หนาวนี้ไปไหนดี กี่ปีๆ ก็มีแต่คนไปแอ่วเหนือ ไปสูดอากาศหนาวๆ ดูทะเลหมอกตอนเช้าบนยอดดอยสวยๆ

โดยเฉพาะที่เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน และลำปางซึ่งผมไปมาหมดแล้วจ้าาาาา

แต่ทำไมไม่เคยมีใครนึกถึง ลำพูน จังหวัดเล็กๆ ในภาคเหนือที่ใครๆ ก็บอกว่าเหมือนเป็นเมืองผ่านมากกว่าเมืองเที่ยว

ผมจึงหาข้อมูลที่เที่ยวจังหวัดลำพูนก็พบว่า ถ้าใครชอบเที่ยวสายธรรมล่ะก็ ดีต่อใจแน่นอนจ้า ว่าแต่ที่ลำพูนมีแต่ที่เที่ยวแนวนี้จริงเหรอวะ ไม่สิ เป็นไปได้ไง ทั้งๆ ที่ดูจากแผนที่จังหวัดลำพูนก็มีเทือกเขาทอดเป็นแนวยาวอยู่หลายแถว

ผมจึงลองเสิร์ชอากู๋คำว่า "ลำพูน ดอย" แอน แอ่น แอ๊นนนนนน

ดอยช้าง บ้านป่าแป๋ อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของหน้าแรกเลยจ้าาา

แต่พอหาข้อมูลแล้ว ทำไมไม่มีข้อมูลรีวิวการเดินทาง ที่พัก และอาหารการกินเลย มีแต่ข้อมูลบอกเล่าความเป็นมาและลักษณะทางกายภาพของดอยช้างพร้อมภาพถ่าย แสดงว่าที่นี่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก เออ ชักเริ่มน่าสนใจแล้วสิ

ค้นไปค้นมาสุดท้ายก็เจอเบอร์ติดต่อครูจิน ผอ.โรงเรียนบ้านป่าแป๋ ซึ่งเป็นสื่อกลางระหว่างนักท่องเที่ยวกับชุมชน

ผมจึงโทรไปสอบถามก็ได้ข้อมูลเบื้องต้นว่า

จากบ้านป่าแป๋ขึ้นไปดอยช้าง ต้องเดินเท้าระยะทาง 5-7 กิโลเมตร และยังไม่ค่อยมีคนมาเที่ยวมากนัก

แค่นี้ก็ตอบโจทย์ความต้องการของผมแล้วล่ะครับ

ต้องเป็นที่เที่ยว Unseen เชิงอนุรักษ์ / ธรรมชาติ / วัฒนธรรม และนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึง

ลุยยยยยยยยย !!

EP 1 : จุดเริ่มต้น

เดือนธันวาคมที่ลมหนาวเริ่มทยอยพัดผ่านมา ผมเลือกช่วงสุดสัปดาห์ที่ได้หยุดวันจันทร์เป็นฤกษ์ดีของทริปเที่ยวนี้ ซึ่งเดิมทีจะมีเพื่อนไปด้วยอีกสองคน แต่พอผมมาถึงจุดนัดพบ ปรากฏว่า โ ด น เ ท เนื่องจากติดธุระกะทันหัน สรุปคือ กุ ไ ป ค น เ ดี ย ว อี ก แ ล้ ว ตามคอนเซ็ปต์ชิลๆ ของผมเลยจ้า

ล้ อ ง ห้ า ย ย ย ย ย ย ย ย

การเดินทางจากกรุงเทพไปลำพูน ผมนั่งรถบัส ป.1 ของ บขส. สายกรุงเทพ-ลี้-ลำพูน รอบเวลา 20.45 น. ขึ้นที่ขนส่งรังสิต

ถ้าขึ้นสายนี้ต้องทำใจเรื่องความสะดวกสบายหน่อยเพราะมีแค่ของบขส. เท่านั้น อาจไม่ถูกใจคนที่อยากหลับสบายระหว่างทางเท่าไรนัก แต่จริงๆ แล้วการเดินทางไปลำพูนมีทางเลือกมากกว่านี้ครับ

1. ขึ้นเครื่องลงเชียงใหม่ >> ต่อรถแดงไปขนส่งช้างเผือก >> ต่อรถบัสหวานเย็น เชียงใหม่-ลำพูน-ลี้
2. นั่งรถไฟลงสถานีลำพูน >> ต่อรถขาว ลำพูน-ลี้
3. นั่งรถบัส กรุงเทพ-เชียงใหม่ ลงดอยติ (ใครที่อยากนั่งนครชัยแอร์มากกว่าก็เชิญทางนี้ครับ) >> ต่อรถฟ้าลงตัวเมืองลำพูน >> ต่อรถขาว ลำพูน-ลี้

เหตุผลที่ผมเลือกนั่งรถบัส กรุงเทพ-ลี้-ลำพูน เพราะเป็นทางเลือกที่เหนื่อยน้อยที่สุดแบบต่อเดียวจบคือ รถบัสสายนี้ผ่านปากทางขึ้นดอยช้างพอดีเลย

10 ธันวาคม 2559 เวลา 7.30 น. อุณหภูมิ 19 องศา

รถบัสได้ผ่านตลาดห้วยกาน อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นที่หมายแรกที่ผมจะแวะกินข้าวเช้าและซื้อเสบียงสำหรับการดำรงชีพบนดอยช้าง ตามคำแนะนำของครูจินน่ะครับ

น้องน่าฮักแต๊ๆ แชะหน่อยเน้อ

เติมพลังยามเช้าด้วย ข้ า ว ต้ ม ไ ก่ กั๋นก่อน

กิ๋นข้าวแล้วก็เดินตลาดหาซื้อเสบียงนาจา

สุดท้ายก็ได้แค่ ผั ก ก า ด จ อ และเครื่องปรุงสำหรับทำ จ อ ผั ก ก า ด

ซื้อเสบียงเรียบร้อยแล้ว ต่อไปเราจะต้องนั่งรถไปที่ปากทางขึ้นดอยช้าง บ้านวังหลวง ซึ่งต้องนั่งรถสองแถวสีขาว ลำพูน-ลี้ ที่ตอนแรกนึกว่าสงสัยจะต้องรอ โ ค ต ร น า น แน่ๆ เลยว่ะ

ที่ไหนได้ ยืนเมื่อยขาเมื่อยไหล่เพียง 10 นาที สารถีรถขาวก็มาถึงแล้วจ้า

จากบ้านโฮ่ง สารถีรถขาวใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็มาถึงปากทางขึ้นบ้านป่าแป๋ที่บ้านวังหลวง (จอดเลยอีกต่างหาก)

ถ่ายให้รู้ว่า ที่นี่เขามีป้ายบอกด้วยนะเออ ไม่ได้ลึกลับอย่างที่คิดเลยครัช บ้ า น ป่ า แ ป๋

ถึงปากทางแล้วปัญหาคือ ผมจะขึ้นไปบ้านป่าแป๋ยังไงจ๊ะ เพราะปากทางไม่มีรถสองแถวประจำขึ้นไปเลย อย่าบอกนะว่าต้องเดินขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอรถวิ่งผ่านแล้วโบกขึ้นเหรอ ใจนี่เริ่มเต้นระทึกเลยจ้า นั่งทำใจแปป

แต่ทุกอย่างไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดเสมอไปครับ เพราะตรงปากทางมีรถกระบะคันหนึ่งจอดอยู่ ผมกำลังจะเริ่มเดินขึ้นป่าแป๋ พี่คนขับก็ถามผมว่า จะขึ้นไปป่าแป๋ใช่มั้ย พอดีครูจินให้พี่มารอรับผมขึ้นไปพร้อมกัน ผมเลยถามว่าถ้าเดินขึ้นไปจะใช้เวลานานเท่าไหร่และระยะทางกี่กิโลเมตร พี่คนขับบอกว่าเหนื่อยนะ ระยะทางเกือบๆ 10 กิโลเมตร เป็นทางขึ้นต่อเนื่องและชันมาก แดดค่อนข้างแรง ให้เก็บแรงไว้เดินขึ้นดอยช้างดีกว่า โอเคครับ ตามนั้น ไม่เสี่ยงดีกว่า 555

นี่คือโฉมหน้าของรถกระบะที่จะพาผมขึ้นป่าแป๋นะครับ พอดีพี่คนขับลงมารับแก๊งช่างจากตัวเมืองลำพูนขึ้นไปด้วย เป็นจังหวะดีเลย ไม่ต้องลำบากพี่แกหลายรอบ

จุดรวมพลและเปลี่ยนรถ ณ ค่ายลูกเสือบ้านวังหลวง

เนื่องจากวันนั้นมีคณะจากนิคมอุตสาหกรรมลำพูนจะขึ้นไปปลูกต้นไม้และทำอาหารเลี้ยงน้องๆ ที่บ้านป่าแป๋ รถกระบะจึงต้องแวะรับคณะนี้ที่ค่ายลูกเสือด้วย

และแล้ว เราก็ได้ฤกษ์ขึ้นสู่ บ้ า น ป่ า แ ป๋ กันแล้ว เริ่มมมมมมม

เนื่องจากผมนั่งอยู่ตรงแค็บหลังรถ ซึ่งไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์สำคัญของการถ่ายรูปข้างทางเลย ทำให้ถ่ายได้ไม่ถนัด สั่นๆ เบลอๆ ไปเยอะ เหลือที่ดีๆ มีอยู่แค่นี้แหละครับ ไว้ไปถ่ายซ่อมตอนขาลงและรีวิวสภาพเส้นทางขึ้นบ้านป่าแป๋ทีเดียวเลยละกัน

รู้ ห มื อ ไ ร่ ไก่อะไรไถนาได้

ไ ก่ จ๊ ะ เ ห็ น ค ว า ย แ ล่ ว ก๊ ะ

นั่นก็หมายความว่า ใกล้จะถึงหมู่บ้านแล้ว เดี๋ยวพี่คนขับจะพาไปหาครูจินที่โรงเรียนก่อน แล้วค่อยตกลงเรื่องขึ้นดอยช้างอีกที

ฉันก็เอาแต่จะ ควาย ควาย ควาย ควาย (ล้อเล่นนะอย่าคิดมาก 5555555)

ไม่เกิน 10 โมงเช้า ผมพร้อมด้วยคณะนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมดก็มาถึง โ ร ง เ รี ย น บ้ า น ป่ า แ ป๋ โดยสวัสดิภาพ

ช่วงนี้ต้องขอตัวเอาสัมภาระไปเก็บก่อนเน้อ แล้วค่อยมาว่ากันต่อว่า ที่นี่จะมีอะไรให้ทำบ้าง

EP 2 : บ้ า น ป่ า แ ป๋

10 โมงเช้าที่ผมขึ้นมาถึงโรงเรียนบ้านป่าแป๋ อากาศเย็นสบายกำลังดี แต่แดดแรงมาก ครูจินที่รอต้อนรับผมและคณะอยู่แล้วบอกผมว่า มาที่บ้านป่าแป๋สามารถพักค้างคืนได้ 2 แบบคือ

1. ขึ้นไปนอนกางเต็นท์บนดอยช้าง
2. นอนโรงเรียน (เพราะที่บ้านป่าแป๋ยังไม่เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวโฮมสเตย์)

ซึ่งผมเลือกไปนอนกางเต็นท์บนดอยช้างแน่นอน (แพลนมาดิบดีแล้วนี่) แต่ครูจินบอกให้ผมรอขึ้นดอยช่วงบ่ายพร้อมกับน้องๆ อีกกลุ่มหนึ่งที่จะขึ้นไปนอนกางเต็นท์บนดอยช้างทีเดียวจะดีกว่า ส่วนช่วงระหว่างรอน้องๆ ครูจินก็ให้ผมเอาสัมภาระไปเก็บที่ห้องรับรอง อาบน้ำ งีบหลับเอาแรงหรือจะไปเดินเล่นในหมู่บ้านไปพลางๆ ก่อนก็ได้

เนื่องจากวันนี้มีคณะจากนิคมอุตสาหกรรมลำพูนมาทำกิจกรรมกับน้องๆ โรงเรียนบ้านป่าแป๋

จากที่คิดว่าจะงีบหลับสักพัก ก็เปลี่ยนใจมาเก็บภาพบรรยากาศของกิจกรรมดีกว่าครับ

สนามเด็กเล่นภายในโรงเรียนบ้านป่าแป๋

ชุดนักเรียนของน้องๆ ที่นี่จะเป็นชุดพื้นเมืองของชาวปกาเกอะญอ (มากกว่า 90% ของประชากรบ้านป่าแป๋เป็นชาวเขาปกาเกอะญอ) ซึ่งครูจินบอกว่า น้องๆ จะใส่ชุดพื้นเมืองแบบนี้เฉพาะวันศุกร์และวันที่โรงเรียนมีงานรับแขกเท่านั้น

น้องๆ กำลังทำแผนที่กายภาพของบ้านป่าแป๋ มีดอยช้างด้วยนะแจ๊ะ

โหดสลัดรัสเซียมาก เพราะต้องใช้เวลาเก็บข้อมูลและสำรวจพื้นที่ถึง 3 ปีกว่าจะออกมาเป็นรูปร่างแบบนี้

ครูจิน ผอ.โรงเรียนบ้านป่าแป๋

มาดูน้องๆ อีกกลุ่มหนึ่งปลูกผักสวนครัวกัน

ครูจินกะมาช่วยน้องๆ โตยเน้อ

ใช้เวลาถึง 11 โมงกว่า แปลงผักสวนครัวของน้องๆ ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วจ้า

ต่อไปพวกพี่ๆ จะไปเตรียมทำอาหารกลางวันฮื้อน้องๆ ส่วนผมของีบหลับก่อนละกัน เดี๋ยวไม่มีแรงเดินขึ้นดอยช้าง

เ ที่ ย ง แ ล้ ว กิ๋ น ไ ด้

ข น ม จี น น้ ำ เ งี้ ย ว

เมื่ออิ่มหนำสำราญแล้ว กิจกรรมของพี่ๆ นิคมลำพูนก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยจ้า

แ ช ะ ก่ อ น ล า จ า ก ไว้เจอกันใหม่ครับพี่ๆ

แล้วผมล่ะ เอาไงต่อดีครับ โดนเทอีกแล้ว

ครูจินบอกว่าน้องๆ ที่จะขึ้นดอยช้างน่าจะมาถึงโรงเรียนประมาณบ่าย 3 โมงได้ ระหว่างนี้ผมจึงต้องไปเดินเล่นในหมู่บ้าน ฆ่าเวลาวนไปพลางๆ ก่อน เริ่ม !

เดินย้อนกลับไปตามทางที่มานี่แหละครับ

อ๋อ ลืมบอกไปว่า ที่บ้านป่าแป๋เขาแบ่งลูกบ้านเป็นหมวดๆ นะครับ มีทั้งหมด 6 หมวด อย่างโรงเรียนก็จะอยู่ในหมวด 4

เดินมาได้สักพักก็มาถึงหมวด 3 เห็นชาวบ้านกำลังทอผ้าพอดีเลยครับ เดี๋ยวเราเข้าไปผ่อเขาทอผ้ากั๋น

เรียบร้อย ไปต่อค่ะพี่สุชาติ

บ้ า น ข อ ง ช า ว เ ข า

เป็นบ้านไม้ขนาดกะทัดรัด เห็นแล้วดูอบอุ่นน่าอยู่มาก 55555 แต่...

ยิ่งบ่าย แดดยิ่งร้อน ความง่วงเริ่มเข้าครอบงำ แถมต้องเซฟแบตกล้องไว้ไปถ่ายบนดอยช้างอีกต่างหาก

เอาเป็นว่ามาสำรวจภายในหมู่บ้านคร่าวๆ เพียงเท่านี้ก่อน พรุ่งนี้ลงจากดอยแล้วค่อยมาสำรวจหมู่บ้านกันต่อจ้า

ว่าแล้วก็...ขอกลับไปงีบที่โรงเรียนสักพักก่อนละกันนะ ตื่นมาน้องๆ คงถึงโรงเรียนแล้วล่ะ

EP 3 : ด อ ย ช้ า ง

ผมกลับมางีบหลับที่โรงเรียนจนถึงบ่าย 3 เกือบ 4 โมง เสียงครูจินตะโกนปลุกดังก้องไปทั่วทั้งโสตประสาทของผมจนถึงกับสะดุ้งตื่น

ผมลุกขึ้นมาหาครูก็พบว่า กลุ่มน้องๆ ที่จะขึ้นไปนอนบนดอยช้างคืนนี้มาถึงแล้ว

น้องๆ กลุ่มนี้มีทั้งหมด 6 คน น้องบอกว่า เดินจากข้างล่างขึ้นมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้านก็มีรถกระบะของโรงเรียนมารับ

ระยะทาง 9 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินรวมพักข้างทางแล้วเกือบ 3 ชั่วโมง

น้องครับ เอ็งใจถึงดีว่ะ ข้าน้อยขอคารวะ

16.00 น.

ให้น้องๆ ได้พักเหนื่อย อาบน้ำ เช็กสัมภาระที่จำเป็นก่อนเริ่มเดินขึ้นดอยช้างเวลา 16.30 น. ซึ่งเราต้องเดินเท้าก้าวเข้าป่าราวๆ 5 กิโลเมตร ระหว่างนี้มาดูกันว่าสัมภาระที่จำเป็นต้องแบกไปมีอะไรบ้าง เน้นความคล่องตัวเป็นหลัก #อันนี้ต้องจด

ห ม ว ด เ สื้ อ ผ้ า
1. เสื้อกันหนาว 1-2 ตัว (บ น ด อ ย ห น า ว ม า ก)
2. เสื้อยืดอย่างหนา 1 ตัว
3. กางเกงขายาว 1 ตัว (หลีกเลี่ยงเดฟ ยีนส์ เพราะตอนเดินขึ้นดอยจะถ่วงน้ำหนักมากๆ)
4. ผ้าเย็นสำหรับเช็ดตัว
5. ถุงมือ ถุงเท้า หมวก ผ้าพันคอ
6. รองเท้าผ้าใบ (หุ้มข้อได้ยิ่งดี) + รองเท้าแตะ

ห ม ว ด น อ น
#อันนี้ต้องเตรียมมาเอง เพราะที่บ้านป่าแป๋ไม่มีให้เช่านาจา
1. เต็นท์ + ผ้ากันน้ำค้าง
2. ถุงนอน

ห ม ว ด กิ น
อันนี้ต้องเตรียมมาให้พร้อมตั้งแต่ข้างล่างเช่นกันจ้า ถ้าใครจะมาก็อย่าลืมแวะซื้อเสบียงที่บ้านโฮ่งก่อนเน้อ
1. น้ำดื่ม 1 แกลลอน + น้ำใช้ 1 แกลลอน (ที่เซเว่นขายแกลลอนละประมาณ 40 บาท)
2. น้ำดื่ม 1 ขวดใหญ่ (13-14 บาท) / คน
3. หม้อสนาม / ช้อนส้อม / ถ้วยชามกระดาษ (อย่าซื้อแบบถ้วยโฟมเลย ขอเถอะ มันย่อยสลายยาก)
4. ซันไลต์และสก๊อตไบร์ท
5. วัตถุดิบสำหรับปรุงอาหาร 2 มื้อคือ เย็นนี้กับเช้าวันรุ่งขึ้น อันนี้สุดแล้วแต่จะครีเอทเลยขอรับ

ห ม ว ด ข อ ง ใ ช้
1. แปรงสีฟัน / ยาสีฟัน / โฟมล้างหน้า
2. ไฟแช็ก / ไฟฉาย / น้ำมันก๊าด
3. มีดพกอเนกประสงค์ (ถ้ามี)
4. กระดาษทิชชู่ / กระดาษหนังสือพิมพ์
5. ถุงดำ สำหรับใส่ขยะจากบนดอยลงมาทิ้งข้างล่าง
6. ยารักษาโรค อย่างน้อยๆ ควรพกยาพาราฯ ยาแก้แพ้ ยาแก้ปวดท้อง ท้องเสีย ยาหม่อง เบตาดีน และแอลกอฮอล์ไปด้วย ใครมีโรคประจำตัวอะไรก็พกยาไปด้วยนะจ๊ะ
7. Powerbank #อันนี้สำคัญ

ถ้าสัมภาระพร้อมตามลิสต์ดังนี้แล้วก็ L e t ' s G o !

16.30 น.

ได้ฤกษ์ บุกเบิกทางสู่ ด อ ย ช้ า ง โดยมีพี่ในหมู่บ้านขับรถไปส่งที่ปากทางขึ้นดอยช้าง หมวด 3 และมีพี่ผู้ช่วยอีก 2 คนเป็นลูกหาบนำสัมภาระหมวดนอนและหมวดกินล่วงหน้าไปก่อนแล้ว และจะคอยดูแลพวกเราทั้ง 7 คนตลอดช่วงที่กินอยู่บนดอยช้างด้วย (เป็นกฎของที่นี่ นักท่องเที่ยวที่จะขึ้นไปนอนกางเต็นท์บนดอยช้าง ต้องมีคนพื้นที่ไปดูแลความเรียบร้อยด้วยทุกครั้ง)

16.45 น.

กายพร้อม ใจพร้อม เราเดินได้ ดื่มน้ำแต่พอดี เริ่มข่าาาาา

ในการเดินป่าครั้งนี้ ผมได้รับมอบหมายจากครูจินให้เป็นพี่เลี้ยงดูแลน้องๆ ตลอดช่วงเวลาที่อยู่บนดอยช้างจ้า

หลักๆ คือนำทางไปยังจุดกางเต็นท์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเพราะเป็นทางตรงตลอด ถ้ามีทางแยกพี่ลูกหาบจะทำสัญลักษณ์ไว้ให้

ยั ง ชิ ล ไ ด้ อ ยู่

ยังอุตส่าห์แบกกีตาร์มาเนาะ 55555

เอิ่มมมม รู้สึกว่าแสงเริ่มจะหมดแล้ว

ทำเวลาสิครับ อย่าหยุดเดิน ไม่งั้นต้องเดินในความมืดนะโว้ยยยยยย

ตบค่ะ เอ้ย! ต ะ ข บ เอ้ย! ถูกแล้ว!

เห็นสภาพป่าที่นี่ มันช่างดีต่อใจเสียจริงๆ

สัญลักษณ์บอกทางโดยพี่ลูกหาบ 2 คนที่ล่วงหน้าไปรอพวกเราที่จุดกางเต็นท์ พบได้เป็นระยะๆ ณ จุดที่เป็นทางแยก

แ ส ง อ ย่ า ง ส ว ย

มีช่วงหนึ่งที่ต้องเดินผ่านทุ่งดอกไม้ ได้หมดถ้าสดชื่น

โอ้วววววววว นี่มันดอยช้าง ให้ตายเถอะโรบิน

มันใกล้ตา แต่ไกล ต รี น น น น น เหลือเกิน

พอมองไปอีกฟาก ผมนี่ถึงกับต้องใส่เกียร์หมาเลย

กุจะขึ้นไปทันถ่ายพระอาทิตย์ตกม้ายยยยยยยย แสสสสสสสสส พวกผมจึงต้องก้าวเท้าให้ยาวและเร็วกว่านี้ ไม่งั้นล่ะก็...

เข้าเขตป่าทึบกันอีกครั้งจ้า

แต่เดินเข้าไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็โผล่ออกมาเห็นสัมภาระส่วนรวมของพวกเราวางกองไว้ข้างทาง แต่ยังไม่ถึงจุดกางเต็นท์ เพราะพี่ลูกหาบบอกผมก่อนเดินขึ้นมาว่า จากจุดวางสัมภาระต้องเดินขึ้นไปอีก 1 กิโลเมตรเศษๆ ก็จะถึงจุดกางเต็นท์แล้วจ้าาาาา


ส่วนสาเหตุที่สัมภาระต้องถูกทิ้งไว้กลางทางน่ะเหรอ

ไบกี้มาได้แค่นี้จ้า ทางต่อจากนี้ชันและขรุขระมาก ต้องเดินเท่านั้น

ปล. ไบกี้ใช้เฉพาะแบกสัมภาระและเหตุฉุกเฉินเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ไม่อนุญาตให้ขี่ไบกี้บนทางเดินป่านะจ๊ะ

ค่อยๆ แบกกันไปครับ อ่อนแอก็แพ้ไป แบกไหวก็ขึ้นมา

ผ้าสีส้มนี้หมายถึง บ ว ช ต้ น ไ ม้ อันเป็นกุศโลบายของคนบ้านป่าแป๋ในการอนุรักษ์ป่าไม้ครับ

แสงสุดท้ายของวันนี้ครับ TT สุดท้ายก็ไปไม่ทันดูพระอาทิตย์ตกบนยอดดอยช้าง ไม่เป็นไร รอถ่ายพระอาทิตย์ตอนเช้าละกัน

18.15 น.

ถึงแล้ว จุ ด ก า ง เ ต็ น ท์

พี่ลูกหาบทั้ง 2 คนได้ขึ้นมารอพวกผมเป็นที่เรียบร้อย แต่คอยดูพวกผมอยู่ห่างๆ ซึ่งค่อนข้างจะปล่อยฟรีพวกเราเหมือนกัน

มาถึงจุดกางเต็นท์แล้วอย่างแรกที่ต้องทำคือ ก่อไฟและกางเต็นท์ ซึ่งผมไปช่วยน้องกางเต็นท์ก่อนแล้วค่อยไปหาฟืนทีหลัง เพราะในกลุ่มมีน้องที่มีสกิลการก่อไฟขั้นพื้นฐานจัดการให้เรียบร้อย พี่ลูกหาบบอกว่า ลานกางเต็นท์ตรงนี้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้สูงสุด 20 คน แต่พอกางเต็นท์เสร็จแล้วรู้สึกว่า น่าจะรองรับได้จริงๆ แค่ 10 กว่าคนเท่านั้น

กางเต็นท์เสร็จเรียบร้อย พวกผมก็ช่วยกันไปหาฟืนมาเติม และเตรียมทำอาหาร

งานหยาบก็ต้องมา เพราะทำกันง่ายๆ แบบไม่ต้องคิดอะไรมากเลย

ก็อย่างที่เขาว่ากันแหละครับ กินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน แต่สำหรับผมเหรอ...

อ ย า ก กิ๋ น ก ะ ต้ อ ง ไ ด้ กิ๋ น

จ อ ผั ก ก า ด

จริงๆ ทำมาจากที่โรงเรียนแล้วครับ โดยมีพี่กลุ่มนิคมฯ บอกสูตรและสอนทำให้ ผมมีหน้าที่แค่เอาขึ้นมาอุ่นแหละ 555

20.00 น.

ถึงแม้ว่ามาม่าและจอผักกาดอาจไม่ได้ถูกปากพวกเราเท่าไหร่นัก พวกเราก็ซัดจนเรียบทั้ง 2 อย่างเลยครับ น่าจะกินได้เพราะเหนื่อยจากการเดิน

ด้วยความที่วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว อากาศก็เย็นกำลังดี สิ่งที่อยากทำมากที่สุดในตอนนี้คือ น อ น

โอเคครับ ตามนี้ ราตรีสวัสดิ์ทุกคน ตอนต่อไปเราจะมาชมความงามยามเช้าจากบนยอดดอยช้างกันเน้อ

EP 4 : ยามเช้า ณ ดอยช้าง

ก่อนที่จะตื่นเช้าขึ้นไปดูทะเลหมอกบนยอดดอยช้าง ผมมี Insert เล็กๆ น้อยๆ จากเมื่อตอนกลางคืนให้ชมกันนะก๊ะ

ถ่ายจากลานกางเต็นท์ เมื่อตอนตี 5 หลังจากที่ผมและน้องๆ เริ่มทยอยตื่นกันแล้ว

11 ธันวาคม 2559 เวลา 6.00 น. อุณหภูมิบนดอย 14-15 องศาโดยประมาณ

ผมพร้อม น้องๆ พร้อม พี่ลูกหาบพร้อม

ไปทำภารกิจในยามเช้ากัน นั่นก็คือ ภ า ร กิ จ พิ ชิ ต ด อ ย ช้ า ง

ฟ้ายังไม่สว่างเลย พกไฟฉายไปโตยเน้อ อ้อ ลืมบอกไปว่า ยอดดอยช้างห่างจากลานกางเต็นท์แค่ประมาณ 500 เมตร

สบ๊าย ! (เหรอ?)

ใกล้ความจริงแล้ว เนื่องจากขามาค่อนข้างมืด เลยยังไม่ถ่ายรูปเก็บไว้ รอเก็บตกตอนขากลับทีเดียว เดี๋ยวก็รู้ว่าโหดไม่โหด

ถึ ง ล้ า ว ว ว ว ว ว ว

ผู้ พิ ชิ ต ด อ ย ช้ า ง

พี่ลูกหาบบอกว่า ดอยช้างเป็นดอยที่สูงที่สุดในจังหวัดลำพูน (สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,400 เมตร)

ขอวอร์มก่อนพระอาทิตย์ขึ้นด้วยทะเลหมอกที่มองเห็นโดยรอบได้แบบ 360 องศา

ใกล้แล้วๆ

และนี่คือโฉมหน้าของพี่ลูกหาบทั้ง 2 ท่านที่อุตส่าห์เสี่ยงชีวิตพาพวกเราเดินขึ้นมาถึงยอดดอยช้างได้

รอ ร้อ รอออออออ ฉันรอพี่ที่ท่าน้ำทุกเช้าเลยนะ (ผิดเรื่อง!)

เกือบๆ 7 นาฬิกา พระอาทิตย์ไก่จ๊ะขึ้นแล่ว Stand by

มาล้าวๆ

ขออีกรูป

ขึ้นแล้ว เย้! แสงแรกของวันนี้

กลับไปดูอีกฟากของดอยช้างกันครับ

แดดมาเร็วและแรงมาก ยังไม่ทัน 8 โมงเช้า จากที่หนาวๆ ก็เริ่มอุ่นแล้ว แต่ยังดีที่ได้ลมเย็นๆ ช่วยไว้

พี่ลูกหาบบอกว่า ถ้าวันไหนฟ้าเปิด แดดจ้า จะเห็นวิวยอดดอยช้างไกลถึงดอยอินทนนท์และทะเลสาบดอยเต่าเลยครับ แต่เสียดายวันที่ผมขึ้นไปมีหมอกบางส่วนลอยสูงกว่ายอดดอย เลยมองไกลๆ ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่

ผ า วั ด ใ จ

อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ไม่อยากให้พลาด เมื่อขึ้นมาถึงยอดดอยช้าง

ลักษณะของผาเป็นผาขาดที่ยื่นออกไป แต่ยืนแล้วพบว่า ผาฮัมฮด (เบี่ยงคำนิดนุง) ยังป้องกันแชมป์ผาสุดเสียวไว้ได้ 55555

แต่ขากุสั่นครับ ลั่นวนไปจ้ะ

แ ป ด น า ฬิ ก า

ได้เวลาลงยอดดอยกลับไปเก็บของที่ลานกางเต็นท์แล้วนาจา เดี๋ยวเรามาพับกบ เอ้ย! พบกับการรีวิวทางเดินขึ้น-ลงดอยช้างกั๋นเน้อ

เห็นแนวก้อนหินนั่นมั้ย นั่นแหละครับคือทางเดินที่ต้องไต่ขึ้นไป

ทางไต่เขาถือว่าโหดระดับ 3.5 ดาว เหมือนจะเดินไม่ยากแต่ค่อนข้างยากเพราะไม่มี Safety อะไรเลย

เพราะฉะนั้นคนที่จะมาเที่ยวดอยช้างควรมีสกิลปีนป่ายขั้นพื้นฐานด้วยนะจ๊ะ

มันไกลมากเลยนะ ไม่น่าเชื่อว่าเราจะไปถึงจุดๆ นั้นได้ สุดยอดดดด จอร์จจริงๆ

อะไรนะ ห้ามใส่รองเท้าขึ้นยอดดอย

อะไรนะ ห้ามใส่รองเท้าขึ้นยอดดอย

มิน่าล่ะ ทำไมตอนขาขึ้นพี่ลูกหาบถึงบอกให้ถอดรองเท้า เขาบอกว่าบนยอดดอยเปรียบเสมือนหัวช้าง

คนบ้านป่าแป๋มีความเชื่อว่าดอยช้างเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่สมควรที่จะสวมรองเท้าขึ้นไปเหยียบบนหัวช้าง

เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัย เช่น ฝนตก หรือมีแผลที่เท้า ก็อนุโลมให้สวมรองเท้าขึ้นยอดดอยได้

เ ข้ า ใ จ ต ร ง กั น น ะ

ทางขวาสุดของภาพคือลานกางเต็นท์ที่เราเดินมานะครับ

จะเห็นได้ว่าทางขึ้นดอยช้างมีความโหดสลัดรัสเซียพอสมควร สังเกตจากน้องๆ ที่ต้องเดินเรียงหนึ่งตามกันมา

กฎห้ามสวมรองเท้าขึ้นยอดดอยช้างนี่ว่าแปลกแล้วนะ แต่ที่น่าแปลกก็คือนี่แหละครับ

ห้ า ม ผู้ ห ญิ ง ขึ้ น ย อ ด ด อ ย ช้ า ง

ส่วนเหตุผล ผมขอไม่พูด ณ ที่นี้ดีกว่าครับ ต้องขออภัยด้วย เพราะเป็นเหตุผลที่อาจกระทบกระเทือนกับหลายๆ ฝ่าย

(คล้ายๆ กับเหตุผลที่ทำไมผู้หญิงเข้าวิหารของวัดหลายๆ แห่งในภาคเหนือไม่ได้น่ะครับ)

8.30 น. โดยประมาณ พวกผมเดินลงมาถึงลานกางเต็นท์ แสดงว่าระยะเวลาที่ใช้ในการขึ้นและลงดอยช้าง ไม่เกินครึ่งชั่วโมง

ต่อจากนั้นพวกผมก็แบ่งกลุ่มกัน คนไหนมีทักษะพ่อบ้านใจกล้าพนาไพร ก็ไปเตรียมก่อไฟกับทำอาหารมื้อเช้า ส่วนที่เหลือก็เคลียร์พื้นที่ เก็บสัมภาระส่วนรวมให้พี่ลูกหาบลำเลียงล่วงหน้าไปก่อน

โ ป ร ด ช่ ว ย กั น รั ก ษ า ค ว า ม ส ะ อ า ด ที่ ล า น ก า ง เ ต็ น ท์ ด้ ว ย น ะ จ๊ ะ

ขยะที่ไม่ใช่วัสุดธรรมชาติ เอาใส่ถุงดำให้หมด !

หน้าตาของอาหารมื้อนี้ ที่เริ่มต้นง่ายๆ ก็ต้องจบลงง่ายๆ เช่นกัน

ไง มาม่าไหมล่ะมืง ท่องไว้ เรากินเพื่ออยู่

9.30 น. โดยประมาณ


กินข้าวเสร็จ เก็บของ เคลียร์พื้นที่เสร็จ เตรียมตัวเดินลงดอยกลับไปที่หมู่บ้าน

ก่อนลงต้องถ่ายวิวเป็นที่ระทึกกันซะหน่อย (ระทึกจริงๆ นะ ไม่เชื่อดูรูปต่อไปดิ 55555)



ตรงนี้แหละครับ ที่ผมยืนถ่ายรูปวิวแบบกลั้นใจสึดๆ (ข้างหลังมีน้องช่วยเซฟอยู่ครับ)

ใช้เวลาเตรียมตัว เช็กสัมภาระแปปนึง จนถึง 9.45 น. พวกผมก็เริ่มเดินลงดอยกันครับ

ขาลงเราก็เดินป่าเพลินๆ ชมธรรมชาติกันไป เพราะแผนที่วางไว้คือต้องเดินลงไปให้ถึงหมู่บ้านก่อนเที่ยง คำนวณจากระยะทางและระยะเวลาช่วงขาขึ้นแล้ว ยังไงก็ทันครับ

ดีต่อใจ เมื่อมีดอกไม้ป่าให้ชมข้างทาง

ขาลงก็ไม่ได้สบายไปกว่าขาขึ้นเลยครับ เพราะทางลงชันสุดๆ พลาดทีมีโอกาสลงเหวเหมือนกัน



ระหว่างทางก็มีจุดชมวิวให้ถ่ายบ้างประปราย

อุ๊ย! เจอผีเสื้อด้วย

เนื่องจากพี่ลูกหาบล่วงหน้าไปไกลแล้ว ผมจึงต้องทำหน้าที่เป็นคนนำทางน้องๆ อีกแล้ว

ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถอะไร เพราะจุดสังเกตที่ทิ้งไว้ตามรายทางยังอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ใช้สกิลการเดินป่าให้เป็นประโยชน์

ทุ่ ง ด อ ก ไ ม้ ข า ว (ไม่รู้ว่าเป็นดอกอะไรเพราะไม่มีคนให้ข้อมูล)

อีกหนึ่งไฮไลต์ระหว่างทางที่ต้องห้าม (พลาด)

ระหว่างทางก็จะมีพวกมอส เฟิร์น ขึ้นเต็มตามต้นไม้ไปหมด

เห็ดป่าก็มีนะเออว์

ลูกหาบน้อย ผู้แบกขยะทั้งมวลจากลานกางเต็นท์

ทำดีพี่ขอชมครับ

พักกันบ้าง

เริ่มเดินลงจากดอยช้างเวลา 9.45 น. มาถึงตรงจุดชมดอยช้างตามภาพก็ประมาณ 10 โมงครึ่ง

มองดูเหมือนใกล้ตา แต่โคตรไกลจากเท้าเรามากเลย รู้สึกเป็นกำลังใจที่เดินไปถึงจุดๆ นั้นได้ยังไง

เดินกันต่อครับ กำลังหลอกตัวเองว่าไก่จ๊ะถึงแล่วทุกๆ 5 นาที 55555

เดินมาเรื่อยๆ จนเริ่มเห็นบ้านคน แต่ก็ยังวางใจได้ไม่สนิท

เจอบ้านคนเป็นหย่อมๆ แล้วววว เริ่มวางใจได้มากกว่า 50% แล้วว่าไม่หลงแล้วครัช

11.15 น. พวกผมเดินทะลุออกมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน ไ ม่ ห ล ง แ ล้ ว ว ว ว ว ว

รวมระยะเวลาที่เดินจากดอยช้างมาถึงที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง แต่...

ขาขึ้นเราเดินขึ้นทางหมวด 3 นี่นา แต่ขาลงทำไมมาออกที่หมวด 1 แสดงว่า... ต้องมีช่วงใดช่วงหนึ่งที่หลงทางแน่ๆ แต่ช่างมันเถอะ มาถึงที่หมายแล้วจะไปใส่ใจกลางทางทำไม

แต่เมื่อถึงปากทางปรากฏว่าน้องๆ ทุกคนน้ำหมดแล้ว เดี๋ยวผมพาน้องๆ ไปเติมน้ำและนั่งพักเหนื่อยสัก 15 นาทีที่บ้านอ้ายกำพล พี่ภารโรงที่โรงเรียน เขาเคยพาผมสำรวจพื้นที่บ้านป่าแป๋เมื่อครั้งก่อน แต่ปรากฏว่าทริปล่มเพราะพายุเข้า ฝนตกตลอดทั้งทริปจนไม่ได้ขึ้นดอยช้าง ทริปนี้จึงเป็นทริปซ่อมจากคราวก่อนนาจา

โชคดีที่ผมจำทางเข้าบ้านอ้ายกำพลได้ พอดีกับเจอเมียแกกลางทาง เลยขึ้นไปด้วยกัน

พี่แกเป็นคนปกาเกอะญอ พูดไทยไม่ค่อยแข็ง ต้องอู้กำเมืองแบบถูๆ ไถๆ เลยพอสื่อสารกันรู้เรื่องบ้าง

บ้านพี่แกอยู่บนเนินสูง ทางขึ้นชันสึสๆ ครั้งก่อนที่มาถึงกับต้องเข็นมอเตอร์ไซค์ขึ้นเลยครับ

ขออนุญาตถ่ายในบ้านนะครับ บ้านอ้ายกำพลมี 2 หลัง หลังหนึ่งเป็นเรือนครัว อีกหลังเป็นเรือนนอน


ภายในดูเรียบๆ ถ้าทำเป็นโฮมสเตย์จะแหล่มมาก อ้ายกำพลบอกว่า ตอนนี้มีโครงการจะพัฒนาดอยช้าง บ้านป่าแป๋ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ แต่ยังอยู่ในระหว่างหารือกันอยู่ คาดว่าต้องใช้เวลาพัฒนาอีกประมาณ 2-3 ปีถึงจะออกมาเป็นรูปร่าง

เตาหุงอาหารแบบบ้านๆ พร้อมด้วยข้าวของเครื่องใช้แบบ Manual อ๋อ ลืมบอกไปเลยว่า

บ้านป่าแป๋ ไม่มีไฟฟ้า ประปา และสัญญาณโทรศัพท์นาจา คิดดีๆ ก่อนจะมาเที่ยวที่นี่เน้อว่าจะอยู่ได้ไหม

อ้ายกำพลคอยท่าอยู่ที่บ้านแล้ว กำลังทำกับข้าวมื้อเที่ยง

ตอนแรกอ้ายกำพลจะชวนพวกผมกินข้าวเที่ยงด้วยกันก่อน แต่พวกผมไม่ได้กินเพราะแค่แวะมาเติมน้ำกับพักเหนื่อยเฉยๆ

พอหายเหนื่อยแล้วพวกผมก็ลาแล้วเดินอีก 3 กิโลเมตรก็จะถึงโรงเรียนบ้านป่าแป๋

โ บ ส ถ์ ค ริ ส ต์ บ้ า น ป่ า แ ป๋

ตั้งอยู่ที่หมวด 2 ซึ่งเป็นหมวดของลูกบ้านที่นับถือศาสนาคริสต์โดยเฉพาะ

เดินกันต่อครับ

บรรยากาศภายในหมู่บ้านเงียบมาก เงียบจนได้ยินเสียงนกมาแต่ไกล

ชาวบ้านบอกว่าเป็นเรื่องปกติของที่นี่ เพราะช่วงกลางวันชาวบ้านส่วนใหญ่จะออกไปทำไร่ หรือไม่ก็ลงไปทำงานข้างล่าง

เดินได้สักพักก็พ้นเขตหมวด 2 แล้วครับ

เรากำลังจะเดินไปที่หมวด 3 ไปค่ะพี่สุชาติ

เข้าเขตหมวด 3 ล้าวววววว

แผงโซลาร์เซลล์ สำหรับผลิตไฟฟ้าในหมู่บ้าน แต่ยังไปได้ไม่ทั่วถึงทุกหมวด

ชุดชาวพื้นเมือง

กำลังคัดข้าวบาร์เลย์ (ลูกเดือย) อยู่ ขอแชะหน่อยนะครับ

เขียวกำลังดีเลย

คอนเซ็ปต์ของการเที่ยวชุมชน ก็คือการได้เห็นและสัมผัสวิถีชีวิตของชุมชนนั้นๆ ครับ

นี่แหละถึงจะเรียกว่า จุดขายของการท่องเที่ยววิถีชุมชน

พ้นหมวด 3 แล้วครับ กำลังจะเข้าหมวด 4 ซึ่งใกล้จะถึงโรงเรียนแล้วจ้าาาาาา ขาเริ่มลาก

หมดหน้านา ก้ต้องพาวัวควายมากินหญ้าเนาะ

ถึงแล้วววววววว หมวด 4

เข้าใจแล้วว่าทำไมบ้านป่าแป๋ถึงต้องแบ่งลูกบ้านเป็นหมวดๆ แบบนี้นี่เอง

แต่ละหมวดอยู่ห่างกันราวกับว่าเป็นคนละหมู่บ้าน TT

ในที่สุด ก็เดินมาถึงโรงเรียนบ้านป่าแป๋แล้ว พี่ลูกหาบเอาสัมภาระส่วนรวมมาไว้ที่โรงเรียนแล้ว แต่ครูจินไม่อยู่ซะงั้น

ผมกับน้องๆ มองหน้ากันอย่างงงๆ เพราะติดต่อครูจินไม่ได้ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์

แ ล้ ว กุ จ ะ ล ง ข้ า ง ล่ า ง ยั ง ไ ง ดี ว ะ

ผมก็บอกน้องๆ ว่าอย่าเพิ่งกังวล ตอนนี้ทั้งเหนื่อยและหิวกันทุกคนเลย เสบียงก็หมด กินไรดี คิดอะไรไม่ออก ให้อาบน้ำแล้วงีบสักพักก่อนละกัน เผื่อจะดีขึ้น ก็ตามนั้นครับ

มีเวลาให้อาบน้ำและงีบหลับอยู่เกือบชั่วโมง พี่ลูกหาบมาตามพวกผมให้ไปกินข้าวเที่ยงที่บ้านพ่อหลวง (ผู้ใหญ่บ้าน) แล้วเดี๋ยวจะมีพี่ผู้ช่วยขับรถไปส่งลงข้างล่าง

พอดีที่บ้านพ่อหลวงเขาล้มหมูเมื่อเช้านี้ เลยทำลาบคั่วเลี้ยงพวกผมและคนงาน

ส่วนระดับความสุกก็มีให้เลือกกินหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ Rare Medium และ Welldone (ท่ดๆ นั่นมันสเต๊ก)

พรีเซนเตอร์เครื่องครัวยุคโบราณครับ สมัยนี้หายากมากกับความคลาสสิกแบบนี้

ห ม ด เ ว ล า ส นุ ก แ ล้ ว สิ

ห ม ด เ ว ล า ส นุ ก แ ล้ ว สิ

ก่อนกลับโดนลากเข้าไปวงเหล้าครับ เป็นหนูทดลองเหล้าต้ม TT แถมโดนบังคับให้ถ่ายรูปด้วย 55555

ส่วนเหล้าต้มแผลงฤทธิ์แบบโหดสลัดเมื่อผมลงไปถึงข้างล่างแล้ว

บ่ายกว่าๆ พี่ผู้ช่วย (ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับพี่ลูกหาบ) ก็ขับรถไปส่งน้องๆ ที่ข้างล่าง เพื่อต่อรถสองแถวไปตัวเมืองลำพูน

บ๊ า ย บ า ย น ะ น้ อ ง

ส่วนผมลงไปกับอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มคนงานของอบจ. เพราะนายช่างใหญ่จะพาผมไปเที่ยวตัวเมืองลำพูนก่อนกลับกรุงเทพฯ

ปล. ผมรบกวนคนลำพูนนิดนึงครับ ฝากกระทู้นี้เป็นสื่อกลางช่วยตามหาน้องๆ ในรูปทั้ง 6 คนนี้ให้หน่อยครับ

พอดีผมแลกคอนแทกน้องๆ ไว้ขอรูปถ่ายจากผมแล้ว แต่ผมทำสมุดจดคอนแทกหายกลางทาง เลยขาดการติดต่อไป เผื่อน้องๆ จะอยากได้รูปไปใช้ในโอกาสต่อไป

ซึ่งน้องๆ ทั้ง 6 คนนี้เป็นนักเรียนชั้นม.3 โรงเรียนจักรคำคณาทรครับ

เรื่องราวของทริปยังไม่จบเท่านี้นะครับ เหลือรีวิวเส้นทางจากบ้านป่าแป๋ลงไปข้างล่าง กับบทสรุปอีกนิดๆ หน่อยๆ

ก็จะเป็นอันจบทริป หนาวนี้กับ Unseen ที่หายไป : ดอยช้าง ลำพูน โดยสมบูรณ์ครับผม


FINAL EP : บทสรุป
11 ธันวาคม 2559 เวลา 15.00 น.
ผมติดรถกระบะของคนงานลงไปข้างล่าง เพื่อไปต่อตัวเมืองลำพูนกับนายช่างใหญ่
อย่างที่บอกไปตอนต้นว่า ผมพลาดรีวิวช่วงที่ขึ้นดอยมาที่บ้านป่าแป๋ เดี๋ยวเรามาดูสภาพเส้นทางช่วงขาลงกันครับ

นี่ครับ หน้าตาของเส้นทางขึ้น - ลงดอยช้าง บ้านป่าแป๋ มีแค่เส้นทางเดียวเท่านั้น


สภาพเส้นทางเป็นคอนกรีตสลับกับดินลูกรัง นายช่างใหญ่บอกว่า กำลังอยู่ในระหว่างปรับปรุงให้เป็นคอนกรีตตลอดทาง

ตอนนี้ก็เทคอนกรีตเฉพาะส่วนที่จำเป็นไปก่อน เช่น ทางโค้ง ทางลาดชัน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุในช่วงหน้าฝนที่มักมีดินถล่ม ถนนชุ่มฉ่ำไปด้วยเลนโคลน ทำให้สัญจรไปมาลำบาก โดยเฉพาะคนที่ไม่ชำนาญทาง

นายช่างใหญ่มีนามว่า อ้ายเปรม แกเป็นคนอัธยาศัยดีมาก ถึงแม้อายุผมกับเขาจะห่างกันเหมือนพ่อลูกก็เถอะ

พ้นโค้งนี้ไปก็จะถึงจุดนัดพบที่ค่ายลูกเสือบ้านวังหลวงแล้วครับ

พ่อหลวงบอกว่า ถ้ามีนักท่องเที่ยวจะขับรถขึ้นมาที่ดอยช้าง บ้านป่าแป๋ ควรเป็นรถกระบะเกียร์กระปุกเท่านั้น และควรพกน้ำสำหรับเติมหม้อน้ำไปด้วย

เส้นทางนี้ไม่เหมาะกับรถที่เป็นเกียร์ออโต้ เพราะเป็นทางชันต่อเนื่อง และมีโค้งหักศอกและชันเยอะ

เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นถ้าไม่มั่นใจ ไม่ชำนาญทาง อย่าเสี่ยงขับขึ้นมาเองดีกว่า

แต่สามารถขับรถมาจอดได้ที่ค่ายลูกเสือบ้านวังหลวง หรืออบต.ป่าพลู

แล้วโทรติดต่อครูจิน 082-032-1321 ครูจะประสานพ่อหลวงให้ขับรถลงมารับอีกที

ซึ่งควรติดต่อล่วงหน้าก่อนวันเดินทาง 1-2 สัปดาห์ เผื่อโทรไม่ติดเพราะอาจเป็นช่วงที่ครูจินอยู่บนดอย ต้องเผื่อเวลานิดนึง

แล้วโทรไปคอนเฟิร์มอีกทีในช่วง 1-2 วันก่อนเดินทาง

เมื่อลงมาถึงพื้นราบก็พบว่า สองข้างทางเต็มไปด้วย ส ว น ล ำ ใ ย ที่ดีต่อใจ

และแล้ว พ่อหลวงก็ลงมาส่งผมและคณะคนงานถึงปากทางโดยสวัสดิภาพ

ภาพนี้คือถนนหลวงหมายเลข 106 สายเดียวกับถนนต้นยางเชียงใหม่นี่แหละครับ

โฉมหน้าของ พ่ อ ห ล ว ง แห่งบ้านป่าแป๋ ถ้ามีโอกาสจะแวะไปเยี่ยมบ้านป่าแป๋อีกนะครับ

พ่อหลวงขับรถมาส่งที่อบต.ป่าพลู เพื่อเปลี่ยนรถเข้าตัวเมืองลำพูน

แวะเก็บของและส่งคนงานที่บ้านอ้ายเปรมก่อน แล้วเข้าตัวเมืองลำพูนและส่งผมขึ้นรถกลับกรุงเทพที่ขนส่งครับ

สวนบ้านอ้ายเปรม ยึดหลักแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่ของรัชกาลที่ 9

น้ ำ เ ต้ า

"มะนาวแพงก็ปลูกมะนาวกินเอง" ใครไม่รู้เคยกล่าวเอาไว้

แต่ความสุขของคนชนบทคือ การยืนหยัดได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง

ย า ม เ ย็ น ที่ ล ำ พู น

อนุสาวรีย์พระนางจามเทวี กับ พระธาตุหริภุญไชย

แลนด์มาร์กต้องห้าม (พลาด) แห่งจังหวัดลำพูน


ก็เป็นอันจบทริป ดอยช้าง ลำพูน อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว

ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาดูกระทู้ของผม ณ ที่นี้ด้วยครับ


สรุปค่าใช้จ่ายของทริปนี้ (ไม่รวมค่าใช้จ่ายส่วนตัว)

1. ค่ารถทัวร์ขาไป กรุงเทพ-ลี้-ลำพูน : 430 บาท
2. ค่ารถสองแถวจากบ้านโฮ่งมาลงบ้านวังหลวง : 15 บาท
3. ค่าเสบียงอาหารบนดอยช้าง เริ่มต้นที่ 200 บาท / คน
4. ค่าสินน้ำใจเจ้าถิ่น (ที่บ้านป่าแป๋ยังไม่มีค่าที่พักและค่าบริการใดๆ ที่แน่นอน)
แต่ถ้าเอาแบบมาตรฐานก็จะเริ่มต้นที่คนละ 300-500 บาท จากที่ผมใส่ซองไป (ค่าเหนื่อยลูกหาบ+ค่าน้ำมันรถตลอด 2 วัน 1 คืน) อันนี้ไม่ฟิกนะครับ พิจารณาได้ตามความเหมาะสม


ข้อแนะนำเพิ่มเติมสำหรับคนที่สนใจไปเที่ยวดอยช้าง #อันนี้ต้องจด

1. ซื้อของทุกอย่างให้เรียบร้อยจากตลาดห้วยกานที่บ้านโฮ่ง เพราะระหว่างทางขึ้นดอยบ้านป่าแป๋ไม่มีแม้แต่ร้านชำ
2. บนดอยช้างและบ้านป่าแป๋ไม่มีไฟฟ้าและสัญญาณโทรศัพท์ทุกเครือข่าย เพราะฉะนั้นควรชาร์ตแบตโทรศัพท์และเพาเวอร์แบงก์ให้เต็มตั้งแต่อยู่ข้างล่าง และอยู่บนดอยควรปิดมือถือเพื่อเซฟแบต
3. ทุกคนต้องมีทักษะการดำรงชีพในป่าแบบ Basic โดยเฉพาะการก่อไฟและการทำอาหาร
4. ชาวบ้านป่าแป๋ส่วนใหญ่เป็นชาวเขาปกาเกอะญอ พูดไทยกลางไม่แข็ง มีวิถีชีวิตเรียบง่าย ไม่ชอบคนเรื่องมาก เพราะฉะนั้นเขามีให้กินอยู่ยังไงก็ต้องตามนั้น ไม่ควรบ่นว่าทำไมไม่มีโน่นนี่นั่น ไม่งั้นจะเสียความรู้สึกกันทั้งสองฝ่ายเน้อ
5. ถ้าไปช่วงอากาศหนาวต้องทำใจเมื่ออาบน้ำ เพราะไม่มีน้ำอุ่นให้อาบนะจ๊ะ
6. บนดอยช้างไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นลืมเรื่องห้องน้ำไปได้เลย จะถ่ายหนักถ่ายเบาเชิญได้ที่พุ่มไม้ข้างทาง (อย่าลืมไหว้ขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธ์เพื่อความสบายใจของเราด้วยนะจ๊ะ)
7. อยู่บนดอย ห้ามเจ็บ ห้ามป่วย เพราะจากดอยช้างไปโรงพยาบาลต้องใช้เวลานานมาก (ข้อนี้สำคัญ ดูแลตัวเองด้วยเน้อ)
8. ควรฟิตร่างกายก่อนเดินทาง

ปล. หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ที่หลังไมค์นะครับ

ขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านกระทู้รีวิว ดอยช้าง ลำพูน จนจบครับผม

ตะลอนตะหลอด : ชาติพันธุ์ลำปาง - แพร่ สื่ออิสระภาคเหนือ

 วันพฤหัสที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.41 น.

ความคิดเห็น