ถือได้ว่าเป็นทริปที่สุดแห่งปี 2559 และค่อนข้างปุปปัปก็ว่าได้ เมื่อเพื่อนอยากไปถ่ายใบไม้เปลี่ยนสีที่ภูกระดึง และหว่านล้อมด้วยการเอาใบเมเปิ้ลสีแดงมาล่อ แถมยังบอกอีกว่าภูกระดึงเป็นการเดินป่าระดับอนุบาลเอง บวกกับความอยากเที่ยวสุดๆ ของตัวเอง เลยตอบแบบไม่ได้คิดอะไร "เออ กูไป"


มีเวลาเตรียมตัวแค่สองอาทิตย์ แถมไม่ได้ออกกำลังกายเป็นเรื่องเป็นราวมาเป็นปีๆ สิ่งที่ทำได้และทำทันคือหาข้อมูลของภูกระดึงเพิ่มเติม และเตรียมยานวด ยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ (เอาวะอย่างน้อยก็มีตัวช่วยเป็นยาละ)

คืนวันที่ 23 ธ.ค. นัดแนะกับเพื่อนเจอกันที่หมอชิต ชานชาลา 9 3/4 :p เอ้ย ชานชาลาที่ 83 ตอนสามทุ่มเพราะรถออกสามทุ่มครึ่ง นั่งรอสักพัก ก็เริ่มสงสัยกันไหนว่าคนไปเยอะ แต่นี่เรียกว่าร้างยังได้ ดูตั๋วกันใหม่ อ้าวววว เฮ้ย! ดูกันผิดนี่นา ต้องชานชาลาที่ 97 วิ่งสิฮะ...ได้วอร์มขาตั้งแต่อยู่หมอชิตเลย


หลับๆ ตื่นๆ ถึงผานกเค้าประมาณตีห้าได้รับการต้อนรับอย่างดีจากลมหนาว เย้! ก็ต่อรถสองแถวหน้าร้านเจ้กิมเพื่อเข้าอุทยานแห่งชาติภูกระดึงราคาเหมา 300 นั่งได้ 10 หรือจะรอคนเต็มก็ตกคนละ 30 บาท ส่วนใหญ่ก็เลือกอย่างหลังเพราะคนขึ้นภูเยอะอยู่แล้วแป๊ปเดียวรถก็เต็ม นั่งรถไม่นานก็ถึงที่ทำการอุทยานวันนั้นคนค่อนข้างเยอะ มี 4 แถว แถวซื้อตั๋วเข้าอุทยาน แถวเช่าพื้นที่อุทยาน(สำหรับทุกคนที่นอนเต็นท์ คนละ 30 บาท) แถวเช่าเต็นท์/บ้านพัก แถวสำหรับคนจองที่พักแบบออนไลน์ มากันสองคนเลยแยกย้ายกันเข้าแถวละกัน เพื่อนเข้าแถวเช่าเต็นท์ เราซื้อบัตรเข้าอุทยานซึ่งแถวยาวมากและพอใกล้จะถึงคิวถึงตาสว่างว่า...ต่อผิดแถว เด๋อแต่เช้า ฮือออออออ หันไปจะต่อแถวใหม่ก็ยาวมากกกกก


เปลี่ยนแผนละกันเอาเป้ไปให้จ้างลูกหาบก่อนละกัน โดยเดินอ้อมไปด้านหลังก็จะเจออาคาร 4 จุดรับ-ส่งสัมภาระ ซื้อบัตรเพื่อห้อยกระเป๋า 1กระเป๋าต่อบัตร1ใบ ใบละ 5 บาท เขียนรายละเอียดเสร็จแล้วก็ต่อแถวเอากระเป๋าชั่งน้ำหนักที่เจ้าหน้าที่ อย่าลืมรับหางตั๋วกลับมาเพื่อใช้ในการรับกระเป๋าคืนด้วยล่ะ อ้อ! ค่าจ้างลูกหาบ 1 กิโล 30 บาท นี่โดนไป 5 กิโล 150 บาท เกินคุ้มสุดๆ


หมดภาระ เดินตัวเบาละทีนี้ ก็กลับมาต่อแถวซื้อบัตรเข้าอุทยานค่าเข้าคนละ 40 บาท ส่วนเต็นท์เราจองข้างล่างไม่ทันแต่เช่าพื้นที่ไว้ก่อน ค่อยไปหาเช่าเต็นท์ข้างบนแทน พวกเราก็กินข้าว ทำธุระส่วนตัวเคลียร์ตัวเองให้พร้อมแล้วออกเดิน

เส้นทางพิชิตภูกระดึง สูงจากระดับน้ำทะเล 1,288 เมตร ระยะทาง 5,500 เมตร ใช้เวลาโดยประมาณ 3-5 ชม. อ่านป้ายจบแล้วฟีลแบบ เฮ้ย 5 โลกว่าเองนิ เราให้ตัวเอง 6 ชม.เลยอ่ะ (บวกความด๋อยเข้าไปแล้วนะ) เริ่มสตาร์ทประมาณ 8.30 น. มาดูกันว่ากว่าจะถึงภูกระดึงกี่โมง?

แต่! ป้ายพวกนี้บอกว่าก่อนถึงทางราบอ่ะ ต้องปีนดอย 5.5 โลตะหากล่ะ! เอาวะรีบขึ้นไปจองเต็นท์เร็วๆ ดีกว่า ด้วยสภาพของเราเพื่อนรีบหาไม้มาทำเป็นไม้เท้าให้ตั้งแต่ 10 เมตรแรกก็ว่าได้ ฮ่าๆๆ ระหว่างทางภาพที่พวกเราจะเห็นตลอดทางก็คือพี่ๆ ลูกหาบ ที่ช่วยขนกระเป๋าสัมภาระให้กับคนที่อยากเที่ยวแต่ด๋อยแบบเรา

และนี่คือจุดพักของพี่ๆ ลูกหาบ เอาไว้แขวนไม้หาบไม่ให้สัมภาระวางบนพื้นดิน ป้องกันความเสียหายต่างๆ ช่วงนี้ยังมีแรงหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปได้เรื่อยๆ อยู่ อ้อ จากจุดเริ่มต้นจนถึง ปางกกค่าเป็น 800 เมตร ที่ต้องปีนบันไดเยอะมาก ทั้งบันไดหิน บันไดดิน นี่ก็แวะพักหลายรอบเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ส่วนเพื่อนเดินฉิวชิลสุดๆ จนต้องบอกให้ไปก่อนเลย เจอกันจุดพักข้างหน้า และจากปางกกค่าไปถึงซำแฮก ถึงแม้ป้ายจะบอกว่า 200 เมตร แต่เป็นระยะที่แม่งโหดเอาเรื่อง นี่ร้องเพลง อีกไกลแค่ไหนจะใกล้บอกที~ ไปหลายร้อยรอบกว่าถึง ก็ทำเอาเราแฮกแบบเออวิวสวย แต่ขอพักก่อนนะ ไม่ไหวละ

วิวซำแฮกสวยมาก สวยจนบอกเพื่อนว่าตั้งเต็นท์นอนที่นี่ได้มะ ไม่ต้องขึ้นต่อก็ได้นะ เพื่อนก็ชอบนะซำแฮก แต่ที่นี่ไม่มีต้นเมเปิ้ลให้ไงเลยต้องเดินต่อ หลังจากผ่านมาสองด่าน จากที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่าถึงจุดที่พักตอนนี้เราลดเป็นเป้าหมายด่านต่อด่านแทนจะได้มีแรงจูงใจ :p

ระหว่างทางเดินเหนื่อยนักก็พักหน่อย จิบน้ำมองฟ้ามองต้นไม้เพลินๆ สบายตาตลอดทาง หลายครั้งที่ได้ทักทายพูดคุยกับเพื่อนร่วมพัก เพื่อนร่วมทางคุยไปยิ้มไป หัวเราะพร้อมกับหอบไปก็ยังมี แถมยังได้กำลังใจจากพี่ลูกหาบที่เดินสวนทางลงมาเมื่อมีคนข้างหน้าถามพี่เค้าว่า "พี่ยังอีกไกลมั้ยคะ" พี่ลูกหาบก็ตอบกลับแบบยิ้มๆ ว่า "โอ้ยถ้ายังไม่ได้กอดหินก็ยังอีกไกลอ่ะน้อง"

และเราก็เจอเส้นทางที่แทบกอดหินทุกก้อนในช่วง ซำแคร่ไปหลังแปนั่นเอง ขาขึ้นเรายกให้เส้นทางช่วงนี้คือที่สุดของที่สุดเลย มันเป็น 1,280 เมตร ที่สุดตีนมากอ่ะ ทางชันมาก หินเยอะมาก บันไดเยอะมากและชันมากด้วย ถึงแม้เราไม่กลัวความสูง แต่เราก็ไม่ได้รักมันมากเหมือนกัน

และแล้วเราก็เดินทางมาถึงหลังแปซะที อารมณ์แบบอยากตะโกนว่า "ถึงแล้วโว้ยยยยยย" แล้ววิ่งไปรอบๆ แต่สิ่งที่ทำได้ตอนนั้นคือพูดกับตัวเองเบาๆ ว่า "กูถึงแล้วเว้ย"

นั่งพักรับลมเย็นๆ ชมวิวสักพักก็ออกเดินต่ออีก 3.5 กม. แต่เป็นทางราบงานนี้เข้าทางเราแล้ว ทางเดินจะเป็นทรายมากกว่าดิน ได้อารมณ์แบบเดินทางไกลค่ายลูกเสือสุดๆ ต้นไม้น้อยใหญ่สลับกับทุ่งหญ้า เดินได้สบายๆ

และแล้วเราก็ถึงที่ทำการอุทยานตอนบ่ายสามครึ่ง รวม 7 ช.ม. ก็ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อเช่าเต็นท์ได้เต็นท์เล็กนอนได้ 2 คน คืนละ 150 บาท และเช่าแผ่นรองนอน ส่วนถุงนอนพวกเราเอามาเอง พักกันแป๊ปเดียวก็ออกเดินทางไปยังจุดหมายต่อไปนั่นก็คือ ผาหมากดูกเพื่อไปนั่งดูพระอาทิตย์ตก ที่จริงเพื่อนชวนไปผาหล่มสักซึ่งต้องเดิน 9 กม. นี่ปฏิเสธแบบไม่ต้องคิดเลย ฮ่าๆ

จากจุดกางเต็นท์ไปผาหมากดูกประมาณ 2 กม. กว่า เดินกินลมชมวิวไปเรื่อยๆ เกือบชั่วโมงก็ถึง ผาหมากดูก แดดยังแรงอยู่แต่ก็หาที่จับจองเพื่อรอดูพระอาทิต์ยตกแบบแจ่มๆ กันไป แล้วก็ไม่ผิดหวังมันสวยมากจริงๆ คุ้มมากๆ

ขากลับฟ้ามืดแล้วลมเย็นมากๆ เดินกลับไม่ต้องกลัวเหงาเพราะเพื่อนร่วมทางเพียบ ถึงที่ทำการอุทยานก็ต้องเพิ่มพลังกันสักหน่อย อาหารเพียบข้าวราดแกงจานประมาณ 50 บาท ไม่ต้องกลัวอด แค่พกตังค์มาเยอะๆ ก็พอ ส่วนห้องน้ำ ห้องส้วมก็ต้องเผื่อเวลาต่อคิวกันหน่อย

เช้าวันต่อมาตีสี่รอบๆ ข้างเริ่มตื่นกันละเพื่อเตรียมตัวไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น โดยเจ้าหน้าที่ได้นัดแนะเวลานักท่องเที่ยวเตรียมตัวให้พร้อมกันตอนตีห้าเพื่อพาไปยังจุดหมาย ส่วนเราบอกเพื่อนละว่าไม่ไป ไม่ไหว ฮาาาาา ส่วนเพื่อนพระอาทิตย์ขึ้นไม่ใช่เป้าหมาย เพราะฉะนั้นพวกเราพร้อมใจกันเทพระอาทิตย์ขึ้น แฮ่ๆ

ตื่นมา 7 โมงเช้า ก็เตรียมตัวให้พร้อมเก็บของใส่เป้เพื่อเตรียมเอาไปฝากพี่ลูกหาบแบกลง พอ 8 โมงก็ออกเดินทางตามล่าหาใบเมเปิ้สีแดง mission หลักของทริปนี้เริ่มจากน้ำตกวังกวางห่างจากจุดกางเต็นท์ไม่มากนัก และพวกเราก็นก...เพราะใบไม้ยังไม่เปลี่ยนสี เลยเดินต่อไปยัง น้ำตกเพ็ญพบใหม่ถ้าจำไม่ผิดประมาณ 2 กม.กว่า แล้วพวกเราก็ไม่ผิดหวัง :)

ดื่มด่ำกับใบไม้เปลี่ยนสีกันนานพอสมควรก็เดินกลับเต็นท์ แวะไหว้องค์พระพุทธเมตตา เพื่อเป็นสิริมงคลในการเดินทางกลับ

แวะเก็บตกต้นเมเปิ้ลเปลี่ยนสีหลังบ้านพัก อีกนิดนึง

ออกเดินทางจากจุดกางเต็นท์ตอนเที่ยงครึ่ง เราก็เดินตัวเบามีของนิดหน่อยเหมือนเดิมกับไม้เท้าคู่ใจ ส่วนเพื่อนสุดฟิตก็แบกเป้ลงเองเหมือนเดิม

ทางราบก็เดินชิลๆ แต่ก็เริ่มมีอาการขาหนักแล้วล่ะ แต่ก็สบายอยู่ แต่พอพ้นหลังแปเท่านั้นแหล่ะ ขาลงนี่โคตรโหดกว่าขาขึ้นหลายเท่าตัวสำหรับเรานะ ขา เข่า เท้า ใช้งานพวกมันหนักมาก ผิดจากที่คิดไว้ว่าขาลงก็น่าจะวิ่งลงได้ชิลๆ ที่ไหนได้เดินไปเบรกไปตลอดทาง จนเริ่มสงสารเพื่อน เพราะเหมือนมาเป็นภาระ ฮ่าๆๆๆ

จากที่มีเพื่อนเดินลงเยอะมาก เริ่มน้อยไปเรื่อยๆ คนที่เดินช้าเพราะเท้าเจ็บขาเจ็บก็เยอะอยู่ เป็นการเดินลงเขาที่โคตรค่อยๆ ลง ผ่านมาตั้งแต่จุดที่เดินไหว ขาเริ่มสั่น ยกขาเริ่มไม่ขึ้น ค่อยๆ ไถตัวเองลงเนินก็มี จนถึงจุดพีคของขาช่วงสุดท้ายของการเดินทางนั่นก็คือปางกกค่าถึงจุดพื้นดินเข่าอ่อนแล้วอ่อนอีก ทรุดแล้วทรุดอีก แต่โชคดีที่มีน้าลูกหาบ ช่วยชี้ทางไหนเดินง่ายกว่า และช่วยพยุงเราเดินลงเขาจนถึงที่จนได้ ซึ้งในน้ำใจน้าแกสุดๆ เพราะตอนนั้นก็หกโมงเย็น ฟ้าเริ่มมืดแล้วด้วย...นี่แหล่ะเนอะเรื่องราวดีๆ ระหว่างเดินทาง ^^

ถึงร้านเจ้กิมหกโมงกว่า อาบน้ำ กินข้าว รอรถเข้ากรุงเทพ จบทริปด้วยความประทับใจในวิวทิวทัศน์ ธรรมชาติ เพื่อนร่วมทาง และเริ่มหัดเดินใหม่อีกครั้ง


...ขึ้นไปถึงภูข้าคือผู้พิชิต
ลงมาถึงพื้นข้าคือผู้รอดชีวิต...


ความคิดเห็น