-สวัสดีค่ะ-


ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นก่อนเลยนะคะ ว่าการมาเที่ยวหมู่บ้านแม่กำปองในครั้งนี้ เป็นการมาครั้งที่ 2 ของเรา ก่อนหน้านี้เราเคยมาเที่ยวที่นี่เมื่อปีที่แล้ว และรอบก่อนเราได้พักที่โครงการหลวงตีนตก ซึ่งอยู่ก่อนถึงทางไปหมู่บ้านแม่กำปองนิดนึง แต่รอบนี้เรากะว่าจะมาหาที่พักแบบโฮมสเตย์ของชาวบ้าน ได้ลองใช้ชีวิต กินอยู่แบบชาวบ้านที่นี่ดูบ้าง แต่..โทรไปสอบถามที่พัก แต่ละที่คือเต็มแทบทุกที่ เราเลยลองหาข้อมูลดูที่พักในละแวกใกล้เคียง ก็พบว่ายังมีที่พักแนวโฮมสเตย์ อยู่ที่หมู่บ้านแม่ลาย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแม่กำปองมากนัก หมู่บ้านแม่ลาย จะอยู่ตรงทางแยกซ้ายมือ คือขับขึ้นไปทางเดียวกันกับ ร้านกาแฟ The Giant ที่มีต้นไม้ต้นใหญ่ๆ นั่นแหละ ซึ่งร้านนี้ปีก่อนที่เรามาเค้าปิดปรับปรุงอยู่เราเลยยังไม่เคยขึ้นไปเลยซักที ซึ่งพอเราติดต่อจองที่พักที่บ้านแม่ลายได้แล้ว เราก็เริ่มต้นออกเดินทางกันเลย

การเดินทางในครั้งนี้ของเรา เราขับรถมาเองจากกรุงเทพ เพราะทริปนี้เรากะจะมาอยู่เที่ยวที่เชียงใหม่แบบยาวๆหลายวันหน่อย เลยคิดว่าถ้าขับรถมาเองจะสะดวกกว่า เริ่มต้นการเดินทางเราขับรถจากตัวเมืองเชียงใหม่ ใช้ google map นำทางมา บวกกับเคยขับมาก่อนรอบนึงแล้วด้วยเลยพอจำเส้นทางได้ (จากตัวเมืองเชียงใหม่ใช้เส้นทาง สันกำแพง มายัง อ.แม่ออน ระยะทางประมาน 53 กิโล ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงนึงก็ถึง แล้วแต่ความชำนาญในการขับเพราะเมื่อเข้าไปยังถนนด้านในแล้วหนทางจะคดเคี้ยวขึ้นเขาพอสมควร อาจจะขับเร็วมากไม่ค่อยได้) ตามไปดูกันนะคะว่า แม่กำปองในวันนี้ ต่างจากปีก่อนหน้านี้ที่เราไปมามากน้อยแค่ไหน มีอะไรเพิ่มเติมจากเดิมบ้างถึงแล้วค่ะร้านกาแฟ The Giant

หลังจากขับรถเข้ามาทางเส้นทางที่จะไปหมู่บ้านแม่กำปอง สังเกตุทางขวามือจะเห็นโครงการหลวงตีนตก ขับต่อไปอีกนิดนึงจะเจอทางแยก ซ้ายมือ คือทางขึ้นไปหมู่บ้านแม่ลาย และ ร้านกาแฟ The Giant ขวามือคือทางไปหมู่บ้านแม่กำปอง เราเลี้ยวซ้ายขึ้นไปเพื่อจะเดินทางไป ที่ร้านกาแฟ The Giant กันก่อน ระหว่างทางขึ้นจะมีบริการรถรับส่งของชาวบ้าน อยู่หลายจุด



ค่าบริการ รถรับ-ส่งร้านกาแฟ The Giant

เราเห็นเค้าติดป้ายไว้ราคาต่อเที่ยว

ไป 50 บาท กลับ 50 บาท สรุปคือไปกลับ คนละ 100 บาท นั่นแหละง่ายๆ

จากทางแยกขับขึ้นถึงร้านกาแฟ ระยะทางประมาณ 7 กิโล ช่วง 3 กิโลแรก ทางยังไม่ชันมากรถเล็กสามาถขับไปได้สบายๆ แต่หลังจากนั้นทางจะชันขึ้นเรื่อยๆ เราสามารถจอดรถไว้แถวนั้นแล้วต่อรถของชาวบ้าน ซึ่งมีจุดบริการเป็นระยะๆ ถ้าคนขับไม่ชำนาญทางแนะนำให้จอดไว้แล้วไปรถชาวบ้านจะดีกว่าค่ะ ขับมาซักพักก็จะถึงแล้ว หน้าร้านจะมีที่จอดรถอยู่ด้านหน้าพอสมควร



โชคดีมากที่วันที่เราไปเป็นวันธรรมดา คนเลยไม่เยอะมาก เห็นมีแต่คนบ่นกันว่าถ้ามาช่วงเทศกาล นี่โต๊ะจะนั่งยังหายากเลย จุดเด่นของที่นี่ คือร้านกาแฟที่อยู่บนต้นไม้ใหญ่ บรรยากาศร่มรื่น แถมยังมีสะพานไม้แขวน เป็นทางเดินเพื่อเดินไปยังในร้าน สะพานจะจำกัดคนเดินแค่ครั้งละ 2 คน เท่านั้น เพราะขนาดตอนเราเดินไปยังโยกเยก พอสมควร ที่นี่นอกจากจะขายกาแฟแล้ว ยังมีอาหารขายด้วย แต่เราสั่งแค่กาแฟลาเต้เย็น มาลองชิมแค่แก้วเดียว รสชาติของกาแฟของที่นี่ก็ถือว่าอร่อยพอใช้ได้ แต่วิวและบรรยากาศร่มรื่นดี (ย้ำว่าควรมาวันธรรมดาน่าจะดีสุดสำหรับคนที่อยากถ่ายรูปหลายๆมุมโดยไม่มีคนเยอะๆ)


ลงมาจากร้านกาแฟ The Giant ก็แวะเช็คอินเข้าที่พักก่อนเลย ที่พักวันนี้ของเราคือ บ้านระเบียงดอย โฮมสเตย์ ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านแม่ลาย ลงมาจากร้านกาแฟ The Giant ประมาณ 3.5กิโลเมตร ก็จะเห็นที่พักอยู่ทางซ้ายมือ


เดินขึ้นมาข้างบนก็จะเจอเคาเตอร์ ซึ่งจะมีแม่บ้านคอยต้อนรับอยู่ ที่นี้นอกจากจะเป็นที่พักแล้วยังเป็นร้านกาแฟด้วย


หลังจากรับกุญแจห้องพัก ก็ไปชมห้องพักกันดีกว่า ที่นี่เป็นบ้านไม้สองชั้นใต้ถุนสูง


ห้องพักทั้งหมดจะอยู่ชั้นบน มีทั้งหมด 5 ห้อง

ชั้นล่างทำเป็นโต๊ะนั่งชิลล์ๆ และห้องนำ้ของผู้มาพักก็อยู่ชั้นล่างด้วย

นอกจากห้องพักชั้นบนแล้ว ที่นี่ยังมีเต็นท์ให้บริการด้วยทั้งหมด 4 หลัง

หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อย เราก็ขับรถไปเที่ยวบ้านแม่กำปองกันต่อ จากที่พักสามารถขับรถไปที่หมู่บ้านแม่กำปอง ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตรระหว่างทางแยกที่จะเลี้ยวไปทางแม่กำปอง เราสังเกตุเห็นมีป้ายติดอยู่ซึ่งเป็นร้านกาแฟที่น่าจะเพิ่งเปิดใหม่ เพราะปีก่อนหน้านี้ที่เราเคยมาที่นี่ ยังไม่มีร้านนี้


ร้านนี้ขายกาแฟและเครื่องดื่มแต่เราไม่ได้สั่งกาแฟเนื่องจากเราเพิ่งกินที่ ไจแอนท์มาเมื่อกี้ เราเลยสั่งน้ำแดงโซดามะนาวมากินแทน รสชาติอร่อยใช้ได้และราคาไม่แพงมาก ร้านนี้จุดเด่นก็คือ เก้าอี้นั่งกลางน้ำตก ซึ่งใครที่มาก็ต้องมานั่งถ่ายรูปกันที่มุมนี้แทบทุกคน ซึ่งเราก็ไม่พลาด มุมนี้เค้าทำมาไว้เพื่อให้ผลัดกันนั่งถ่ายรูปนะคะ ไม่ควรนั่งแช่นานๆควรแบ่งปันให้คนอื่นได้นั่งบ้าง ยิ่งวันหยุดพี่เจ้าของร้านบอกคนเยอะแทบจะเป็นเก้าอี้ดนตรีกันเลยทีเดียว


ออกจากที่นี่ เราก็ไปยังหมู่บ้านแม่กำปอง


แม่กำปอง เป็นหมู่บ้านเล็กๆโอบล้อมไปด้วยป่าเขา ที่นี่เนื่องจากอยู่ท่ามกลางขุนเขาทำให้มีอากาศเย็นสบายตลอดปี และมีระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์มาก หมู่บ้านจะมีลำธารไหลผ่านหมู่บ้าน ต้นไม้น้อยใหญ่ มองไปทางไหนก็รู้สึกได้ถึงความร่มรื่น สบายตา

ระหว่างทางขับเข้าไปพอถึง ช่วงร้านบ้านฮิมห้วย ลุงปุ๊ด&ป้าเป็ง เราก็สังเกตุว่าปีนี้ที่นี่มีร้านค้าเปิดบริการเพิ่มมากขึ้นหลายร้านมากๆ และคนก็เยอะมาก กว่าเดิม นี่ขนาดเป็นวันธรรมดา หน้าร้านซึ่งเป็นจุดที่คนชอบมายืนถ่ายรูปกันที่นี่ เพราะถือว่าถ้าไม่ได้ถ่ายก็เหมือนกับมาไม่ถึงแม่กำปอง มีคนยืนรอคิวถ่ายรูปกันค่อนข้างเยอะเราเลยขับเลยไปไหว้พระที่วัด คันธาพฤกษา ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้านแม่กำปอง

โบสถ์กลางน้ำ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ภายในวัด ความสงบ ร่มเย็น ของวัดนี้ ทำให้จิตใจของเรารู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก


ออกจากวัด กลับลงมาที่บ้านฮิมห้วย ลุงปุ๊ด&ป้าเป็ง ทีนี้หน้าร้านคนไม่ค่อยมีแล้วเราเลยจอดรถแวะมาถ่ายรูปกันซักหน่อย กะว่าจะสั่งอะไรมาทานแต่เห็นป้ายทางร้านเขียนไว้ใกล้จะถึงเวลาปิดแล้ว แถมโต๊ะนั่งด้านในมุมดีๆก็มีคนนั่งอยู่ สรุปเลยได้แต่ถ่ายรูปอย่างเดียว


หลังจากนั้นก็ออกมาเดินเล่นดูร้านอื่นๆในละแวกใกล้เคียง ซึ่งมีร้านเปิดใหม่ค่อนข้างเยอะกว่าเดิม ทั้งร้านขายสินค้าแฮนด์เมด ร้านค้าขายอาหารก็มีให้เลือกหลายเจ้า ทั้งร้านไส้อั่วแม่นิ่ม และร้านเก่าแก่ อย่างเฮือนปออุ้ย แม่อุ้ย เราลองซื้อ ไข่ป่ามกิน รสชาติคล้ายๆไข่ตุ๋นหรือไข่เจียวนี่แหละ หลังจากชิมไข่ป่ามไปแค่อันเดียว ก็รู้สึกพยาธิในท้องเริ่มทำงาน งั้นเรารีบกลับไปกินอาหารเย็นกันที่บ้านพักกันดีกว่า


เดี๋ยวมาต่อรีวิวพรุ่งนี้นะคะ ขอตัวไปนอนก่อนกลับมาต่อแล้วค่ะ


ออกจากแม่กำปองเราก็ขับรถกลับมายังที่พัก เพื่อมารอกินอาหารเย็น ซึ่งทางพี่คนดูแลแจ้งเวลาเราไว้ตั้งแต่ตอนมาเช็คอินแล้วว่าอาหารจะเสร็จประมาณ 6 โมงเย็น แต่เรามาถึงก่อนเวลานิดหน่อยระหว่างรออาหารก็เลยเดินถ่ายรูปเก็บบรรยากาศที่พักไปเรื่อยๆ

ตรงหน้าที่พักจะมีลำธารไหลผ่านซึ่งเป็นน้ำจากแม่น้ำแม่ลาย ยิ่งพอตกเย็นหน้าที่พักก็เงียบสงบสามารถได้ยินเสียงน้ำไหลได้อย่างชัดเจน


ระหว่างถ่ายรูปเล่นเพลินๆก็มีคนจูงน้องหมาเดินผ่านมาทางหน้าที่พัก เราเห็นน่ารักดีเลยขอถ่ายรูปด้วย น้องหมาซนและขี้เล่นมาก สอบถามจากเจ้าของเค้าบอกว่า น้องหมาชื่อ มาโนช อายุยังไม่ถึง 3 เดือนดี เล่นกับมาโนชอยู่ซักพักพี่แม่บ้านก็มาตามบอกว่าอาหารเตรียมเสร็จแล้ว

อาหารมื้อเย็นจะเป็นอาหารง่ายๆ ในเซ็ต จะมี แกงจืด ไข่เจียว ผัดผัก น้ำพริกอ่อง ผักสด ข้าวสวย ทุกอย่างสามารถเติมได้ตลอดถ้าไม่อิ่ม พี่แม่บ้านจะคอยมาดูแลถามตลอด ว่าขาดเหลืออะไรไม๊ เราว่าก็โอเคดีนะ เพราะที่พักโฮมสเตย์ส่วนใหญ่ที่ไปพักมาก็จะแนวๆนี้ คือรวมอาหารเช้าและเย็นไว้ให้เลยทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน


หลังจากอิ่มข้าว เรานั่งอยู่ซักพัก ก็เตรียมตัวไปเข้านอน เพราะอากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ หนาวแบบต้องขนเสื้อกันหนาวหนาๆ มาใส่นอนกันเลยทีเดียว

วันรุ่งขึ้นเราตื่นแต่เช้าเพื่อจะไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้น ที่ กิ่วฝิ่น จากที่พักถึงกิ่วฝิ่น ก็ใช้เส้นทางเดียวกับทางไปแม่กำปอง ขับขึ้นไปเรื่อยๆผ่านร้านกาแฟ ชมนก ชมไม้ น้ำตกแม่กำปอง แล้วขับต่อไปอีก ประมาณ 3 กิโล ก็จะถึง กิ่วฝิ่น ต้องจอดรถไว้ แล้วเดินเท้าต่อขึ้นไปอีก 200 เมตร เค้าว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวนี่คือจริง เพราะว่าเราว่ามันหนาวมากๆขนาดเตรียมชุดมาพร้อมเรายังรู้สึกว่าเอาไม่อยู่ นี่ขนาดสิบกว่าองศานะ คือมันคงทั้งหนาวทั้งลมด้วยเลยยิ่งไปกันใหญ่ หลังจากชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นได้ไม่นานเราก็รีบลงมากะว่าจะแวะร้านกาแฟ ชมนก ชมไม้ จิบกาแฟร้อนๆให้คลายหนาวซักหน่อย พอมาถึง แป่ว!!!! ร้านยังไม่เปิด งั้นก็กลับไปกินอาหารเช้าที่บ้านพักก่อนแล้วกัน เดี๋ยวค่อยมาใหม่

อาหารเช้าของที่นี่ จะเป็นข้าวต้มหมูใส่เห็ด และก็มีขนมปัง กาแฟ โอวัลติน ผลไม้ ถ้าไม่อิ่มก็สามารถเรียกเติมได้ตลอดค่ะ


นั่งทำใจอยู่นาน มันหนาวมากจนไม่อยากจะลุกไปอาบน้ำ


หลังจากเช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก ขับเลยมาซักแป๊บเราก็สะดุดตากับเปลไม้ไผ่ริมน้ำข้างทาง เลยจอดรถแวะถ่ายรูปเก็บบรรยากาศกันซักหน่อย ตอนแรกเราคิดว่าเป็นร้านกาแฟ แต่จริงๆแล้วเป็นที่พักแบบโฮมสเตย์ ระหว่างเก็บภาพอยู่พี่เจ้าของก็ออกมาต้อนรับพี่แกอัธยาศัยดีมาก เสียดายเราต้องเดินทางไปต่อที่อื่น ไม่งั้นคงได้พักที่นี่ต่ออีกคืนเป็นแน่ จริงๆฝั่งหมู่บ้านแม่ลาย เราชอบนะ เราว่าความสงบยังมีอยู่เยอะมากๆ คงเป็นเพราะยังไม่เจริญเท่าฝั่งแม่กำปอง คนใช้เป็นแค่เส้นทางสัญจรผ่านไปร้านกาแฟ เดอะ ไจแอนท์ เท่านั้น พอช่วงเย็นๆค่ำๆไม่มีรถผ่าน ก็ถือว่าเงียบกริบ นอนอยู่บนบ้านพักชั้นสองยังได้ยินเสียงน้ำไหลจากลำธารค่อนข้างชัดเลยทีเดียว


มาต่อกันที่ร้านกาแฟ ชมนก ชมไม้ หลังจากที่เมื่อวานขับรถขึ้นมารอบนึงแล้ว แต่คนเต็มร้าน วันนี้เราเลยรีบขึ้นมาแต่วัน เผื่อจะมาเก็บบรรยากาศของร้าน เราสั่งของมาชิมหลายอย่าง ทั้ง กาแฟ เค้ก ชาเขียว หลังจากลองกินเราว่ากาแฟ และชา รสชาติโอเค แต่ขนมเค้กเราว่างั้นๆ ยังไม่ค่อยผ่านเท่าไหร่ แต่ก็แล้วแต่คนชอบนะคะ บางคนกินแล้วอาจจะอร่อยก็ได้


ตรงนี้เป็นมุมมหาชนของที่ร้าน ที่ใครๆมาที่นี่ก็ต้องมาถ่ายรูปกัน ยิ่งถ้าเป็นช่วงวันหยุด ต้องรอต่อคิวถ่ายกันเลยทีเดียว


จากมุมนี้จะเห็นได้ว่า หมู่บ้านแม่กำปองถูกรายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่อย่างอุดมสมบูรณ์ เขียวขจีไปหมด นี่ถ้ายิ่งเป็นช่วงหน้าฝน คงจะเขียวชะอุ่มมากยิ่งกว่านี้


จากร้านกาแฟ ชมนกชมไม้ เราก็ขับขึ้นไปต่อ ที่น้ำตกแม่กำปอง ที่นี่มีน้ำตลอดทั้งปี เนื่องจากป่ายังอุดมสมบูรณ์มากๆ น้ำใสสะอาดเย็นสดชื่นน่าเล่นมากๆ แต่เนื่องด้วยอากาศที่หนาวเราเลยได้แค่ลองเอามือแตะๆ ผ่านๆ ยังรู้สึกได้ถึงอาการมือชา เหมือนเอามือไปแช่น้ำแข็ง


กลับลงมายังหมู่บ้าน เราก็แวะกินข้าวซอยที่ร้าน ป้ออุ้ย-แม่อุ้ย ซึ่งเล็งไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่คนเยอะเลยมากินวันนี้แทน รสชาติข้าวซอย อร่อยใช้ได้ ราคาก็โอเคไม่แพง


หลังจากกินอิ่มเราก็มาแวะต่อกันที่ ผาน้ำลอด ซึ่งถ้าขับลงมาจากหมู่บ้านแม่กำปอง จะอยู่ทางซ้ายมือ ถึงก่อนโครงการหลวงตีนตกเล็กน้อย สังเกตุจะมีป้ายบอกทางอยู่ เดินเข้าไปภายใน อีกประมาณ 25 เมตร ก็จะเจอหินขนาดใหญ่ที่มีน้ำลอดผ่าน ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำ จึงเรียกว่า ผาน้ำลอด ล้อมรอบไปด้วยป่าไม้ที่ร่มรื่น ที่นี่มีมุมนั่งกินอาหาร กาแฟ เครื่องดื่ม อยู่เยอะมาก แต่วันที่ไปสังเกตุว่าไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ อาจจะเป็นช่วงวันธรรมดา หรือ คนอาจไม่ค่อยรู้จักเลยไม่ได้แวะที่นี่กันหรือเปล่าเราก็ไม่แน่ใจ



จบรีวิวแล้วนะคะ ขอบคุณที่ติดตามหากมีข้อมูลผิดพลาดอะไรขออภัยด้วยนะคะ



สรุปความประทับใจในทริปนี้ เราประทับใจทั้งอากาศ ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าที่นี่ รวมถึงผู้คนที่นี่อัธยาศัยดีกันทุกคน มีโอกาสก็จะกลับมาเที่ยวใหม่อีกแน่นอน



รายละเอียดที่พัก ที่ บ้านระเบียงดอยโฮมสเตย์

- บ้านพักเป็นบ้านไม้ ห้องพักจะอยู่ชั้นบน มีทั้งหมด 5 ห้อง ราคา 1,590 บาท/ พักได้ 2 ท่าน รวมอาหาร เช้า-เย็น เติมได้ตลอดถ้าไม่อิ่ม

- เต้นท์ มี 4 หลัง หลังละ 400 บาท พร้อมอาหาร เช้า-เย็น เหมือนกัน

ติดต่อได้ที่ https://www.facebook.com/banrabiengdoi.chiangmai/?fref=ts



ฝากไว้ซักนิดสำหรับคนที่จะไปเที่ยวหมู่บ้านแม่กำปอง หมู่บ้านแม่ลาย ขอให้ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวที่ดีมีวินัย ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และช่วยกันรักษาความสะอาดกันด้วยนะคะ อยากให้ที่นี่คงความสมบูรณ์ทั้งทรัพยากรและป่าไม้ไม่อยากให้เปลี่ยนไปมากกว่านี้ กลัวความเจริญเข้าไปมากขึ้นความสงบก็จะยิ่งจางหายไป



สอบถาม พูดคุย ติดตามทริปและรีวิวอื่นๆของเรากันได้ที่ Facebook Fanpage https://www.facebook.com/somewheresomeone/

Somewhere Someone

 วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 17.42 น.

ความคิดเห็น