ใครบางคน เคยบอกเอาไว้ว่า

“การเดินทางมันมีอะไรมากว่าจุดหมาย"

ประโยคนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่มากว่าแค่ซื้อตั๋วรถ หรือขับรถไปเพื่อให้ถึงจุดหมาย…

นั่นคืออะไรล่ะ…โบกรถดีมั้ย…

ทันทีที่ได้ไอเดียในการเดินทาง ต่อมาคือเลือกจุดหมาย แล้วก็มาลงตัวที่ “ภูทับเบิก" จังหวัดเพชรบูรณ์


สิ่งที่ต้องทำต่อมาคือการหาเพื่อนเดินทาง ซึ่งก็ชวนเพื่อนๆที่เคยไปเที่ยวด้วยกัน พอบอกว่าโบกรถไปเท่านั้นแหละ… เงียบกริบเลย จนตัดสินใจว่า ไปคนเดียวก็ได้วะ จนกระทั้ง “แจ๊ค" แอดมินเพจ “my journey by นักเดินทางตัวน้อย" ที่ เคยรู้จักกันในทริปนึง เห็นเราโพสใน Facebook แล้วบอกว่าอยากไปโบกรถเหมือนกัน ก็เลยลงล็อคพอดี ได้เพื่อนเดินทางแล้ว

เราออกเดินทางกันคืนวันศุกร์ โดยมีแพลน 2วัน1คืน ที่ภูทับเบิก หลังเลิกงาน กลับบ้านเก็บกระเป๋าแล้วออกไปที่สถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิต


เราเองไปช้าเลยให้แจ๊คซื้อตั๋วรถไว้ให้ก่อน ได้ตั๋วรถของบริษัทเพชรประเสริฐทัวร์ รอบ 22.45 น.

มีเรื่องตื่นเต้นนิดหน่อยคือ ก่อนเดินทางบัตร ATM เราหาย เงินสดก็ไม่มี แต่เราก็หาวิธีแก้ปัญหาได้ (คือโอนเงินผ่าน Application เข้าบัญชีแจ๊คแล้วกดเงินสดออกมา) เอาล่ะ…หมดปัญหา ออกเดินทางได้

นั่งรถกันเพลินๆประมาณ 6 ชั่วโมง ปรากฏว่า นั่งเพลินไปหน่อย เลยไปลงที่ตลาดหหล่มสักนู่น เลยต้องลำบากขอติดรถ รอบตีห้าครึ่ง ที่จะเข้ากรุงเทพฯ ย้อนกลับมาลงที่ บขส.พ่อขุนหล่มสัก สรุป นี่ถึงแล้วจริงๆนะ


นี่แค่การเริ่มต้น…


ต่อจากนั้นเราเดินออกจาก บขส. มาเพื่อเตรียมโบกรถขนผักของชาวม้งเพื่อขึ้นไปบนภูทับเบิก ที่นี่เองที่เราได้เจอเพื่อนร่มทางอีก 2 คน คือน้องโค้กกับคุณแม่ ที่มารอโบกรถเหมือนกัน

เรื่องราวตรงนี้ มีทั้งโชคดีและโชคร้าย


โชคดีของเราคือ เราได้รถที่จะขึ้นไปภูทับเบิกอย่างรวดเร็วจากการเจรจากับพี่ชาวม้งที่รอลงกะหล่ำ พี่เค้าบอกว่าจะไปส่งให้ถึงที่เลยแถมจะพาไปหาที่พักด้วย ระหว่างนั้นพวกเราก็นั่งพักสั่งกาแฟรอให้พี่เค้าลงของเสร็จ

ฟ้าเริ่มสาง แสงสว่างเริ่มมาเยือน พวกเราก็ยังนั่งรอต่อไป…


จนกระทั่งโชคร้ายของเราได้มาเยือน…นั่นคือ พวกเราถูทิ้งให้คอยเก้อ เพราะคุณลุงร้านกาแฟที่เรานั่งรอได้ดถามคนแถวนั่นให้ ปรากฏว่าชาวม้งคนนั้นที่เรารอเขาได้ทิ้งเราไปแล้ว…

แล้วยังไงต่อล่ะ โบกใหม่สินะ…


ตามหาคนใจดีที่มีปลายทางเดียวกันอยู่นานพอสมควร จนเริ่มสาย สุดท้ายก็มีพี่คนนึงอาสาไปส่งเรา แค่ไปส่งไม่ถึงนะ ไปแค่ทางแยกนี่แหละ แต่แค่นี้ก็ขอบคุณมากๆครับ

จากแยกเซเว่น (ขอเรียกชื่อนี้แล้วกันเพราะไม่รู้ว่าชื่อแยกอะไร) เราหารถต่อกันอีกแป๊บเดียวก็มีรถขึ้นไปส่งเราที่ภูทับเบิก เส้นทางคดเคี้ยวเลียวได้สะใจมาก


หยุดเรื่องราวของการเดินทางเอาไว้ตรงนี้ก่อน เพราะตอนนี้เรามาถึงจุดหมายของเราแล้ว … สวัสดี ภูทับเบิกก่อนอื่นก็หาที่ซุกหัวนอนกันก่อน ใครที่ไม่ได้เอาเต็นท์มาหรือไม่ได้จองบ้านพักติดต่อเช่าเต็นท์และชุดเครื่องนอนได้ที่นี่เลย กลุ่มวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวภูทับเบิก


แต่เขาบอกให้เรามาติดต่ออีกทีหลังเที่ยงนี่สิ ระหว่างนั้นเราก็เดินเล่นชมความน่ารักของที่นี่กันเลยดีกว่า


เราไม่ได้บอกสินะว่าแจ๊คเค้าเป็นครู…แล้วก็ด้วยสัญชาตญานความเป็นครู เธอพุ่งเข้าหาเด็กๆทันที


เอาล่ะ เราถึงยอดภูทับเบิกกันแล้ว


ภูทับเบิก ตั้งอยู่ที่ตำบลวังบาล จ. เพชรบูรณ์ ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,768 เมตร ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของจังหวัด เพชรบูรณ์


นั่นน่ะ ทางที่เราขึ้นมา ทางนี่เลี้ยวขดเป็นงูกันเลยทีเดียวเชียว


แอบเสียดายเหมือนนะที่เราขึ้นมาสายไปหน่อย ทะเลหมอกไม่มีแถมแดดเริ่มจะแรงแล้ว แต่เชื่อมั้ยว่าแดดที่นี่แค่ทำให้เราอุ่นเท่านั้น เพราะอากาศมันเย็นมาก

เดินชมวิวกันเพลินๆ คิดว่าเราคงได้มานอนแถวนี้สินะ


จนกระทั่ง คุณแม่ของน้องโค้กที่เราขึ้นมาด้วยกันไปเจอที่พักที่บอกเลยว่าเราเองรู้สึกดีมาก เพราะมันไม่แออัดเป็นสลัมเต้นท์เหมือนบางจุด แถมพี่สาวเจ้าของที่นี่บริการดีพูดเพราะน่าฟัง แถมราคายังเป็นมิตรอีกต่างหาก ใครที่ไปภูทับเบิกและยังไม่รู้จะพักที่ไหนลองไปติดต่อที่ รสดี รีสอร์ท ได้นะครับ

ขอบคุณคุณแม่ของน้องโค้กด้วยที่หาที่พักดีดีให้พวกเรา

วิวหน้าที่พักเป็นแบบนี้นะ โล่งสบายตาดีจัง


และเราก็ยังเน้นประหยัดและบรรยากาศเด็ดๆเหมือนเดิม คือเราเช่าเต็นท์ของที่รสดีรีสอร์ทนี่แหละ กะว่าจะเข้าไปพักแต่เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาอีกทีบ่ายแก่ๆเลย


ช่วงเวลาแห่งการเดินสำรวจมาถึงแล้ว ยังไม่ได้บอกสินะว่านี่เป็นภูทับเบิกครั้งแรกของเราเลย ทั้งๆที่ใครต่อใครได้มากันตั้งกี่รอบแล้วก็ไม่รู้ และเพราะมันเป็นครั้งแรกนี่แหละที่ทำเราตื่นเต้นกับทุกอย่างที่ได้เจอบนนี้


วิวสวยๆบริเวณจุดชมวิวไร่ริมผา


คำว่าเดินไปทั่ว สำหรับเรามันคือความหมายนั้นจริงๆ


นอกจากวิวภูเขางามๆแล้ว อีกอย่างที่ผมชอบมากๆก็ไร่กะหล่ำนี่แหละ ลองหามุมมองกันดีดีสิ ที่นี่มันไร่กะหล่ำลอยฟ้าชัดๆ

เดินอ้อมไปอ้อมมา จนเราวนกลับมาที่จุดชมวิวตรงนี้กันอีกครั้ง แสงยามเย็นเป็นอะไรที่สวยงามทุกครั้งที่ได้สัมผัสและยิ่งได้อยุ่ในช่วงเวลานั้นและมองทิวทัศน์ข้างหน้าที่สวยงามมันยิ่งเป็นอะไรที่ดีต่อใจมากๆเลยครับ


เราอยู่ตรงนี้กันนาน ถึงนานมากเลยทีเดียว กับช่วงเวลาของการรอฟ้าเปลี่ยนสีซึ่งเราจะไปเห็นความงดงามอีกแบบที่ต่างออกไป


ฟ้าเริ่มมืดแล้ว


จำได้มั้ย เส้นทางที่เราขึ้นมา ถนนงูที่ว่าโหดลองดูถนนงูเรืองแสงหน่อยมั้ยล่ะ สวยดีเนอะ


อยุ่จนมืดจนค่ำ เราก็ได้โบนัสจากท้องฟ้า มีทางช้างเผือเล็กๆโผล่มาให้เห็นด้วย ถือเป้นภาพที่เราส่งเราเข้านอนคืนนี้ที่ดีมากๆเลยล่ะครับ


หลับสบายในเต้นท์ ท่ามกลางอากาศเย็นๆไปทั้งคืน เสียงนาฬิกาปลุกที่เราตั้งไว้ก็ดังขึ้นในเวลา ตีสี่


เช้านี้แอบหวังเล็กๆในใจว่าจะได้เจอทะเลหมอก แต่ตอนตีสีนี่มันเงียบมากเลยนะ เดินมาถึงจุดชมวิวตอนตีห้านิดๆ คิดว่าว่าจะมีตากล้องมาจองมุมกันเพียบ ที่ไหนได้ มีแค่เราที่เดินไปกับแจ๊ค 2 คน


ช่วงเวลาคาบเกี่ยวระหว่างค่ำคนและแสงของกลางวัน ภาพที่ผมชอบมากๆก็ปรากฏอกมาให้เห็น มันเป็นภาพของเส้นขอบฟ้าที่กั้นระหว่างดาวบนฟ้าและดาวบนดิน

แสงตะวันกำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้าแล้ว รอๆ


แล้วแสงตะวันก็โผล่มาในเวลาอันสมควร ภาพบรรยากาศยามเช้าแบบนี้ไม่ว่าจะได้มองกี่ทีก็รุ้สึกดีทุกครั้ง


เข้าสู่ช่วงเช้าแบบเต็มตัว ผู้คนเริ่มออกมาเสพความงดงามกับเราบ้างแล้ว


ภาพที่เห็นตรงหน้ามันงดงามมาก แม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นทะเลหมอกบนภูทับเบิกก็ตาม


ด้วยเวลาที่จำกัด ใกล้ถึงเวลาที่เราต้องกลับกันแล้ว เดินเล่นรับอากาศเย็นๆอีกสักรอบแล้วกัน อย่างที่ผมเคยบอกไว้ ในเมื่อเราไม่ได้มีที่แบบนี้อยู่หลังบ้าน เพราะฉนั้นใช้เวลาให่มันเต็มที่


ถึงจะไม่มีทะเลหมอกก็ไม่ได้ทำให้เราเสียใจอะไรมากมาย เพราะความจริงเราก็มาแบบไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว


แค่ได้เห็นหมอกบางๆแบบนี้ก็ถือว่าพอใจแล้วครับ

ระหว่างเดินกลับไปเก็บของรอโบกรถกลับ ก็แวะดูของฝากไปเรื่อยๆครับ ดูจริงๆนะ ไม่ซื้อ เพราะไม่มีเงิน ฮ่าๆๆๆ


ก่อนกลับครับ ตามธรรมเนียมคือเมื่อมีคณะเดินทางก็ต้องมีรูปหมู่ นี่แหละคณะเดินทางของเราในทริปนี้


ถึงเวลาต้องกลับแล้ว เราก็ใช้วิธีเจรจาหารถกันเหมือนเดิม และก็ได้รถลงจากภูทับเบิก มาส่งที่เซเว่นเดิม โบกรถต่ออีกคัน แม้จะติดปัญหานิดหน่อยคือรถที่เราโบกต่อมาเพื่อจะมาที่ บขส. เขาไปคนละทางกับเรา เลยต้องเดินและรอโบกคันใหม่ แต่ก็มาถึง บขส. และกลับ กทม. โดยสวัสดิภาพ


ทริปนี้แม้จะมีโชคดีบ้าง โชคร้ายบ้าง แต่สิ่งสำคัญคือเราได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำจนสำเร็จ


อาจจะไม่ได้ทะเลหมอกอย่างที่คิด แต่วิธีการที่เราได้ขึ้นไปรอต่างหากล่ะนั่นคือจุดประสงคืหลักของการเดินทางครั้งนี้

ขอบคุณทุกคนที่เดินทางไปด้วยกัน ขอบคุณรถทุกคันที่รับเราไปด้วย ขอบคุณคนที่ช่วยเหลือเราในเรื่องต่างๆ และขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจรถึงบรรทัดนี้

เรายินดีอย่างยิ่งหากบันทึกเรื่องราวนี้จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจอะไรก็ตามให้ใครได้ออกไปเที่ยว ไปหาประสบการณ์ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือในที่ต่างๆ ได้


หากใครอยากได้ข้อมูลหรืออยากสอบถามพูดคุย

เรามีเพจ Journey Gallery : https://web.facebook.com/journeygallery/

เข้ามาพูดคุยหรือจะเข้ามาดูภาพจากการเดินทางของเราก็ได้นะ

เอาไว้ถ้าเรามีเรื่องเราของการเดินทางที่น่าสนใจ จะแวะมาเล่าให้ฟังใหม่

ขอให้ทุกคนเที่ยวให้สนุกครับ

Journey Gallery

 วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 16.09 น.

ความคิดเห็น