ปกติเห็นคนไปเที่ยวแพร่ก็มักจะไปเที่ยววัดหรือเที่ยวกันในตัวเมือง เราเลยคิดว่าแล้วถ้าแพร่ไม่ได้มีแค่วัด จ.แพร่จะมีต้นไม้เยอะๆ ภูเขาเขียวๆอย่างภาคเหนือตอนบนมั้ย เราเลยลองหาข้อมูลดูแล้วเราก็สนใจที่นี่ ที่ที่น่าจะแจกความสดใสให้กับเราได้

ที่นี่มีคนรีวิวน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย โดยเฉพาะในเรื่องของการเดินทางและที่พัก ความจริงจะมาที่นี่ก่อนเชียงดาวด้วยซ้ำ แต่ช่วงนั้นเป็น
หน้าฝน จ.แพร่ฝนตกหนัก และที่นี่เคยมีประวัติน้ำป่าไหลหลากด้วย เลยขอเว้นไปก่อนแล้วหาข้อมูลไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังได้น้อย
อยู่ดี ศึกษาการเดินทางเองแล้วมาเองเลยน่าจะดีกว่า มาฟังจากปากชาวบ้านเองว่าที่นี่เป็นยังไง

เหมือนสองที่นี้ต้องเที่ยวคู่กัน แต่ดูจากแผนที่ใน google แล้วอยู่ไกลกันพอสมควร บ้านนาตองจะอยู่ทางหลวงหมายเลข 1022 ส่วนบ้านนาคูหาอยู่ทางหลวงหมายเลข 1024 แถมทั้งสองที่ยังเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในหุบเขา ที่ไม่มีแม้แต่สัญญาณโทรศัพท์ การติดต่อจองที่พักจึงลำบากมากๆ บ้านนาคูหายากสุด อ่านในเน็ตนี่ถึงขั้นถ้าติดต่อไม่ได้ก็ต้องเขียนจดหมายทำเรื่องจองไปเลย ยิ่งยากยิ่งอยากมาและอยากรู้ นี่ในประเทศไทยยังมีหมู่บ้านที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์อีกเหรอ? นี่ไกลจากตัวเมืองแพร่ไม่กี่กิโลเองนะ แต่ในที่สุดก็โทรจองได้ห้วยถ้ำโฮมสเตย์ที่บ้านนาตอง ฟลุ๊ค!! เราเริ่มเดินทางจากกรุงเทพด้วยรถไฟเหมือนเดิม เดินทางกลางคืนกันมั่ง ถึงแพร่เช้าพอดี หนาวมาก หมอกเต็มเมืองไปหมด แต่สถานีรถไฟเด่นชัยอยู่นอกเมือง นี่แหละปัญหา ต้องนั่งสองแถวเข้าเมืองไปอีก 40 บาท เพราะยังคิดไม่ออกว่าจะไปเช่ารถ
ขับที่ไหน (ไม่วางแผนอะไรมาอีกแล้ว) ถามลุงคนขับสองแถวก็บอกเข้าเมืองมาก่อนมีรถเช่า ระหว่างทางขับเต่าคลานมาก แต่ก็ถือโอกาส
ศึกษาเส้นทางและชมบ้านเมืองแพร่ไปก่อนด้วย


นั่งมาไกลพอสมควรร่วมชั่วโมงกว่าจะถึงสถานีขนส่ง ตลอดทางไม่เห็นมีรถเช่าเลย มีแต่รถเหมา ลุงแกคงฟังเราผิด คุณหลอกดาว!!!
เข้าห้องน้ำตั้งหลักก่อน แล้วค่อยหาในเน็ต ได้รถเช่ามาละวันละ 250 บาท ค่าประกัน 500 บาท จะทิ้งเบอร์ไว้ให้ แต่แนะนำ
อย่าเช่าที่นี่จะดีกว่าถ้าไม่จำเป็น ถ้าหาที่อื่นได้ให้หาก่อน พนง.ส่งรถไม่ค่อยเต็มใจบริการ ค่าชาร์ตคืนรถช้าก็โหดมาก
B-BIKE เช่ารถมอเตอร์ไซค์ คุณติ๊ก 086-4216498 FB : แพร่ บี ไบค์ อันนี้ไม่ได้ดิสเครดิต แต่ในฐานะนักท่องเที่ยว
อะไรดีบุ๋มก็บอกว่าดีค่ะ

ได้รถมาก็เกือบเก้าโมง แต่อากาศยัง 17-18 องศา เรียกว่าขับตอนนี้ก็ลมตีหน้าชาอยู่ดี แต่สบายอากาศดีมากๆ มีแดดอุ่นๆเลยไม่ค่อยรู้สึกหนาวเท่าไหร่ ขับอีกแค่ 30 กิโลเข้าหมู่บ้าน แต่ปัญหาคือระหว่างทางสัญญาณโทรศัพท์จะหายและ GPS จะใช้ไม่ได้ ต้องอาศัยการดู
มาก่อนล่วงหน้า ถนนไม่ได้คดเคี้ยวมาก ประกอบกับเริ่มเข้าเขตอุทยานก็เจอคน เจอรถสวนบ้าง
อาศัยจอดถามชาวบ้านได้ อากาศดีมากกกกกกกก ขับรถมอเตอร์ไซค์มาจะฟินมาก หิวก็จอดกินข้าวข้างทางที่พอมีร้านอยู่บ้าง
เจอน้ำพริกน้ำย้อยเข้าไปติดใจ อร่อยมาก กินกับอะไรก็อร่อย แต่ขากลับดันลืมซื้อกลับมาด้วย เสียดาย

ใกล้เข้าหมู่บ้านทุกทีก็คิดว่านี่วิวอย่างงี้เลยเหรอ?

เจอรูปปั้นเต่าปูลู สัญลักษณ์ของหมู่บ้าน แต่เราเรียกรูปปั้นเต่าไชโย ก็ดูสิว่าไชโยมั้ยล่ะ คือปกติเป็นคนกลัวเต่าอยู่แล้ว เจอรูปปั้นไปแบบนี้ เจอตอนกลางคืนนี่เผ่นเลยนะ

มาถึงตรงนี้ก็ต้องขับเข้าไปอีกประมาณ 8 กม. ถึงจะเข้าหมู่บ้าน คืออยู่ในเขาจริงๆ ผ่านหมู่บ้านน้ำจ้อมที่อุณหภูมิจะเย็นกว่า
บ้านนาตอง เย็นมาก เย็นยะเยือกชนิดที่รู้สึกได้ ทั้งที่สายมากแล้ว แดดเปรี้ยงด้วย
นี่เป็นป้ายก่อนถึงหมู่บ้านที่เราเกือบมองข้าม พ่อหลวง ร.9 ของเราทรงรักพสกนิกรทุกพื้นที่จริงๆ

ทีนี้ไม่รู้เลยว่าที่พักอยู่ไหน จะโทรหาก็ไม่ได้ ก้มดูมือถือ สัญญาณไม่มีเลยแม้แต่ขีดเดียว เดาเอาว่าน่าจะอยู่หลังแรกๆ
พอขับเข้าไปไม่เจอจึงต้องจอดถาม ขับเลยจนได้เลยกลับรถวนมาใหม่ อยู่ต้นๆหมู่บ้านจริงๆด้วย

แล้วก็เจอจนได้ เจอน้องวิ ลูกสาวเจ้าของโฮมสเตย์พอดี เป็นคนที่เคยติดต่อกันไว้คืนก่อนที่เราจะมาแค่ 1 วัน น้องต้องออกไป
ในเมือง เพื่อไปคุยเรื่องโปรโมทบ้านนาตอง น้องวิเป็นสาวกรุงเทพที่กลับไปทำงานบ้านเกิดด้วยการช่วยพ่อแม่ทำโฮมสเตย์นี่แหละ เพราะคนเริ่มมาพักเรื่อยๆ นี่ก็เป็นความฝันที่เราอยากกลับไปทำที่ต่างจังหวัดบ้านเกิดเหมือนกัน น้องอยู่คุยกับเราได้แป๊บเดียวก็ต้องเข้าเมือง ให้เราอยู่คนเดียวไปก่อน เดี๋ยวพ่อกับแม่มา เลือกห้องพักได้เต็มที่ ทั้งหลังเป็นของเรา ที่พักคิด 350 บาท/คน อาหาร 2 มื้อ
มีเย็นกับเช้าของอีกวัน ดีที่กินข้าวเที่ยงมา เลยไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ เมื่อไม่มีใครอยู่เลยสำรวจห้องกันหน่อย ชั้นบน มี 4 ห้อง
2 ห้องเล็ก กับ 2 ห้องใหญ่ เราเลือกห้องเล็ก มีห้องน้ำในตัวทุกห้องด้วย

รักตรงที่มีแมวนี่แหละ มอมแมมนี่เชื่อง เข้ากับคนง่าย จู่ๆมานั่งตักเลย ไม่รู้ซะแล้วว่าเราเป็นทาสแมว อย่างงี้ต้องจกพุง!!

ชั้นล่างก็มีห้องพักอีก 2 ห้อง เหมือนแขกเพิ่งออกไปเลยยังไม่ได้เก็บของเข้าที่เข้าทางเท่าไหร่ เต๊นท์เห็นบอกว่าเอามากาง
ในบ้านได้ หรือจะเอาไปนอนในสวนก็ได้ แต่ถ้าบริเวณบ้านไม่มีที่กาง ต้องกางตรงระเบียงอย่างเดียว เจ้าของโฮมสเตย์เล่าว่า
ตอนมาหลายคนที่นอนไม่พอ จะแบ่งให้ไปนอนบ้านหลังอื่นอีก 2 หลังที่ทำโฮมสเตย์เหมือนกัน (แต่ไม่ได้สร้างแยกเป็นหลังเหมือน
ที่นี่) ถ้าไม่ไปนอนที่อื่นก็กางเต๊นท์นอนมันแถวนี้เลย

สำรวจที่พักแป๊บๆก็อยากรู้เรื่องถ้ำก่อนเลย เห็นว่ามีถ้ำด้วย ความจริงเป็นคนกลัวถ้ำ กลัวหินงอกหินย้อย แต่ก็อยากมาดู
ไม่ได้เห็นถ้ำมานานมากแล้ว ก่อนที่น้องวิจะออกจากบ้านไปก็ถามแล้วว่าถ้ำอยู่ตรงไหน น้องบอกเดินไปไกล อยู่หลังโฮมสเตย์
แต่อยากให้รอพ่อกับแม่กลับมาจากสวนก่อนเพราะหญ้ารก อยากให้รอ แต่นี่ดื้อไง ไม่มีอะไรทำ เดินดุ่มๆมาคนเดียว เห้ยนี่มันป่าหมดเลย
เกือบถอดใจเดินกลับแล้ว ไม่ได้ใกล้เลยนะ

เปลี่ยว น่ากลัว วังเวง ไฟฉายก็ไม่มี เดินเข้าไปแป๊บเดียวแล้วอึดอัด ไม่ค่อยอยากเข้า เลยเดินกลับดีกว่า
พรุ่งนี้ให้พ่อ(เจ้าของโฮมสเตย์พามาใหม่)


เดินกลับแล้วก็จับมอเตอร์ไซค์ขับรอบหมู่บ้าน อากาศดีมาก กอไก่ล้านตัว นี่มันหมู่บ้านคีรีวงย่อมๆ ฉบับภาคเหนือรึเปล่า น้ำก็เย็นมากแอบดูเป็ดอาบน้ำในคลอง

นี่แหละที่เค้าเรียกชีวิตช้าๆจริงๆ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย โดยเฉพาะโทรศัพท์นี่โทรเข้าออกก็ไม่ได้ เน็ตเล่นไม่ได้
แม้แต่ JOOX ยังฟังเพลงไม่ได้เลย น้ำตาหยดแหมะ!! ใช้ชีวิตแบบไม่ต้องดูนาฬิกา ดูแค่พระอาทิตย์ขึ้น-ลงก็พอ ฟอกปอดให้เต็มที่ น้ำเย็นเจี๊ยบ

ยายบอกนี่ปลูกเองหมดเลยนะ ดูท่าทีแกจะภูมิใจมาก เม้าท์ใหญ่เลย พอพี่คนนี้ขับมอเตอร์ไซค์ผ่านมาทักทาย แกก็เก็บผักให้พี่ผู้หญิงคนนี้ ให้ฟรีๆ ไม่คิดเงิน ภาพแบบนี้มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆในต่างจังหวัด ซึ่งบางคนที่อยู่ในเมืองอาจไม่เคยได้สัมผัส

เครื่องออกกำลังกายมีอยู่ 2 อัน น้องคนนี้ลักษณะอย่างที่เห็นว่าเค้าดูไม่ปกติ ไม่แข็งแรงเหมือนพวกเรา แต่เค้าตั้งใจออกกำลังกายมาก เหมือนสนุกและไม่เหนื่อยเลย เราขับรถเล่นวนหลายรอบ กลับมาก็ยังเจอ น่ารักดี ^^

ศาลาริมน้ำนี่มีเยอะมาก มีแทบทุก 30 ม. เลย ท่าทางคนจะมาพักผ่อนเยอะเหมือนกัน ช่วงวันหยุด แต่เรามาวันธรรมดา เลยไม่มีคน

เราสงสัยว่าทำไมที่นี่ไม่ค่อยมีเด็กเจื้อยแจ้วเลย จนได้คำตอบว่าโรงเรียนที่นี่เล็กเกินไป เป็นโรงเรียนเล็กๆ
เด็กเรียนน้อยจนต้องปิดโรงเรียนไปแล้ว เด็กๆก็ไปเรียนในเมืองแทน แบบมีรถรับส่ง น่าเสียดาย มีเด็กเยอะๆ
วิ่งเล่นตอนเย็นหลังเลิกเรียนกับบรรยากาศต่างจังหวัดแบบนี้เราว่ามันคลาสสิกมากเลยนะ มันจะดูมีสีสันมากกว่านี้
เรามีข้อมูลของที่นี่น้อยมาก ไม่ค่อยมีใครรีวิวไว้ เลยต้องมานั่งคุย หาคำตอบจากชาวบ้านที่นี่แหละ ใน google ใช้ภาษา
ที่เป็นทางการเกินไป เรารู้สึกเข้าไม่ถึงคนที่นี่
เมื่อ 10 ปีก่อน น้ำป่าพัดหมู่บ้านเสียหายหลายหลังและผู้คนล้มตาย เสียไป 3 ชีวิต หลังจากนั้นคนก็เริ่มย้ายถิ่นฐาน
ไปอยู่ที่อื่น ทำให้หมู่บ้านดูเงียบและมีไม่กี่หลังคาเรือน คุณพี่คนนี้บอกว่าถ้าเสาร์-อาทิตย์
คนเยอะนะ มาเล่นน้ำแล้วก็กลับไปนอนในเมือง น้ำใสสะอาดมาก เย็นมากเหมือนน้ำที่แช่ในตู้เย็น เค้าไม่อยากให้จับปลา
เยอะเพราะอยากมีไว้ให้นักท่องเที่ยวดู เต่าปูลูก็เหลือน้อยแล้ว ที่เหลือมีแต่ตัวเล็กๆ ตัวใหญ่เราเลยไม่ได้เห็น
น่าเสียดาย ถ้ามีการพัฒนามากกว่านี้จะไปได้ไกล ความทันสมัยด้านสัญญาณโทรศัพท์ก็จะเข้ามา (แต่ได้ข่าวว่าปี 60 ก็ติด
เสาทรูแล้ว) แต่ยังใช้โทรศัพท์บ้านกันอยู่ ใช้เสียงตามสายก็น่ารักดีนะ

ได้แต่ค่อยๆมองพระจันทร์ขึ้น เพราะไม่ทันดูพระอาทิตย์ตกดิน

นั่งคุยกับยายอยู่ตั้งนาน ถามคำตอบคำ จนมีคุณลุงขับมอเตอร์ไซค์มาบอกว่า หูแกไม่ค่อยดี ไม่ได้ไม่ค่อย แต่ไม่ดีเลยแหละ
นี่ติดว่ามีแมวให้จกพุงเลยอยู่คุยกับคุณยาย ถึงแม้ว่าจะคุยคนละเรื่อง 5555

เย็นก็เข้าบ้าน สบายจริงชีวิตเรื่อยๆ เจ้าของโฮมสเตย์กลัวเราเหงา แทนที่จะยกกับข้าวมาให้ที่โฮมสเตย์ แต่ก็เรียกมาทานในบ้านและ
ดูทีวีด้วยกัน บรรยากาศก็อบอุ่นเหมือนอยู่บ้านเลย กินข้าวเหนียว คุยกันเป็นภาษาเหนือ ได้กินยำงวม อาหารของท้องถิ่นแล้ว
ดีใจเวลาไปที่ไหนแล้วได้ทานกับข้าวที่คนท้องถิ่นทำ

แถมมีสัตว์เลี้ยงในบ้านน่ารักหลายตัว น้องหมาชื่อฟูฟู แมว 2 ตัวที่ชื่อมอมแมมเหมือนกัน กระต่ายก็มี เต่าปูลูก็มี แต่มีคนขโมยไปหมดเลย คลานหายเข้าป่าไปก็มี คือเลี้ยงทุกอย่างอ่ะ พ่อกับแม่บอก ใครมาก็รัก เล่นทุกคน โดยเฉพาะฟูฟู ตัวแสบที่วิ่งดุ๊กดิ๊กไปมาเข้าออกบ้านเพราะอยากเล่นกับคน คอยเห่าคนแปลกหน้า และหมาแปลกตัวที่เดินผ่านบ้าน เห่าบ๊อกๆ แต่ก็สู้เค้าไม่ได้ ตัวเล็กเกิ๊น เจอตัวใหญ่กว่าขู่หน่อย ก็วิ่งดุ๊กดิ๊กเข้าบ้านเหมือนเดิม5555555 เราอยู่เล่นกับหมาแมวหลังอาหารจนสามสี่ทุ่มก็กลับห้อง

กินแล้วก็ไปนอน ไม่นอนดึก หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน นอนเอาแรง เพราะพรุ่งนี้เราจะใส่บาตรกันในวันพระแต่เช้า
เพราะมีเสียงตามสายจากหมู่บ้านเมื่อเย็นประกาศว่าพระธุดงค์ที่มาพักที่วัดนาตอง เดินทางมาจากอุตรดิตถ์ จะมาบิณฑบาตร
ในวันรุ่งขึ้น หนาวก็หนาว แต่ก็ตื่น ตอนแรกคิดว่าฝนตกตอนเช้า ได้ยินเสียงเปาะแปะตั้งแต่ประมาณตี 4 ตี 5 แต่ที่ไหนได้ น้ำค้างล้วนๆเลย
แอบช็อค! นึกว่าฝนตก น้ำค้างเยอะมาก เย็นมาก ตื่นเช้ามาก็มีแก้วกาแฟกับกาแฟซองวางไว้หน้าห้องให้ จิบกาแฟและถ่ายรูปรอก่อนออกไปตักบาตรตอน 7 โมงเช้า

อุณหภูมิดูจากมือถือไม่ได้เลย เทอร์มอมิเตอร์ที่ติดหน้าประตูโฮมสเตย์เลยเป็นตัวช่วย

แดดอุ่นๆยามเช้า เจ้ามอมแมม 2 ตัวนี้ก็คงชอบเหมือนกัน

พอพระเดินมาแต่ไกลเราก็เก้ๆกังๆจะถ่ายรูป สงสัยเด็กวัดมองเห็นแต่ไกล ตอนจะใส่บาตร ก็อาสาถ่ายรูปให้ รู้ใจมาก

ใส่บาตรแล้วก็มากินข้าวเช้า ทีนี้พ่อกับแม่มานั่งกินเป็นเพื่อนที่โฮมสเตย์มั่ง กับข้าวอร่อยอีกแล้ว ลูกข้าวเหนียวกินข้าวเหนียวแล้วมันค่อยมีแรงหน่อย

ให้พ่อพาเดินไปถ้ำก่อนเลย ทีนี้มั่นใจ มีเพื่อนเดินละ ระหว่างทางพ่อก็แนะนำตลอด นี่ที่ทางตรงนี้ปลูกอะไร ที่ตรงนี้ของใคร ต้นอะไรต่ออะไรเต็มไปหมด เราไม่ค่อยรู้จักต้นไม้เยอะเท่าไหร่ ถ้าไม่เห็นลูกก็ไม่รู้เลย นี่ทั้งเมี่ยง ทั้งกาแฟ ทั้งทุเรียน ขนุน ฯลฯ ปลูกรวมกันหมด เด็ดจากต้นให้กินกันเลย

ถ้ำจะมีหลายๆถ้ำติดกันเยอะมาก พ่อบอกปีนบันไดลิงขึ้นไปอีกก็มี ลงไปข้างล่างอีกก็มี ยังไม่ค่อยพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ยังดูดิบๆอยู่สำหรับที่นี่ ที่เห็นป้ายก็มีถ้ำรันตู "รันตูอะไรอ่ะพ่อ" พ่อบอก "อ้าว! รันตูก็รูตันไง5555" เดี๋ยวๆ แบบนี้ก็ได้เหรอ? 5555555 อีกถ้ำที่มีการขุดค้นพบโครงกระดูกมนุษย์โบวราณ 4,500 ปี ก็ถ้ำปู่ปันตาหมี นี่ความจริงมีรายการมาถ่ายหลายรายการแล้วนะ เราก็อึ้งตรง 4,500 ปีนี่แหละ พื้นที่ของแพร่นี่ความจริงเก่าแก่มากเลยนะ และยังมีอะไรต่อมิอะไรในป่าอีกมากมายที่เรายังไม่รู้ และมนุษย์กำลังจะค้นพบ แต่น่าเสียดายที่ลืมเอาไฟฉายมาทั้งคู่ เลยเข้าไปลึกไม่ได้ พ่อบอกเสียดาย เข้าไปไม่ได้ มันมืดมาก แต่ข้างในหินงอกหินย้อยสวย มีเป็นรูปร่างผู้หญิงเลยนะ เราบอก ไม่เป็นไร (แต่อันที่จริงไม่เข้าก็ได้ แหะๆ เพราะเป็นคนกลัวหินงอกหินย้อย) พ่อบอกพระธุดงค์เคยจะมานอนในถ้ำ แต่ก็นอนไม่ได้เพราะมีสิ่งรบกวน แต่พ่อไม่พูดว่าคืออะไร อ่อไม่ต้องพูดตอนคุยอยู่ในถ้ำก็ได้ค่ะ หนูพอจะรู้ละว่าคืออะไร

ไม่ได้เอาไฟฉายเข้ามาเลยเข้าไปลึกไม่ได้ พ่อบอกข้างในมีหินงอกหินย้อยอีก เรามองไม่เห็นอะไรเลย เลยใช้ไฟฉายจากมือถือ ตอนมองด้วยตาเปล่าเราจะไม่เห็นอะไรในภาพนี้เลย แต่พออยู่ในกล้องจากมือถือที่กำลังส่องมันเป็นแสงระยิบระยับสีขาวๆบนเพดาน บนหินตรงนั้น พ่อก็ตกใจว่ามันไม่เห็นมีอะไร พอให้ดูจากโทรศัพท์เค้าก็แปลกใจมากที่มันมีแสงได้ไง บางทีเราอาจจะเป็นคนค้นพบมันก็ได้ 55555 ไม่หินงอกหินย้อยก้อนใหม่ก็น่าจะเป็นแร่อะไรซักอย่าง รูปมืดมาก เลยลองมาดึงแสงในแอฟดูเลยเห็นเป็นจุดสีขาวมากขึ้น จุดนั้นความจริงเป็นแสงระยิบระยับอย่างที่บอก บอกพ่อว่าอย่าลืมให้ จนท.มาตรวจดูอีกทีนะ บางทีมันอาจจะไม่ใช่แค่หินงอกหินย้อยก็ได้

อีกถ้ำก็ถ้ำปู่ปันตาหมี รูปแรกๆในรีวิวที่ถ่ายมา ที่เราไปยืนหน้าถ้ำคนเดียว ถ้ำนี้แหละขุดเจอโครงกระดูกและอุปกรณ์ของมนุษย์โบราณอีกหลายอย่าง ถามอีกว่า "ทำไมชื่อปู่ปันตาหมี" พ่อบอกเมื่อก่อนมีคนชื่อปู่ปัน โดนเสือคาบมากินที่ถ้ำแล้วหมีก็กินต่อ นี่รีบสงสัยเลย โครงนี่ของปูปันรึเปล่าเนี่ย ทีนี้โครงกระดูกถูกขุดไปไว้พิพิธภัณฑ์บ้านนาตองหมดแล้ว ก็ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์พ่อไปดูที่วัดอีกที

ไปถึงพ่อก็เดินเข้าวัด ตรงนั้นออกตรงนี้คล่องแคล่วเลย เราก็ไม่ค่อยกล้าเดินเข้าไป พระธุดงค์ยังพักอยู่ที่วัดเต็มเลย พระใจดี บอกว่าข้าวก้นบาตรเหลือ เอาไปได้ พ่อเลยหยิบมานิดหน่อย บอกว่าจะเอาไปเลี้ยงสัตว์ด้วย

กรมศิลป์นี่เค้าดูกันยังไง อยากเรียนเหมือนกัน รู้ได้ไงว่า 4,500 ปี

ในส่วนของเต่าปูลู ถือเป็นสัญลักษณ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่นี่เลย จากที่เห็นรูปปั้นเต่าอยู่ปากทางเข้าหมู่บ้าน แต่ทุกอย่างมันก็ไม่เป็นอย่างที่เราคิดหรอก เดี๋ยวนี้หายาก คนขายไป หรือขโมยกันในหมู่บ้านก็มี เลยเห็นแต่ตัวเล็กๆในอ่าง หลบอยู่แต่ในน้ำ ไม่ค่อยโผล่ ตัวใหญ่ๆไม่ค่อยเห็น แต่พ่อบอกว่าแค่ตัวเล็กนี่ก็ 2-3 พันแล้วนะ เป็นเต่าหายากที่มาตามห้วย ตามป่า

เลยให้พ่อพาทัวร์สวนดีกว่า พ่อแบบพรีเซ้นท์มาก เค้าคงภูมิใจมาก ระหว่างทางที่จะไปสวน ผ่านโรงบ่มยาสูบร้างด้วย นี่ถ้าตกแต่งดีๆ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้เลยนะ นึกถึงร้านเก๊าไม้ล้านนาที่เชียงใหม่เลย

เดี๋ยวๆพ่อทางอย่างงี้เลยเหรอ? ทางขึ้นดอย ลงดอย ลุยน้ำในห้วยที่เย็นมาก นี่พ่อไม่กลัวน้ำโดนหัวเทียนเลย ถามว่าเคยล้มมั้ยตอนหน้าฝน พ่อบอกไม่! เพราะชินทางแล้ว แต่คนซ้อนนี่ดิ่ใจหายใจคว่ำ นี่พาลงน้ำตลอดเลย ไกลเอาเรื่องเลยนะสวนเนี่ย


นี่ยังข้ามสะพานอีก ข้ามไปอี๊กๆๆๆๆๆ พ่อบอกอีกหน่อยถ้าคนมาเยอะขึ้น จะพาเที่ยวสวนคงต้องใช้คันใหญ่พามา แต่คนที่จะมาคงต้องถึกหน่อย 5555

ลูกอาจจะเล็กไปหน่อย แต่เด็ดกินได้เลยเพราะปลอดสารพิษ ไม่กล้าเด็ดกินเลยหรอก เพราะเค้าปลูกไว้ขายไว้กิน แต่นี่เจ้าของเค้าเด็ดให้ก็ต้องรับแล้วเข้าปากไปอย่างไว เดี๋ยวเค้าเอาคืน

ที่สวนก็เลี้ยงสัตว์เพียบ! บุญทิ้งนี่เอาไปปล่อยไกลก็กลับมาได้เองนะ เลยก็ให้อยู่เฝ้าสวนไปนี่แหละ

นางดูฟินมาก

นี่แย่งกันกินอย่างบ้าคลั่งด้วยหลังจากพ่อปอกให้กิน คือพ่อปอกให้ทั้งหมาทั้งเรากิน คือนั่งกินมะละกอสุกกับน้องหมา 555555 หลังของหมาหมดทีนี้หมาก็มองหน้าอยากกินของเรา "นี่เธอกินคลีนเหรอ"

พ่อแนะนำต้นไม้บนเขาบนดอยให้เยอะจนเรางงไปหมด ให้เรียนรู้วิถีเกษตรกร เอาน้ำมาจากตรงนี้ น้ำไหลมาจากตรงนี้ ปลูกอันนี้ฤดูนี้ ไม่น่าเบื่อหรอก เพราะเราก็ลูกเกษตรกรเหมือนกัน ฟังแล้วมีประโยชน์ด้วย

ได้ประโยชน์ ได้ความรู้ ได้ใช้ชีวิตช้าๆและมิตรภาพ และอีกหลายเรื่องราวที่ถูกบอกเล่าจากปากชาวบ้านจริงๆ ที่บางทียังหาใน google ไม่ได้ อากาศดีมากบ้านนาตอง พ่อบอกมกราจะหนาวมาก ปีที่แล้วเหลือ 5-6 องศา และก่อนหน้าที่เราจะมาไม่กี่วันความจริงก็ 7-8 องศา หนาวแบบไม่หนาวหมอก แต่หนาวแบบเย็นยะเยือก เพราะต้นไม้เยอะ แต่เช้าๆนี่ก็ควันออกปากอยู่นะ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากกลับมาอีกจริงๆ นี่แหละที่เค้าเรียกว่าใช้ชีวิตช้าๆของจริง ขาดการติดต่อทางโทรศัพท์ไป 1 วันเลย

ที่นี่คลีนและยังดิบมาก ไม่อยากให้มีอะไรไปรบกวนมากเลย เวลาไปเที่ยวก็ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวที่ดีกันนะคะ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ ศาสนา โบราณคดี วัฒนธรรม การเกษตร ผจญภัย ฯลฯ

ซัก 11 โมงก็ต้องถึงเวลากลับ เพราะคิดว่าอาจจะขับรถเข้าเมืองไปไหว้พระต่อ แต่คิดว่าบ้านนาคูหาไม่น่าจะไกล เพราะห่างตัวเมืองแค่ 20 กว่า กม. น่าจะไปได้ ไม่รีรอ พอออกจากเขตนาตองแล้วก็เปิด GPS งมทางเลย


เรียกว่างมทางจริงๆ พอเข้าใกล้เขตบ้านนาคูหาก็สัญญาณไม่มีอีกแล้ว เหมือนนาตองเป๊ะ!! แต่แค่เจอกับวิวหลักล้านแบบนี้นี่ก็ฟินแล้ว ถือซะว่ามาขับรถเล่นนะ ขอเวลา 2-3 ชม.ก่อนกลับ ไม่อยากเสียเที่ยว อยากให้สองที่นี้เที่ยวคู่กัน เที่ยวแป๊บๆแบบไป-กลับ รูปอาจน้อยกว่าบ้านนาตอง

เห็นป้ายบอก 3 กิโลมาเป็นระยะๆ นี่ป้าย 3 กิโลทำไมมีบ่อยล่ะ 5555555 จอดถามคนแถวนี้ก็อีก 3 กิโล งงเลย นี่หนูผ่านป้าย 3 กิโลมาหลายกิโลแล้ว

ตั้งใจมาดูบ่อเตา จุดขายของที่นี่ แต่ดั๊นล้างพอดี ดวงเธอนี่จะดูอะไรก็ไม่เห็นเลยนะ นี่รายการทุ่งแสงตะวันเพิ่งมาถ่ายอาทิตย์ก่อนเอง (คนแถวนี้บอก)มีโฮมสเตย์ด้วยนะ แต่จะต้องนอนในบ้านร่วมกับเจ้าของบ้าน คุยกับลุงเจริญพร ขอเบอร์มาเรียบร้อย เก็บไว้ในเครื่อง แต่ดันเซ็ตเครื่องโทรศัพท์ ข้อมูลหายหมดเลยจ้า แต่ถึงยังไงมีเบอร์ก็ติดต่อไม่ได้อยู่ดี เพราะที่นี่ไม่มีสัญญาณ ต้องรอฟลุ๊คเค้าเข้าเมืองกันถึงจะโทรติด

โอ้ยนี่แหละเค้าบอกงวมที่เรากินยำงวมที่บ้านนาตอง อร่อย เหมือนยำใบมะม่วงเลย

ไปที่ไหนก็มักจะได้รับการต้อนรับที่ดีจากเจ้าบ้านเสมอ นี่เหวี่ยงตัวห้อยก็ไม่ปล่อยนะ เอ่อ...เอาที่สบายใจเลยจ้า หมาเด็กทั้งหลาย

มีแต่คนถาม "มาคนเดียวเหรอ" เค้าตกใจกันใหญ่ที่เราเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขับมาเอง ยืนเม้าท์มอยกับคุณลุงคุณป้าที่ช่วยกันเด็ดผัก เก็บผัก

ในหมู่บ้านก็เงี๊ยบเงียบ เงียบไปอ่ะ เราไม่ได้พักที่นี่เลยยังไม่ค่อยรู้ว่ามีตรงไหนน่าเที่ยวบ้าง แต่ถ้าเทียบกัน คิดว่าดีแล้วที่พักนาตอง เพราะตรงนี้ดูไม่ค่อยมีอะไร แต่ความจริงอาจจะมีก็ได้ วันหลังต้องหาเวลามาพักที่นี่มั่งละ ติดที่ติดต่อโทรศัพท์สัญญาณไม่มีอย่างเดียว

ไม่ใช่หมู่บ้านธรรมดา แต่นี่เป็นหมู่บ้านในขุนเขาที่มีวิวขนาดนี้

น้ำจากห้วยใสและเย็นมากกกกกกก

ชาวบ้านแถวนี้บอกว่า นี่คือผาสิงห์ หน้าผาที่กำลังจะเปิดเป็นทางการในวันที่ 18 ธค. 59 เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ไปพิชิต เคยมีคนขึ้นไปแล้ว แต่ตอนนั้นเหมือนยังทำทางให้ปีนดีๆเลยค่อนข้างยาก แต่คนก็ขึ้นไปได้แล้วเอาธงชาติไปปักบนนั้น นี่เรารู้จักสถานที่ท่องเที่ยวใหม่น่าสนใจอีกแล้วนะ สวยมาก อากาศดีมาก

เรามีเวลาอยู่ไม่มาก ต้องรีบกลับ ออกจากบ้านนาคูหาก็บ่ายแล้ว เลยเวลาคืนรถมอเตอร์ไซค์ โดนคิดเงินเพิ่มอีกวันแน่ๆ เลยแวะพระธาตุอินทร์แขวนต่อ ใครจะมาไหว้วัดพระธาตุอินทร์แขวนก็มาทางเดียวกับบ้านนาคูหาเลย วัดจะถึงก่อนทางเข้าหมู่บ้านอีก วิวสวยมาก

ออกมาแล้วก็ยังไม่วายจะแวะอีก ไหว้พระคู่บ้านคู่เมืองก่อน แวะตลอด ไม่รู้จะกลับไปทันรถไฟตอน 1 ทุ่มหรือเปล่า

ครั้งแรกในชีวิตเลยที่เสี่ยงเซียมซีแบบนี้

หลังจากนั้นก็รีบขับรถกลับ จนลืมไปว่า เฮ้ย! สถานีารถไฟเด่นชัยมันอยู่นอกตัวเมืองนี่หว่า ตาลีตาเหลือก คิดว่าขับไปทันภายใน 1 ชม. 20-30 กม. นู่นแหละ ตอนแรกนึกว่าทางขับง่าย แต่ทางไม่ค่อยดีเลย เพราะเส้นที่ไปเด่นชัยรถเยอะมากๆ แถมเป็นรถบรรทุกด้วย ขากลับพระอาทิตย์ตกทางที่เราขับกลับพอดี แดดส่องเข้าตาแรงมาก ทางเส้นนี้ต้องระวังเอามากๆทุกอย่าง แต่ไม่ต้องกลัวหลง มีป้ายบอกทางตลอดเวลา มาถึงสถานีรถไฟประมาณ 6 โมงเย็น

แต่ดันโดนชาร์ตเยอะมาก เพราะ พนง.ไม่ได้บอกว่าจะชาร์ตอะไรบ้างก่อนล่วงหน้านี้ แต่ทำใจไว้แล้ว แต่ก่อนหน้านี้มีการถามย้ำแล้วว่าคืนตรงไหนก็ได้ใน จ.แพร่ เค้าบอกมีเครือข่าย คืนตรงไหนก็ได้ ไม่ได้บอกรายละเอียดการชาร์ตเป็นเวลาแบบนี้ คือถามแล้วไม่ค่อยให้ข้อมูลเลย พนง.ก็มาบอกทีหลังว่าคืนได้เฉพาะในเมือง มาคืนรถซะนอกเมืองเลยโดนชาร์ตค่าเดินทาง ค่าล่วงเวลา พนง.ไปอีก ค่าประกันก็ไม่ได้คืน ลมแทบใส่ เป็นการเช่ามอเตอร์ไซค์ที่แพงที่สุดในชีวิตตั้งแต่ไปเที่ยวคนเดียวมา

รวมค่าใช้จ่ายคร่าวๆนะคะ นั่งรถไฟ ไป-กลับ เที่ยวละ 200 บาท รวมเป็น 400 บาท ค่าที่พัก 350 บาท รวมอาหาร 2 มื้อ แต่พ่อลดให้ 10 บาทอ่ะ55555 ค่าซื้อของใส่บาตรก็ 120 บาท ค่าสองแถวเข้าเมือง 40 บาท ค่าเติมน้ำมันรถเต็มถัง 65 บาท (ตอนเช่าจะเติมให้เต็มถัง ขากลับเราก็ต้องเติมให้เค้าเต็มถัง

ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์ 2 วัน วันละ 250 บาท รวม 500 บาท ค่าล่วงเวลา พนง. ชม.ละ 50 บาท 2 ชม.เป็น 100 บาท (พนง.เลิก 17.00 น.)ค่าเดินทางเอารถปิคอัพมารับมอเตอร์ไซค์ ค่าเดินทางกิโลละ 5 บาท ไป-กลับ 60 กม.(ไป 30 กลับ 30) รวมอีก 300 บาท สรุปแค่ค่ารถ+ค่าน้ำมัน รวมก็ 965 ละ ลมแทบใส่จริงๆ วันหลังจะคิดหน้าคิดหลัง จะถามให้เยอะกว่านี้ แต่ถ้าถามแล้ว พนง.ไม่ให้ข้อมูล บอกไม่หมดแบบนี้ก็ไม่ไหว (ขอพื้นที่บ่นจริงๆค่ะ555555)

แต่ราคาโดยรวมทริปนี้ก็ประมาณ 1700-1800 ไม่เกินนี้ แต่ถือว่าเป็นทริปฟอกปอดที่คุ้มค่าจริงๆที่ได้เจอสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ คนน่ารักมีน้ำใจอย่างคนแพร่ และที่สำคัญอากาศดีมากจนไม่คิดว่าแพร่จะมีพื้นที่อากาศดีแบบนี้ ได้ข่าวว่ามีโอโซนที่ดีเป็นอันดับ 7 ของประเทศเลยนะ เหมือนอ่านเจอแว๊บๆ ไม่คิดว่าจังหวัดนี้ยังมีหมู่บ้านที่ยังใช้ชีวิตช้าๆอยู่ในขุนเขาแบบนี้

แปะเบอร์ติดต่อไว้ให้นะ

ห้วยถ้ำโฮมสเตย์ บ้านนาตอง จ.แพร่ 096-0094276 (พ่อสิงห์คาร เจ้าของ) 091-8807204 (วิ ลูกสาวคนพี่ของเจ้าของ) 082-1901540 (นิ ลูกสาวคนเล็ก) คนอื่นโทรไม่ติด ที่โทรติดก็เพราะโทรไปเจอน้องนิพอดี ทำงานในเมือง เลยโทรติดแล้วน้องโทรเข้าเบอร์บ้านให้ แต่พอขอเบอร์บ้านพ่อ พ่อบอกเปลี่ยนเบอร์ละลืม เลยให้เบอร์โทรมือถือแทน แต่เห็นบอกว่าต้นปี 60 ก็มีเสาทรูมาปักแล้ว มีสัญญาณแน่นอน ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวเสาร์อาทิตย์จะเยอะ มาเล่นน้ำตามที่เห็น เพราะน้ำใส เย็นสดชื่นมาก

เจอกันใหม่ทริปหน้านะ ถ้าชอบเที่ยวคนเดียว ยังคุยกันได้ในเพจ "จะเที่ยวคนเดียว" นะคะ

Boe_Stories

 วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 00.50 น.

ความคิดเห็น