สวัสดีครับวันนี้มีโอกาสได้มาเขียนกระทู้รีวิวท่องเที่ยวให้อ่านกันอีกครั้งนึง หลังจากช่วงครึ่งปีที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปเที่ยวทริปยิบย่อยรอบๆกรุงเทพฯ มาพอสมควร ก็อยากมีทริปที่ออกไปไกลๆ กทม. หลุดจากความวุ่นวายในเมืองกรุง ไปสัมผัสบรรยากาศดีดี สูดอากาศบริสุทธิ์ไกลๆอีกครั้ง ก็เลยรวบรวมสมาชิก จัดทริปกันไป ซึ่งทริปนี้เราจะไปพักกายพักใจกันที่เขื่อนเชี่ยวหลาน หรือ เขื่อนรัชประภา จ.สุราษฎร์ธานี เรามีสมาชิกร่วมทริป 5 คน หลังจากที่วางแพลนต่างๆกันแล้วก็แบ่งหน้าที่กันไปจองอะไรต่อมิอะไรให้เรียบร้อย รอแค่ให้ถึงวันเดินทาง

การเดินทาง

ถึงวันเดินทาง สมาชิกทริปนี้มารวมตัวกันที่สถานีขนส่งผู้โดยสารสายใต้ใหม่ ซึ่งเราจองตั๋วรถไว้ เป็นรถทัวร์ VIP 24 ที่นั่ง ของ บ.ภูเก็ตเซ็นทรัลทัวร์ สายกรุงเทพฯ-ภูเก็ต ค่าโดยสารคนละ 734 บาท ตีตั๋วลงที่บ้านตาขุน ออกเดินทางรอบ 19.50น. สามารถโทรจองตั๋วหรือสอบถามรายละเอียดได้ที่เบอร์ 02-8858692

ล้อหมุนตรงเวลา จากที่เราเริ่มออกเดินทาง นับเวลาไปอีกประมาณ 10 ชั่วโมง เราจะถึงตลาดบ้านตาขุน แรกๆก็นั่งเม้าท์มอยกันไปสักพักต่างคนก็เข้าสู่ภวังค์กันหมด ตื่นมาอีกทีตอนที่รถจอดแวะให้พักกินข้าว กับตอนที่มีเสียง "บ้านตาขุนค่าาาา!!!" สารภาพว่าตอนนั้นยังไม่อยากตื่นเลยจริงๆ

เช้าวันแรก

จุดที่เราลงรถเรียกว่า ตลาดชุมชนบ้านตาขุน มีจุดสังเกตตรงเซเว่นนี่แหละครับ หลังจากมาถึงก็โทรบอกคนขับรถที่เราให้แพที่พักติดต่อไว้ให้ ราคาก็แล้วแต่จะตกลงกัน อยู่ที่ประมาณ 300-500 บาท ถ้ามาหลายคนก็หารกันสบายๆครับ

หลังจากติดต่อรถให้มารับแล้ว เค้าบอกว่า "ไม่ต้องรีบหาอะไรกินกันก่อนก็ได้" …ตามนั้นเลยครับ จุดที่เรารออยู่เป็นตลาดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราเลยเดินหาของกินรองท้องกันไปจนได้เจอร้านโจ๊กกับร้านปาท่องโก๋อร่อยๆ อันนี้จำชื่อร้านไม่ได้ แต่คงหาไม่ยาก อร่อย ราคาถูก แนะนำเลยครับ

จัดการกับอาหารเช้าเรียบร้อย พร้อมกับที่รถมารับพอดี เราออกเดินทางจากตลาดบ้านตาขุนมุ่งหน้าสู่เขื่อนรัชประภา แต่ก่อนที่เราจะไปเขื่อนรัชประภา คนขับรถพาเรามาแวะที่นึง ที่สะพานแขวน ภูเขารูปหัวใจ

ที่นี่ตอนเช้าอากาศดีมากๆ บรรยากาศสวยงาม เงียบสงบ นี่เรายังไม่ทันจะถึงจุดหมายของเรา ก็เริ่มหลงรักความสงบของที่นี่ซะแล้ว


ฟินกับบรรยากาศดีดีของธรรมชาติ และถ่ายรูปที่สะพานแขวนกันสักพัก เราก็ขึ้นรถต่อมาถึงบริเวณสันเขื่อนรัชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลานนั่นเอง

เขื่อนรัชประภา หรือ เขื่อนเชี่ยวหลาน อยู่ในเขตของอุทยานแห่งชาติเขาสก วิวบนสันเขื่อนก็สวยงามมิใช่น้อยครับ มองไปเห็นผืนน้ำกว้างใหญ่ ล้อมรอบไปด้วยภูเขาใหญ่ๆที่สลับซับซ้อน ลองจินตนาการดูสิครับว่าเราจะได้เข้าไปอยู่ระหว่างภูเขาเหล่านั้น มันจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แค่คิดก็รู้สึกตัวเล็กแล้ว

ถ่ายรูป ชมวิว ที่สันเขื่อนกันสักพักก็ให้คนขับรถพามาส่งที่ท่าเรือเทศบาล ตรงนี้เสียค่าเข้าอุทยานคนละ 40บาท

บรรยากาศบริเวณท่าเรือเทศบาล ก่อนที่เราจะนั่งเรือไปชมความงามของธรรมชาติภายในเขื่อนรัชประภา

บอกไว้ก่อนเลยว่ามาถึงตรงนี้แล้ว ใครอยากจะเช็คอิน เช็คไลน์ เฟสบุ๊ค ไอจี หรือโทรหาแม่ โทรหาแฟน ให้รีบติดต่อซะนะครับ เพราะหลังจากนี้ช่องสัญญาณโทรศัพท์ของคุณจะขึ้นคำว่า No service แล้ว

มุ่งหน้าสู่กุ้ยหลินเมืองไทย ตัดขาดสัญญาณอินเตอร์เน็ต

เราลงเรือกันมาจากท่าเรือโดยเรือที่ทางแพที่พักได้ติดต่อไว้ให้ ราคาเหมาลำ 2500 บาท โดยเรือจะมารับและไปส่งที่แพ ระหว่างทางไปแพก็จะพาไปชมกุ้ยหลินเมืองไทย เขาสามเกลอ และบรรยากาศภายในเขื่อนเชี่ยวหลานระหว่างทางไปที่พัก

นั่งเรือมาสักพัก เรามาถึงจุดที่เรียกว่าประตูสู่กุ้ยหลินเมืองไทย ตอนนี้รอบตัวมีเพียงผืนน้ำและภูเขาหินปูนที่สูงใหญ่ ไร้สัญญาณอินเตอร์เน็ต ไร้สัญญาณโทรศัพท์ อยู่กับธรรมชาติล้วนๆแล้วล่ะครับ

ยิ่งนั่งเรือเข้ามาไกล ยิ่งได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ น้ำใสๆ ภูเขาหินปูนสูงๆ อยู่ตรงนั้นแล้วมองไปรอบๆมันทำให้รู้ว่าเราเป็นเพียงส่วนๆเล็กของธรรมชาติเท่านั้นเอง

นั่งเรือลัดเลาะไปตามลำน้ำและภูเขา สักพักเรามาถึงจุดที่ พี่จอน คนขับเรือบอกว่านี่คือไฮไลท์ของกุ้ยหลินไทยแลนด์ นั่นคือเขาสามเกลอนั่นเองครับ

เขาสามเกลอ มีลักษณะเป็นแท่งเขาหินปูนตั้งเรียงกันสามแท่ง ล้อมรอบไปด้วยภูเขาใหญ่ๆเป็นเหมือนอ่าวเล็กๆ ดูมีความความสวยงามตามธรรมชาติ ตรงนี้พี่จอน จอดเรือให้เราถ่ายรูปกันอย่างหนำใจเลยครับ

นอกจากตรงนี้จะเป็นจุดชมความงามของธรรมชาติ จุดถ่ายรูป จุดเช็คอิน(ถ้ามีสัญญาณโทรศัพท์โผล่มานะ) ตรงนี้ยังเป็นจุดเล่นน้ำของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกลุ่มเล็กๆด้วย น้ำใสๆแบบนี้เป็นใครก็อยากลงเล่นเนอะ

เข้าที่พัก ณ แพเพลินไพร

หลังจากที่เราล่องเรือชมความสวยงามของธรรมชาติในเขื่อนรัชประภาแล้ว เราก็ล่องเรือมาจนถึงที่พักที่เราได้จองไว้ ทริปนี้เราพักกันที่ "แพเพลินไพร"

ที่แพเพลินไพรแห่งนี้ เป็นแพของเอกชนที่ถือว่าไม่แพงมากนักเมื่อเทียบกับแพของเอกชนที่อื่นๆ มีบ้านพักหลายหลังเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินไม้ด้านหน้า ล้อมรอบไปด้วยภูเขาสูง มีนักท่องเที่ยวมาพักไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้เยอะจนแออัด ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติครับ

รอบๆที่พักก็เป็นน้ำใสๆ มีที่ให้โดดน้ำ เล่นน้ำได้เต็มที่ ราคาที่พักของแพเพลินไพรนี้ อยู่ที่คนละ 1500 บาท ราคานี้เป็นราคารวมที่พักพร้อมอาหาร 3 มื้อ มีเรือคายัคให้พายเล่นฟรี แต่ต้องมัดจำไม้พาย 500 บาท คืนไม้คืนเงิน และที่นี่บริการดีมากๆเลย

ข้อเสียนิดนึงคือที่นี่ร้อนมากครับเปิดไฟฟ้าแค่ 6 โมงครึ่ง ถึง 5ทุ่ม แต่ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีของคนที่ไม่อยากจองที่พักราคาแพงเกินไปหรือจองที่พักของอุทยานไม่ทัน สามารถติดต่อที่พักได้ที่ https://www.facebook.com/แพเพลินไพร-เขื่อนรัชชประภา หรือโทร 081-8926321 ติดต่อคุณวาสนา นะครับ

ช่วงที่เราไป ขอบอกว่ากลางวันแดดร้อนมากๆๆๆ จนไม่อยากออกไปไหนเลย แต่อยู่เฉยๆก็ร้อน โดดน้ำเล่นซะเลย ไหนๆเราก็ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้ทุกวัน เพราะงั้น เล่นให้สุด เอาให้คุ้ม

อยู่กลางน้ำ ล้อมด้วยเขา รอชมพระอาทิตย์ตก

หลังจากเล่นน้ำจนดำไปทั้งตัวแล้ว ตอนเย็นเรายังมีอีกกิจกรรมนึงคือนั่งเรือออกไปชมพระอาทิตย์ตก (กิจกรรมนี้ไม่ได้รวมอยู่ในราคาค่าเรือเดิม ต้องจ่ายเพิ่มอีก 500-700แล้วแต่จะตกลงกัน แต่ในเมื่ออยากไปก็จ่ายเลยครับ)

ระหว่างนี้ขอเผยโฉม พี่จอน คนขับเรือที่มีอินเนอร์นายแบบอยู่ในตัว


ตอนก่อนนั่งเรือออกมาฟ้าก็โล่งดี ทำไมออกมาสักพักฟ้าเริ่มจะครึ้มอย่างงี้ล่ะ แต่ถ้าจะให้เลี้ยวเรือกลับตอนนี้ก็คงไม่ได้ ถ้าฝนยังไม่ตกเราก็จะไปต่อ ตราบใดที่ปลายท้องฟ้ามีแสงรำไรจะไปจนถึงแสงสุดท้าย…


เราไปลอยลำรอเวลาที่จะได้เห็นพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขากันสักประมาณ 1ชั่วโมง ระหว่างนั้นก็ถ่ายรูปบรรยากาศรอบๆไปเรื่อย ต้องบอกว่าเป็นการรอคอยที่ไม่น่าเบื่อเลยถึงแม้จะไม่มีอะไรให้เล่นนอกกจากถ่ายรูป ไม่มีโซเชียลเน็ตเวิร์ค โทรศัพท์ที่พกไปแทบจะไม่มีความหมาย

และแล้วฉากที่เรารอคอยก็มาถึง ช่วงเวลาที่จะได้เป็นพระอาทิตย์ตกลับเหลี่ยมเขา ในบรรยากาศที่เงียบสงบท่ามกลางผืนน้ำและหุบเขาสูงๆโดยรอบ มันเป็นบรรยากาศที่โรแมนติกมากๆเลยครับ

ถึงแม้ว่าฟ้าจะครึ้ม เมฆจะมาก แต่ครั้งนี้ เป็นการชมพระอาทิตย์ตกที่ชอบมากๆอีกครั้งหนึ่งในชีวิต จะด้วยสถานที่หรือว่าบรรยากาศรอบๆก็แล้วแต่ มันทำให้ผมมีความสุขที่ได้อยู่ในช่วงเวลาแบบนี้

ชื่นชมบรรยากาศ ของธรรมชาติท่ามกลางแสงเย็นอันสวยงามกันเต็มที่แล้ว ถึงเวลาที่เราต้องกลับแพแล้ว มาถึงปุ๊บ อาหารเย็นพร้อมรอเราอยู่แล้ว แต่ละเมนูอร่อยไม่ใช่เล่นเลย แถมยังเติมเรื่อยๆด้วย
หลังมื้อเย็นก็ไม่มีอะไรครับนอกจาก นั่งชิล จิบเบียร์เบาๆ คุยนู่น นี่ นั่น กันไปเรื่อย ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน เป็นอันว่าจบวัน

แรกที่เขื่อนรัชประภาเช้าวันต่อมา ก่อนบอกลาเชี่ยวหลาน

ในคืนนั้นนอนเปียกเหงื่อกันถ้วนหน้าเพราะอากาศร้อนเบอร์สุด ยังมีภารกิจถ่ายดาวรออยู่ เช้าวันนั้น อืม…จริงๆแล้วก็ยังไม่เช้าอ่ะนะ ตีสี่ เราตื่นมาพร้อมสะพายกล้องออกมากันสามคนท่ามกลางคืนที่เงียบและมืดมาก มันดีตรงที่ทำให้เราเห็นดาวชัดเจน ถึงแม้เมฆจะเยอะไปสักหน่อยก็เถอะ ช่วงเวลานั้นเราจัดการตั้งขาตั้งกล้อง เซตกล้องเพื่อเตรียมถ่ายรูป และแล้วก็ได้ทางช้างเผือกกลับมาตามภาพ ขอบอกว่านี่เป็นการหัดถ่ายทางช้างเผือกครั้งแรกในชีวิตเลยครับ

หลังจากที่เราตื่นมาถ่ายรูปดาวกันแล้ว ก็กะว่าจะนั่งรอแสงเช้าอยู่หน้าบ้าน แต่ก็ดันเผลอหลับไปซะได้ ตื่นมาอีกทีก็สว่างซะแล้ว

หลังจากที่สมาชิกแต่ละคนพร้อมแล้วเราก็พากันไปนั่งเรือชมบรรยากาศยามเช้ากัน มีหมอกบางๆแทบจะไม่เห็น แต่บรรยากาศยามเช้านี่มันดีมากๆเลย


จะว่าไปแล้วที่เขื่อนเชี่ยวหลานแห่งนี้ก็ยังมีความดิบของธรรมชาติอยู่พอสมควรเลยครับ

นั่งเรือชมหมอกชมวิว สัมผัสบรรยากาศยามเช้ารอบๆที่พักแล้ว พี่จอนก็พาเราวนเรือกลับมาที่แพ พร้อมกับอาหารเช้าที่พร้อมรอเราอยู่แล้ว มื้อเช้าเป็นข้าวต้มเบาๆพร้อมกับข้าวอร่อยๆ ก่อนที่ทุกคนจะไปเตรียมตัวกลับ

อาบน้ำ แต่งตัว เก็บของกันเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลากลับ ก่อนกลับก็เก็บภาพบรรยากาศรอบๆ พร้อมถ่ายรูปหมู่เก็บไว้อีกสักใบ พร้อมกล่าวลาและขอบคุณพี่ๆที่แพเพลินไพรที่ดูแลเราเป็นอย่างดี

กลับถึงฝั่งพร้อมบอกลาเขื่อนรัชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน บรรยากาศและความสวยงามของที่นี่สร้างความประทับใจให้เรามากๆจริงๆ ถ้ามีโอกาสเราจะกลับมาเยือนอีกแน่นอน


หลังจากกลับขึ้นฝั่งเรายังพอมีเวลาเลยเหมารถไปเที่ยวที่อื่นต่อ ค่ารถก็อยู่ที่ 2000 – 2500 แล้วแต่จะตกลงราคาได้ ส่วนที่ที่เราได้ไปก็คือ

เชี่ยวหลานแคมป์ เป็นปางช้างในเขื่อนเชี่ยวหลาน

คลองน้ำใส เป็นธารน้ำสีฟ้าสวยและใสมาก น่าโดดลงไปเล่นสุดๆแต่ไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนแล้ว เพราะงั้น อดครับ

สวนโมกพลาราม สถานที่ปฏิบัติธรรมที่ก่อตั้งโดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

วัดพระธาตุไชยา พระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวสุราษฎร์ฯ

ชายหาดพุมเรียง หาดที่เป็นสถานที่พักผ่อนของครอบครัว ที่มีร้านอาหารให้นั่งรับประทาน มีจักรยานให้เช่าปั่นเล่น ว่าแล้วก็อย่าลืมสั่งหอยนางรมมาลองกินกันด้วยนะ เดี๋ยวเขาจะว่ามาไม่ถึงสุราษฎร์ฯ

ไปทัวร์กันจนครบ จนเพลีย ได้เวลากลับบ้าน…ขากลับเรากลับโดยสายการบินแอร์เอเชียร์ อันนี้ราคาก็แล้วแต่จะจองโปรได้เหมือนกันครับ


เป็นอันว่าจบทริปแบบประทับใจเช่นเคย เป็นทริปที่สุดจริงๆ สวยสุด เล่นสุด ทัวร์สุด สมกับเป็นอีกที่ที่ได้ชื่อว่าเป็น Dream Destination ของเมืองไทยจริงๆครับ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับคนที่กำลังวางแผนไปเที่ยวที่เขื่อนรัชประภาแห่งนี้ ใครจะใช้รีวิวนี้เป็นไกด์ก็ยินดีมากๆเลยครับ หรือหากใครอยากไปเที่ยวที่ต่างๆที่ผมเคยรีวิวไว้ก็ติดตามได้ตามนี้เลย

เขาแหลมหญ้ามีอะไร…ทำไมใครๆก็แนะนำ http://pantip.com/topic/34998748

เที่ยวเชียงใหม่ แว้นมอเตอไซต์ 4วัน 3ดอย อ่างขาง – อินทนนท์ – ดอยสุเทพ http://pantip.com/topic/34736971

ไปชาร์ตแบตให้ชีวิต ที่ เชียงคาน http://pantip.com/topic/34576667

Backpack เที่ยวสังขละบุรี 2วัน 1คืน ก็เที่ยวได้ http://pantip.com/topic/33837642

เที่ยวน้ำตกเอราวัณ 2วัน 1คืน http://pantip.com/topic/33191796

สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนจบ ถ้าอยากพูดคุยหรือสอบถามข้อมูลก็เข้ามาคุยกันได้ที่เพจ จุดหมายปลายทาง https://www.facebook.com/journeygallery ได้เลย แล้วถ้าเราได้ไปเที่ยวที่ไหนที่น่าสนใจอีกจะกลับมาเล่าให้ได้อ่านกันใหม่นะครับ บายยยแก้ไขคำผิดให้แล้วนะครับ พร้อมแก้ไขข้อมูล

แพเพลินไพร เปิดไฟตั้งแต่ 18.30น. - 23.00น. นะครับ

ขอบคุณครับ5คน หารกันแล้วตามนี้ครับ

สรุปค่าใช้จ่าย

1. ค่ารถ สายใต้-บ้านตาขุน = 734

2. ค่ารถ บ้านตาขุน-ท่าเรือเทศบาล = 300 ( หาร 5 = 60 )

3. ค่าเข้าอุทยาน = 40

4. ค่าเรือไป-กลับ & เที่ยวกุ้ยหลิน = 2500 (หาร 5 = 500)

5. ค่าที่พัก = 1,500

6. ค่าเรือชมพระอาทิตย์ตก = 700 ( หาร 5 = 140)

7. ค่ารถเที่ยว & ไปสนามบิน = 2,300 (หาร 5 = 460)

8. ค่าเข้าคลองน้ำใส = 10

9. ค่าอาหารมื้อเย็น = 200

10. ค่าเครื่องบิน = 1,240



รวม 4,884 บาท / คน

Journey Gallery

 วันพฤหัสที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 17.05 น.

ความคิดเห็น