ในดินแดนที่ไร้ความวุ่นวาย ในดินแดนที่เรามีท้องฟ้า สายฝน และฝูงเป็ดเป็นเพื่อน แต่เป็นดินแดนที่ใกล้กรุง แถมยังมีรถไฟฟรีวิ่งผ่านแบบนี้แล้ว เราใช้เวลาตัดสินใจไม่นานนักก็รีบติดต่อไปทาง NooJo Art and Farm ผ่าน Airbnb

ที่ๆใช้ความสัมพันธ์เป็นรั้วบ้าน และใช้วิถีพอเพียงในการดำเนินชีวิต

พรุ่งนี้เช้าเราก็เก็บกระเป๋ารีบไปขึ้นรถไฟฟรีให้ทัน เพื่อไปลองใช้ชีวิตแบบที่ใฝ่ฝันอยากเป็น ตามฉันมา 6 August Journey จะพาไปเลี้ยงเป็ดท่ามกลางธรรมชาติใกล้กรุง

เอาเข้าจริงนี่เป็นครั้งแรกในการมาขึ้นรถไฟที่หัวลำโพง เราอาจตื่นตะหนกเล็กน้อยไม่รู้ว่าเขาซื้อตั๋วฟรีที่ว่าบริเวณไหนกัน เราแนะนำว่าตู้ไหนที่คนน้อยๆเป็นไปได้ว่าตู้นั่นแหละเป็นตู้ขายตั๋วฟรี เพราะไม่ต้องจ่ายเงินทอนเงินให้เสียเวลา

แล้วเราก็ได้ตั๋วฟรีมาครอบครองด้วยความภูมิใจ

ตามจริงไม่ได้ยากอะไรเลย 55+ แล้วก็ไปเดินขึ้นรถไฟซึ่งมีปลายทางเป็นหัวหิน แต่เราจะลงก่อนที่ ปากท่อ

เสน่ห์ของการนั่งรถไฟ มันไม่เหมือนการนั่งรถจริงๆนั่นแหละ เพราะเราจะได้นั่งมองหน้าใครก็ไม่รู้ ตลอดทาง แต่มันก็เป็นโอกาสดีที่จะได้คุยกับคนอื่น

ที่เราชอบที่สุดคือ ก๋วยเตี๋ยวห่อละ 10 บาท

ที่จะมีขายตลอดทาง และ วิวสองหน้าต่างข้างทางทำให้เราเพลินจนลืมไปเลยว่า 3 ชั่วโมงมันเร็วไป


แล้วเราก็มาถึง สถานีปากท่อ สถานีเงียบมาก คือมันไม่ใช่สถานีใหญ่ที่มีการค้าขายพลุกพล่าน มีแค่ร้านก๋วยเตี๋ยวบ้านๆ เราก็ส่งข้อความไปแจ้งทาง NooJo Art and Farm ว่ามาถึงแล้ว

ไม่นานนักชายแปลกหน้าก็ขับรถมารับเราไป

เขาชื่อว่าพี่โจ ที่มาของชื่อ อาร์ตและฟาร์มแห่งนี้นั่นเอง 5 นาทีได้เราก็มาถึงดินแดนแห่งนี้

เมื่อรถจอดเราก็เห็นหมาหน้าตาแปลกๆ วิ่งมาต้อนรับเต็มเลย คือใจก็หวั่นกลัว แต่ได้ยินเสียงพี่หนู พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า อย่ากลัวเขาไม่ดุ เขามาต้อนรับเฉยๆ

หมาตัวแรกที่เราจำชื่อได้เพราะต้อนรับเราอย่างดีคือ ทะมะโงะ

ด้วยความที่เรามาคนเดียว เราเลยไม่มีใครเป็นเพื่อนนอกจากหมา เป็ด ไก่ 55+


บางทีเราก็ทำตัวไม่ถูก คือที่แห่งนี้มันเป็นธรรมชาติ เงียบสงบ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปิดโลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คแล้วมานั่งดูธรรมชาติที่อยู่ตรงหน้า

ที่นอนของเราคืนนี้เป็นบ้านนก ที่เหมือนบ้านต้นไม้

ระหว่างทางก็มีทะมะโงะ เดินมาส่ง เดินมาเฝ้า ที่นอนเป็นลักษณะเสื่อผืนหมอนใบ แต่ใต้เสื่อนิ่มนะ

เก็บข้าวของเรียบร้อย เราก็เดินลงไปสำรวจพื้นที่ดูกันหน่อย ลมโชยมาไม่ขาดสาย พร้อมกับธรรมชาติริมน้ำ ที่สำคัญมีเปลผูกไว้ด้วย น่าไปนั่งยิ่งนัก

เผลอนอนที่เปลไป ลมโชยเบาๆ มีเคลิ้มเหมือนกัน

สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากการงีบเพราะเสียงเป็ดนั่นเอง คือร้องพร้อมกันตามๆกัน แล้วก็เดินตามกันเป็นฝูงๆ ตลกดี

สักพักก็ได้ยินเสียงสับหมู เลยเดินตามเสียงไปก็พบว่าเป็นพี่หนู ที่กำลังสับพืชอย่างจริงจัง ใช้สองไม้สองมือในการสับ พร้อมบริวารสุนัขที่เล่นกันข้างๆ

สิ่งที่พี่หนูสับคืออาหารเป็ด

เหมือนมีหลายผักมารวมๆกัน เป็นอาหารทำให้รู้เลยว่าเป็ดไก่ที่นี่สุขภาพดีมากเพราะอาหารพวกมันยังเป็นธรรมชาติ 100 % ไก่เป็ดจึงออกไข่กันทุกวันเลย

เอาเข้าจริงเราก็อยากหาอะไรทำนะ ช่วยพี่ๆเขาแต่ความจริงแล้วเราทำอะไรไม่เป็นเลย ได้แต่เดินไปเดินมา จะรอเก็บไข่เป็ดก็ไม่ใช่เวลาต้องรอเวลาสาย

พี่โจเลยแนะนำให้ลองพายเรือดูสิ

ว่ายน้ำเป็นไหม ? ถ้าไม่มั่นใจก็มีเสื้อชูชีพนะ … พายเรือเป็นไหมก็ไม่มั่นใจคิดว่าคงไม่ยาก ว่ายน้ำเป็นไหมก็บอกเลยว่าไม่ได้ว่ายนานแล้ว เอ้ออออชีวิต 55+

เวลาพายเรือ มันจะมีเป็ดอยู่สองพวกพวกนึงมันก็ว่ายไปกับเรานี่แหละ อีกพวกก็ตามใจฉัน แต่ร้องกันเก่งมาก แทบไม่ได้เงียบเหงา แต่มันเป็นเสียงธรรมชาติเนอะ

เห็นศาลาดินที่ยื่นมาริมน้ำไหม ?

ทำให้เราอยากลองไปนั่งเล่นดูเลย จังหวะนี้เราก็เดินไปทำความรู้จักกับน้องหมาเพิ่ม จำได้เพิ่มคือคุมะมง กับมูจิ ชื่อญี่ปุ่นกันหมดเลย ทำให้เราสงสัย


เมื่อสงสัยก็เกิดคำถามว่าทำไมหมา 5 ตัวนี้จึงมีชื่อเป็นญี่ปุ่นหมดเลย จึงได้ความว่าเนื่องจากพี่หนู เคยไปใช้ชีวิตในลักษณะ Wwoof ที่ญี่ปุ่นมาก่อนนั่นเอง

เราเคยรู้จัก Work and travel แต่นี่เป็นอีกแบบน่าสนใจไม่แพ้กัน

ในระหว่างนั้นพี่ๆก็ทำงานกันนั่นแหละ งานบ้านงานฝีมือ เราก็ง่วงเต็มทนเพราะอาทิตย์ที่ผ่านมากลับดึกอยู่ออฟฟิศแทบทุกวัน สุดจะทนกับชีวิตเมืองจริงจัง 55+ เราก็เหลือบไปเห็นซุ้มกาแฟน่ารักๆ


ใครเป็นคอกาแฟมาที่นี่น่าจะชอบ เพราะมีกาแฟสดให้ได้ลิ้มลอง ถึงเวลานอนกลางวันของเราอย่างจริงจัง เลยเข้าไปนั่งในบ้านดิน (ศาลาที่ยื่นมาในน้ำ)

ในนี้เรารู้สึกถึงกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่น เบาะนั่ง พื้น โต๊ะ

รวมทั้งของเล่นไม้ ที่ให้เราได้นั่งเพลินเล่นกันไป ระหว่างนั้นเราก็เอารีวิวอื่นขึ้นมาปั่นท่ามกลางธรรมชาติ


เป็นการเขียนรีวิวที่สงบ สบาย สมองปลอดโปร่งมาก สักพักเราก็เห็นพี่หนูเริ่มเข้าครัว เลยอยากไปดูการทำครัว ปกติเรามีหน้าที่กินอย่างเดียว เพราะมีแม่ทำให้ แต่มาที่นี่ก็อยากลองช่วยหยิบจับ

ที่นี่ยังทำอาหารด้วยฟืนกันอยู่

ฟืนนะไม่ใช่ถ่าน ถ้าให้เราก่อฟืนไม่รู้จะได้กินเมื่อไร เลยสงสัยว่าพี่หนูทำได้ยังไง แถมเชี่ยวชาญถึงขั้นควบคุมไฟได้ด้วยสุดยอดไปเลย

เมนูวันนี้เป็นอะไรที่เราลุ้นมาก เอาเข้าจริงเราโหยหาการกินผักสด น้ำพริก และไข่เจียว จากยอดดอยที่เคยไปเมื่อเดือนก่อน พอกลับกรุงเทพก็หาผักสดไม่ได้เลย แต่เมนูในค่ำคืนนี้ทำให้ใจชื้นมาก

ต้มจับฉ่าย น้ำพริกปลาร้า ผักสด และ ไข่เป็ดเจียว

เราช่วยได้แค่เดินไปเก็บพริกจากต้น และ ตีไข่ ส่วนที่เหลือพี่หนูเป็นคนจัดการ


ความสุขของการใช้ชีวิตแบบนี้มันแสดงออกมาได้อย่างชัดเจน จากสีหน้าและแววตาของพี่ๆทั้งสอง ด้วยความที่พี่ๆเปิดบ้านเป็นโฮสต์ต้อนรับผู้คนผ่าน Airbnb ด้วย ทำให้พบเจอคนมากมายที่น่าทึ่ง

หนึ่งในนั้นมีเชฟระดับโรงแรมมาทำอาหารประจำชาติให้กิน

การที่จะได้ลิ้มลองฝีมือระดับนี้ต้องเสียเงินกี่พันกัน แต่พี่หนูกับพี่โจ ได้ลิ้มลองกันแทบทุกวันเมื่อเปิดบ้านตอนรับ คุยไปคุยมาก็มืด

ค่ำคืนนี้ได้ลิ้มลองฝีมือที่พิถีพิถันจากพี่หนู เป็นอะไรที่ดีมาก อยู่แบบนี้ทุกวันสุขภาพเราต้องดีแน่ๆ บทสนทนาในค่ำคืนนี้ก็ได้รู้เรื่องราวที่แสนพิเศษของพี่ทั้งสองคน จนมีคำนึงสะกิดใจ

เราใช้ความสัมพันธ์ของเพื่อนบ้านเป็นรั้วบ้าน

จะไปมีประโยชน์อะไร ถ้าเรามีรั้ว แต่จิตใจของคนรอบเราคิดร้าย … สิ่งนี้เองทำให้เราเข้าใจความเป็นชุมชนเมือง กับ ชนบทอย่างชัดเจน

ตอนขามาก่อนเข้า NooJo Art and Farm พี่โจก็เปิดกระจกคุยกันกับคนข้างๆบ้านที่ ถามสารทุกข์สุขดิบ ซึ่งเป็นอะไรที่เราไม่เคยเห็นในสังคมเมือง ยิ่งคนเมืองห้องอยู่ข้างกันแท้ๆ แต่ไม่รู้จักชื่อ

เมืองใหญ่ แต่ทำไมจิตใจมันว่างเปล่า เงยหน้ามาคุยกันไหม ?

บรรยากาศในค่ำคืนนี้ของการมาใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติแบบนี้ เราตกหลุมรักที่นี่อย่างจัง


เราตื่นขึ้นมาท่ามกลางวันฝนพรำ ตามจริงเราอยากตื่นมาดูพระอาทิตย์ แต่ฝนดันตก และ อากาศก็หนาวชวนให้เราไม่อยากลุกออกจากที่นอนเท่าไรหนัก

แต่วิวที่หน้าต่างห้องเรามันทำให้เราแอบร้องไห้

แต่ก็ชื่นชมยินดีที่ท่านได้พักผ่อนแล้ว ฝนพรำเล็กน้อยเลยเดินลงมาข้างล่างเผื่อจะช่วยพี่ๆทั้งสองทำอาหารเช้า

เราเดินมาถึงครัวก็พบพี่หนู กำลังนวดแป้งอยู่ พร้อมกับน้องหมาอีกตัวที่โดนล่ามไว้ พี่หนูบอกว่าถ้าขืนปล่อยหมดจะพากันซนหนัก เลยต้องมีอีกตัวกันความซน แล้วเราก็สงสัย ทำไมเราต้องทำขนมปังกินเอง ?

พี่หนูบอกว่าอยู่ไกลห้างร้าน จะหาขนมปังดีๆกินมันยาก ก็ทำเองดีกว่า

แอบอึ้งเพราะการทำแป้งพวกนี้ต้องใช้เวลานานแต่เช้า ที่สำคัญทำออกมาอร่อยด้วย


ฟากฝั่งพี่โจก็เดินเก็บผักอยู่ในแปลง เมนูเช้าวันนี้เป็น สลัดผักโขม ที่เราไม่เคยเห็นว่าหน้าตาเป็นยังไงแบบจริงจัง เพราะป๊อบอายกินเป็นกระป๋องสำเร็จรูปไปแล้ว

เอาวะ อย่างน้อยก็รู้จักผักโขมขึ้นมาอีกหนึ่ง 55+

อยากลองเข้าไปช่วยพี่เขาตัดนะ แต่ดูเหมือนจะเข้าไปเพิ่มงานมากกว่า เพราะเห็นพี่โจเล็งยอดงามๆ

อาหารเช้ามื้อนี้อร่อย และ อิ่มท้องมากทั้งที่จริงๆแล้วคิดว่าไม่น่าจะอิ่ม แต่พี่โจและพี่หนูบอกเลยว่า ไม่เคยมีใครที่ไม่อิ่มจากอาหารเช้าที่นี่

ซีซ่าร์สลัดผักโขม ไข่ดาว ขนมปังโดยพี่หนู และ นมสด 1 แก้ว

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ อิ่มมาก !!

เรานั่งทานข้าวท่ามกลางบรรยากาศฝนปรอยๆ เหล่าหมาก็วิ่งไปนอนหลบฝนกันในโกดังของฟาร์มแห่งนี้ บรรยากาศพาให้ไม่อยากตื่น รวมทั้งกิจกรรมที่เราอยากทำก็ต้องงดเว้นไป



กิจกรรมเก็บไข่เป็ดในช่วงสาย นั่นเอง


ขนาดเป็ดเองยังไม่ถูกปล่อยออกมาเลย เพราะฝนตก เราก็แอบเข้าไปส่อง เราเห็นไข่มันเต็มเลย

สุดท้ายแล้วฝนก็จะพรำแบบนี้ทั้งวัน แล้วรอบรถไฟกลับก็จะมีอีกทีคือช่วงบ่าย 3 เราคงไม่รอ พี่หนูเลยแนะนำว่าใกล้ๆมีรถตู้ ซึ่งก็ใกล้จริง 5 นาทีถึง พี่หนูเลยขับรถไปส่งที่นั่น


คุณรู้ไหม ที่แห่งนี้สอนเราให้รู้จักความหมายและคุณค่าของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้เป็นอย่างดี


สิ่งหนึ่งที่ก้องในใจ ตอนบทสนทนาสุดท้ายก่อนที่จะจากพี่หนูทำให้เราเข้าใจชัดเจนว่า เราควรซึมซับความงามคุณค่าของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มากกว่าการถ่ายรูปแล้วโพสต์ลงโซเชียลมีเดียเพื่อให้รู้ว่ามาถึงแล้ว

6 August Journey

 วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 17.46 น.

ความคิดเห็น