...กรุงเทพเป็นเมืองหนึ่งที่ผมมองข้ามไปเสมอในการจะทำรีวิวอะไรสักอย่าง ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าจะทำรีวิวอะไรดีแต่เป็นเพราะแนวทางการทำรีวิวของผมจะเป็นแนวท่องเที่ยวทางธรรมชาติซะส่วนใหญ่ก็เลยผ่านเลยไป แต่เมื่อวันหนึ่งได้เข้าร่วมโครงการ Blogger Matching คือการเที่ยวฟรีที่ทางเว็บจัดขึ้นมา (เข้าไปอ่านในหัวข้อเที่ยวฟรีได้บนหัวเว็บ) และผมไปเจอโจทย์นึงที่น่าสนใจอยากลองทำรีวิวชิ้นนี้ขึ้นมาสักชิ้น ซึ่งสถานที่ที่จะทำรีวิวเป็นสถานที่ที่ผมเคยไปอยู่บ่อยครั้งเมื่อมีโอกาส และมันมีอะไรน่าสนใจหลายอย่างทั้งที่เที่ยว ที่กิน ชีวิตผู้คนในย่านนั้น และเป็นอีกแนวที่ผมอยากลองทำดูสักครั้ง ..Prince Palace Hotel คือโรงแรมที่ผมเข้าร่วมโครงการ Blogger Matching นั่นเอง โจทย์ที่ได้รับคือให้หาที่เที่ยวที่กินในละแวกแถวนั้น ซึ่งมันมีอยู่ในหัวผมแล้วหลายร้านในเรื่องของกินทั้งภาคกลางวันและกลางคืน ผมเก็บของยัดใส่กระเป๋าเป้เดินป่า แต่ครั้งนี้เราจะไปเดินเมือง นอนชิลล์ หาของกิน ชมวิวเมืองกันสักหน่อย ตามผมมาเลยครับ


ร้านขาหมูแม่มะลิ

เนื่องจากผมมาถึงก่อนเวลา check in ผมจึงฝากกระเป๋าไว้แล้วเดินไปหาของอร่อยในย่านนั้นกันก่อน ซึ่งมาแถวนี้ทีไรไม่พลาดที่จะไปชิมอาหารอร่อยแถวนั้น ร้านแรกที่ผมจะแนะนำก็คือ ร้านขาหมูแม่มะลิ (ขาหมูเตาถ่าน)ย่านตลาดเก่าโบ๊เบ๊สะพาน 4 ริมคลองผดุงกรุงเกษม ตรงข้ามมัสยิดมหานาค เดินข้ามสะพานเข้ามาประมาณ 50 เมตรสุดทาง เลี้ยวซ้ายมาไม่กี่ก้าวก็เลี้ยวขวาเดินมาถึงศาลเจ้าแล้วเลี้ยวขวาเข้าไปในตลาดเก่าก็จะเจอร้านขาหมูแม่มะลิอยู่กลางตลาด ซึ่งเป็นร้านอร่อยเก่าแก่ ที่อยากแนะนำเปิดมาแล้วกว่า 40 ปี ตั้งแต่รุ่นแม่จนมาถึงรุ่นลูก รสชาติจะเป็นสไตล์จีนไม่ออกหวาน กลมกล่อมเข้มข้นกำลังดี อีกทั้ง เนื้อหมูที่เปื่อยยุ่ยกำลังดี หนังกับใส้ที่เคี่ยวจนไร้ไขมัน และได้รับความรู้ในขั้นตอนการทำว่า จะใช้เตาถ่านตุ๋นไปเรื่อย ทำให้เนื้อหมูมีความนุ่มนวลไม่กระด้างเหมือนเตาแก็ส สิ่งที่ชอบเป็นพิเศษสำหรับผมคือเนื้อเต้าหู้ที่นุ่มมากๆ หากใครผ่านมาแถวนี้แวะมาชิมได้เลยติดกับร้านเจ๊เฮียงก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา เปิด 6 :00 - 12 :00 จานละ 35 ไข่ฟองละ 7 พิเศษ 40-50 ใส่ถุง 50 บาทขึ้นไป


ร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาเจ๊เฮียง

ร้านต่อไป คือร้านติดกันเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาเจ๊เฮียง ร้านเจ๊เฮียงเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาร้านเก่าที่เปิดมานานตั้งแต่สมัยรุ่นแม่ จนตกทอดมาถึงรุ่นเจ๊เฮียง ร้านนี้คนข้างนอกมักไม่ค่อยรู้จัก รู้จักกันแต่ชาวบ้านร้านถิ่นที่ค้าขายอยู่แถวนี้ แต่น่าแปลกกลับเป็นร้านที่ดังไกลถึง ตปท.มีชาวต่างชาติอย่างพวกคนจีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ แวะเวียนมาลิ้มลองกันอยู่บ่อยๆ ร้านนี้มักเปิดไม่เป็นเวลา แทนที่จะเปิดในช่วงเวลาที่คนหิวกลับเปิดเลยเวลานั้นไปแล้ว ส่วนใหญ่จะเปิด 11 โมงแต่กว่าจะตั้งร้านทำอะไรเสร็จก็เที่ยงกว่า ใครมากินร้านนี้ต้องทำใจหากมาตอนหิวๆ อาจจะหงุดหงิดได้ เพราะเจ๊แกจะสไตล์ทำไปบ่นไป จะหยิบจับอะไรก็ช้าด้วยอายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว และแกจะมีแค่ลูกจ้างช่วยแค่คนดียว วันที่ไปกินก็มีเพื่อนบ้านมาช่วยแทนเพราะลูกจ้างไม่อยู่ และแกก็ไม่รับทำใส่ถุงกลับไปกินบ้านในช่วงเวลาเร่งด่วน เพราะแกจะให้ลูกค้าที่มานั่งรอแกก่อน และบางครั้งรอคิวไปกว่าจะมาถึงคิวของหมดอดกินอีกจนชาวบ้านแถวนั้นเรียกว่า . ก๋วยเตี๋ยวราชา คือนึกจะเปิดตอนไหนก็เปิด แล้วใช่ว่าจะได้กินสมใจน่ะ ของหมดก็อดกินอีก ตอนผมไปถึง มีลูกค้านั่งกันอยู่ 3-4 คน ผมหาที่นั่งได้ก็สั่งบะหมี่เป๊าะแห้งต้มยำมาชามนึง และเส้นใหญ่น้ำต้มยำ (บะหมี่เป๊าะคิอบะหมี่เหลืองเส้นใหญ่ๆ) แต่พอดีของหมดเลยได้บะหมี่ธรรมดา ระหว่างนั่งรอ ก็มองดูลูกค้าที่มานั่งกดดันรอก่อนหน้านั้น ต่างคอยจ้องมองเจ๊เฮียงทำก๋วยเตี๋ยว เพราะดูเจ๊แกหยิบจับอะไรก็ดูเหมือนมือสั่่นๆ และยังต้องทำไปคอยลวกลูกชิ้น คอยต้มกระเพาะหมู ไหนจะหั้นนู่นนี่นั้น เพราะแกทำอยู่คนเดียวกว่าจะได้แต่ละชามนานมากผ่านไปครึ่งชั่วโมงบะหมี่แห้งที่ผมรอคอยก็มาถึงแต่เจ๊แกไม่ยำให้ บอกให้ไปยำเอง เอากะเจ๊เค้าสิ

ผมชอบลูกชิ้นปลากับกระเพาะห มูของร้านนี้มาก ลูกชิ้นปลาเจ๊เฮียงเป็นแบบนุ่มกรอบเด้ง เคี้ยวง่ายกว่าลูกชิ้นปลาโดยทั่วไป เขาบอกว่า ผสมด้วยเนื้อปลา 3 ชนิด คือ เนื้อปลาอินทรี เนื้อปลาหางเหลือง และเนื้อปลาไซตอ หรือ ปลาดาบยาว ความนุ่ม ความกรอบ ความเด้ง ความเนียนของเนื้อลูกชิ้นปลา และที่พิเศษ คือน้ำแกงก๋วยเตี๋ยวที่ผสมด้วยน้ำแกง 3 ชนิด คือ น้ำต้มกระดูกสันหลังหมู น้ำต้มลูกชิ้นปลา และน้ำต้มกระเพาะหมู ที่ผสมด้วยเม็ดพริกไทย รากผักชี ได้เป็นน้ำแกงหอมหวาน แต่เผ็ดร้อนพริกไทยปานกลาง ชนิดที่ซดไปเหงื่อแตกโซก ส่วนกระเพาะหมูกับใส้อ่อนก็เปื่อยยุ่ยเคี้ยวแต่ละคำแทบละลายในปาก ตัวบะหมี่เองเหนียวนุ่มคลุกเคล้ากับน้ำมันเจียวที่หอมกรุ่น ถ้ามาเร็วกว่านี้จะมีหมูทอดโรยหน้าด้วย ส่วนใครจะสั่งลูกชิ้นปลาไปกินเล่นที่บ้านเจ๊แกขายลูกละ 8 บาท ราคาเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ลูกชิ้นกุ้งลูกล่ะ 4 แฮ่กึ๋นเส้นล่ะ 40 ก๋วยเตี๋ยวชามล่ะ 50-60 บาท ร้านนี้ตั้งร้านพร้อมขายประมาณเที่ยง หรือ เลยเที่ยง สี่โมงกว่าๆเก็บร้านกลับบ้านแล้ว


โบ๊เบ๊แหล่งเสื้อผ้าขายส่ง

หลังจากอิ่มกันเต็มที่ก็เดินให้ย่อยสักหน่อย โดยการเดินชมวิถีชีวิตพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้น และก็เดินดูเสื้อผ้าโหลที่เขาขายกัน จะมีตั้งแต่วางแผงขายริมถนน หรือ ในตลาด รวมไปถึงในศูนย์การค้าติดแอร์ตึกโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ แหล่งนี้จะคึกครื้นกันเกือบจะทั้งวันทั้งคืน เสื้อผ้าที่ขายจะเป็นเกรดราคาถูกที่จะีบรรดาพ่อค้าแม่ค้าจากตจว.มาซื้อยกโหลไปขายที่ ตจว หรือตามตลาดนัดกันซะส่วนใหญ่ ถ้าเกรดดีขึ้นมาหน่อยก็บนโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ พอเดินย่อยได้ทีjแล้วก็เข้าไป check in ที่โรงแรม


โรงแรม Prince Palace

...โรงแรมนี้ตั้งอยู่ย่านเก่าแก่บนถนนดำรงรักษ์ตัดกับถนนกรุงเกษมริมคลองมหานาค สมัยก่อนบริเวณนี้จะเป็นวังเก่าชื่อ "วังมหานาค" ตั้งอยู่ริมคลองมหานาค บริเวณสะพานกษัตริย์ศึก วังมหานาครัชกาลที่โปรดฯ ให้สร้างพระราชทานแก่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช (ต้นตระกูล จิรประวัติ) พระโอรสองค์ที่ 17 ใน เจ้าจอมมารดาทับทิมเพื่อใช้เป็นที่ประทับ หลังจากที่เสด็จกลับจากการศึกษาวิชาการทหารที่ประเทศเดนมาร์กในปี พ.ศ. 2440 โดยทรงเรียกวังที่ประทับนี้อย่างง่ายๆ ว่า วัง มหานาค ตามชื่อคลองที่ไหลผ่านหน้าวังแห่งนี้ เมื่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช สิ้นพระชนม์ เมื่อมีพระชนมายุเพียง 38 พรรษา วังมหานาคนี้จึงตกแก่ทายาท และเมื่อถึงช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา วังนี้ก็ถูกตัดแบ่งขายจนเหลือเพียงตำหนักของ พระธิดาทางปีกซ้ายเท่านั้น วังมหานาค ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของตลาดมหานาค และ โรมแรมปริ๊นซ์พาเลช ริม คลองมหานาค โดยตัวโรงแรมในปัจจุบัน และอาคารโบ๊เบ้ทาวเวอร์คือ อดีตของตำหนักใหญ่ ในอดีตบริเวณวังประกอบไปด้วย ตำหนักใหญ่ ตำหนักพระโอรส ตำหนักพระธิดา โรงม้า ปัจจุบัน คงเหลือเพียงตำหนักพระธิดา ซึ่งอยู่ทางปีกซ้ายของวังซ่อนตัวอยู่ในบริเวณ ตลาดมหานาค โดยเป็นที่พำนักของทายาทในราชสกุลจิรประวัติ เช่น ม.ล.จิราธร จิรประวัติ เป็นต้น

ตัวโรงแรมอยู่ในตึกเดียวกับศูนย์การค้าโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ ที่เป็นตึกสีชมพูนั่นเอง จากภายนอกแทบไม่รู้เลยว่าโรงแรมนี้เป็นโรงแรมใหญ่มีจำนวนห้องพักถึง 744 ห้อง มีด้วยกัน 3 ตึก คือ ตึก A B C ที่จอดรถก็ใช้ลานจอดบนตึกโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ มีลานจอดในส่วนของโรงแรมอยู่ที่ชั้น 9-10-11 ซึ่งตรงกับทางเข้าโรงแรมที่ชั้น 7 counter check in อยู่ที่ชั้น 11 ตึก A

ในส่วนห้องพัก ห้องของผมอยู่ชั้น 19 จะเป็นห้อง deluxe หัวมุมเห็นวิวได้ทั้งสองด้าน ลักษณะเหมือนรูปตัว L เป็นห้องที่กว้างมากสภาพภายในห้องโทนสีออกไปทางสีน้ำตาล เฟอร์นิเจอร์หลักๆเป็นไม้ ตามสไตล์โรงแรมเก่า แต่ยังรักษาสภาพไว้ได้ดี มีโซฟาแนววินเทจนั่งชมวิวมุมกว้างได้สบายๆ ทั้งเตียงคิงขนาดใหญ่หนานุ่มใส่หมอนมาเต็มพิกัด ห้องน้ำมีทั้งอ่างอาบน้ำ และ shower แต่ไม่มีสายชำระ อุปกรณ์สำหรับห้องน้ำมีพร้อม ตู้เสื้อผ้ามีเสื้อคลุมนอนเตรียมไว้ให้ ไม่ต้องเตรียมชุดนอนมาให้กินพื้นที่กระเป๋า นอกจากนั้นยังมี minibar และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอีกหลายอย่างที่ควรมีครบครัน ในส่วนสัญญาณ wifi จะค่อนข้างอ่อนไปหน่อย เพราะลักษณะห้องเป็นเหลี่ยมมุม ทำให้บริเวณเตียงนอนซึ่งมีเหลี่ยมของห้องน้ำบังพอดีจะค่อนข้างอับสัญญาณ

หลังจากสำรวจห้องพักเสร็จ ทางโรงแรมได้เตรียมอาหารกลางวันไว้ให้ที่ห้องอาหาร prince cafe ชั้น 12 เป็นไลน์บุฟเฟต์ อาหารมีหลากหลายมาก ทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น ฝรั่ง seafood ผสมกันอยู่ในไลน์ รวมทั้งของหวานหน้าตาน่ากินมากมาย

หลังจากซัดมื้อหนักๆติดกันไป 2 มื้อ ออกไปไหนไม่รอดเลยขึ้นไปพักผ่อนสักพัก ช่วงเย็นจึงลงมาอีกรอบเพื่อชมดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า และวิวแสงสีของเมืองยามเย็น ซึ่งวิวที่เห็นจะเป็นวิวที่มองเข้าไปยังในเมืองแต่ท้องฟ้าไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ มีฝุ่นควันปกคลุม สีท้องฟ้าเลยออกเป็นสีตุ่นๆ พอดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า แสงสีในเมืองก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง


ทิพย์สมัย ผัดไทประตูผี

ถึงเวลาตามหาขออร่อยยามค่ำกันบ้าง เริ่มต้นกันที่ร้านเด็ดร้านดังของกรุงเทพ ที่พูดถึงแล้วคงไม่มีใครไม่รู้จักนั้นก็คือร้านผัดไทประตูผี อยู่ตรงข้ามวัดเทพธิดารามใกล้สี่แยกสำราญราษฎร์ ถ.มหาไชย ร้านนี้เปิดมาแล้วกว่า 50 ปีจนมาถึงรุ่นลูก เอกลักษณ์ของร้านที่เห็นได้ชัดคือจำนวนคนทั้งลูกค้าชาวไทยชาวเทศ ที่มารอต่อคิวกันที่เห็นเป็นประจำอยู่ทุกค่ำคืน เป็นเครื่องการันตีได้เป็นอย่างดี หน้าร้านมีผัดโชว์ให้คนยืนรอดูเพลินๆ ผมยืนรอคิวได้ไม่นานก็ถึงคิว ได้เข้าไปนั่งในร้าน ราคาผัดไทวันนี้ต่ำสุดอยู่ที่ 60 บาท เป็นราคาผัดไทธรรมดาใส่ไข่ ราคาสูงสุดแบบทรงเครื่องจะอยู่ที่ 300 บาท !! น้ำส้มคั้นราคาขึ้นลงดั่งทองคำอยู่ที่ราคา 160 บาท / ขวด เพราะฉะนั้นเวลาสั่งคำนึงถึงเงินในกระเป๋านิดนึง ร้านนี้ผมชื่นชมที่สามารถสร้างแบรนด์มาตั้งแต่สมัยจอมพลป.พัฒนาต่อเนื่องมาเรื่อยๆจนมีชื่อเสียงโด่งดังไกลไป ตปท มีสื่อแทบจะทุกสำนักที่ไม่เคยจะมีการเขียนถึงร้านผัดไทแห่งนี้ ข้าวของภายในร้านติดโลโก้ทิพย์สมัยก็ขายได้ รวมทั้งน้ำซอสผัดไทก็ทำเป็นผลิตภัณฑ์ส่งไปขายได้ และยังขยายสาขาไปที่พุทธมณฑลสาย 4 อีกร้านนึง

ในที่สุดผัดไทชื่อยาวเหยียดของผมก็มาใช้เวลารอไม่นานเพราะที่ร้าน มีมือผัดเกือบ 10 คน หน้าตา "ผัดไทเส้นจันทร์มันกุ้งกุ้งสดห่อไข่"ดูไฮโซมากๆ พอฉีกไข่ออกมาเจอกุ้งตัวโตอยู่ 2 ตัว รสชาติของผัดไทจะหวานนำแต่ไม่หวานมากตัดด้วยเปรี้ยวรสชาติถูกปากคนกรุงและชาวต่างชาติ หากใครจะกินเผ็ดก็เติมพริกเข้าไป ส่วนถ้าใครชอบถั่วก็เติมเข้าไปเองเพราะทางร้านจะไม่ใส่มาให้เพราะว่าบางคนอาจจะไม่ชอบใส่ถั่ว รสชาติโดยรวมใช้ได้ แต่ถ้ากินบ่อยอาจถึงกับจน ร้านนี้เหมาะสำหรับวัยฮิตติดเทรนด์ เช็คอิน - แชะ - ชิม - แชร์ เพราะดูจากอาการแล้วไม่มีท่าทางหงุดหงิดในช่วงที่รอคิวเลย ต่างคนต่างชักโทรศัพท์ออกมา selfie กันน่าสนุก


ข้าวต้มเป็ดอ้วน ข้าวต้มประตูผี

ออกจากร้านผัดไท ก็มาต่อ ข้าวต้มประตูผีในตำนานกันบ้าง ได้รับข้อมูลจากลุงคนขับ taxi ที่พามาส่งที่ร้านผัดไทว่า อย่าลืมแวะชิมข้าวต้มประตูผีน่ะ แกบอกว่าเป็นร้านเก่าแก่เปิดมานานกว่า 50 ปี ลุงแกมากินบ่อย เมื่อก่อนมีหลายร้านแต่ค่อยๆทะยอยปิดตัวไปจนเหลืออยู่ร้านเดียว ร้านนี้เพียงแค่เดินข้ามฝั่งจากร้านผัดไทมาเข้าซอยสำราญราษฎร์ข้างวัดเทพธิดารามไป 50 เมตร ก็เจอ ชื่อร้าน เป็ดอ้วนเจ้าเก่าเป็นห้องแถว บรรยากาศแบบบ้านๆ มีเมนูข้าวต้มหลายเมนูไม่ว่าจะเป็น เป็ด เครื่องใน หมู กระเพาะหมู กุ้ง ปลา รวมถึงอาหารตามสั่งให้เลือกมากมาย ผมสั่งข้าวต้มเป็ดใส่เครื่องใน กับ ข้าวต้มกระเพาะหมูไป อาหารเสริฟพร้อมควันกรุ่น กลิ่นแรกที่แตะจมูกคือหอมกระเทียมเจียวพริกไทยโชยมา รสชาติอร่อยไปอีกแบบ สำหรับครั้งแรกกับข้าวต้มเป็ดใส่เครื่องใน ส่วนข้าวต้มกระเพาะหมู อัดกระเพาะมาให้เยอะมากแบบไม่หวงเครื่องเลย แถมราคาเป็นมิตรกับทุกชนชั้นอีก


Night Life เยาวราชแหล่งรวมร้านอร่อย

ออกจากย่านสำราญราษฎร์ย้อนกลับมาหาดูร้านของกินทางด้านเยาวราชกันบ้าง ถึงแม้จะใกล้เที่ยงคืนผู้คนเริ่มบางตาลง แต่ก็ดีไปอีกแบบคือรถไม่ติด ยังมีร้านที่เปิดขายกันอยู่จนถึงตี 3 ยิ่งดึกชาวต่างชาติกลับดูเยอะกว่าช่วงหัวค่ำ ผมหาที่จอดอลงไปเดินเล่นให้ย่อยสักหน่อย ไปได้มุมจอดรถตรงในซอยวัดสัมพันธ์วงศ์ชั่วโมงละ 30 บาท เปิดตลอด 24 ชม. หมดปัญหา หากจอดริมถนนเสี่ยงที่เจ้าหน้าที่จะมาล็อคล้อตอนไหนก็ไม่รู้

ผมเดินลัดเลาะไปตามท้องถนนของเยาวราช ลมดึกโชยมาทำให้ไม่ร้อน รู้สึกเย็นสบายน่าเดินเล่นยิ่งนัก มองดูชาวต่างชาติที่นั่งกินอาหารกัน ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าทำไม street food ของเราเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกทั้งชาวตะวันตกและชาวตะวันออกแวะเวียนกันมายังถนนเส้นนี้ไม่ขาด ถึงแม้จะดึกแต่ร้านที่รู้สึกว่าจะยังคึกคักอยู่มีคนนั่งกินกันอยู่เยอะ จะเป็นร้าน sea food ที่อยู่ตรงตรอกเท็กซัส หรือถนนผดุงด้าว ตรอกนี้จะมีร้าน sea food อยู่หลายร้านเลย หลักๆที่คนเยอะจะเป็นร้าน ต๋อย & คิด ซีฟู้ด และร้าน ร้านเล็ก & รัตน์ ซีฟู้ด ที่เปิดให้บริการกันถึงตี 3

ผมเดินเล่นดูนู่นนี่นั่นไปเรื่อย ดูร้านของกินที่ยังเหลือเปิดอยู่ไม่กี่ร้าน อาหารและครื่องดื่มที่เห็นขายกันเยอะจะมีพวก น้ำสมุนไพรต่างอย่างน้ำทับทิบ น้ำรากบัว น้ำใบย่านาง และน้ำใบบัวบก และก้มีพวกเกาลัด ลูกพลับ สตอเบอรี่





ร้านก๋วยจั๊บนายเอ็ก

เดินเล่นสักพักชักเริ่มหิวเลยกะว่าจะไปกินก๋วยจั๊บร้านประจำ คือก๋วยจั๊บร้านนายเอ็กนั่นเอง ร้านนี้เปิดแทบจะทั้งวันไปจนดึกดื่น ตั้งแต่ 8:00 - 01:00 ผมมาร้านนี้จะชอบข้าวซี่โครงหมูอบ กับข้าวหน้าเป็ดพะโล้แล้วใส่หมูกรอบมากกว่า ส่วนก๋วยจั๊บไม่ได้สั่งมากิน แต่สั่งเป็นต้มเลือดหมูแต่โดยส่วนตัวไม่ชอบกินเลือด รสชาติน้ำซุปของต้มเลือดหมูจะเข้มข้นหอมเครื่องยาจีน หน้าตาอาจะดูธรรมดาไปหน่อยเวลาไม่ใส่เลือด มีใส่ผักมาชนิดเดียวคือผักจิงจูฉ่ายที่ไว้ดับกลิ่นคาวของพวกเครื่องใน และยังมีสรรพคุณต้านมะเร็งอีกด้วย ส่วนซี่โครงหมูกับเป็ดพะโล้หมักเครื่องเทศจนได้ที่หอมนุ่มลิ้น อีกทั้งหมูกรอบก็อร่อย


แสงวันใหม่เล็ดลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่าน ปลุกผมให้ตื่นจากการหลับไหล หลังจากที่เมื่อคืนออกไปท่องยุทธจักร พบปะกับปรมาจารย์แห่งอาหารหลายร้าน เกือบทำให้ธาตุไฟแตก แต่ตื่นมาก็เรื่มหาอะไรใส่ท้องเพราะดันมาทำรีวิวเรื่องของกินต้องจำใจอ้วน พอล้างหน้าล้างตาเสร็จเปิดหน้าต่างชมวิวดวงอาทิตย์ขึ้นแถว central world เสร็จแล้วแวะลงไปยังห้องอาหาร แวะชมวิวแถวสระว่ายน้ำอีกครั้ง ติดใจวิวตรงมุมนี้มาก ที่สามารถถ่ายได้ทั้งแสงเช้าและแสงเย็น หากท้องฟ้าเคลียร์ๆไร้ฝุ่นละออกคงสวยกว่านี้มาก

อาหารเช้าเป็นไลน์บุฟเฟต์ที่ยัดแน่นมาด้วยอาหารหลากหลายชนิดพร้อมเสริฟเต็มพิกัด


วัดมังกรกมลาวาส

หลังจาก เก็บสัมภาระและลงมา check out เป็นที่เรียบร้อย ผมขับรถมายังเยาวราชเพื่อแวะไปไหว้พระและสะเดาะเคราะห์แก้ปีชง ถึงแม้จะไม่ใช่เป็นปีชงของผมแต่ก็ทำอยู่ทุกปีจนเป็นความเคยชินไปแล้ว ช่วงนี้เยาวราชมีการก่อสร้างสถานีรถไฟฟฟ้า จะหาที่จอดยากสักหน่อย ถ้าไม่อยากเดินไกลมากแนะนำว่าให้นำรถไปจอดตรงวัดคณิกาผลหรือวัดใหม่ยายแฟงตรงข้าม โรงพักพลับพลาชัยแล้วเดินเลาะกำแพงของซอยยมราชสุขุมไปออกด้านหลังวัดมังกรได้ เมื่อก่อนภายในวิหารของวัดห้ามถ่ายภาพ แต่ปีนี้เปิดให้ถ่ายภาพได้หมด แถมยังจัด display เก๋ๆเกี่ยวกับคำทำนายปีนักษัตริย์ ไว้ให้ถ่ายภาพอีกด้วย


ก๋วยจั๊บแม่อารีย์

ส่งท้ายรีวิวก็ยังไม่หยุดหาร้านของกิน เดินเล่นแถวหน้าวัดมังกรไปเรื่อยๆมองหาร้านอร่อยที่รู้จักหลายร้าน รู้สึกว่าหายไปหลายร้านเลยเนื่องจากโดนเวนคืนสร้างสถานีรถไฟฟ้า ทั้งงบะหมี่จับกัง กระเพาะปลาเจ้าเดิม หรือข้าวเสียโป ไม่เห็นอีกแล้ว แวะร้านข้าวขาหมูหน้าซอยข้างวัดมังกร ไม่แน่ใจว่าใช่ร้านขาหมูเฮียโอวหรือไม่เพราะหน้าตาพ่อค้าไม่ใช่เฮียโอว และอีกอย่างร้านขาหมูเฮียโอวขายอยู่ในซอยแต่ร้านนี้อยู่หน่าปากซอย แต่ถึงจะไม่ใช่ก็หิ้วกลับมากินที่บ้านไปแล้ว แถมรสชาติยังอร่อยเสียด้วย

เดินลัดเลาะไปตามบาทวิถีเลี้ยวซ้ายเข้าตรอกอิสรานุภาพ ตรอกนี้เป็นทั้งตลาดและมีร้านอร่อยๆหลายร้านซ่อนตัวอยู่ด้านใน ร้านแรกที่แวะชิมเป็น "ขนมอิ่วก๊วย"เป็นขนมโบราณของชาวจีน ทำจากแป้งข้าวเหนียวผสมมันเทศ มีใส้เป็นกะหล่ำปลีซอยผสมเห็ดหอมหมูสามชั้นและกุ้งแห้งปั้นเป็นลูกแล้วลงไปทอด ผมลองชิมดูตัวแป้งจะนุ่มมาก แต่ออกจะเลี่ยนไปนิดแต่ใส้อร่อยดีทีเดียว

ร้านต่อมาชื่อร้านก๋วยจั๊บแม่อารีย์ เห็นร้านนี้มานานแล้วไม่มีชื่อร้านและได้มาติดชื่อร้านภายหลัง แรกๆคิดว่าเป็นร้านก๋วยจั๊บเจ๊หงษ์หรือเปล่า แต่ก็ไม่ใช่เพราะร้านก๋วยจั๊บเจ๊หงษ์อยู่ถัดไปไม่ไกล เลยลองซื้อกลับมาชิมที่บ้านดู เป็นก๋วยจั๊บน้ำใสรสชาติน้ำซุปกลมกล่อมกำลังดี ไม่หนักพริกไทยเหมือนร้านนายอ้วน

ข้างในตรอกยังมีร้านอร่อยอย่างร้านก๋วยจั๊บเจ๊หงษ์ ตือฮวนสองพี่น้อง และต้มปลาตะเพียน ต้มกระเพาะหมู พุงปลาช่อนต้มผักกาดดอง และอีกหลายร้านที่อยู่ใกล้ๆวัดคณิกาผล แต่ไม่ได้แวะชิม ใครเคยลองแล้วรสชาติเป็นไงบอกกล่าวกันบ้างนะครับ

สุดท้าย ต้องขอขอบคุณทางโรงแรม Prince Palace ที่สนับสนุนที่พัก+อาหาร ประกอบการทำรีวิวชิ้นนี้ด้วยครับ พบกันใหม่รีวิวหน้าจะพาล่องใต้กันบ้าง

แผนที่เส้นทางต่างๆในทริปนี้



-ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ได้เข้ามาชม และ กด like กด share เป็นกำลังใจน่ะครับ

-แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือพูดคุย สอบถามข้อมูลการเดินทาง Fanpage : สตั๊ดดอยร้อยเรื่องราว

-ติดตามบทความเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ ทริปเดินทางทั้งหมด




























สตั๊ดดอย ร้อยเรื่องราว

 วันอังคารที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.49 น.

ความคิดเห็น