สวัสดีค่ะ ตามชื่อเรื่องเลยนะคะ วันนี้แมงน้อยอยากเก็บภาพบรรยากาศที่ได้ไปสัมผัสมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง ทริปนี้เป็นทริปพิเศษที่ทาง CP ALL จัดกิจกรรมจิตอาสาขึ้น เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยวัตถุประสงค์ของงานคือ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมพัฒนาสังคมและชุนชนต่างๆ สลับสับเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมต่างๆ กันไป ครั้งนี้เราเลือกไปที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ค่ะ

...ทำไมต้องเป็นที่นี่... จึงเป็นเรื่องเล่าของทริปในครั้งนี้ค่ะ

กิจกรรมจิตอาสาครั้งนี้มีชื่อว่า "ยิ้ม ปัน สุข" ณ โรงเรียนบ้านอรุโณทัย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ จัดขึ้นเนื่องจาก ทาง CP ALL ต้องการชวนให้ทุกคนไปสัมผัสเส้นทางชีวิตของเด็กคนหนึ่ง ซึ่งเป็นนักสู้ เก่ง และเป็นเด็กดี เริ่มต้นมาจากเด็กดอย น้องสู้ชีวิตจนกลายเป็นบุคลากรที่มีความสามารถในสังคม เพื่อหวังให้น้องคนนี้เป็นต้นแบบ และแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆ หลายคน ไม่ย่อท้อ และตั้งใจที่จะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน ซึ่งโรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนที่เด็กดอยคนนี้เป็นศิษย์เก่านั่นเองค่ะ

"เสี่ยวฟาง แซ่หยั่ง" ต้นแบบเด็กดอยสู้ชีวิต ผกพันชีวิตตัวเอง จากฐานะทางบ้านยากจน ช่วยพ่อแม่ทำไร่บนดอย ไม่มีโอกาสสัมผัสกับวิถีชีวิตเหมือนกับเด็กในวัยเดียวกัน สิ่งนี้จึงเป็นแรงผลักดันให้เสี่ยวฟางอยากมีอนาคตที่ดี และพยายามดิ้นรน หาทางเรียนจนจบปริญญาตรี ที่สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) จนปัจจุบันเสี่ยวฟางได้ทำงานที่ดี มีรายได้เลี้ยงครอบครัว ทำให้ชีวิตครอบครัวของเธอสุขสบายขึ้น นี่คือต้นแบบการสู้ชีวิตที่น่านับถือจริงๆ ค่ะ

เสี่ยวฟาง กล่าวไว้ว่า...

"อนาคตเป็นสิ่งที่ต้องสร้าง เพราะต่อให้เราไม่ได้เกิดมามีพร้อมเหมือนผู้อื่น แต่หากเราเรียนรู้ที่จะสร้างโอกาสให้แก่ตัวเอง ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ความฝันและอนาคตที่ดีงามของเราก็อยู่ไม่ไกล หนูเป็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่ได้โชคดี มีทุนทรัพย์ หรือฐานะทางสังคมเหมือนคนอื่น แต่สิ่งหนึ่งที่หนูได้รับจากกองทุนเพื่อชีวิตแห่งการเรียนรู้ คือ โอกาสที่ได้รับการศึกษา จนทำให้วันนี้หนูเรียนจบ และกำลังได้รับงานดีๆ ทำ มีรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว"

เสี่ยวฟาง ได้เรียนจบจากคณะศิลปศาสตร์ สาขาจีนธุรกิจ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

การเดินทางในครั้งนี้จึงมีเรื่องราว และเรื่องเล่าที่อยากมาแชร์ให้ฟังค่ะ เพราะนอกจากจะได้แวะไปชมเส้นทางการดำเนินชีวิตที่บ้านเสี่ยวฟาง ได้ทำกิจกรรมจิตอาสาแล้ว แมงน้อยและเพื่อนๆ ยังได้แวะสถานที่เที่ยว ร้านอาหารมากมาย เรียกได้ว่าไปถึงทั้งที มีอะไรดีอะไรเด็ดก็ต้องขอลองล่ะงานนี้...

ช้าอยู่ใย รีบขึ้นรถไฟปู้นๆ ฉึกฉักตามไปกันเลยดีกว่า…

การเดินทางเริ่มขึ้น ในเย็นวันที่ 2 ก.พ. โดยรถไฟไทย เนื่องจากทีมงานอยากให้ผู้ร่วมเดินทางเปลี่ยนบรรยากาศ ไปลองใช้บริการรถไฟไทยใหม่ เพราะเชื่อว่า หลายๆ คนไม่ได้ขึ้นรถไฟมานานมากแล้ว หรือบางคนไม่เคยขึ้นรถไฟไทยเลยด้วยซ้ำ ซึ่งก็เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ไปสัมผัสประสบการณ์ และนำมาบอกเล่าสู่กันฟังค่ะ

รถไฟขบวนนี้ มีชื่อว่า "ขบวนรถด่วนพิเศษอุตราวิถีที่ 9" วิ่งสายเหนือ เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2559 ที่ผ่านมานี้เอง ต้นทางจากสถานีรถไฟหัวลำโพง กรุงเทพฯ ไปยังปลายทาง สถานีรถไฟเชียงใหม่ วันละ 1 ขบวน ออกเวลา 18.10 น. – 07.15 น. ซึ่งออกและถึงตรงเวลาเป๊ะเลยทีเดียวค่ะ (สุดยอด)

วิธีการจองตั๋ว สามารถติดต่อสอบถามได้ที่เบอร์โทร 1690 โดยแจ้งเส้นทาง / เลขบัตรประชาชน / ประเภทชั้น (1 หรือ 2) / เตียง (บนหรือล่าง) เมื่อจองเสร็จแล้ว ก็จะได้รับรหัสการจอง 10 หลัก เพื่อนำไปรับตั๋ว ภายในวันรุ่งขึ้น ที่สถานีรถไฟใดก็ได้ ไม่เกินเวลา 22.00 น. ทางสถานีก็จะออกตั๋วจริงให้ค่ะ

บรรยากาศภายในสถานีรถไฟยังเหมือนเดิม (ปล.พอดีแมงน้อยเป็นแฟนพันธุ์แท้รถไฟตั้งแต่เด็ก นั่งกลับต่างจังหวัดสายใต้อยู่บ่อยๆ เลยรู้สึกได้ว่าที่นี่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก) ยังเป็นภาพคนต่อแถวซื้อตั๋ว สะพายหรือลากกระเป๋าใบใหญ่ หิ้วถุงใส่ของ Balenciaga พะรุงพะรัง มีคนนั่งๆ นอนๆ รอบริเวณที่นั่งทั้งสองฝั่ง บ้างก็เอากระเป๋าตัวเองมาวางบนเก้าอี้กั้นที่คนอื่น 555 เสน่ห์หัวลำโพงเค้าล่ะ ด้านในไม่ต้องกลัวร้อนนะคะ เพราะเค้ามีแอร์ มีห้องน้ำ เสียค่าบริการ 5 บาท มีห้องอาบน้ำที่มักติดป้ายไว้ว่า (เสีย...ห้ามอาบน้ำ) 555 ถ้าใครใกล้ขึ้นรถไฟแล้ว ไปขึ้นบนรถไฟดีกว่า สะดวกดีไม่เสียตังค์เพิ่มค่ะ


อัตราค่าโดยสารขบวนอุตราวิถีนี้ ราคาตามในตารางเลยค่ะ ซึ่งจริงๆ แล้วรถไฟจอดในตัวจังหวัดใหญ่ทุกจังหวัด ยกเว้นสถานีย่อยหากเพื่อนๆ ต้องการใช้บริการลงจังหวัดอื่นๆ ลองสอบถามเจ้าหน้าที่อีกครั้งนะคะ

เดินเข้ามาในชานชลา ยังรู้สึกได้ถึงความคลาสสิค ภาพตอนเด็กย้อนกลับมาในหัว ซึ่งชาวต่างชาติยังคงให้ความสนใจใช้บริการรถไฟค่อนข้างเยอะเลยค่ะ



รถไฟใหม่ ขบวนใหม่กิ๊ก สวยงามไหมล่ะคะ

ขอพาชมโบกี้แบบชั้น 2 ก่อนนะคะ ที่นั่งจะเป็นลักษณะเดิม หันหน้าชนกันเป็นคู่ๆ เพิ่มความใหม่ สะอาดสะอ้าน เบาะผ้าสีแดงนุ่ม ตรงกลางมีโต๊ะสำหรับกางออกไว้วางของและเครื่องดื่ม มีปลั๊กเสียบชาร์ตแบต และที่เปิดไฟไว้ตอนอ่านหนังสือด้วย

ปล.ถ้านั่งด้านล่างจะมีแค่ปลั๊กเดียว เพราะอีกปลั๊กเป็นของเตียงบน จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่มาปรับเป็นที่นอน 2 ชั้นให้ค่ะ

ในทุกๆ โบกี้ จะมีกล้องวงจรปิด และจอแสดงเวลา บอกรายละเอียดต่างๆ รวมถึงสถานีที่เราอยู่ในตอนนั้นๆ ด้วยค่ะ

โซนนี้จะเป็นห้องน้ำใหญ่ พื้นที่กว้าง ไว้ให้บริการสำหรับผู้พิการค่ะ


ต่อไป ขอพาไปชมห้องแบบชั้น 1 VIP กันบ้าง ภายในจะมี 2 ที่นั่ง มีประตูปิดส่วนตัว อุปกรณ์ครบ (ที่เสียบชาร์ตแบต, ไฟอ่านหนังสือ) ที่เก๋สุดๆ คือ จะมีอ่างล้างหน้า กระจก จอบอกรายละเอียดต่างๆ ให้ส่วนตัวไม่ต้องไปใช้รวมกับใคร อีกทั้งโซนนี้จะมีห้องอาบน้ำ ที่มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ด้วยค่ะ เลิศสุดๆ เลย ยิ่งถ้ามาแบบครอบครัว 4 คน เลือกเป็นเหมาห้อง สามารถเปิดประตูทะลุถึงกันได้ ว๊าวววว น่าสนใจทีเดียว

ส่วนตัวมองว่า ราคาเหมารวมห้องกับครอบครัว 4 คน เป็นราคาที่โอเคมากเลย ถ้าแบบว่าเดินทางตอนเย็นแล้วต้องการให้ถึงเช้า เพื่อเป็นการประหยัดค่าที่พักไปได้ 1 คืน พักผ่อนเสร็จ ตื่นมาเที่ยวต่อเลย ไม่มีใครเหนื่อย

เปรียบเทียบข้อดีของการใช้รถไฟ หากต้องขับรถเองก็จะเหนื่อย เมื่อยล้า จำนวนชั่วโมงการเดินทางพอกัน หรือถ้าขึ้นเครื่องบิน ก็ต้องเผื่อเวลา Check in ค่อนข้างมาก ขั้นตอนมากมาย การเดินทางไปสนามบินที่ไม่มีบริการรถไฟฟ้า ควบคุมการเดินทางลำบาก แต่สถานีรถไฟหัวลำโพงมาสะดวกมากค่ะ หากมาเที่ยวกันเองหลายคน ก็นั่งรถไฟมาแล้วเช่ารถเที่ยวในเชียงใหม่ ก็สะดวกดีนะคะ


ประตูที่เชื่อมแต่ละโบกี้ จะต้องกดปุ่มเปิดด้วยตนเองเพื่อความปลอดภัย

บริเวณโบกี้กลาง จะเป็นส่วนที่เรียกว่า "ห้องเสบียง" สำหรับขายอาหาร ขนม เครื่องดื่ม มีโต๊ะรับรองพอสมควร มีฟรี Wi-Fi แต่ใช้ได้เฉพาะในโบกี้นี้เท่านั้นจ้า

รับขนมจีบ ซาลาเปาด้วยไหมคะ หรือจะเป็นข้าวกล่องแบบเวฟก็มีให้เลือกหลากหลาย เหมือนกับเข้ามาใน 7-11 เลย

ช่วงประมาณ 1-2 ทุ่ม ห้องเสบียงจะครึกครื้นมาก ส่วนมากจะเป็นชาวต่างชาติซะส่วนใหญ่ หากไม่มีที่นั่งก็ซื้อกลับไปนั่งทานที่ตู้ตัวเองได้ค่ะ

แมงน้อยได้มีโอกาสลองชิมไก่ย่างเขาสวนกวาง ซีลสูญญากาศด้วย อร่อยดีค่ะ ไม่เหมือนของฟรีซเลย ทานแล้วเหมือนย่างออกมาจากเตาจริงๆ

หลังจากเดินสำรวจทั่วทั้งขบวนแล้ว กลับมาที่นั่งของตัวเอง มีเซอร์ไพรส์จากทีมงาน โดยการมอบตั๋วรถไฟระบุชื่อ พร้อมการ์ดนาฬิกากำหนดการไว้เป็นที่ระลึก เก๋และน่ารักมากค่ะ

เนื่องจากรอบนี้มาเป็นกลุ่มใหญ่ ทางทีมงานก็เลยนำเมนูเครื่องดื่มมาให้เลือกเลย ซึ่งปกติจะต้องไปสั่งเองที่ตู้เสบียงนะ

ส่วนอาหารทางทีมงานกลัวไม่อิ่มกัน ก็เลยจัดเต็มชุดใหญ่ เป็นเซ็ทอาหารญี่ปุ่นของโออิชิให้แทน เลิศมากค่ะ

น้ำดื่มรถไฟ จะได้รับแจกคนละขวดค่ะ

หลังจากอิ่มแล้ว ทางผู้ใหญ่ของ CP ALL คุณบัญญัติ คำนูณวัฒน์ ผช.กรรมการผู้จัดการ CP All (พี่แดง) ได้กล่าวต้อนรับผู้ร่วมเดินทางทุกท่าน รวมถึงจุดประสงค์ที่เรามารวมกันในครั้งนี้

พี่แหวว ผู้บริหารใจดีอีกท่านที่ได้กล่าวทักทายและต้อนรับผู้ร่วมทริปเช่นกัน

และได้เปิดตัวน้องเสี่ยวฟาง แซ่หยั่ง สาวน้อยคนเก่ง ผู้เป็นจุดเริ่มต้นของทริปนี้ค่ะ

หลังจากนั้นกิจกรรมทำความรู้จักกันก็เริ่มขึ้น ซึ่งสังเกตุได้ว่า การจัดกิจกรรมบนรถไฟ มันดีมากอ่ะ เป็นตู้ส่วนตัว จะเสียงดังแค่ไหนก็ไม่มีใครว่า การเล่นกิจกรรมมีพื้นที่กว้าง พอที่จะเดิน วิ่งสวนกัน รถไฟก็วิ่งนิ่งมาก ไม่มีการเซหรือเวียนหัว ขณะทำกิจกรรมเลย เหมือนกับเราได้ห้องสัมมนาเคลื่อนที่ 1 ห้องเลยนะ

กิจกรรมเฮฮาและสนุกสนานมากค่ะ ทีมแมงน้อยตอบคำถามได้รางวัลชนะมาประเดิม 555

หลังจากทำกิจกรรมเสร็จ ใกล้เวลา 2 ทุ่ม พี่เจ้าหน้าที่จะเข้ามาปูเตียงให้ ใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที มืออาชีพมากค่ะ เราก็จะได้ผ้าห่มที่ซีลถุงใหม่มาพร้อมด้วย

บริเวณชั้น 1 จะกว้างกว่าชั้น 2 เล็กน้อย อันนี้ก็อยู่ที่ว่า ใครจะเลือกแบบไหน เอาที่ใจชอบเลย

ด้านบนเมื่อปรับเตียงแล้ว ก็จะมีลักษณะตามรูป ตอนปีนอาจจะต้องระวังนิดหน่อย แต่ไม่อันตรายค่ะ เบาะที่ปรับได้พอดีตัวเลย ไซด์มาตรฐานคนไทย แต่ต่างชาติตัวสูงๆ นี่ก็อาจจะเลยนิดหน่อย


7 โมง 15 นาที รถไฟเข้าจอดที่สถานีรถไฟเชียงใหม่ปลายทางแบบตรงเวลาเป๊ะ จากจุดนี้ก็มีรถตู้มาจอดรอเพื่อพาทุกคนเดินทางต่อไปยังสถานที่แรก …อ่างขาง… แดนมหัศจรรย์ ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงกว่าๆ ค่ะ

แต่ก่อนอื่น ข้าวเช้าสำคัญไฉน ทีมงานได้พาไปชิม "ร้านเกียรติโอชา" ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากนัก ที่นี่ย่างหมูสะเต๊ะไว้เป็นพันๆ ไม้เลยค่ะ เน้นขายเมนูข้าวมันไก่ หมูสะเต๊ะ อาหารรสชาดอร่อยทั่วไป อิ่มอร่อยเต็มพื้นที่กระเพาะแล้ว ก็ออกเดินทางต่อค่ะ


ขับมาได้สักพัก ก็แวะจอดเข้าห้องน้ำกันที่ม่อนระมิงค์ (ชื่อเพราะจังเลย) จุดนี้เหมือนจุดแวะพักรถเลยค่ะ มีอาหาร เครื่องดื่ม ของที่ระลึกขาย มีวิวท้องนา และมุมสวยๆ จัดไว้ให้ถ่ายรูปหลายที่ ทำธุระเสร็จ จากนั้นก็เดินทางแบบยาวๆ ต่อเดียวถึงอ่างขางเลยจ้า


เดินทางถึงอ่างขาง เวลาเที่ยงตรงพอดี ลงจากรถก็ได้ทานอาหารกลางวัน (อีกแล้ว) ที่ "ร้านถิงถิง" ร้านชื่อดังในอ่างขาง เมนูอาหารที่นี่ส่วนใหญ่เป็นอาหารจีนยูนนาน โดยภาพรวมอร่อยใช้ได้เลย แนะนำเมนูเห็ดหอมคั่วซีอิ๊วกับซี่โครงหมูตุ๋นโสมค่ะ


คืนนี้พวกเราพักกันที่อ่างขางวิลล่า ซึ่งที่พักอยู่ตรงข้ามกับร้านถิงถิงเลย สะดวกสบายเวลาที่เราจะเข้าไปยังสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ไม่ต้องต่อรถมาอีก ห้องพักจะอยู่บนเขา หากมีผู้สูงอายุมาด้วย จะค่อนข้างเดินขึ้นลำบาก มีบันไดแต่ลาดชัน ขนาดคนปกติเดินขึ้นยังแอบเมื่อยนิดๆ 555



ห้องพักสะดวกสบาย Wil-fi ดี แต่เสียดายห้องไม่ค่อยเก็บเสียงเท่าไร ใช้ระบบแก๊สในการต้มน้ำ (ห้ามอาบเกิน 10 นาที) โดยมีป้ายแนะนำไว้ที่ประตูห้องน้ำทุกห้องค่ะ


ตอนกลางคืนเราจะมีปาร์ตี้บาร์บีคิวกันตรงจุดนี้แหละ อารมณ์เหมือนรอบกองไฟเลย บรรยากาศคาดว่าจะหนาวมาก สักประมาณ 10 กว่าองศาก็เป็นได้


หลังจากที่ทุกคนอาบน้ำ ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาเข้าไปชมความงามในสถานีเกษตรหลวงอ่างขางกันค่ะ ที่นี่คิดค่าเข้าคนละ 50 บาท โดยเสียค่ารถนำเข้าอีกต่างหากคันละ 50 บาท เนื่องจากวันนี้มากันเป็นหมู่คณะทางเจ้าหน้าที่ของอ่างขางจึงได้ออกมาต้อนรับและเล่าถึงความเป็นมาของอ่างขางให้ฟัง


รวมถึงพาชมสวน 80 ปี ณ ตรงจุดนี้มีไม้ดอกเมืองหนาวเยอะและสวยมากๆ ค่ะ ในใจอยากให้มีชื่อพันธุ์ไม้เสียบบอกไว้ด้วย เพราะเห็นอย่างเดียวเรียกไม่ถูกว่าดอกอะไรเลย (อยากรู้จริงๆ น้าาาา) ตรงจุดนี้แต่ละคนก็ถ่ายรูปกันอย่างเพลิดเพลินค่ะ



อยู่กันครบกับวิวสวยๆ ขนาดนี้ ขอถ่ายรูปรวมเป็นที่ระลึกสักหน่อยละกัน


บริเวณตรงข้ามสวน 80 ปีมีของที่ระลึกขายด้วย มาแบบแบกับดินเลยทีเดียว

จุดต่อไปที่ได้ไปชม คือ ไร่ชา 2000 เป็นจุดที่บรรยากาศดีและวิวสวยมว๊ากกกก ใครได้ขึ้นมาบนนี้ จิบชาร้อนๆ นั่งมองวิวทิวทัศน์ด้านหน้า รับรองว่าฟินทุกคน ยิ่งเดินลงไปด้านล่างยิ่งสวยเข้าไปใหญ่ แบบว่าหลงรักอ่างขาง ณ จุดนี้เลย แอบคิดในใจถ้าได้มาดูหมอกในตอนเช้า ณ จุดนี้ คงประทับใจมิรู้ลืม


และที่พลาดไม่ได้ คือ ไร่สตอเบอรี่แบบขั้นบันได ปลูกลดหลั่นกันตามไหล่เขา หากใครต้องการจะเก็บสตอเบอรี่เอง ที่นี่คิดกิโลละ 300 บาทค่ะ หากถ่ายกับป้ายสีฟ้าก็เสียค่าถ่ายรูปเช่นกัน ถือว่าเป็นค่าบำรุงสถานที่นะคะ



บริเวณแปลงบ๊วยนานาพันธุ์ ก็เป็นอีกจุดที่ไม่ควรพลาด ถ้าใครจำหนังเรื่อง Timeline จดหมาย ความทรงจำ ตรงนี้เลยที่ใช้ถ่ายในเรื่อง

และอย่าลืมจุดไฮไลท์ทางเข้ากับแปลงดอกกะหล่ำคละสีละลานตา


ทำไมอ่างขางถึงเป็นแดนมหัศจรรย์ ในความคิดส่วนตัวของแมงน้อยนะ คืออ่างขางเค้าจะมีช่วงโตและบานของพันธุ์ไม้ต่างๆ กันไป หากใครมาช่วงนี้จะได้เห็นบรรยากาศอีกแบบนึง มาอีกช่วงก็ได้เห็นอีกแบบนึง แถมอากาศก็เย็นตลอดทั้งปี พูดได้ว่ามาได้หลายๆ ครั้งแบบไม่เบื่อเลยค่ะ ยิ่งเฉพาะช่วงไฮไลท์ประมาณปลายเดือน ธ.ค. ถึงกลางเดือน ม.ค. ที่ดอกนางพญาเสือโคร่งพร้อมใจกันบานสะพรั่งด้วยละก็ ก็จะได้ภาพบรรยากาศเหมือนอยู่เมืองนอกไปเลย

ตัดภาพกลับมาที่ร้านขายของบริเวณด้านนอกสถานีเกษตร ก็จะมีของฝาก ของกินให้เลือกซื้อมากมาย เรียกได้ว่าเป็นถนนคนเดินย่อยๆ เลยเหมือนกันค่ะ

น้ำสมุนไพรต่างๆ คือรสชาดดีมาก

บะหมี่กับเกี๊ยวยูนนาน อร่อยดีแท้

แล้วคืนนี้เราก็ได้ปาร์ตี้บาร์บีคิวกันท่ามกลางอากาศหนาวๆ สนุกสนาน อิ่มอ้วนกันไป จบแล้วก็แยกย้ายกันเข้าห้อง นอนหลับพักผ่อนเตรียมพร้อม สำหรับกิจกรรมในวันรุ่งขึ้นค่ะ


อรุณสวัสดิ์ยามเช้า ขณะนี้เป็นเวลา 7.00 น. อาหารเช้าที่อ่างขางวิลล่าจัดให้มีพอประมาณ ซึ่งทาง CP ALL จัดสลัดชุดพิเศษให้เพิ่มด้วย น่ารักสุดๆ ทานข้าวเช้าเสร็จยังพอมีเวลาเหลือไปเดินเล่นที่ตลาด หาซื้อของฝากอีกสักหน่อย



เช้านี้อุณหภูมิอยู่ที่ 5.5 องศา อาบน้ำล้างหน้านี่ชาไปทั้งตัว


โปรแกรมแรกของวันนี้ คือ การไปเยี่ยมบ้านของน้องเสี่ยวฟาง อ.เชิงดาว เพื่อตามรอยเส้นทางชีวิตต้นแบบของน้อง ครอบครัวของน้องให้การต้อนรับเป็นอย่างดี นำถั่วต่างๆ มาต้อนรับเป็นธรรมเนียม พร้อมทั้งย่างแป้งข้าวเหนียวยูนนาน คล้ายๆ ข้าวจี่ให้ชิมกันด้วย อร่อย และแปลกดีค่ะ (หลายคนลงความเห็นว่ารสชาดของแป้ง คล้ายขนมเข่งนะ)


หลังจากฟังเรื่องราวของเสี่ยวฟาง และประทับใจกับความคิดบวก ความมุ่งมั่นและขยันของน้องแล้ว โปรแกรมต่อไป คือการเตรียมตัวไปทำกิจกรรม "ยิ้ม ปัน สุข" กันที่โรงเรียนบ้านอรุโณทัย อ.เชียงดาวค่ะ

ก่อนไปถึงแวะเติมพลังมื้อกลางวันกันที่ร้านบะหมี่ขึ้นชื่อ "ร้านต้าหยง" คนเยอะมาก บะหมี่อร่อย แต่ที่เด็ดที่สุดคือ เกี๊ยวซ่า ทุกคนยังไม่เคยลิ้มรสแบบนี้ที่ไหน แต่มันอร่อยมากๆ ค่ะ อธิบายรสชาดไม่ถูก ต้องมาลองสัมผัสด้วยตัวเอง ปล. พริกกระเหรี่ยงเผ็ดมากๆ โปรดระวังในการเติม เป็นไปได้ไม่ต้องเติมอะไรเลย เพราะจะทำให้เสียรสชาดน้ำซุปที่อร่อยอยู่แล้วค่ะ


พร้อมแล้ว พร้อมแล้ว "ยิ้ม ปัน สุข" เป็นกิจกรรมจิตอาสาที่ CP ALL จัดขึ้น เพื่อให้พนักงานได้ร่วมกันทำประโยชน์ต่อสังคมและชุมชนต่างๆ โดยยึดหลักการปลูกฝังให้ทุกคนมีจิตใจที่ดี มีน้ำใจ ซึ่งแมงน้อยได้มีโอกาสมาร่วมกิจกรรมดีๆ ครั้งนี้ รู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งทาง CP ALL ก็ได้มอบอุปกรณ์กีฬา ยาสามัญประจำบ้าน เลี้ยงอาหารว่าง มอบของที่ระลึก และร่วมเล่นเกมส์กับน้องๆ กว่า 500 ชีวิต

บรรยากาศช่างมีสีสัน เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความสุขของผู้ให้และผู้รับ เป็นภาพความประทับใจที่อยากจะนำมาแชร์ไม่อยากเก็บไว้คนเดียวเลยค่ะ


เห็นน้องมีความสุข พี่ก็อิ่มใจ... เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นการส่งต่อความสุขจากคนกลุ่มนึงไปยังคนอีกกลุ่มนึง เพื่อหวังให้อนาคตของชาติมีต้นแบบที่ดี เปิดโอกาสการรับรู้ โลกทัศน์ใหม่ รู้จักการให้ การแบ่งปัน สร้างมิตรภาพ เพราะการอยู่ในสังคมจะต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน แมงน้อยเองอยากให้มีกิจกรรมจิตอาสาดีดีแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อแบ่งปันรอยยิ้ม และความสุขส่งต่อกันไปยังทุกๆ คนค่ะ


ปิดท้ายทริปนี้กันที่ร้านอาหาร "สวนผัก" ใกล้ๆ สนามบินเชียงใหม่ เป็นมื้อสุดท้ายที่ลงตัว อาหารอร่อย รสชาดดีสุดๆ ขอบคุณทีมงาน ขอบคุณกิจกรรมดีดีต่อสังคม ที่จะทำให้แมงน้อยและเพื่อนมีความทรงจำดีดีร่วมกันตลอดไปค่ะ



"ยิ้ม ปัน สุข" กับ CP ALL ณ โรงเรียนบ้านอรุโณทัย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ : 2-4 กุมภาพันธ์ 2560



Malang Lunla

 วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 23.49 น.

ความคิดเห็น