอไว้เลยครับ ลงภูกระดึงมาจะได้อุ่นใจมีรถกลับแน่นอน ขากลับ กทม. เราก็จะมารอขึ้นตรงนี้แหละ

รอบนี้เรารู้งานแล้วครับรีบจัดแจงหาอาหารเช้า ชาร์ทแบตโทรศัพท์ ล้างหน้าล้างตา แล้วมานั่งตั้งใจรอรถสองแถวเข้าอุทยานครับ(กลัวโดนเหมาอีก 555)

ใช้เวลาเดินทางจากผานกเค้าประมาณ 30 นาที ครับ บรรยากาศเช้านี้มีหมอกจางๆ (พูดถึงหมอกแล้วขนลุก) อากาศเย็นกำลังดีครับ นักท่องเที่ยววันนี้ก็หนาตากว่าครั้งก่อน


พวกเราแบ่งหน้าที่กันทำงานครับ 1 คนไปต่อคิวซื้อบัตรเข้าอุทยาน จัดการเช้าเครื่องนอน อีก 1 คน แบกสัมภาระทั้งหมดไปจองคิวชั่งน้ำหนักครับ ฟังดูเป็น Teamwork ดีนะครับ แต่เปล่าเลย เพิ่งมาอาทิตย์ที่แล้ว...

"ขอต้อนรับมวลมิตสู่ เส้นทางพิชิตภูกระดึง" พ้นประตูนี้ไปเดินกันยาวๆ ครับ

เส้นทางขึ้น ภูกระดึง สามารถขึ้นได้ ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ครับ

หรือแม้แต่คู่รัก ที่พร้อมจะมาพิสูจน์รักแท้ ก็ช่วยกันเดินจนถึงยอด

เดินมาได้ไม่นานพวกเราก็มาถึง "ซำแฮก" จุดพักจุดแรกครับ แวะทานแตงโม กันก่อน

วันนี้โชคดีครับ ได้เห็นทะเลหมอกตั้งแต่ซำแฮกเลย สวยมากๆ ครับ ขนาดเวลาตอนนี้ปาเข้าไป 9 โมงแล้ว ไม่อยากจะคิดภาพเลยครับ บริเวญจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ผานกแอ่น จะสวยขนาดไหน พวกเราแวะเก็บภาพสักพัก ก็ออกเดินทางกันต่อครับ

เดินไปพักไป แล้วพี่ลูกหาบก็แซงหน้าเราไปไม่เห็นฝุ่นครับ แข็งแรงมากๆ

ถึงแล้วครับ หลังแป สถานีต่อไปคือ ลานกางเต็นท์วังกวางครับ แวะถ่ายภาพบรรยากาศรอบๆ ศึกษาเส้นทาง แล้วก็ออกเดินทางกันต่อครับ

เดินมาได้สักพักก็เจอกับ ต้นสนเดียวดาย บรรยากาศผิดกลับอาทิตย์ก่อนที่เรามาอย่างกับคนละฤดู สภาพอากาศบนภูกระดึงวันนี้ถือว่าแดดแรงครับ แต่กลับไม่รู้สึกร้อน มีลมเย็นพัดตลอดเวลา

พวกเราโชคดีครับ มีรถพี่อุทยานขับผ่าน พวกเรารีบเลยกระโดดขึ้นกระบะขออาศัยไปกับเข้าด้วย ย้นระยะทางไปได้เยอะครับ

เดินต่อมาอีกหน่อย ก็ถึงลานกางเต็นท์ครับ พวกเราติดต่อกับเจ้าหน้าที่เรื่องเครื่องนอน จากนั้นก็หาทำเลกางเต็นท์ครับ

จัดการกางเต็นท์เรียบร้อย ก็พักเหนื่อยสักหน่อย กองทัพต้องเดินด้วยท้องครับ เราเลยไปทานอาหารร้านป้าร้านเดิมครับ ป้าแกใจดีบริการดีเหมื่อนเดิม

พวกเราพักได้สักแป๊ป พี่ลูกหาบก็มาถึงครับ จัดการเอาสัมภาระมาไว้ที่เต็นท์แล้วก็เตรียมตัวออกเดินทางกันเลยครับ

พวกเราวางแผนกันไว้ว่าวันแรกจะออกไปดูน้ำตก และไปชมพระอาทิตย์ตกที่ ผาหมากดูก

น้ำตกแรกที่พวกเราแวะคือ "น้ำตกวังกวาง" เป็นน้ำตกที่ใกล้กับจุดกางเต็นท์ที่สุด น้ำยังพอมีอยู่ครับ จัดแจ้งตั้งกล้องถ่ายภาพเก็บบรรยากาศกันอย่างสนุกสนานครับ

เสร็จจาก น้ำตกวังกวาง พวกเราเดินอ้อมไป น้ำตกธารสวรรค์ ครับ ถ่ายภาพจุดนี้ได้สักพัก เราก็ต้องเดินทางกันต่อครับ จุดหมายต่อไปคือ ผาหมากดูก

ออกเดินทางไป ผาหมอกดูก ครับ แสงแดดไม่รอใครจริงๆ

และแล้วพวกเราก็ทำสำเร็จมาถึงจนได้ ว่าแต่ทำไมป้ายมันเขียนไว้ "ผานาน้อย" ละนั้น นึกย้อนกลับไปพวกเราเลี้ยวผิดซอยครับ....

ยืนงงอยู่แป๊ป...ก็จัดการถ่ายภาพกันเลย ก่อนที่แสงจะหมดมุมที่ ผานาน้อย ก็สวยนะเห็น ภูผาจิต อยู่ไกลๆ คราวนี้ถึงเวลาเดินกลับครับ เส้นทางเดินจาก ผานาน้อย - ผาหมากดูก(1.2 km) - จุดกางเต็นท์ (3.2 km) ครับ

แสงเริ่มหมดความมืดเริ่มเข้ามาแทนที่ แต่ครั้งนี้ เราพก ไฟซีนอล มาไม่ใช่ ไฟหิ้วห้อย เหมือนครั้งก่อน แถวเตรียมถ่านมาเต็มอัตตราศึก 1 อาทิตย์ก็ไม่มีหมด

เดินสักักก็ถึงแล้วครับ ผาหมากดูก พอมีแสงอยู่บ้าง มาถึงก็จัดการตั้งกล้องถ่ายภาพจนแสงหมดครับ ที่บริเวณผาหมากดูดมีร้านค่าให้บริการครับ เสร็จจากถ่ายภาพก็นั่งพักทาน ไข่ปิ้ง มันเผา รองท้องกัน....

หลังจากทานของรองท้องกันเรียบร้อย ก็ได้เวลากลับลานกางเต็นท์ เดินออกมาหน้าร้าน สังเกตุเห็นท้องฟ้าใสมากครับ ไม่มีเมฆเลย ดาวระยิบระยับ เงยหน้ามองไปข้างบนก็ได้เจอกัน ทางช้างเผือก มากันเป็นโขลงครับชัดมากถึงขนาดมองเห็นด้วยตาเปล่า

พวกเราไม่กลับแล้วครับลานกางเต็นท์ เราเลือกตั้งกล้องถ่ายดาวที่ ผาหมากดูก ต่อนี้แหละ...

ถ่ายจนหนำใจก็เดินทางกลับครับ ระหว่างทางก็หยุดตั้งกล้องถ่ายทางช้างเผือกเป็นระยะๆ

เมื่อพระจันทร์ขึ้นแสงพระจันทร์ก็กลบทางช้างเผือกหายไปครับ เราเลยได้ Sper moon มาอีกใบ เป็นอันเสร็จภาระกิจของวันแรกครับ

หลังจากกลับถึงลานกางเต็นท์ ก็รับประทานอาหารร้านป้า ชาร์ทแบต นั่งพักให้หายเหนื่อยจากนั้นก็อาบน้ำเข้านอนด้วยความเพลีย...


วันที่สอง(18 พฤศจิกายน 2559)

เวลาตี 5 เสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่อุทยานดังขึ้นมา เราสะดุงตื่นเงียหูฟัง และลุ้นว่าวันนี้จะได้ออกไปชมพระอาทิตย์ขึ้นหรือไม่ หรือว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนรอบก่อน "ผู้ที่จะไปชมพระอาทิตย์ขึ้น ให้มารวมตัวกันที่ศาลา..." เย้...ได้ยินแบบนี้ค่อยอุ่นใจ แล้วเราก็นอนต่อ..

15 นาที ต่อมาพวกเราก็ลุกจากที่นอน เตรียมอุปกรณ์ ล้างหน้าล้างตา แล้วก็ออกเดินทางตามกลุ่มแรกไป พอมาถึงที่ "ผานกแอ่น" นักท่องเที่ยวจับจองพื้นที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นกันอย่างหนาตา วันนี้สภาพอากาศเย็นสบาย ท้องฟ้าแจ้งใส มองไปเห็นทิวเขา พื้นดินปกคลุมด้วยทะเลหมอก พวกเราเริ่มตั้งกล้องเก็บภาพบรรยากาศ

และแล้วเจ้าไข่แดงก็โผล่ออกมาให้เราได้ยลโฉม แสงสีทองเริ่มสาดไปทั่วบริเวณ พระอาทิตย์เคลื่อนขึ้นอย่างรวดเร็วนักท่องเที่ยวเริ่มทะยอยกันกลับที่พัก

พวกเราถ่ายภาพกันอย่างหนำใจแล้วก็นั่งพักจิปกาแฟ บริเวณจุดนี้จะมีพี่เจ้าหน้าที่มาบริการขายกาแฟครับ ดื่มกาแฟชมแสงเช้านี้ฟินสุดๆ....

ระหว่างทางขากลับจาก ผานกแอ่น ได้แวะสักการะ พระแก้ว ครับ จุดที่ตั้งของ พระแก้ว จะเป็นลานหินกว้างครับ จะประกอบไปด้วย ไลเคน (lichen)(ข้อมูลผิดพลาดแจ้งด้วยนะครับ อันนี้แอบได้ยินเค้ามา 555)

เดินต่อจาก พระแก้ว สองข้างทางจะพบกับพืชกินสัตว์ครับมีทั้ง หยาดน้ำค้าง กับ หม้อข้าวหม้อแกงลิง

หลังจากถึงจุดกางเต็นท์พวกเราก็แยกย้ายกันทำธุระส่วนตัว แล้วก็ไปทานอาหารร้านป้าร้านเดิมครับ

วันนี้พวกเราวางแผนไว้ว่าจะไป เริ่มที่ น้ำตกสอเหนือ - สระอโนดาด - น้ำตกที่เหลือ - ผาหล่มสัก สาเหตุที่ไปเริ่มที่ น้ำตกสอเหนือ ก็เพื่อจะหนีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นครับ ห้าๆๆๆ แล้วเราจะไปยังไงให้เร็วที่สุดล่ะ คำตอบคือเราต้องใช้เครื่องทุ่นแรงครับ เราต้องไปเช่าจักรยานที่มีบริการไม่ไกลจากลานกางเต็นท์ครับ

จักรยานที่ให้เช่ามีด้วยกัน 2 แบบครับ คือ แบบล้อโต 410 บาท/วัน กับ แบบธรรมดา 350 บาท/วัน พวกเราเลือกเจ้าล้อโตในราคา 410 บาท/วัน ครับ ข้อดีของเจ้าล้อโตคือมันปั่นง่ายกว่าครับ เวลาไปเจอเส้นทางที่เป็นทราย โคลน หรือน้ำขัง มันผ่านไปได้สบายๆ ครับ

ในบางจุด เจ้าล้อโต ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะครับ

และแล้วพวกเราก็มาถึง น้ำตกสอเหนือ ถึงตอนเที่ยงพอดีครับ เราพักเอาแรงทานข้าวตรงนี้กันเลยครับ(เราห่อข้าวกันมาเองครับ หมูปิ้งร้านป้าร้านเดิม)

หลังจากชม น้ำตกสอเหนือ เรียบร้อย ก็ย้อนกลับไปทางเดิมครับ สถานีพวกเราจะไป สระอโนดาต โดยปั่นเรียบหน้าผาไปแยกที่ ผานาน้อย ครับ

ระหว่างทางผ่าน ผาเหยียบเมฆ เลยแวะถ่ายภาพสักหน่อย

เส้นทางปั่นก็จะมีหลายบรรยากาศครับ ทั้งป่าสน ไปจนถึง ทุ่งหญ้าสะวันนา เหมือนเราปั่นที่แอฟริกายังไงยังงั้น

มาถึง "สระอโนดาต" บริเวณรอบสระจะเต็มไปด้วยต้นสนครับ น้ำใสเย็นสบาย พวกเราหยุดถ่ายภาพกันสักพักก็ออกเดินทางต่อครับ สถานีต่อไปคือ "น้ำตกถ้ำใหญ่"

หลังจากออกได้ไม่นานเจ้าล้อโตจักรยานคู่ใจเราก็งอแงครับ เกินอาการลูกปืนคอแตก พวกเราจึงตัดสินใจไปเปลี่ยนจักรยานคันใหม่ที่ร้านเดิมครับ ก่อนไปเราแวะ "น้ำตกถ้ำใหญ่" กันก่อนครับ

จากบริเวณจุดจอดจักรยาน ต้องเดินเท้าเข้าไปครับ ถึงบริเวณน้ำตกก็รีบจัดการถ่ายภาพกันเลยครับ เพราะใกล้เย็นแล้ว ไหนจะต้องไปเปลี่ยนจักยานแล้วปั่นไปที่ ผาหล่มสัก อีก

เมื่อได้จักรยานในสภาพที่สมบูรณ์กลับมาพวกเราก็เปรียบดั่ง "เสือติดปีก" เรารีบบึ่งไปทำภาระกิจสุดท้ายของวันนี้ที่ ผาหล่มสัก

หลังจากปั่นอยู่พักใหญ่ ก็มาถึงครับทันได้เห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าพอดีครับ สีทองอร่ามมีทิวเขาอยู่เบื้องหน้า สวยงามมากๆ ครับ

มาถึง ผาหล่มสัก ไม่ถ่ายกับสัญลักษณ์ของที่นี้ก็คงจะไม่ได้ครับ เขาคิวรอกันเลยครับ

มุมนี้จาก ผาหล่มสัก ใกล้ๆ คือ ภูผาจิต ครับ

หลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปสักพัก พี่เจ้าหน้าที่ก็จะนำทางคนที่เช่าจักรยานกลับ เพราะกลางคืนอันตรายมากครับ ไม่คุ้นทางนี้ลำบากแน่ๆ ก่อนออกตัวก็แจกไฟฉายคาดหัวคันละอัน

ส่วนใครเดินมาก็เดินเรื่อยๆ ครับชิลๆ แต่วันนี้อยากดูดาวด้วยนะสิ พวกเราจึงตัดสินใจยกจักรยานให้คนอื่นปั่นกลับแทน ส่วนเราจะขอเดินกลับครับ อากาศก็เริ่มหนาว บริเวณเลียบหนาผาก็มีลมให้ขนลุกกันเป็นระลอกๆ

พวกเรามาเริ่มตั้งต้นถ่ายดาวกันที่ ผาเหยียบเมฆ

วันนี้ได้ข่าวว่าจะมี ฝนดาวตก ครับถ่ายติดว่านิดหน่อย

จากการสอบถามกับเจ้าหน้าที่พระจันทร์จะขึ้นช่วง 4 ทุ่ม ตอนนี้เราเลยขอถ่ายช้างเผือกให้หายคิดถึงครับ เราเดินกลับมาถึงลานกางเต็นท์ประมาณ 3 ทุ่มครับ ถึงเป็นกลุ่มสุดท้ายเลย

ที่สนามหญ้าลานกางเต็นท์ สังเกตเห็นเงาตะคุ้มๆ เลยส่องไฟฉายไปเจอเป็นกวางกำลังเล็มหญ้า จึงได้ภาพนี้มาครับ

จากนั้นพวกเราก็ทานอาหารร้านป้า แยกย้ายกันทำธุระส่วนตัว ก่อนนอนเลยเก็บบรรยากาศรอบเต็นท์สักหน่อย น้ำค้างตอนกลางคืนค่อนค้างแรงครับ


วันสุดท้าย(ส 19 พฤสจิกายน 2559)

วันนี้พวกเราตัดสินใจไปเก็บน้ำตกที่ค้างจากเมื่อวานครับ เราเลยกะว่าจะลงภูกันตอนบ่าย

วันนี้พวกเราไม่ได้ตื่นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นครับ เราเลือกที่จะเคลียของเพื่อนำไปฝากลูกหาบแบกลงภูก่อน เหลือแต่อุปกรณ์ถ่ายภาพไว้ จากนั้นก็ทานอาหารเช้าร้านป้า แล้วก็เริ่มออกเดินทางครับ น้ำตกแรกที่พวกเราไปจุดแรกคือ "น้ำตกเพ็ญพบใหม่" มาถึงก็หาทำเลเก็บภาพกันเลย...

จากนั้นเราก็เดินไปต่อกันที่ "น้ำตกโผนพบ"

วันที่เรามาใบเมเปิ้ลส่วนใหญ่ยังไม่แดงครับ

ปิดท้ายด้วย "น้ำตกเพ็ญพบ"

หลังจากเสร็จจากภาระกิจชมน้ำตกก็ได้เวลากลับครับ

พวกเราแวะทานอาหารเที่ยงที่ร้านป้า นั่งพักให้หายเหนื่อย แล้วก็เตรียมตัวเดินทางลง

บรรยากาศช่วงบ่ายบริเวณ หลังแป ครับ

ขอจบภาระกิจที่ภาพผานกเค้าเหมือนเดิมครับ ไม่น่าเชื่อระยะเวลาห่างกันไม่ถึงอาทิตย์ บรรยากาศบน "ภูกระดึง" จะต่างกันอย่างกับคนละฤดูครับ

แต่ถึงยังไง ภูกระดึง ก็มีเสน่ห์ไม่ว่าจะมาเที่ยวในฤดูไหน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม พืชพรรณ สิ่งมีชีวิต มีให้เราค้าหาได้ตลอดทั้งปีครับ


ติดตามชมรีวิวบ้าๆ สไตล์ "Have you ever"ได้ที่

https://www.facebook.com/hyehaveyouever/ หรือ IG : haveyoueverth


"ทริปใหญ่สิ้นปีสนุกกว่านี้แน่นอน"

Have Youever

 วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 00.41 น.

ความคิดเห็น