ภาพโดย Ammata's Eyes Photography : www.facebook.com/ammataeyes

เรียบเรียง โดย Khaolak.Guru : www.facebook.com/Khaolak.guru

UNSEEN of KURABURI - "ทริปสุดขอบฟ้า ที่ เกาะพระทอง"

#เกริ่นก่อน

- อ.คุระบุรี อยู่นอกสายตานักท่องเที่ยวมานาน แม้กระทั่งตัวผมซึ่งเป็นคนพังงาเองนั้นในทีแรกยังไม่เคยรู้เลยว่า เมืองคุระบุรี มีอะไรดี แต่การท่องเที่ยวคุระบุรีในรอบนี้ เป็นการเปิดตาให้เห็นความสวยงามที่น่าอัศจรรย์ของธรรมชาติของเมืองนี้ ทริปเล็กๆ เพียง 3 วัน 2 คืน ทำให้เรากลับพบว่าเมืองเล็กๆ มีอะไรให้ค้นหาอีกมากมาย ... ทริปคุระบุรีก่อนหน้านี้อ่านได้ที่ https://th.readme.me/p/4438



ถ้าคุณ "พร้อม" ที่จะ " ทิ้ง " ความสะดวกสบาย ... เครื่องประทินโฉม ... และ เปลือกที่ถูกห่อจากเมืองอันแสนวิลัยแล้วล่ะก็
ตามผมมาได้เลย


จุดนัดพบของเราในการเดินทางไป เกาะพระทอง คือ สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอคุระบุรี เราขับรถออกจากเขาหลักไปเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที

เราถึงก่อนเวลานัดนิดหน่อยเลยขอรับประทานอาหารเที่ยง ที่ร้านประจำของเราคือ ร้านโกศักดิ์ ซึ่งอยู่กลางเมืองคุระบุรีเลย เราไม่พลาดที่จะสั่ง "หมูโก๊ะ" หมูทอดกรอบๆ คลุกเคล้าด้วยซอสเปรี้ยวหวาน ตามด้วยหมูฮ้องสูตรพิเศษของทางร้าน มีเนื้อนุ่มรสหวาน ปลาทอดและน้ำพริกผักสดๆ กินกัน 3 คน หมดข้าวไปเป็นโถ (ไปเกาะกลัวอดอยากครับ ฮ่าๆๆ)


คุณน้อยมารับเราถึงที่ร้านโกศักดิ์ แทน บขส.คุระฯ และนำทางเราไปยังท่าเรือคุระบุรี และให้เราจอดรถอย่างไวในพื้นที่ของท่าเรือ พร้อมขนอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ ที่เรา Request เอาไว้ ไปเกาะทั้งทีก็ต้องมีเครื่องดื่มนิดหน่อยเพื่อความชิลตามสไตร์ไทยแลนด์ปู้นๆ


เรือที่เราจะเดินทางไปยังเกาะพระทอง เป็นเรือหางยาว ครับ เป็นเรือของชาวบ้านที่ให้บริการ พอมีลูกค้าเดินทางไป คนอื่นๆ ก็อาจจะมีฝากของไปที่เกาะด้วย เราก็ไม่ว่ากันฮะ ช่วยๆ กันไป พี่ๆ ขยันขันแข็งช่วยยกสัมภาระของเราที่เตรียมไปถ่ายภาพในรอบนี้


บ๊าย บาย แสงสี พี่จะไปติดเกาะ


เราใช้เวลานั่งเรือไม่นานนักก็ถึงเกาะพระทอง แต่ วันนี้ไม่สามารถนำเรือเข้าหน้าหาดที่เราจะพักได้ จึงต้องอ้อมมาอีกฝั่งพร้อมกับมีรถของชาวบ้านมารอรับเพื่อขนสัมภาระ

พายุเพิ่งผ่านเพียง 1 วัน เท่านั้น เราหวังว่าวันที่เราเดินทางวันนี้และอีกสองวันที่เหลือจะไม่พบกับลมฝน ... ฟ้าหลังฝนสวยเสมอ แต่ ฟ้าหลังพายุนี่สวยที่สุดครับ


หลังจากน้องๆ ช่วยกันขนของต่างๆ ลงจากเรือ รถของชาวบ้านก็พาเราลุยป่ากันเลย ระหว่างทางเจอรถสวนกันก็ทักทายสวัสดีกันไป เรียก รอยยิ้มแรกที่มายังเกาะพระทอง


รถลัดเลาะๆ ไปตามเส้นทางที่ไม่ได้ทุระกันดารอย่างที่เราคิด แต่อาจจะต้องหลบกิ่งไม้บ้างในบางครั้ง แต่เราก็ว่าตื่นเต้นดี บางช่วงเป็นทุ่งหญ้าสวยงาม และ ระหว่างนั่งรถกะบะด้านหลัง เราสูดลมหายใจแรงๆ ผ่านลมเย็นๆ ที่มีกลิ่นต้นไม้ใบหญ้า อย่างไม่ต้องกลัวว่าจมูกเราจะพังเหมือนอยู่ในเมือง


ใช้เวลาสักพัก เราก็มาถึงจุดหมายที่เราจะพักในคืนนี้ "พระทอง เบย์ฟร้อน แค้มป์ปิ้ง แอนด์ คอทเทจ" Phra-Thong Bayfront & Cottage (ไม่มีให้จองใน Agoda นะครับ ฮ่าๆๆๆ)


เต๊นท์ หรือ จะเรียกว่า กระโจม ดี? ถูกจัดตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว ดูดีกว่าที่เราจินตนาการเอาไว้มากเลยทีเดียว


ภายในกว้างมาก ผมว่าสำหรับคนไทยนอน 4 คน ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัด แต่ ถ้าเป็นฝรั่งหรือคนตัวโตๆ ก็นอน 2 คนสบายๆ


ภายในมีน้ำดื่ม แก้วน้ำ กระดาษทิชชู่เตรียมไว้ให้ เซอร์ไพรซ์คือมี พัดลม ด้วย ไฟฟ้ามีให้ใช้นะครับ ไม่ต้องห่วงเรื่องแบตเตอร์รี่ หรือ ชาร์จมือถือแล้ว


สำรวจที่นอนในคืนนี้พร้อมกับเก็บสัมภาระกันเรียบร้อยแล้ว ไม่รอช้าเพราะอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้าแล้ว ไปชม "หาดพระทอง" ที่อยู่ด้านหน้า พระทอง เบย์ฟร้อนท์ แคมม์ปิ้ง กันครับ แต่ ยังไม่ทันจะออกไปชมหน้าหาด เจ้าบ้านตัวแรก ก็ออกมาทักทายเรา "นกเงือก" บนผ่านศรีษะเราไปเกาะบนยอดไม้ เราร้อง เฮ้ยยยยยย อย่างดีใจ ไม่คิดว่าจะโชคดีตั้งแต่นาทีแรกที่มาที่นี่ และ ร้องหนักมากยิ่งขึ้นเมื่อไม่ใช่เพียงตัวเดียว แต่ เป็น "ฝูง" นกเงือกที่เกาะอยู่บนต้นไม้เหนือกระโจมของเรา และ บินย้ายไปยังต้นไม้ที่ไกลออกไปหลังจากที่ได้ยินเสียงเราร้องด้วยความดีใจ ... ทีมงานบอกว่า มันมักจะมาเกาะที่ต้นไม้แถวนี้ในช่วงเย็น และ เราก็โชคดีมากที่มาเกาะต้นไม้ใกล้กระโจมของเรา

หน้า "หาดพระทอง" ไม่ได้ขาวสวยเหมือนดังเกาะสิมิลันหรือเกาะตาชัย แต่ทรายเป็นเม็ดๆ สีขาวใส และ สีส้มแดง ทำให้หาดทรายเป็นสีน้ำตาล ผสมกับแร่มีริ้วสีดำ


เราพบเจ้าบ้านตัวที่สอง "ปูเสฉวน" ออกมาย่ำเท้าเฉิดฉายบนเม็ดทราย หยุดนิ่งให้เราถ่ายภาพ


แสงตะวันเริ่มลับขอบฟ้าแล้ว แสงสีทองๆ ที่เราหวังเอาไว้ส่องกระทบน้ำทะเลที่ขังอยู่ในริ้วบนหาดทรายยามช่วงน้ำลด ราวกับริ้วเกล็ดจากลำตัวของพญามังกรที่โผล่มาเหนือแผ่นดิน


หากเป็นทรายขาวคงไม่ได้เห็นภาพริ้วหาดแบบนี้


เจ้าบ้านตัวที่สาม "ปูลม" ตัวนี้คงเป็นโครตของปูลมเพราะตัวของมันใหญ่มาก ยืนนิ่งโพสท่าทำตาปริบๆ ให้กับเรา เหมือนเชิญชวนให้เราถ่ายภาพไปเป็นนายแบบ


ศิลปะบนหาดทรายที่เจ้าพวกปูลมพวกนี้สร้างเอาไว้ ทำให้หาดทรายเรียบๆ มีลวดลายสวยงาม


วนเวียนถ่ายภาพยามอาทิตย์อัศดงเกือบร้อยภาพ กลับมาตอนตะวันลับฟ้า เพื่อเตรียมปิ้งบาร์บีคิวที่ทาง พระทอง เบย์ฟร้อนท์ แค้มป์ปิ้งเตรียมไว้ให้


มาแค้มป์ปิ้งก็ต้องก่อกองไฟสิครับ


.... เสียงลอยมาว่า " ผู้ชายก็เหมือนแมงเม่า ... เห็นขวดเหล้าก็เหมือนแมงเม่าพุ่งเข้ากองไฟ " ... เราเป็นคนกินง่ายๆ เอาบาร์บีคิวที่เตรียมไว้มาปิ้งๆกันไป คุยกันไป

อยากกินอะไรเพิ่มก็สั่งจากร้านอาหารใกล้ๆ ได้ (แต่ราคาก็เป็นราคาอาหารบนเกาะนะครับ จะแพงกว่าราคาบนฝั่งเพราะต้องขนด้วยเรือกันมา)


ในคืนแรกตั้งใจจะะถ่ายดาวมาฝากเพื่อนๆ เหมือนรีวิวอื่นเค้าทำกัน แต่ดันมีเมฆฝนตั้งเค้ามาซะงั้น แถมฝนดันตกมาซะได้ เลยจบด้วยการเอาบาร์บีคิวที่ปิ้งเสร็จเรียบร้อยแล้วมานั่งกินกันในกระโจม ก็สนุกดีนะครับ ปล.ไม่ต้องถามถึงเรื่องอาบน้ำ วันแรกผ่านไปทำได้แค่ล้างหน้าาาาาาาา 5555

ตื่นมายามเช้า น้ำค้างของฝนเมื่อคืนยังคงติดอยู่บนใบสนริมทะเล อากาศเย็นชื่นใจ


กระท่อมด้านหลังของ พระทอง เบย์ฟร้อนท์ แค้มป์ปิ้ง สำหรับใครที่ไม่ชอบนอนกระโจมที่นี่ก็มีให้บริการเช่นกัน


"รถอีแต๊ก" ของชาวเกาะพระทอง ก็มาจอดรอเราเดินทางไปชมทุ่งสะวันน่ายามเช้าของวันนี้ โดยมีคุณลุงหน้าตายิ่มแย้มและใจดีทำหน้าที่เป็นพลขับ


อาทิตย์ในยามเช้าแสงสีส้มช่างเหมาะกับทุ่งหญ้าสีทองเสียจริง

อากาศบนเกาะยามเช้าหนาวจนหมอกไล่เลี่ยไปตามทิวป่าและผืนหญ้าสีส้มอมเหลือง

และยามเมื่อแสงสีทองหายไป ท้องฟ้าสีฟ้าก็ตามมาเมื่อยามสาย คุณลุงยังคงตะลุยทุ่งหญ้าไปด้วยเสียงรถ แต๊ก ๆ ๆ ๆ

ทิวทัศน์เปลี่ยนไปตามเส้นทางที่ชุ่มชื้นบ้าง ทุ่งหญ้าบ้าง จนเราถ่ายภาพแทบไม่ทัน


"ดอกบัวจิ๋ว" ดอกบัวที่เล็กที่สุดในโลก ออกดอกบานให้เราเห็นได้ทั่วไปตามแหล่งน้ำของป่าสะวันนาบนเกาะพระทอง

และแหล่งน้ำหลายๆ จุด ทีเดียวที่คุณลุงชี้ให้เราดูรอยเท้ากวางที่มาดื่มน้ำที่แหล่งน้ำเหล่านี้ เราถามคุณลุงว่าเราจะได้พบมั้ย คุณลุงบอกว่า กวางจะออกมาตอนกลางคืน เมื่อเช้าตอนคุณลุงออกไปรับเราตอนตี 5 ก็เจอ .. อ่าวเฮ้ยยยยยยย เสียดายยยยย !!!

เราว่า "รถอีแต๊ก" นี่เท่ห์มาก เลยขอลุงลองขับบ้าง ลุงบอกขับไม่ยาก ไม่มีเกียร์ และ ไม่มีเบรถ !!! 5555

"ป่าเสม็ดแคระ" เป็นจุดสุดท้ายที่คุณลุงปล่อยให้เราถ่ายภาพได้ตามสบาย




บรรยากาศแบบนี้ วิวแบบนี้ คงหาชมไม่ได้ง่ายนักในเมืองไทย เราอยากท้าให้คุณ ลองถอดเนคไทน์ ถอดรองเท้าส้นสูง แล้วลองมาใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติที่เกาะพระทองสัก 1 คืน แล้วคุณจะพบว่า ราคาที่จ่ายออกไป ยังไม่เท่าเงินทอนที่เรียกว่า ประสบการณ์


ยามเมื่อกลับจากทุุ่งสะวันนาของเกาะพระทองแล้ว ... ทะเลสีครามหน้า "หาดพระทอง" ยังคงยั่วยวนให้เราพุ่งตัวลงไปเล่นอยู่ ความสดชื่นในคืนที่ฝนตกยังคงมีกลิ่นค้างอยู่บ้าง เราไม่รอให้เวลาเสียไปสักนาทีที่จะซึมซับธรรมชาติทุกๆ จุดของเกาะนี้เอาไว้ในร่างกายและความทรงจำ ก่อนที่จะต้องอำลา เกาะพระทอง เกาะที่เงียบสงบและมีธรรมชาติรายล้อมของ อ.คุระบุรี จ.พังงา


ขอบคุณ Phra-Thong Bayfront Camping & Cottage ที่ชวนมารับประสบการณ์ใหม่ๆ
ใครสนใจสามารถติดต่อได้ที่ www.facebook.com/PhraThongBayfront หรือ คุณน้อย โทร. 086-268-6888

สุดท้าย ผมรู้นะว่าเพื่อนๆ หลายคนที่อยากจะมาเที่ยวสัมผัสธรรมชาติที่เกาะพระทองแต่ก็ไม่สะดวกที่จะนอนเต๊นท์หรือแค๊มป์ เลยขอให้พี่เค้าพาชมที่พักอีกแห่ง ชื่อว่า Moken Eco Village - มอร์แกน อิโค วิลเลจ ซึ่งไม่ไกลจากพระทอง เบย์ฟร้อนท์ แค้มป์ปิ้ง


ห้องที่นี่สวยทีเดียวครับ ดูสบายตาด้วยผ้าม่านและมุ้ง (ที่นี่ไม่ใช้แอร์นะครับ เพราะ อากาศเย็นสบายอยู่แล้ว) แต่มีพัดลมติดผนังให้ พี่เค้าบอกว่าที่นี่ใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด


แค่เห็นห้องพักก็รักเลยครับ

ไหนๆ ก็มาชมโรงแรมแล้ว เลยขอรับประทานอาหารเที่ยงที่นี่เลย


ส่วนบริเวณโดยรอบนั้นโรงแรมติดหาดและสงบมากๆ มีมุมเล็กๆ หลายจุดให้คนมาพักพักผ่อนตามอัธยาศัย คนละฟิลลิ่งกับแค้มป์กันเลยทีเดียว ที่นี่ผมคิดว่า เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาพักผ่อน หรือ ครอบครัว มากกว่า

ลองดูในเว็บไซต์ของเค้า http://mokenecovillage.com ราคาช่วง Peek Season (ธ.ค.-ก.พ.) อยู่ที่ประมาณ 3000 - 3600 บาท/คืน พร้อมอาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน แต่ สำหรับใครที่จะมาในเดือนมีนาคม - เมษายน เจ้าหน้าที่โรงแรมแจ้งว่ามีราคาโปรโมชั่นเหลือเพียง 1,600 - 2,300 บาท/ห้อง (ผมจองในเดือนเมษายน 60 นี้ไว้แล้ว หนีคนช่วงสงกรานต์) ใครสนใจก็ไปสอบถามรายละเอียดที่ www.facebook.com/PhrathongIsland นะครับ ^_^ ☎️โทร. 081-895 6186, 099-126 9296


" ประสบการณ์ที่เปรียบเสมือนเงินทอนจากค่าใช้จ่าย อาจจะคุ้มค่ากว่าเงินที่เสียไปในการเดินทาง เมื่อก้าวขาออกจากเมือง ย่างสู่ธรรมชาติที่อาจจะทำให้คุณรู้จักและรักเมืองคุระบุรีมากกว่าเดิม "

ความคิดเห็น