ค้นหาใน google เพื่อหาสถานทีท่องเที่ยวผจญภัยในช่วงหน้าฝน มีตัวเลือกมากมายให้เลือก แต่มีอยู่ที่หนึ่ง


ที่เตะตาเข้าอย่างจังเพราะคำมันแปลกๆ สถานที่นั้นคือ "ที ล อ ซู" ใช้เวลาศึกษาอยู่ประมาณสองชั่วโมงก็พบอีกว่า

ทีลอซูที่ทุกคนรู้จักไม่ได้เป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในประเทศไทย ทีลอซูเป็นเพียงน้ำตกที่ใหญ่และสวยที่สุดในไทยต่างหาก

แต่น้ำตกที่สูงที่สุดในประเทศไทยจริงๆ ละก็ อยู่กลางป่าลึกนามว่า "ป ริ โ ต๊ ะ ล อ ซู"

ถ้าพร้อมแล้ว เดินทางไปด้วยกันเลยดีกว่าครับ ฮิ้วววววว!!!!



https://www.facebook.com/PalapiliiThailand



ก่อนจะเข้าสู่เนื้อเรื่อง แวะมาดู T-ser กันก่อนดีกว่า จะได้อ่านอย่างมีรสชาติมากขึ้น เนอะๆๆ ๕๕



ไปแบบเร็วๆ เลยแล้วกัน คืองี้ครับ ผมตัวคนเดียว คงไม่มีเงินไปแน่ๆ เพราะตอนนั้น ยังอยู่ ปี 3 อยู่เลย ๕๕
ผมประกาศในเพจผมนี่แหละ ตอนนั้นมีคนกด like อยู่ราวๆ 1,000 กว่าคน ตั้ง status ไปว่าอยากไปที่นี่ มีใครอยากไปด้วยบ้าง
หลังจากนั้นก็มีคนที่สนใจจะไปด้วยเหมือนกัน สุดท้าย คนครบตามที่ตั้งเป้าไว้ เมื่อทุกอย่างพร้อม ก็ไปกันเลย!!!

ต้องบอกก่อนเลยว่า เพื่อนที่ไปเที่ยวด้วยกันก็เพราะประกาศจากเพจ เพราะฉนั้น เราไม่รู้จักกันครับ ๕๕๕


ตลกมาก ต้องมาทำความรู้จักกันระหว่างทริป และปัญหาคือ ตอนนัดกันนี่แหละครับ เพราะแต่ละคน

ไม่เคยเห็นหน้ากันจริงๆ มากก่อน เคยเห็นแค่รูป profile ผ่านในเฟสบุ๊ค ๕๕๕ แต่สุดท้าย ทุกคนก็รวมตัวกันได้

เราใช้เวลาจาก กทม - แม่สอด ประมาณ 7 - 9 ชั่วโมงครับ ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดเราไปรอบสามทุ่มนี่แหละ

วางแผนให้ไปถึงเช้ามืดที่นู้น ๕๕๕



ตารางรถ และราคาครับ


หลังจากที่ถึงแม่สอด เราได้ติดต่อกับพี่รถสองแถวไว้ครับ ซึ่งตอนนั้นพี่บิ๊ก (เพื่อนร่วมทริป) เป็นคนติดต่อไว้


เป็นราคาเหมาครับ ลักษณะก็จะเหมือนรถสองแถวบ้านเรา ทุกคนก็โยนเป้ขึ้นไปไว้บนหลังคารถ

และก็นั่งยาวกันไปเรื่อยๆ เป้าหมายของเราก็คือ " อุ้ ม ผ า ง "



:: สรุปค่าใช้จ่ายในช่วงแรก ::

ค่ารถทัวร์ ไป - กลับ กทม. แม่สอด : 1,226 บาท
ค่ารถสองแถว 1,500 : ตกคนละ 150 บาท

:: รวม 1,376 บาท ::

เดินทางมาถึงช่วงหนึ่งจะเจอบ้านหลังเล็กๆ เต็มหุบเขาข้างซ้ายมือครับ ไม่มั่นใจว่าทำมาจากอะไร


ที่นี่คือหมู่บ้านกะเหรี่ยงศูนย์ช่วยเหลือผู้อพยพครับ ชุมชนที่นี่ถือว่าเป็นบุคคลที่สามครับ

ไม่มีผืนดิน ไม่มีสัญชาติ ไม่มีศาสนา แต่ก็อยู่ที่นี่กับคนไทยมานานเหมือนกัน เท่าที่คุยกับพี่คนขับรถ

พวกเราหยุดรถ และพักตูดครับ ๕๕ เพราะนั่งมานานพอสมควร บรรยากาศตอนนั้นทั้งสองข้างทาง

ก็จะเป็นประมาณนี้ครับ ตอนนั้นอากาศเย็นดี ไม่ร้อนมาก สบายที่สุดเลยอะ ๕๕ อยากไปอีกจุงเบยยย > <



หลังจากที่พักชมวิวข้างทาง และทานอาหารเช้ากันบริเวณใกล้ๆ พวกเราก็ต้องลุยกันต่อแล้วหล่ะ


ระหว่างทางบางช่วงก็จะมีร้านค้าของชาวกระเหรี่ยงมาขายของข้างทางครับ

และที่สำคัญ เค้าว่ากันว่า 1,219 โค้งนี้ ในรถคันหนึ่ง อย่างน้อยจะต้องมีคนอ๊วกครับ ๕๕

ระหว่างที่เดินทาง เราชมวิวกันไปเรื่อยๆ วิวสวยมาก เสียดายไม่ได้ถ่ายไว้ เพราะมันมึนๆ ครับ

เวลา 5 - 6 ชั่วโมงผ่านไป มึนทั้งโค้ง มึนทั้งควันรถ และสุดท้าย ก่อนจบการเดินทาง อ๊วกไป 2 ครับ ๕๕๕๕

หลังจากถึงอุ้มผาง เราก็ไปพักที่บ้านของพี่ที่เราติดต่อทัวร์เข้าไปในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าทีลอซุครับ


เราเก็บของและเตรียมตัวเปียก ระหว่างที่รอให้พี่ๆ ทีมงานเอาเรือยางขึ้นบนหลังคารถ พี่เค้าก็จะแจกข้าวมาให้เรารองท้อง

เวลาประมาณเที่ยงกว่าๆ ของวันนั้น เราก็ออกเดินทางไปยังจุดปล่อยเรือยาง ระยะทางไม่ไกลจากตัวอุ้มผางมาก

ใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาทีครับ

ระหว่างนี้ก็จะเป็นการนั่งเรือยางเข้าไปยังน้ำตกทีลอซูครับ จะใช้เวลาราวๆ 3 ชั่วโมง


จะลงแต่ภาพบรรยากาศไปเรื่อยๆ เลยแล้วกันนะครับ : )



ผ่านไปช่วงแรกประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อนๆ ก็จะได้เห็น "ที ล อ เ ร" ครับ ซึ่งน้ำตกแห่งนี้


จะเป็นน้ำตกที่อยู่บริเวณริมแม่น้ำที่เราล่องเลยหล่ะ จะมีมอส และเฟิร์นเกาะตามหินเต็มเลย

รู้ป่าวว่า ที่นี่อะ นักท่องเที่ยวเค้ามักเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "น้ำตกสายรุ้ง" แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ

เพื่อนๆ จะต้องมาให้ถึงช่วงเวลาประมาณ 10.00 - 11.00 น. นะ ถึงจะเห็นสายรุ้ง ถ้ามาช้ากว่านี้ ดวงอาทิตย์จะเลื่อนทิศทาง

ทำให้ไม่เกิดการหักเหระหว่างแสงกับละอองน้ำ และจะทำให้เพื่อนๆ อดเห็นสายรุ้งเหมือนพวกเราครับ ๕๕

แต่ไม่ต้องห่วง ผมพอจะมีรูปตัวอย่างมาให้ได้ดูบ้าง : )



ผมเบื่อๆ ก็เลยกระโดดลงไปเล่นน้ำคนเดียวครับในช่วงนั้น ด้วยความที่เคยล่องแก่งมาก่อน


ก็เลยพอรู้วิธีการลอยน้ำในบริเวณน้ำไหลเชี่ยวอยู่บ้าง เลยไม่กลัวอะไรมาก

ผ่านไปประมาณ 30 นาที เราก็จะเจอสถานที่อีกที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวมักจะแวะกันครับ

ที่นี่ก็คือ "บ่อน้ำผุด หรือบ่อน้ำร้อน" นั้นเอง



บริเวณนี่จะเป็นบ่อน้ำผุดเล็กๆ ครับ น้ำจะใสมากๆ แต่ไม่เขียวมรกตเหมือนบ่อน้ำผุดที่กระบี่นะ


น้ำจะอุ่นๆ หน่อย อุณหภูมิราวๆ 50 องศาครับ เราแวะที่นี่แป๊บเดียว แล้วก็เดินทางต่อ



หลังจากจบที่บ่อน้ำร้อน ขึ้นเรือไปซักพัก ผมก็ชวนเพื่อนๆ ให้ลงมาเล่นน้ำด้วยกัน


ก็ไม่คิดว่าทุกคนจะกล้า ๕๕๕๕ เอาเป็นว่าจังหวะนั้น มันส์มากๆ ๕๕๕๕



พอหลังจากนั้นอีก 1 ชั่วโมง เราก็จะไปถึงจุดสุดท้ายของเส้นทางเรือแล้วหล่ะครับ ต่อไปก็จะต้อง

นั่งรถสองแถวของทัวร์ที่ติดต่อไว้ ขึ้นไปเขตอนุรักษ์ฯ อีก 9 กิโล พี่ๆ เค้าบอกว่า

ทางนี้สมัยก่นอ เฟรี้ยมากๆ ครับ แต่ตอนนี้ดีขึ้นมาก และเชื่อว่า เพื่อนๆ ที่อ่านกระทู้นี้อยู่

ถ้ามีโอกาสไป ก็คงจะไม่ต้องนั่งไข่แตกเหมือนพวกผม และไม่ต้องดมฝุ่นอันแสนทรหดอีกด้วย > <




จบพาร์ทนี้ เรามีเนื้อเรื่องเป็นวีดีโอ part แรกมาให้ชมครับ
ถ่ายกันตั้งแต่รวมตัว จนกระทั่วออกเดินทางมาถึงนี่เลย ยังไงลองชมดูครับ ตัดต่อเอง : )


เมื่อรถมาถึงที่หมาย ทุกคนแบกของลงจากรถ สวัสดีพี่ๆ ของกรม และช่วยกันกางเต้นท์อย่างรวดเร็วก่อนที่ตะวันจะลับฟ้า


ในช่วงนั้นทุกคนเริ่มสนิทกันมากแล้วหล่ะ เพราะว่ามีโอกาสได้คุยกันมากกว่าเดิมตอนที่เล่นน้ำ ๕๕

เราแบ่งหน้าที่กันครับ กลุ่มหนึ่งกลางเต้นท์ กลุ่มหนึ่งหาฟืน กลุ่มหนึ่งเตรียมทำอาหาร

ทุกคนดูตื่นเต้นและรับผิดชอบหน้าที่กันมาก ของกินและข้าวสารเราเตรียมมาจากที่บ้านครับ

อุปกรณ์การกินก็แบ่งๆ กันมาตามที่ตกลงกันไว้ก่อนมา ส่วนน้ำที่ใช้ปรุงอาหารและหุงข้าว

ก็กรองเอาจากแม่น้ำบริเวณข้างเต้นท์เลยครับ ทริปนี้ เริ่มต้นก็สนุกแล้ว ๕๕๕



ระหว่างที่รอให้กลุ่มที่ทำกับข้าว ทำกับข้าวกันไป พวกเราก็ทยอยกันไปอาบน้ำครับ
จะเป็นที่ไหนไม่ได้ ก็แม่น้ำข้างๆ ที่กางเต๊นท์ที่เดิมนั้นแหละครับ ๕๕๕

เวลาผ่านไป อากาศหนาวลง ฟ้าเริ่มมืด แต่ข้าวสุกพร้อมกินแบ้วววววววววว เย่เย่เย่ ๕๕


เชื่อว่าเป็นคุณคุณก็หิวครับ ปกติเหนื่อยๆ แบบนี้ไปร้านอาหาร สั่งปึ๊บ อีก 5 นาทีก็ได้แล้ว

นี่ต้องมานั่งก่อไฟก่อน ๕๕๕ แล้วค่อยทำทีละอย่าง โอ้วแม่เจ้าาา แต่จะบอกให้นะ classic สุดๆ ๕๕



และนี่เป็นหน้าตาของข้าวที่หุง และอาหารแห้งๆ ที่เตรียมมาครับ ๕๕ ง่ายๆ ครับ ไม่ยุ่งยาก



จำได้ว่าตอนนั้น ผ่านไปไม่ถึง 7 นาทีครับ ซักพักเป็นเหมือนภาพข้างล่าง ๕๕๕



:: ค่าใช้จ่ายช่วงที่สอง ::

ค่าใช้จ่ายช่วงแรก (คห.3) 1,376 บาท
ค่าเรือยางลำละ 2,000 บาท : ตกคนละ 400 บาท
ค่ารถสองแถวไปกลับ ทีลอซู 2000 บาท : ตกคนละ 200 บาท

:: รวมค่าใช้จ่ายช่วงที่สอง คนละ 1,976 บาท ::

หมดไปแล้ว 2 คืน กับ 1 วัน ไม่เห็นมีคนปูเสื่อรอเลย งอนแล้วน๊าาาาาาาาา > <

สวัสดีเช้าวันที่สองครับ เช้านี้อากาศดีมากๆ เมื่อคืนนอนหลับสนิทสุดๆ อาจเป็นเพราะเหนื่อย ๕๕


วันนี้เราจะไปทีลอซูกันครับ ดูเหมือนบ้าๆ แต่เอาเป็นว่าทั้งวันเราจะเดินชมป่า ชมผีเสื้อ ในเขตนี้กัน



เราดำเนินชีวิตเหมือนเมื่อวานอย่างปกติ ล้างหน้าแปลงฟันโดยใช้น้ำจากแหล่งเดิม เตรียมตัวทำอาหาร


แต่ที่แปลกไปคือ พี่ที่ไปด้วย โดนยุงกัดโหดมากกกกกก ๕๕๕ ใครไปอย่าลืมเอายากันยุงไปด้วยนะ



เอาหล่ะสำหรับวันนี้ทั้งวัน เราจะใช้ชีวิตอยุ่ในเขตอนุรักษ์พันธุ์ฯ แห่งนี้ มาดูกันว่า


สถานที่แห่งนี้ จะมีอะไรน่าสนใจให้เราได้สัมผัสบ้าง : )



พรุ่งนี้จะมาต่อนะ ง่วงนอนแล้ว T T

เอาหละครับ มาต่อกันเลยดีกว่า วันนี้เป็นวันที่สองของทริป ตามแผนที่คุยกันไว้
เราจะเดินชมบริเวณรอบๆ เขตฯ จะใช้เวลาซึบซับบรรยากาศธรรมชาติให้ได้มากที่สุด
และรวมไปถึงไปชมน้ำตกที่สวยและใหญ่ที่สุดนามว่า "ทีลอซู"
บรรยากาศระหว่างทาง ต้องบอกเลยว่า คุ้มค่ามากๆ ถึงมากที่สุดครับ ปล่อยภาพให้ดูกันยาวๆ เลย : )

เดินไปประมาณ 1 - 2 กิโล เราก็จะเจอกับน้ำตกทีลอซูแล้วครับ ช่วงนี้ก็ชมวิว ถ่ายรูปเล่นกันไป
ด้วยความซ่าในตอนนั้น ก็กระโดดน้ำเล่นกันด้วย ๕๕ พอโดดเสร็จ เจ้าหน้าที่มาด่าใหญ่เลย
บอกว่าบริเวณนั้นห้ามโดด แล้วใครจะไปรู้ล้าวววววว โดดไปแล้วถึงเพิ่งมาดูแลนักท่องเที่ยว
ไม่รู้ว่าผมผิด หรือพี่ผิดนะ แต่เอาเป็นว่า เปียกแล้ว ๕๕๕

จุดนี้แหละ พีคที่สุดแล้ว สูงราวๆ 7 - 8 เมตร กะเอาจากช่วงตัวของผมนะ ผมสูง 170 เซน ถ้าวัดจากความสูงของน้ำตกแล้ว


จะสูงกว่าความสูงของผมประมาณ 4 - 5 เท่าเลยอะ ตอนจะโดดนี่ทำใจนานมาก ตะคริวก็ขึ้น ๕๕

แต่คือผมเป็นตะคริวบ่อย มีวิธีดัดเอง ก็ดัดกันตรงนั้น ไม่รุ้หรอกนะว่าข้างล่างจะมีอะไร

ถ้าโดนหินก็คิดแค่ว่า ช่างมัน กุตัดสินใจโดดเองนี่หว่า ไม่มีใครผิดหรอก เพราะฉนั้น โดดดดดดดด!!! > <



จะได้อารมณ์มากกว่านี้ เพราะตอนนั้นตัดต่อคลิปไว้ด้วย แนะนำๆ ดูด้วยน๊าาาาา


link : https://www.facebook.com/photo.php?v=423427421073116&set=vb.339207546173031&type=3&theater



หลังจากเล่นน้ำก็เหนื่อยมากๆ ครับ บอกเลย ทั้งกระโดด ทั้งว่าย ทั้งดำ เอาเป็นว่า บริเวณนั้นที่พวกผมกระโดด
เป็นไปได้ไม่ว่าจะว่ายน้ำแข็งหรือไม่แข็ง ถ้าใจไม่กล้าหรือไม่มั่นใจในตัวเองมากๆ อย่าลองเลยนะ
เพราะข่วงที่กระโดดลงไป น้ำที่ตกมาจากข้างบน จะกดหัวเราให้จมลงไปลึกกว่ากระโดดน้ำลงบ่อปกติ
ช่วงที่เราพยายามจะว่ายขึ้นมา เลยจะยากกว่าลำน้ำธรรมดาครับ ถ้าไม่มั่นใจในร่างกายของตัวเองในตอนนั้น
อย่าเด็ดขาด หรือถ้าอยากลองจริงๆ ก็ควรมีชูชีพนะครับ

ช่วงเย็นเราก็ใช้ชีวิตปกติครับ ทำกับข้าว อาบน้ำ แล้วก็กินข้าวเสร็จ ก็เตรียมตัวหลับนอนกัน


แต่ด้วยความเป็นวัยรุ่น ก็อยากจะหา L มาดื่มชิวๆ นั่งคุยกันก่อน ระหว่างนั้น รู้สึกว่าเต็นท์ข้างๆ

จะมีอะไรที่เราต้องการ แล้วดูเหมือนว่าจะสนุกมาก เราส่งตัวแทนไปขอซื้อเบียร์ครับ น้าเค้าก็ให้ฟรีกลับมา

พร้อมกับคำเชิญว่า "มาๆๆ มานั่งกินด้วยกัน" อ้าววววววววววว เข้าทาง ๕๕๕๕



ว่าแต่ ถ้าไปที่นี่อย่าลืมกินเหล้ากระเหรี่ยงนะครับ เค้าต้มกันเอง รสชาติบาดใจมาก คล้ายๆ สาโทแถวอีสาน

แต่อร่อยฝุดๆ กินแล้วก็อยากกินอีก กรอกใส่จอกไม้ไผ่อย่างที่เห็นในภาพ เหล้ากระเหรี่ยงว่าหอมแล้ว

ปนความละมุนกับกลิ่นของยางไผ่เข้าไปอีก แหม...... ได้บรรยากาศจริงๆ สุดท้าย เราก็เลยขอถ่ายรูปเป็นที่รกะทึกครับ



เชื่อมั้ยว่า ตอนนี้ ผมกับพี่ๆ เต็นท์ข้างๆ ยังติดต่อกันอยู่เลย ถ้ามีโอกาสคงได้ไปเที่ยวกับพี่แกแน่ๆ ๕๕


นี่แหละครับข้อดีของการท่องเที่ยว ระหว่างทาง เรามักจะได้เพื่อนใหม่เข้ามาในชีวิตเสมอ : )

สำหรับคืนที่สองของทริป ก็คงต้องกล่าวฝันดีกับเพื่อนๆ ทุกคนครับ พรุ่งนี้เช้าเราต้องตื่นเช้า

และรีบออกเดินทางไปสถานีต่อไปกันต่อ ต้องปีนเขาที่เรียกว่าดอยมะม่วงสามหมื่น

เพื่อไปดูน้ำตกที่สูงที่สุดของประเทศไทย "ปริโต๊ะลอซู" และไปพิชิตยอดดอยสามหมื่นครับ ราตรีสวัสดิ์



สวัสดีเช้าวันที่สามของทริปครับ : )



วันนี้พวกเราตื่นเช้า รีบเก็บข้าวของ เตรียมตัวเดินทางออกจากทีลอซู ไปพิชิตจุดหมายอีกที่หนึ่ง



พวกเรากล่าวลาพี่ๆ เขตอนุรักษาพันธุ์ฯ และก็กล่าวลาสถานที่แห่งนี้ คงไม่ลืมกันง่ายๆ แน่


มาอยู่ด้วยกันตั้ง 2 วัน 2 คืนขนาดนี้ รักมากๆ สัญญาว่าจะกลับมาอีกครั้ง T T

ทุกคนจัดแจงสัมภาระ เก็บของขึ้นกระบะหลังและหลังคารถ เป็นสัญญาณว่า พร้อมเดินทางกันต่อแล้วว...



เอาหล่ะ เนื้อหามาถึง part 2 ของวีดีโอพอดีเลย ไปชมกันต่อเลยครับ จะได้ชัดเจนขึ้น : )



เอาหละ หลังจากที่เราใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง นั่งรถออกมาจากทีลอซู คราวนี้เราก็กลับมาอยู่ที่โอมสเตย์ของพี่คนเดิม
คนที่เราติดต่อรถเข้าไปข้างใน คราวนี้เราจะต้องติดต่อรถสองแถว ไปยังหมู่บ้านกุยเลอตอครับ
ซึ่งหมู่บ้านนี จะมีชาวกระเหรี่ยงที่รับจ้างเป็นลูกหาบให้เราครับ เราวางแผนกันมาว่าจะใช้ลูกหาบสามคน
ซึ่งอัตราลูกหาบจะตกอยู่คนละ 250 บาท/วันครับ ถ้าคุยดีๆ อาจได้ราคาถูกกว่าผม
แต่อย่างว่า มันคือสินน้ำใจครับ เค้านำทางให้เราด้วย และก็ช่วยเราแบกของด้วย

การเดินทางจากอุ้มผางไปกุยเลอตอ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครับ ระหว่างทางที่ไปจะมีหลายรูปแบบมาก


ทั้งถนนลูกรัง ถนนหัก ถนนแตก แล้วคือบางช่วงเห็นเหว เอ้ย น่ากลัวมากๆ

หนักหน่อยก็พื้นไม่เรียบแล้วฝุ่นคลุ้ง ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่ทรมานที่สุดของทริปครับ

ถ้ามาตอนหน้าฝน ถนนก็จะแฉะ จะเปียก สุดๆ ไปเลย



ระหว่างที่เดินทาง เรามาคำนวณค่าใช้จ่ายเบื้องต้นกันต่อดีกว่า : )



:: สรุปค่าใช้จ่ายรอบที่สาม ::



ค่าใช้จ่ายรอบที่สอง (จาก คห. 13) คนละ 1,976 บาท

ค่ารถไปกลับกุยเลอตอ อุ้มผาง คนละ 300 บาท

ค่าลูกหาบสามวันสองคืน หารกันตกคนละ 225 บาท

ค่าอาหารเฉลี่ยตั้งแต่วันแรก ตกคนละ 300 บาท



:: รวมค่าใช้จ่ายรอบที่สาม 2,801 บาท ::

ผ่านมากว่าสามชั่วโมง เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันครับ แต่เมื่อมงอไปทางขวาของถนน


เราก็จะเห็นหุบเขาที่เราจะต้องไปพิชิตกันแล้วหล่ะ นามว่า "ดอยมะม่วงสามหมื่อน"

ตื่นเต้นมากๆ ตอนนั้นใครที่หลับก็ตื่น และก็มาดูจุดหมายที่เราจะปีนขึ้นไปกัน



คุณลุงคนขับรถ พาเราขับเข้าไปในหมู่บ้านและก็ไปตามหาหนุ่มๆ ชาวกระเหรี่ยงที่นั้นเลย


ก็ถามๆ ตามบ้านครับ ใครว่างก็ออกมารับงาน

ตกลงกันว่าไปกี่วัน ราคาเท่าไหร่ ต้องไปไหนบ้าง พอทั้งสองฝ่ายโอเค ก็เอาเป็นว่า ไปกัน!!!



credit : น้ำ ฟ้า ป่า เขา



จากแผนที่ที่เห็น ผมใช้ข้อมูลของ blog ที่ชื่อ น้ำ ฟ้า ป่า เขา มาครับ แล้วพวกเราก็เดินทางตามแผนนี้เลย



เราจะเดิน 3 วัน 2 คืนครับ



วันแรกจะต้องเดินราวๆ 6 กิโลเมตร ไปตั้งแคมป์ที่ปลายน้ำตกใช้เวลาเดินเท้าราว 4ชั่วโมง

เช้า วันที่สองพิชิตน้ำตกรูปหัวใจ อันเป็นจุดหมายของทริปนี้ สายๆจะย้ายแคมป์ขยับสูงขึ้นสู่แคมป์2

ระดับความสูงเหนือน้ำตก บนสันเขาฟากตรงข้ามน้ำตกทางขึ้นสู่ดอยมะม่วงสามหมื่น

และใช้เวลาช่วงบ่ายๆเย็นๆไต่ขึ้นชมวิวเหนือแคมป์2

เช้าวันที่สามดื่มด่ำกับความงามยามเช้าเหนือสันดอยบนแคมป์สอง

จากนั้นเก็บสัมภาระทั้งหมดเดินทางลงโดยใช้เส้นทางอีกเส้นหนึ่งระยะทาง 6.4 กิโลเมตร



พอจะเข้าใจแผนการเดินทางพอสังเขปนะครับ : ) ถ้าพร้อมแล้ว ก็ไปกันเลย!!!

ระหว่างทางที่เดินขึ้น จะมีทั้งทางชัน และทางราบสลับกัน
ระยะทางราวๆ 6 กิโล แต่ใช้เวลาเดินถึง 4 ชม. ก็ลองคิดเอาเองนะครับ ว่าทางเป็นยังไง
ช่วงนี้ ถ้าเหนื่อยก็พัก หิวก็หยุดกินครับ ระหว่างทางไม่ค่อยมีวิวให้ดูมากเท่าไหร่
แต่จะพบกับบรรยากาศที่เรียกว่าป่าจริงๆ ที่หาไม่ค่อยได้จากที่ไหนเลยครับ

ช่วงนั้นไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปจริงๆ ครับ เหนื่อยมาก ๕๕๕

เนื่องจากเราเริ่มเดินทางออกจากกุยเลอตอตอนเที่ยงๆ บ่ายๆ พอถึงแคมป์แรกก็เกือบมืดพอดี


ทุกคนก็รีบกางเต๊นท์ ส่วนคนทำกับข้าวก็ทำไป คนหาฟืนก็หาไป

ทำทุกอย่างเหมือนตอนอยู่ทีลอซูครับ แบ่งงานกันทำ

ใครทำส่วนใครเสร็จก่อนก็จะไปอาบน้ำก่อน

น้ำที่อาบ ก็คือน้ำตกเหมือนเดิม น้ำกินก็ใช้น้ำตกเหมือนเดิม

เนื่องจากสภาพทางที่มา มันยากลำบากมาก

ช่วงนี้นี่แหละ เป็นช่วงที่เราจะเห็นว่า เพื่อนแต่ละคนที่ร่วมทริปกับเราเป็นยังไง

กรุ๊ปผมก็มีทะเลาะๆ กันบ้าง แต่สุดท้ายก็เข้าใจกันครับ : )



หลังจากทุกคนอาบน้ำเสร็จ ก็ทานข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตากันครับ


กินกันอย่างลงแขกกันเลยทีเดียว เพราะเหนื่อยและหิวมาก

หลังจากกินเสร็จ ก็มีเวลาได้นั่งคุยกันกับลูกหาบครับ

คือลูกหาบ เค้านอนง่ายมาก เค้ามีเปลผืนเดียว ผูกกับต้นไม้ แล้วก็นอนเลยครับ

เต๊นท์ไม่ต้อง เหมือนเค้ามาบ่อย เค้าจะเอากระสอบมาสานทำเป็นหลังคา แล้วก็ผูกกับต้นไม้

กันลมกันฝน คุยไปคุยมา น้องลูกหาบก็ชวนเราไปจับกบครับ

กบในป่าเจอคนมักจะไม่หนี แปลกมาก ๕๕ ทำให้เราจับมาได้โดยง่ายได้

กิบที่นี้จะไม่เหมือนตามบ้านเราเท่าไหร่ พังผืดจะใหญ่กว่านิดหน่อย

หลังจากที่น้องๆ เค้าฆ่า ถอดไส้ ตัดลิ้นเสร็จ จ้องเค้าก็ปิ้งให้เรากินอย่างที่เห็นในภาพ

คำแรกที่ชิมไป อื้อหือออออ.... หวานมากครับ ๕๕๕

สวัสดีตอนเช้าครับ ๕๕
วันนี้เราจะต้องเดินไปที่แคมป์สอง และไปชมน้ำตกปริโต๊ะลอซูกัน
ทางช่วงนี้ ระยะทางไม่ไกลครับ แต่ชันเฟรี้ยๆ แถมยังเป็นเหวๆ อีก

(ช่วงที่ผมไป น้ำมันหมด จึงขออนุญาตินำภาพของท่านอื่นมาลงแทนนะครับ)



หลังจากที่เห็นน้ำตก เราก็ขึ้นไปที่แคมป์สอง แต่คราวนี้เราเปลี่ยนแผนเล็กน้อย

ไม่กลับไปทางใหม่ แต่จะกลับทางเดิม คือเราจะไปพิชิตยอดดอยสามหมื่นเลย

แล้วก็กลับไปนอนที่แตมป์แรก ตื่นเช้ามาก็จะเดินทางกลับครับ



หลังจากนี้ก็ไม่มีอะไรมาก โชคร้ายที่เราไปผิดฤดู เลยทำให้ไม่มีภาพสวยๆ มาโชว์เพื่อนๆ ครับ

ปล่อยให้ภาพที่เหลือ บรรยายตัวมันเองไปจนจบ ขอบคุณที่ติดตามมาถึงตรงนี้ครับ : )



วีดีโอประกอบ part 3 ตอนจบครับ : )

ความคิดเห็น