ที่ต้องเกริ่นชื่อกระทู้แบบนั้นเพราะ Incredible India เป็นคำที่เราสงสัยมาตลอดว่าทำไมต้องคำนี้ มันน่าเหลือเชื่ออะไรมากมายขนาดนั้นเลยหรอ? ได้แต่สงสัยไม่เคยเปิดหาข้อมูลไรอ่าน จนได้ไปเจอของจริงนี่แหละถึงรู้..



นึกย้อนกลับไปก่อนจะมาเป็นการเดินทางครั้งนี้ ก็เหมือนๆกับหลายๆกระทู้ที่ต้องโดนคนรอบข้างเบือนหน้าหนี หลังจากที่ถูกเราชวนไปยังประเทศที่ขึ้นชื่อว่ามัน "incredible" นี่แหละ จากสมาชิกมีแค่ 2 คน ก็หลอกล่อมาจนได้ครบ 5 คน (ดีใจจริงๆมีคนมาช่วยหารค่ารถ ฮ่าๆ)



เอาเป็นว่าเราจะพยายามทำให้ทุกคนค่อยๆเริ่มเชื่อในคำว่า Incredible India ไปกับเรา และเราจะพยายามหลอกล่อทุกคนโดยการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และข้อมูลที่ไร้สาระในเวลาเดียวกัน



ใครที่อยากไปเที่ยวภูเขาอากาศดีๆ อยากไปเที่ยวทะเลสาปน้ำสีฟ้า แต่ก็อยากเจอหิมะด้วยอะ แต่แบบว่าถ้าได้ถ่ายรูปกับทะเลทรายก็คงสวยดี มาที่นี้แหละถูกทางแล้ว เดี๋ยวเราแถมฝนตกและอากาศร้อนอบอ้าวให้ด้วยทริปเดียวเลยแล้วกัน!!



ตาอ่านไปเพลินๆ มือก็อย่าเผลอไปกดจองตั๋วตามแล้วกัน :')



.

.

.

.

.



please wait



พูดคุยสอบถามเพิ่มเติมกันได้ไม่ว่ากัน

https://www.facebook.com/some.mile



รีวิวอื่นๆของพวกเรา



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

แจก Check-Lists ก่อนออกเดินทาง

http://pantip.com/topic/33059830



เที่ยวกับคนไม่สนิทยังไงให้สนุก?

http://pantip.com/topic/34075419



รีวิวทริปอินโดนีเซีย โบรโม่ คาวาอิเจี้ยน

http://pantip.com/topic/33618766



รีวิวทริปลาวกลาง อุบล สามพันโบก

http://pantip.com/topic/33199767



รีวิวทริปญี่ปุ่น โตเกียว โอซาก้า

http://pantip.com/topic/33073286รายละเอียดราคาค่าใช้จ่ายเกือบจะทั้งหมดแล้ว ใส่มาเผื่อใครจะตามรอยกัน จะได้มองออกง่ายๆว่าต้องใช้อะไรประมาณไหนบ้าง

เดี๋ยวจะแจกแจงอธิบายเป็นข้อๆไปละกันเนาะ ราคาพวกนี้เรายึดจากช่วงเวลาที่เราไป ซึ่งค่อนข้างเป็นไฮซีซั่นของที่นั้นแล้ว



VISA



ไปอินเดียต้องทำ VISA อย่างที่รู้ๆกัน ส่วนค่าทำวีซ่านั้นยังเป็นปัญหาอยู่จริงๆ ว่ามันเท่าไหร่กันแน่วะ คิดอีกก็งงอีกคือนี่เราโดนโกงหรือเราไม่เข้าใจที่เจ้าหน้าที่เขาอธิบาย จะขอข้ามๆมันไปแล้วกัน แต่ราคาอจะยู่ระหว่าง 2,080 บาทนี่แหละ ไม่เกินไปกว่านี้หรอก ทำง่ายๆ เตรียมเอกสารให้ครบ สองวันก็ได้ passport ส่งตรงถึงบ้านแล้วจ้า



เดินทางยังไงดี


ส่วนนี้ขอพูดถึงการเดินทางในแคว้นตอนเหนือของอินเดียอย่างเดียวก่อนเนาะ



จริงๆแล้วเราต้องวางแผนเส้นทางการเดินทางก่อนว่า เราจะเริ่มต้นเที่ยวจากที่ไหนก่อน

เส้นทาง เดลี-เลห์-ศรีนาการ์-เดลี คือเส้นทางที่พวกเราเลือกกัน โดยการ บินจากนิวเดลีมาลงที่เมืองเลห์จากนั้นนั่งรถต่อไปยังศรีนาการ์และเลือกบินกลับไปยังเดลี หรือๆๆๆ จะเริ่มต้นบินจากเดลีมาลง ศรีนาการ์ - เลห์ - มะนาลี ก็ได้เหมือนกัน



การเดินทางระหว่างเมืองหลักๆเหล่านี้สามารถเดินทางได้ทั้งทางรถยนต์ รถบัสโดยสาร และเครื่องบิน


- ถ้าหากคุณมีกำลังทรัพย์มากพอที่จะนั่งเครื่องบินข้ามไปมาระหว่างเมือง เราก็ดีใจด้วยที่คุณจะได้ไม่ต้องเมารถ และใช้เวลาอันน้อยนิดในการเดินทาง 55555 แต่ก็อาจจะไม่ได้สัมผัสกับการคมนาคมบนเส้นทางที่โคตรจะสวยย สวยจริงๆนะเว้ยย

- ถ้าอยากประหยัด เส้นทางเลห์-มะนาลี โดยรถบัสโดยสาร ราคาเพียง 2,000 รูปีหรือประมาณ 1,000บาทเท่านั้นแหละ แต่จากศรีนาการ์-เลห์ นี่ไม่รู้แห่ะ ราคาน่าจะพอๆกันแหละ

- ถ้าอยากสบายใจหน่อยและเป็นส่วนตัวก็เลือกเหมารถหารค่ารถกันกับเพื่อน อาจจะแพงกว่ารถบัสนิดหน่อย แต่อยากแวะไหนก็แวะ ใช้เวลาเร็วกว่า เส้นทางการเดินรถไม่ต้องพูดถึง คือมันสุดยอดเหมือนกัน ทั้งความสวยและความเสียว



ข้อเสียของรถบัสน่าจะเป็นเรื่องความล่าช้าหากเส้นทางนั้นๆเกิดหินถล่ม รถยนต์คันเล็กจะสามารถผ่านไปได้เร็วกว่า และรถบัสน่าจะสร้างความเสียวได้มากกว่า เนื่องจากความสูงของตัวรถ ลองจินตนาการตามถ้าอยู่บนรถบัสที่วิ่งอยู่บนไหล่เขาที่เป็นถนนเลนเดียว โอ๊ยยยย คือแค่นั่งรถยนต์ธรรมดาก็หายใจไม่ทั่วท้องแล้ว โดยเฉพาะเส้นทาง Zojira Pass ในศรีนาการ์ ฮืออ พุทโธ ธัมโม สังโฆ..



// ตั๋วเครื่องบินในประเทศเป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่า ยิ่งจองใกล้วันเดินทางมากเท่าไหร่ หน้าคุณจะซีดขึ้นเท่านั้น เพราะราคามันช่างขูดเลือดขูดเนื้อเสียจริงๆ!

แล้วที่เที่ยวล่ะ? ไปไหน ยังไงดี



การเที่ยวในเมืองเลห์และเมืองใกล้เคียงเราจะใช้บริการรถเช่าเหมา ราคาจะคิดตามระยะทางของแต่ละสถานที่ ทุกเอเจนซี่หรือร้านค้าที่มีบริการรถเช่า จะมีสมุดบอกราคาไว้ เป็นราคากลางมาตราฐาน (มั้ง) เป็นราคาที่ถูกปรับขึ้นลดลงตามแต่ละปีไป ส่วนความต่างของราคาว่าจะถูกแพงนั้น จะต่างกันแค่ขนาดของรถและรุ่นของรถ โดยเราเลือกรถที่เป็นตัวท็อปสุดของที่นั้น คือ โตโยต้าอินโนว่า (เห็นว่ามีรถที่ใหญ่กว่านี้คล้ายรถบ้านแต่ไม่แน่ใจราคา)



- รถหนึ่งคัน นั่ง 5 คน ไม่รวมคนขับ ค่อนข้างสะดวกต่อเงินในกระเป๋า แต่ค่อนข้างจะไม่สบายสำหรับคนขี้เมารถที่ต้องนั่งด้านหลัง ใครจะนั่งหน้าหนังหลังต้องตบตีกันเอาเองนะ แต่เอาเข้าจริงนั่งหน้านั่งหลังก็เมาหมดแหละ ทางเหวี่ยงคดเคี้ยวซะขนาดนั้น 555555 แต่ถือว่าโอเคแล้ว มากไปกว่านี้คงจะไม่ไหวจริงๆ เพราะระยะทางแต่ละที่ที่ต้องไปนั้นค่อนข้างไกลกัน



สำหรับราคาค่ารถแต่ละปี เช็คได้ที่นี้เลย จากไหนไปไหนรถรุ่นไหน ดูราคาไว้จะได้ควบคุมงบประมาณได้ถูก

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://leh.nic.in/pages/Taxi-list.pdf



สถานที่เที่ยวในเลห์


แหล่งเที่ยในเลห์โดยส่วนใหญ่ เราขอแบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ๆเลยคือ วัด กับ ภูเขา ดูเหมือนจะน่าเบื่อนะถ้าต้องใช้ชีวิตเกือบสองอาทิตย์อยู่กับวัดและธรรมชาติ แต่จริงๆแล้วไม่เลยไม่เล้ย ไม่เลยยย ... ไปวัดอาจจะเริ่มเบื่อๆบ้างนิดหน่อย แต่วัดที่เลห์มีเสน่ห์ตามสไตล์ของเขาอยู่ เรารู้สึกอินกับวัดที่นั้นมากกว่าวัดที่ไทยซะอีกนะ อ่อ..อีกอย่างที่ถูกรวมไปกับวัดก็คือ palace สถาปัตยกรรมเขามีความคล้ายกันอยู่ระหว่างสองที่นี้ มันมีกลิ่นอายที่เราไม่เคยเจอ ในเมืองฝุ่นหนาๆแต่มันมีเสน่ห์ที่ทำให้คิดถึงอย่างบอกไม่ถูก



นอกจากวัดแล้วก็ยังมีอีกอย่างที่คอยจ้องมองเราตลอดเวลา นั่นก็คือ ภูเขา .. ใช่ ภูเขาที่คอยแอบเล่นซ่อนหากับเราตลอดเวลาโดยเฉพาะเทือกเขาหิมาลัย ช่วงเวลาที่ไปเป็นช่วงเวลาที่ยังหลงเหลือหิมะปกคลุมยอดอยู่ หันไปทางขวาก็เจอหิมาลัย หันไปทางซ้ายก็เจอเทือกเขาน้อยใหญ่โอบล้อมเราเต็มไปหมด ไม่ใช่เฉพาะที่เมืองเลห์นะ เมืองอื่นๆก็เป็นแบบนี้ทุกที่เลย แต่เราจะเห็นความสวยงามของภูเขาที่มันต่างกันไป บางคนอาจจะว่าภูเขามันก็เหมือนๆกันหมดแหละ แต่อยากจะบอกว่าไม่เลย เวลาเราอยู่บนรถแล้วรถเคลื่อนตัวไปเรื่อยไปบนถนน เราจะเห็นความสวยของภูเขาแต่ละลูกในแต่ละมุม มันเหมือนภาพที่มีมิติที่มันสวยอย่างกับในหนังลอยอยู่ตรงหน้า ดูเว่อร์มั้ยละ .. ต้องลองไปดูเอง แล้วจะรู้ว่าสวยเวอร์มันเป็นยังไง



ส่วนสถานที่หลักๆที่ไปเที่ยวก็มีประมาณนี้



- Leh Palace

- Shanti Stupa

- Shey Palace- Thiksey

- Hemis

- Stok Palace

- Pangong Lake

- Nubra valley

- Diskit Gompa

- Hundar

- Moon Land



ที่พักนอนที่ไหนยังไงดี



-ในเมืองเลห์เราเลือกใช้บริการของ Ree-Yul Guesthouse หรือซาลีมนั้นเอง ติดต่อง่ายได้ทั้งเฟสบุ๊คและอีเมล์ จากที่ลองๆอ่านมาก็มีหลากหลายความเห็น บ้างก็ว่าซาลีมจะออกแนวเขี้ยวๆขี้เหนียวหน่อย แต่เราเลือกเพราะอย่างแรกเลยคุยง่ายดี และราคาที่พักก็โอเคพอรับได้ บางที่อาจจะมีถูกกว่านี้แหละ และจริงๆแล้วเขาก็ใจดีนะ ช่วยเหลือเด็กตาดำๆอยากเราตลอดทั้งทริป ไม่ได้ซาลีมนี่แย่เลยจริงๆ



แต่ใครที่อยากจะวอล์คอินเลือกที่พักเอาเองก็ง่ายมาก เมืองเลห์มีที่พักให้เลือกเยอะแยะเลย อยู่ติดร้านอาหารติดตลาดเลยก็มี อยู่ห่างไปออกจากเมืองเลยก็มี ใช้บริการรถเช่าหรือรถจากสนามบินให้เขาพาไปหาเอาเลยก็ได้ สบายๆ



- ที่พัก ใน Nubra Valley เราก็ให้ซาลีมจัดการให้เลย ก็เป็นที่พักของเพื่อนๆเขานั้นแหละ ราคาไม่แพง มีทั้งเต้นท์และบ้าน

- ที่พักในศรีนาการ์ แคชเมียร์ ต้องมาลองนอน บ้านเรือดูสักครั้งแหละเนาะ ไหนๆก็มาแล้ว ที่พักอยู่ในทะเลสาปดาล ห่างจากสนามบินประมาณ20นาที



สภาพอากาศ


เรื่องนี้แมร่งเป็นปัญหากับเรามากจริงๆ คือแบบว่า ต้องเตรียมชุดไปยังไงดีวะ?! เห็นบางคนไปช่วงกรกฏาเหมือนกันบางคนดูหนาวเหลือเกิน บางคนไมดูร้อนๆเหมือนเดินเล่นอยู่สยามบ้านเรา



- สภาพอากาศที่เลห์ช่วงปลายปีไปจนถึงต้นปี ช่วง LOW ของที่นั้นเพราะมันหนาวมาก หิมะหนาสุดๆ ก็คงต้องเตรียมชุดไปหนาๆกันหนาวขั้นสุด แต่มันจะเป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีใครไปเที่ยวกันเท่าไหร่ ร้านค้าไม่ค่อยเปิด

- ช่วงที่อากาศดี คำว่าอากาศดีในที่นี้คือ ไม่หนาวเว่อร์ขนาดนั้นตลอดวัน มันจะมีช่วงหนาว ช่วงร้อน โดยรวมคือสบายๆ



แต่ถ้าจะพูดให้เห็นภาพคือมันเป็นอย่างนี้ เราไปช่วงเดือนกรกฎาคม มันยังหลงเหลือหิมะอยู่บนยอดๆเขา แต่ซึ่งในตัวเมืองเลห์เนี่ยอากาศดีนะ ถ้า!!อยู่ในที่ร่ม มีลมเย็นสบาย อากาศสัก 25-28 องศา แต่เพราะเมืองเลห์แดดแรงมาก มันเลยทำให้อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็นสบายสลับกันไป (เตรียมครีมกันแดด แว่นกันแดด เสื้อกันแดด อุปกรณ์กันแดดกันไปให้ดี เพราะผิวคุณจะไหม้เสียเหมือนเราได้ 555)



พอตกดึกหล่ะ ก็เริ่มเย็นๆนิดหน่อย เย็นทนได้ ถ้าไม่นับว่าเครื่องทำอุ่นในห้องน้ำไม่ทำงานนะ TT

เวลาจะไปเที่ยวที่ต้องผ่านทางผ่านบนเทือกเขาสูงๆเนี่ย อากาศร้อนจากเมืองเลห์ก็จะค่อยๆเปลี่ยนเป็นหนาวๆ และหนาวมากก ถ้ามันบังเอิญเจอหิมะตกเหมือนเรา และมันก็จะค่อยๆหายหนาวพอเริ่มลงจากเทือกเขาสูงๆ และบางทีฝนมันก็จะตก! เออคือเอาแน่เอานอนไรกับมันไม่ได้เลย ฉะนั้นก็เตรียมกันไปให้พร้อมพอประมาณ ไม่ต้องเตรียมซะหนาวถึงขึ้นติดลบหรอก เพราะเราก็จะเจอช่วงหนาวแค่เป็นช่วงๆเท่านั้นแหละ



เตรียมตัวก่อนขึ้นที่สูง

เราเห็นคนเขียนเรื่องการเตรียมตัวก่อนขึ้นที่สูงไว้เยอะแล้ว ลองหาอ่านเอาน้าาา ส่วนเราก็กินยาก DIAMOX 250 ตามที่คนอื่นๆเขาบอกกัน กินก่อนขึ้นที่สูงก่อน 2 วัน วันละ2ครั้ง ครั้งละ1เม็ด ตอนอยู่เลห์ก็ยังคงกินอยู่สักสองวันแล้วค่อยหยุด เพราะมันก็เริ่มๆปรับตัวได้ และก็ดิ่มน้ำเยอะๆไว้ ฃ



//อันนี้เรียกว่า "ดาล" เป็นถั่วกับผัก กินคลุกข้าว เขาว่าอร่อย แต่เขาคนนั้นไม่ใช่เราแน่ๆ



อาหาร



พอต้องพูดถึงเรื่องนี้ก็ได้แต่ยิ้มมุมปาก หัวเราะหึหึอยู่ในใจ ฟังให้ดีนะ เราแนะนำว่า ใครที่เกลียดกลิ่นเครื่องเทศแบบเรา พกไปเลยมาม่าอะ น้ำพริกป่นๆอะ อาหารสำเร็จรูปที่เราไม่เคยเหลียวแลมันตอนมันวางอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ต หอบมันมาเหอะ ชีวิตคุณจะง่ายขึ้น คือชีวิตสองอาทิตย์ที่นั้นช่างทรมาน เมื่อถึงเวลากินข้าว น้ำตาคลอทุกครั้งที่ต้องคิดว่าจะกินอะไรดี เพื่อนบางคนที่กินอาหารอินเดียได้ยังมีเบื่อเลยอะ คิดดู! อ๋อ แล้วอีกอย่างนึงเราไม่แน่ใจว่าที่เลห์เขาจะกิน VEG กัน วันเว้นวันหรือยังไงนี่แหละ ตามร้านอาหารคือจะเป็นหมด แต่ถึงกินเนื้อสัตว์ก็จะมีแต่ไข่กับไก่และแกะ อย่างหลังนี่น้องขอบาย.. เหมือนนั่งกินข้าวอยู่กลางสวนผึ้งยังไงยังงั้น กลิ่นจะแรงไปไหนนนน ฮืออออ



//อาหารเช้าจะเสริฟ์เป็นจัย ชาซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของที่นั้น อร่อยดีมีหลายสูตร บ้างก็จืด บ้างก็หวาน บ้างก็เลี่ยนเพราะบางที่ใส่เนยเพิ่มความมันของขอบปากหลังจากกิน



แค่นี้ก็น่าจะพร้อมแล้วเนาะ เดี๋ยวเราไปเริ่มออกเดินทางกันได้แล้วดีกว่า

.

.เริ่มออกเดินทางวันแรก สิ่งที่เพื่อนๆบอกให้เตรียมไปให้พร้อม นั้นก็คือ ทิชชู่ทั้งแห้งและเปียก เจลล้างมือ ผ้าปิดปาก แต่เอาเข้าจริงๆแทบจะไม่ได้ใช้เลย ส่วนมากเจลล้างมือหลอดเดียวเอาอยู่ ทิชชู่ไว้เวลาเร่งด่วนตอนอั้นไม่อยู่กลางป่ากลางเข้าเท่านั้นแหละ



แผนการเดินทางถูกปรับเปลี่ยน จากเดิมที่ต้องบินไปถึงเดลีช่วงดึกๆแล้วรอต่อเครื่องไปเลฆืตอนเช้ามืด เปลี่ยนเป็นไปถึงเดลีช่วงบ่าย!! แล้วเราจะทำยังไงกับเวลาที่เหลือดี เพิ่งวันแรกก็ยังไม่พร้อมจะออกไปเผชิญโลกกว้างในเมืองหลวงสักเท่าไหร่นะ



ก้าวเท้าขึ้นเครื่องบินเตรียมจมูกพร้อมเหม็นกลิ่นแขกเต็มที่ จินตนาการไว้ว่ามันต้องเหม็นมากๆแน่ แต่เอ่อะ.. มันไม่ขนาดนั้นนะแกก คิดว่ารู้สึกไปเองคนเดียว หันไปถามเพื่อนมันก็บอกว่าไม่ได้รุนแรงอะไรขนาดนั้น

ภาพตัดมาอีกทีกำลังจะถึงสนามบินในเดลี สีหน้าเพื่อนๆดูยังไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ 55555 อย่าไปกลัวเว้ยย ลุยยย!!



จากที่บอกไปว่าเรามาถึงเดลีช่วงบ่าย เราจึงแวะเที่ยวในเดลีระแวกใกล้ๆกันสักหน่อยที่



- Connaught Place แหล่งร้านค้าร้านอาหารขึ้นจากmetroมาก็ถึงเลย เดินวนรอบเดียวก็เหนื่อยแล้วเพราะอากาศร้อนมากกกกกกกก แถวนี้ไม่ค่อยหน้ากลัวเท่าไหร่ มีแมค เคเอฟซี เบอร์เกอร์คิงขาย สบายใจไปอีกมื้อ



- วัด Gurudwara Bangla Sahib เป็นวันที่เปิด24ชั่วโมง ถ้าจะเข้าไปด้านในวัดต้องมีผ้าโพกหัวกันทุกคนนะ เตรียมไปเองดีกว่าจะได้ไม่ต้องใช้ร่วมกันเหงื่อแขกนะนายจ๋า ปล.มีข้าวให้กินฟรีด้วยนะถ้าใครอยากประหยัด



(เดี๋ยวจะมาแทรกการเดินทางในเดลีให้น้า)



//ก่อนออกจากสนามบินเราฝากกระเป๋าไว้ที่ Cloakroom ค่าเสียหายฝากไปประมาณ4-5ชั่วโมง ตกคนละ 120 บาท ที่ฝากกระเป๋าจะคิดตามน้ำหนักกระเป๋า เช่น กระเป๋าน้ำหนัก 5-10 กิโล คือไซส์ S อะไรแบบนี้



เสร็จจากภาระกิจฆ่าเวลาก็มาเอากระเป๋าคืนแล้วนั่งรถเปลี่ยน terminal นอนรอเครื่องบินออกตอนเช้ามืด มีที่ให้นอนอยู่หลายจุดอยู่ นั่งๆนอนๆดิ้นไปดิ้นมาก็ถึงเวลาขึ้นเครื่องแล้วว ตื้นเต้นจังเลยยย ที่ตื้นเต้นเพราะแอบหวั่นเรื่องแพ้ความสูง กลั๊วกลัวมันจะมาทำให้เที่ยวไม่สนุก



นั่งหลับๆตื่นๆอยู่ไม่นาน กัปตันก็ประกาศเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดีย จับใจความอย่างมั่วๆได้ว่า เออเนี่ยยมันใกล้จะถึงแล้วนะพวกแกกกก ยังไม่สิ้นสุดคำประกาศเหล่ามวลประชาบนเครื่องบินก็เริ่มนั่งไปติดกับที่ ชะโงกหน้าซ้ายขวามองออกไปที่หน้าต่าง พร้อมที่จะพุ่งตัวออกไปจากตรงนี้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะภาพที่เห็นตรงหน้ามันสวยมากกก นี่ชั้นตายไปแล้วหรือแก?



เสียงชัตเตอร์ของแต่ละคนรัวยิกๆๆๆๆๆจนล้อเครื่องบินแตะพื้นผิวโลกก็ยังไม่ยอมหยุดแฉะ สนามบินเมืองเลห์แค่เห็นก็อบอุ่นแล้ว เพราะมีลักษณะเป็นเหมือนบ้านหลังเล็กๆไว้รอต้อนรับนักท่องเที่ยว รับกระเป๋าและยื่นใบกรอกเข้าเมืองเรียบร้อยง่ายดาย ก็เจอคนขับรถจากที่พักถือป้ายรอเราอยู่ข้างหน้า



วันแรกในเลห์ยังไม่มีอารมณ์ตื่นเต้นเท่าไหร่เพราะง่วงนอนและอึนกับการเปลี่ยนความสูงอย่างรวดเร็วแบบนี้ ไปถึงที่พักยังไม่ทันได้ทักทายซาลีมดี แต่เขาคงจะชินกับเหตุการณ์แบบนี้ ทุกคนไม่พูดไม่จาตรงเข้าประจำที่นอน อัพIGกันคนละรูปแล้วก็ บ๊ายบายยยย .. ลืมตาตื่นมาอีกทีบ่ายสองโมงกว่าๆแล้ว หลับจนลืมตื่นมานี่อยู่ที่ไหนวะ ตั้งสติได้รีบอาบน้ำแต่งตัวไปหาซาลีมเพื่อนัดแนะแผนการเที่ยววันนี้และวันอื่นๆ



ซาลีมตอนรับเราอย่างเป็นทางการด้วยจัย อร่อยเหมือนกินชานมบ้านเราเลย จากนั้นซาลีมก็กลางลายแทงสมบัติราคาค่ารถออกมา แต่เราได้ถามและทราบราคาก่อนมาแล้ว มีปรับเปลี่ยนแค่แผนนิดๆหน่อย ลงตัวที่เย็นวันนี้เราจะเดินทางในตัวเมืองเลห์กัน ใกล้ๆง่ายๆ แต่วิวไม่ธรรมดาเลยจริงๆ



ที่แรกวันนี้คือ Leh Palace และ Shanti Stupa ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปสถานที่มาเลย มัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับภาพรอบๆมากกว่า


อย่างที่บอกไปในตอนแรกว่าสถานที่เที่ยวในเลห์ส่วนมากจะมีแค่พวกวัดและพระราชวัง นอกเหนือจากนั้นก็คือภูเขาที่โอบล้อมเราอยู่




เย็นวันนี้เราจะไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกกันที่ Shanti Stupa อีกฝั่งนึงจากจุดที่เรายืนอยู่





บ๊ายบายแสงสุดท้ายของวันนี้ กลับที่พักด้วยอารมณ์ดี๊ดี ใครจะไปคิดว่าการนั่งอยู่เฉยๆจ้องมองพระอาทิตย์ค่อยๆหายไปต่อหน้าต่อตามันจะมีความสุขขนาดนี้



.

.มาต่อกันเถอะ ..



เช้าวันที่สองในเลห์

ปกติเป็นคนขี้เกียจตื่นเช้ามากๆ แต่อยู่ที่นี้ต้องตื่นเช้าทุกวัน มันเป็นการตื่นเช้าที่ลุ้นและตื้นเต้นมากๆว่าวันนี้เราจะไปเจอกับอะไรบ้าง

วันนี้ซาลีมแพลนให้ไปเที่ยวรอบๆเมืองเลห์ นั่งรถไปใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่



รถเริ่มเคลื่อนตัวออกนอกตัวเมือง ความตื่นตาตื่นใจก็เริ่มขึ้นเท่านั้น เปิดกระจกรถให้ลมโต้หน้าเข้ามาด้วยความสบายใจ ถึงผมจะเสียทรงก็ไม่เป็นไร เราอภัยให้นายได้ ที่แรกสำหรับวันนี้นั่งรถไปที่ไกลที่สุดก่อนแล้วเที่ยวย้อนกลับมา


HEMIS เสียค่าเข้าคนละ 100 รูปี ด้านในเป็นวัดและมีพิพิธภัณฑ์เล็กๆอยู่ จากนั้นก็ไปต่อกันที่ Thiksey เสียค่าเข้าคนละ 30 รูปี

แวะพักกินข้าวเที่ยงกันที่ Shey Palace ถ้าแค่เดินขึ้นด้านบนเฉยๆก็ไม่ต้องเสียค่าเข้านะ ค่อยๆเดินๆเพราะมันทั้งร้อนและเหนื่อยง่ายกว่าเดิมมาก

รอบๆ Shey Palace จะเป็นบึงน้ำเล็กๆ อากาศดี มีร้านอาหารราคารไม่แพงแถวๆนี้ ราคาน้ำเปล่าจะถูกกว่าซื้อตามวัดประมาณ5บาท



วันที่สามแล้วววว ตอนนั้นอยากจะหยุดเวลาเอาไว้จีจีเลยยยย


วันนี้เราจะไปอีกนึงแลนด์มาร์คของเลห์ลาดัก นั้นก็คือทะเลสาปปันกอง กอง กอง กองงงง ...

ทะเลสาปน้ำสีฟ้าสดใสที่ทอดยาวไปจนถึงจีน Pangong Lake ห่างจากเลห์ประมาณ์ 154 กิโลเมตร

ดูจากระยะทางเหมือนไม่ไกลเท่าไหร่ คงคล้ายๆกับนั่งรถไปพัทยานั้นแหละ หึหึ ฝันไปเหอะ

ถนนที่เลห์คดเคี้ยวไปมาชวนให้เวียนหัว แถมบางช่วงบางตอนยังมีดินถล่มลงมา รถสวนกันไปมาก็ลำบาก

อยากจะไปที่สวยๆ ก็ต้องมาเสียวกันก่อน ..



สรุประยะเวลาจากตัวเมืองเลห์ไปทะเลสาปปันกองสิริรวมได้ประมาณ 4-5 ชั่วโมง!!! แล้วได้สัมผัสทะเลสาปเพียงแค่ 1 ชั่วโมง!!!!!!!

โอ้วมายก็อดดดดดดด .. ทำไมความสุขของเรามันถึงสั้นขนาดน้านนนนนนนนนน



ถนนเป็นแบบนี้เกือบจะตลอดทั้งเส้น ถนนเส้นไหนแคบหน่อยนะ หูยยยยยย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นั่งมือเย็นสวดมนต์อยู่ในใจ



นั่งรถโยกเยกมาเรื่อยๆ อากาศก็เริ่มเปลี่ยน จากที่เย็นๆสบายก็เริ่มหนาวแล้ว เพราะเราเริ่มขึ้นบนยอดเขาสูงขึ้นเรื่อย


เข้าใกล้หิมะแล้ววว ดีใจจริงๆเลยย เกิดมาเพิ่งเคยเห็นหิมะครั้งแรกก น้ำตาจะไหลลลลล

ตอนนั้นนั่งอยู่ไม่สุข มือเริ่มขุ้ยหาเสื้อหนาวที่เตรียมมา แต่งองค์ทรงเครื่องให้ครบเซ็ต



แล้วเราก็จะมาถึงจุดผ่านที่เรียกว่า Chang La Pass


ใครเมารถหรือแพ้ความสูงก็วิ่งไปอ้วกกันไป เราจะอยู่จุดนี้กันแค่แปปเดียวแวะเข้าห้องน้ำถ่ายรูปแล้วรีบวิ่งขึ้นรถ

เพราะมันหนาวมากและออกซิเจนบนนี้ก็ค่อนข้างน้อย



พอลงจากพาส อากาศก็ค่อยๆอุ่นขึ้นอีกแล้ว เห็นมะบอกแล้วว่าอากาศมันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา เอาใจยากจริงๆเลยวุ้ย



แวะทำ permit กันก่อน เราให้ซาลีมจัดการให้หมดเลย จ่ายเงินคนละ 500 รูปี แล้วเตรียมแค่พาสปอร์ตเท่านั้นเอง



เย้ ใกล้จะถึงแล้ววว เห็นน้ำสีฟ้าอยู่ลิปๆ อดเอาๆ ทนเมื่อยก้นอีกนิดเดียวเราก็จะเจอกันแล้วปันกองจ๋าาาา



ที่นี้มีร้านอาหารหลายร้านอยู่ ราคาไม่แพง แถมมีห้องน้ำด้วยนะ บางร้านก็จะแข่งกันอวดสรรพคุณห้องน้ำว่าของร้านชั้นเป็นส้วมนะยะ ไม่ใช่ขุดหลุมแล้วปล่อยอารมณ์ลงไป แต่ถึงยังไงก็เป็นห้องน้ำที่เป็นสังกะสีล้อมอยู่ดีละหน่าาา



หมดเวลาแล้ว ความสุขผ่านไปไวจริงๆเลย TT แต่คงต้องรีบกลับแล้วแหละ เพราะว่าไม่งั้นกว่าจะถึงที่พักก็มืดพอดี แถมท้องฟ้ายังพาเมฆครึ้มมาหาอีกต่างหากกก บ๊ายบายนะเธออออออออออออ



ออกรถได้สักพัก ฝนก็ตกลงมาจริงๆด้วย ตอนแรกที่ถามคนขับรถว่าจะมีฝนมีพายุมั้ย เขาบอกว่าไม่มี๊ไม่มีจ้าไม่ต้องห่วงงง

แหมมมม พูดยังไม่ทันขาดคำ หัวเปียกปิดหน้าต่างรถแทบไม่ทันน อย่ามาเถียงคนเมืองฝนอย่างเราเลยเธออ



แต่ความสุขก็เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อคนขับรถบอกว่า Snow fallll !! ช่ายแล้วววว หิมะะะะ หิมะตกกกก กรี๊ดกร๊าดดกันใหญ่เลยค่ะ


เหล่าคนเมืองฝนปนร้อนที่ไม่เคยเห็นหิมะ ทำเอาต้องร้องขอคนขับว่าขอแวะจอดที่ Chang La Pass แปปนึงเถอะนะพี่ 5 minutes ก็ยังดี




หมดไปอีกหนึ่งวัน คืนนี้ต้องนอนอมยิ้มอีกแล้ววว พรุ่งนี้จะเจออะไรบ้างน้า...วันนี้ต้องตื่นเช้าอีกแล้ว เก็บเสื้อผ้าสำหรับ1คืนแบกใส่หลังมา เพราะคืนนี้จะไปนอนค้างกันที่ Nubra Valley เมืองทะเลทราย ..


เห็นชื่อว่าเป็นทะเลทรายเพื่อนบอกว่ามันไม่หนาวหรอก อากาศอุ่นจะกว่าที่เลห์อีกนะ โอเคงั้นเราเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า



เส้นทางวันนี้เราต้องผ่าน Khardung La Pass เป็นถนนที่สูงที่สุดในโลกที่รถผ่านได้



พอเริ่มลงจากยอดเขา Khardung La สภาพอากาศก็เริ่มเปลี่ยน ช่วงนี้เราจะเริ่มเข้าสู่เมือง Diskit แล้ว


แถวนี้มีหมู่บ้านเล็กๆและร้านค้าให้แวะกินข้าวกัน หลังจากที่ท้องไส้ปั่นป่วนอยู่นานบนถนนสุดโหด กินข้าวยังไม่ทันอิ่มข้าศึกก็เริ่มบุก

วิ่งไปหลังร้านถามหาห้องน้ำ เจ้าของร้านยิ้มหวานใส่พร้อมชี้ไปด้านหลังร้าน behind the tree สิจ๊ะนายจ๋าาา อื้อหือออนาทีนั้นไม่ไหวก็ต้องไหว

เป็นวิวห้องน้ำที่สวยที่สุดในชีวิตแล้ววววจริงๆ



อ่อ.. จริงๆแล้วแผนของเราที่วางไว้คือหลังจากกลับจาก Nubra Valley วันพรุ่งนี้ เราจะเตรียมตัวขนข้าวของออกจากเมืองเลห์


เพื่อนั่งรถต่อไปยังเมือง Srinagar แต่แต่แต่แต่ ความซวยที่ทุกคนพร้อมใจกันยกมาก็คือ ซาลีมมาบอกว่า ถนนที่จะไปศรีนาการ์หรือแคชเมียร์นั้นมันปิด เพราะฝนตกทำให้ดินถล่มลงมาจ้าาาาา เอาไงละวะ ตั๋วเครื่องบินจากศรีนาการ์กลับเลห์ก็จองไว้แล้ว ต้องทิ้งตั๋วจริงๆหรอ ถ้าซื้อใหม่กลับจาดเลห์ไปเดลีเลย ราคาก็น่าจะประมาณสองหมื่นได้แล้วมั้ง ในเมืองเลห์ช่วงที่เราไปมันมีหายนะอย่างนึงที่เตือนเราไว้แต่แรกแล้วก็คือ หลังจากวันแรกที่เรามาถึง สัญญาณ wifi ล่มทั้งเมืองค่ะะะะะะะ!! จนกระทั่งวันนี้ก็ยังใช้งานไม่ได้ จะติดต่อสายการบินก็ทำไม่ได้เลยยยย ตอนนี้ความหวังเดียวคือขอให้มีปาฎิหารย์ ขอให้ถนนวันพรุ่งนี้มันเปิดทีเถิดดดดด...



ระหว่างทางก่อนเข้าที่พักเจอวัด รีบจอดเลยพี่จ๋า พวกหนูต้องการพรจากท่านนน




ออกจากวัดประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงที่พักของเราวันนี้แล้ว ที่พักที่ซาลีมเลือกให้น่าจะเป็นของเพื่อนๆเขานี่แหละ ตอนแรกเรารีเควสขอนอนบ้านเต้นท์กัน อยากลองอะไรใหม่ๆ แต่เมื่อวานนี้มีพายุทะเลทรายแถมฝนยังตกหนักมากเลยทำให้นอนบ้านเป็นหลังนี่เหอะ น่าจะปลอดภัยกว่า



ในที่พักมีทีวีและน้ำอุ่นแต่จะใช้ไฟได้ตอนทุ่มนึงเท่านั้น วิวรอบๆที่พักสวยมากก ถึงสภาพบ้านพักจะดูน่ากลัวนิดๆ ส่วนอาหารเย็นวันนี้เราต้องทำกินกันเองด้วยนะ เขาให้ใช้ครัวเขาได้ มีผักมีไข่ให้ ไอ้เราก็นึกว่าฟรี อุส่าห์เกรงใจขอไข่แค่ไม่กี่ฟอง สรุปเช็คบิลตอนเช้า อ้าวเสียเงินนี่หว่า 5555 ไม่เป็นไรถือว่าได้ประสบการณ์สนุกๆกันไป ได้วุ่นวายในครัวของคนอินเดีย ทุกคนนั่งรอกินข้าว ได้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านเลย



ตอนเข้ามาถึงที่พัก ฝนก็ตกเลย ทำให้เราออกไปไหนไม่ได้ ได้แต่นั่งเปิดเพลงฟังเขียนโปสการ์ด จินตนาการว่าเปิดคาเฟ่เก๋ๆอยู่กลางหุบเขา แอร๊ยยย ชิลจังเลยยย



พอฝนเริ่มหยุดอาเจคนขับรถก็มาตามบอกว่าจะพาไปเที่ยวว นั้นก็คือไปทะเลทรายย ไปขี่อูฐกันดีกว่าาาา


ตอนแรกที่เพื่อนบอกว่ามาที่นี้อากาศจะอุ่นกว่าเลห์ อุ่นตรงไหน ตอบสิตอบบบบ มันหนาวกว่าเลห์มากกก คือลมแรงมากกกกก ขี่อูฐไปปากสั่นไป



ค่าขี่อูฐคนละ 250 รูปี ใช้เวลา 20 นาที จูงเราไปเรื่อยๆจนถึงธงแดงแล้วก็ย้อนกลับมาที่จุดเดิม



มาต่อกันเถอะ ๆ ๆ ๆ


เพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าจริงๆแล้วเรามีผู้มีอุปการะคุณที่ควรพูดถึงอีกกลุ่มหนึ่ง นั้นก็คือพี่ๆคนไทยที่เราเจอในเมืองเลห์

หลังจากที่เรารู้ข่าวจากซาลีมว่าถนนปิดและไม่สามารถไปได้ และบังเอิญได้เจอพี่ๆคนไทยกลุ่มนี้พอดีเหมือนพระเจ้ามาโปรด

พวกเราเลยถามไถ่พี่ๆถึงการเดินทางกลับทางเส้นมะนาลี พี่ๆกลุ่มนี้เลยนัดให้เรามาเจอกันในวันรุ่งขึ้นเพื่อที่จะได้นัดแนะกันแล้วกลับพร้อมพี่เขาเลย

แต่ต้องตัดแพลนอื่นๆทิ้งให้หมดรวมถึงอดเที่ยวในเมืองเดลีและอดไปดูทัชมาฮาลด้วย ณ เวลานั้นเป็นไงก็ต้องเป็นกันยังไงก็ต้องหอบเอาร่างกลับไปที่ไทยให้ได้ แต่ๆๆ พี่เขาไม่รับปากว่าเราจะเจอกันมั้ย เพราะพี่เขาอาจจะต้องอยู่ค้างที่ pangong lake เอาเป็นว่าแล้วแต่บุญแต่กรรมสินะ

ก่อนจากกันครั้งนั้นพี่ๆได้ให้มาม่ามาเซ็ตใหญ่พร้อมน้ำพริกป่นอีกหลายกระปุก ซึ้งใจจริงๆไม่มีมาม่าพี่วันนั้นก็คงได้กินแต่ผักต้มซะแล้ว



....



เอาล่ะ วันนี้ต้องเดินทางกลับไปที่เลห์ต่อแล้ว ภาวนาตลอดทางว่าขอให้ได้ไปแคชเมียร์ไม่ก็ขอให้เจอพี่ๆเขาด้วยเถอะ



อากาศมันดีจริงๆ ต้องโปล่หน้าออกมาโต้ลมสักหน่อยเด้



หลังจากนั่งรถและได้ยินเสียงเพื่อนข้างหลังบ่นมาตลอดทาง ว่าไม่ไหวแล้วๆจะอ้วกแล้วๆ ตอนนั้นเพื่อนก็เก่งจริงๆที่อดทนจะไม่พยายามอ้วกบนรถ 55555 คนขับก็ซิ่งเหลือเกินนน จนในที่สุดก็มาจอดแวะกลางทาง น่าจะเป็นวิวนั่งอ้วกที่สวยที่สุดที่นึงเลยนะเนี่ย



รถขับผ่านเส้นทางเดิม Khardung La Pass แต่ขากลับนี้รถติดมากกก อาจจะเพราะวันนี้มีรถบรรทุกและรถทหารวิ่งขึ้นลงเขาหลายคันอยู่



ถ้ารถติดแล้ววิวดีแบบนี้ ก็ยอมให้ติดไปอีกนานๆเบยยยย



สุดท้ายก็มาถึงที่พัก เย็นวันนั้นก็ออกไปเดินเล่นตามเดิม หาอะไรกินย่าน main bazaar


และก็ไปนั่งรอพี่ๆคนไทยกลุ่มนั้นที่ร้านอาหารที่นัดกันไว้ รอร๊อรออออ รอจนเลยเวลานัด สุดท้ายก็ไม่เจอออออ TT

ฮือออ เดินคอตกกลับที่พักกันทุกคน ฝนก็ตก น้ำตาจะไหล ฮืออออ งือออออ



แต่ ............



เอ๊ะ !



แต่... แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี เพราะซาลีมมาเคราะห้องแล้วบอกว่า "พรุ่งนี้มีเพื่อนที่เป็นคนแคชเมียร์จะขับรถกลับพรุ่งนี้ เดี๋ยวจะโทรถามเขาก่อนว่ายังไง"



พรึ่บบบ !! ไฟดับทั้งที่พักกกก ...

แหมมม อะไรมันจะขนาดนั้นนน ให้มีเรื่องดีดีบ้างไม่ได้เลยหรอไง



แต่ซลีมก็ยังคงพูดต่อและโทรศัทพ์หาเพื่อน ตอนนั้นใจจดใจจ่อฟังซาลีมคุยโทรศัพท์เหมือนว่าฟังภาษาเขาออก

และสุดท้าย ซาลีมก็ยิ้มอ่อนให้ และบอกว่าพรุ่งนี้ต้องรีบตื่น ออกจากนี้ 6 โมงเช้านะ!!!

โอ๊ยยสวรรค์ทรงโปรดด ตื่นตอนนี้ไปเลยก็ได้นะเอาจริงๆๆ เย้เย้เย้



พรุ่งนี้เราจะเจอกันนะ "แคชเมียร์"




.

.เช้าวันนี้รีบตื่นกันก่อนนาฬิกาปลุก กลัวๆ กลัวไม่ได้ไปต่อ เปิดผ้าม่านมองออกไปนอกหน้าต่างห้อง เห็นผู้ชายหน้าตาดุดันเดินเข้ามาในที่พัก พร้อมมองขึ้นมาที่เรา เขายิ้มให้แล้วเซย์มอร์นิ่งใส่ทีนึง .. คนนี้แน่ๆคนขับรถที่จะพาเราไปแคชเมียร์ รีบชวนเพื่อนขนกระเป๋าลงไปข้างล่าง เตรียมจ่ายเงินทั้งหมดค่าอยู่ค่ากินค่ารถให้กับซาลีม เงินที่มีอยู่หนาๆหายวับไปกับตา ฮือออ จ่ายทีเดียวมันใจหายยังงี้นี้เอง เรากล่าวคำร่ำลากันเรียบร้อย ซาลีมนัดแนะเพื่อนคนขับรถให้ด้วยท่าทางใจดี ไปกันเถอะ ไปเผชิญชะตากรรมกันต่อ



ล้อเริ่มหมุน แต่ละคนก็เริ่มเอนตัวจะนอน อากาศวันนี้มันเหมาะกับการอยู่บนที่นอนนุ่มๆจริงๆ แต่ความเป็นจริงก็คือความจริง ความจริงก็คือนอนกองรวมกันอยู่กับกระเป๋าที่แบกอะไรมากันนักหนาก็ไม่รู้ ทุกคนนั่งเงียบๆกันไปเรื่อยๆ ไม่มีบทสนทนาอะไรใดๆทั้งสิ้น รถเคลื่อนตัวได้สักเกือบสองชั่วโมง

"บูซ่า" คนขับรถของเราก็พาจอดแวะกินข้าวเช้ากัน



จากนั้นก็กระโดดขึ้นรถออกเดินทางกันต่อ เท่าๆที่รู้มาแต่แรกแล้วว่า วันนี้เราจะใช้เวลาทั้งวันอยู่แต่บนรถ นั่งยาวๆกันไปจนถึงแคชเมียร์เลย


แพลนเดิมคืนต้องแวะนอนที่เมือง DRAS หรือ KARGIL ก่อนแล้วออกเดินทางต่อ แต่คราวนี้คือไม่ได้เลยเราต้องรีบไปถึงแคชเมียร์ก่อนที่ฝนจะตกแล้วดินจะถล่มลงมา



นั่งๆนอนๆดูวิวข้างทางไปเพลินๆ ก็มาถึงทางผ่านหรือจุดที่เรียกว่า MOON LAND ที่เรียกว่ามูนแลนด์ก็น่าจะเป็นเพราะภูเขาบริเวณนี้เป็นสีเหลืองและพื้นผิวขรุขระเหมือนพระจันทร์ละมั้ง ไม่รู้ดิ ไม่เคยไปดวงจันทร์เหมือนกัน ฮ่าๆๆ



ถ่ายรูปกันจนพอใจแล้วก็รีบไปต่อ .. วิวข้างทางหลังออกจากมูนแลนด์มาเริ่มมีสีเขียวเข้ามาแซมแล้ว หลังจากนั่งมองดูภูเขาหินดินมาตลอดทาง



บูซ่าจอดให้แวะถ่ายรูปอีกแล้ว พอลงรถปุ๊บ เราเจอเจ้าจิ๋วตัวนี้วิ่งออกมาต้อนรับด้วยแหละ แบะ แบะ ทำเอาทุกคนไม่สนใจภูเขาข้างหลังเลย


มัวแต่ถ่ายรูปคุณลุงและสัตว์เลี้ยงคู่ใจ ที่เรียกว่าสัตว์เลี้ยง เพราะมันเชื่องมากจริงๆนะ อุ้มก็ได้ เรียกให้เดินตามก็เดิน



อ่อ แล้วก็จริงๆแล้วระหว่างทาง เราต้องลงรถไปกรอกเอกสารทำ permit อยู่ประมาณสามจุด ไม่ต้องลงไปกันหมดหรอก ส่งตัวแทนไปกรอกก็ได้


หลักๆก็เป็นพวกชื่อนามสกุล อาชีพ เลขพาสปอร์ต ทะเบียนรถ ก็เหมือนกับกรอกใบขาเข้าประเทศตอนนั่งเครื่องบินนั้นแหละ

ทหารก็จะหน้าโหดๆหน่อย เราก็ทำหน้าติ๋มๆรีบกรอกรีบขึ้นรถไป



ระหว่างทางก็จะผ่านเมือง DRAS เมือง KARGIL เป็นเมืองเล็กๆ ที่แอบดูน่ากลัวๆนิดหน่อย



และต่อจากนี้เราก็จะเริ่มเข้าเขตที่มีความสวยงามของธรรมชาติที่แปลกตาไปจากเมืองเลห์ ภูเขาโดยรอบเป็นสีเขียวขจีจริงๆ


อากาศหนาว หนาวมาก คือเราชอบที่นี้มากจริงๆอะ



ถนนตรงนี้คือจุดทำ Permit จุดสุดท้ายที่ต้องลงรถไปกรอกเอกสาร พอหลุดจากจุดนั้นมา โอ้โหวววว คือของจริงมันสวยกว่านี้อีกนะ


ถนนบ้าอะไรเนี่ยยย มองไปข้างทางมีคนยืนฉี่ยังนึกอิจฉา ว่าทำไมเลือกที่ฉี่ได้วิวสวยขนาดนี้เนี่ย



เริ่มขึ้นเขาแล้ว โอ๊ยยย สวยอะไรอย่างนี้ จินตนาการว่ามันคงเหมือนๆกับสวิซเซฮร์แลนด์อะไรแบบนั้นรึป่าวนะ


มองเขาลูกเดิมแต่เปลี่ยนตำแหน่งก็พูดได้อยู่ประโยคเดียว ว่า "แมร่งง สวย วะ"



นอกจากจะมีแพะภูเขาให้เหล่าเพื่อนๆที่รักสัตว์ได้กรี๊ดกร๊าดกันแล้ว อีกมุมนึงก็ยังมีเด็กน้อยที่ยืนอยู่กันเป็นกลุ่มๆ กระจายกันออกไปตามทาง อายุน่าจะตั้งแต่ 3 ขวบ ขึ้นไปถึงวัยรุ่นสิ่งที่เราเห็นได้ชัดๆเลยคือ เด็กพวกนี้จะแบมือขอเงิน ขอขนม และวิ่งตามรถที่ผ่านไปมา พร้อมตะโกนพูดออกมาเป็นภาษาแคชเมียร์ ว่าขอเงินหน่อยๆ บางทีเราก็อดสงสัยไม่ได้ว่าน้องเขาจะเอาเงินไปทำอะไรกัน อยู่บนเขากลางป่าขนาดนี้ เราเลยยกขนมที่มึอยู่แบ่งให้น้องไป เพราะคิดว่าของกินน่าจะทำให้น้องดีใจกว่านะ



กินให้อร่อยนะลูก นั้นข้าวเย็นพี่เลยนะ ..



หลุดจากจุดนั้นไปก็เข้าสู่ Zoji La Pass ซึ่งเป็นถนนบนเขาเป็นทางลงไปสู่ Sonarmarg แห่งแคชเมียร์


ถนนตรงนี้เราขอให้เป็นถนนที่เสียวที่สุดในทริปนี้เลยแล้วกัน เพราะทางแคบมาก จุดนำสายตาแรกที่มองไปคืนด้านล่าง ที่ทำให้เรารู้ว่าเราอยู่สูงแค่ไหนแล้ว แค่นั้นยังไม่พอ ยังไปสะดุดตาเข้ากับซากรถบันทุกที่นอนหงายเก๋งอยู่ โอ๊ยยย ตายๆๆๆ



ลองเปลี่ยนมองไปข้างหน้า ก็เห็นกับถนนที่หาความแข็งแรงไม่ได้เลย ฝนคงตกมาหลายวัน ดินที่ยังไม่แห้งดี ข้างทางที่พร้อมจะทรุดลงไปข้างล่าง เสียงภาวนาขอพรกลายเป็นเสียงกรี๊ดกร๊าดหวาดเสียว จนบูซ่าต้องพูดปลอบใจพวกเราว่าให้เชื่อใจเขา 55555 ก็คนมันเสียวนี่หว่าาาาา



แต่อย่างนึงมันก็ทำให้เราได้รู้ว่า ความสวยงามมันต้องแลกมาด้วยความเสียวนี่แหละ 5555 เกี่ยวปะวะ?



พอลงมาถึงด้านล่างก็เจอกับรถที่ติดกันยาวเยียดไปไหนต่อไม่ได้ เพราะว่าทางถูกปิดเนื่องมาจากสาเหตุอะไรเราก็ไม่รู้


แต่ละคนก็ออกมายืดเส้นยืดสาย ถ่ายรูป หาของกินท่ามกลางอากาศดีดีวิวดีดี



สักพักรถก็เริ่มเคลื่อนตัว บูซ่าสุดเท่ของเราซิกแซกๆไปโผล่คันแรกเลยได้ยังไงก็ไม่รู้ ขับมาได้ไม่ถึงสามนาทีก็มาถึงด่านเจ้าปัญหาที่ทำเอาทุกคนใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม คือพี่ยาม(ดูแล้วไม่น่าใช่ตำรวจ)เขาไม่ให้รถคันไหนผ่านไปได้เลย บูซ่าก็เปรี้ยวจริงๆบอกว่านิ่งๆไว้นะ เขาจะพาซิ่งหนีไป


คือเห้ยยย .. สุดท้ายก็ผ่านไปไม่ได้เพราะพี่ยามแกง้างไม้ขนาดใหญ่มากจะฟาดเอาที่กระจกหน้ารถ คือเห้ยยยยยยยยย

อะไรกันวะเนี่ยยยย เห้ย หลายเห้ยมากกก จากนั้นคนขับรถของแต่ละคันก็ออกมาถกเถียงกัน หยิบเอาใบอะไรก็ไม่รู้ออกมาโชว์กัน

คือฟังไม่ออกจริงๆ พี่ช่วยเถียงกันเป็นภาษาอังกฤษได้มั้ย อย่างน้อยก็จะได้มั่วได้



แล้วที่ตลกไปกว่านั้นคือ เถียงๆทะเลาะๆกันอยู่ก็มีเด็กเดินถือกาแฟมาเสริฟฺให้พี่ยาม .. เห้ยยย คืออะร๊ายยยยยยยยยยยยยยย


นั่งมองออกไปนอกรถยังไม่หายงงก็มีรถตำรวจขับมา พี่ยามคนนั้นก็กระโดดขึ้นรถไป แล้วรถทุกคันก็ผ่านไปได้ตามปกติ

เดี๋ยวๆๆๆๆ..... มาอธิบายให้ฟังหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น น้องตามพี่ไม่ทันจริงๆ



เฮ้ออออ วันนี้วันดีดีจริงๆ 55555555555555555


ผ่านไปได้ก็แวะพักกินข้าวกันประมาณครึ่งชั่วโมง

และ

และ

และ

และ

ก็ติดอยู่บนรถร่วม 6 ชั่วโมง ติดนิ่งๆ อยู่กับที่ ดินถล่ม ถนนปิด ทำไรไม่ได้ รถทหารผ่านไปมา ทหารถือผินผ่านไปมา นอนบนรถ ยื่นหน้าออกมาดูดาว ดาวสวยมากจริงๆ สวยอะไรขนาดนี้ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาอวด รถติดยาวมาก และดาวก็สวยมาก และอยู่บนรถก็เมื่อยมาก



แล้วคืนนี้เราจะนอนที่ไหนกัน ? ชีวิตจะเป็นยังไงต่อ? แม่จ๋าช่วยลูกด้วยยยยยยยยยยยยยยยโอ๊ยย ทิ้งช่วงไปนาน แต่ความทรงจำยังไม่เคยลืมเลือน



บูซาคนขับรถสุดทรหดของเราหันมาปรึกษาว่า ยูนี่มันก็ดึกแล้วหมือนกันนะไปที่พักตอนนี้คงไม่ได้แน่ กว่าจะไปถึงไม่ทันแน่ๆเลย

อิเพื่อนปากไวก็รีบตอบส่วนบูซาไปว่า ไม่เป็นร๊ายยยย เข้าที่พักไม่ทันก็ไปนอนบ้านยูไง พวกไอโอเค



หาาาา..

แต่ก็เออๆเพราะคิดว่ามันคงพูดเล่น จนหลังจากที่รถติดยาวนานจากดินถล่ม นั่งหลับสปงกกันอยู่บนรถ จนเริ่มรู้สึกได้ว่ารถเริ่มเคลื่อนตัวแล้ว

ดีใจชิบหั้ยยยยยย ... นั่งไปสักราวขั่วโมงนึงได้มั้ง บูซ่าก็ปลุกทุกคนด้วยคำว่า เวลคัมมทูวศรีนากาาาาร์ ..

งั้นคืนนี้ไปนอนบ้านไอนะ มันดึกมากแล้วไปที่พักตอนนี้คงไม่มีใครมาตอนรับแน่ๆ



อิเพื่อนตัวดีหันมาทำหน้าเอ๋อใส่

เอ้าาาาก็เมิงเป็นคนตกลงกับเขาเองไม่ใช่หรอออวะะะ

เอ้าาาา สรุปคือมันพูดกับเขาไปเล่นๆๆๆๆ

โอ๊ยยยยย สนุกจังเลยย คืนนี้ต้องไปนอนบ้านคนขับรถที่อินเดียยยย ภาพบ้านคนอินเดียทุกฉากที่สภาพย่ำแย่ที่เคยเห็นมาในหนังผุดเข้ามาในหัวต่างๆนาน จะนอนกันยังไงหมดวะเนี่ย คนขับรถมีลูกเมียอีกสามชีวิต และพวกเราอีกห้าชีวิต จะต้องนอนอัดดมกลิ่นกันจริงๆหรอออ



ในขณะที่ความคิดในหัวตีกันให้วุ่นวาย บูซาก็พาเลี้ยวเข้าซอยมึดๆเปลี่ยวๆน่ากลัวซั๊ดดๆๆ แต่ถึงจะเปลี่ยวแต่ก็มีแต่บ้านหลังใหญ่ๆ ดูแล้วน่าจะเป็นโซนเศรษฐีของที่นี้ สักพักบูซาก็จอดรถลงที่โพรงหญ้าข้างทางพร้อมบอกให้ทุกคนแบกกระเป๋าลงไปให้หมดเลยนะ พร้อมกับชี้ไปที่ทุ่งหญ้ามืดๆ

และบอกว่า เดี๋ยวเดินไปทางนั้นนะ บ้านไออยู่ทางนั้น



หาาาาาาา .. จากที่ทุกคนง่วงๆก็หน้าตาตื่นกันเป็นแถว ไหนวะบ้าน อยู่กลางทุ่งหญ้าอย่างนั้นคือกระท่อมปลายนาหรอ สีหน้าหวาดหวั่นแต่ก็ยังเดินตามเจ้าของบ้านไปเรื่อยๆ เรื่อย และเรื่อยๆ จนพบกับบ้านของบูซาาา



หาาาาาา .. นี้บ้านคุณตัน โออิชิรึป่าวคะะะะ ใหญ่มากกกกกกกกก เศรษฐีชัดๆ อาชีพขับรถนี้คือหาไรทำเล่นๆหรอ

พวกเราก้าวเท้าเข้าบ้าน โดยได้รับการต้อนรับอย่างดีเกินไปกับภรรยาผู้น่ารักของบูซา พาเข้าห้องนอนตามสไตล์ชาวศรีนาการ์ และเวลคั่มดริ๊งค์

บวกกับขนมผลไม้นานาชนิด เดี๋ยวนะๆ นี่หรูกว่าอยู่โรงแรมอีกนะพวกแกรรรรรร สบายละเมิงคืนนี้ ..



ตื่นเช้ามาด้วยเสียงร้องเล่นของเด็กๆในบ้าน ก็คือลูกๆของบูซ่านั้นเอง เช้านี้มีอาหารมาเสริฟ์ถึงที่นอนอีกแล้วครับท่าน


กินเสร็จจะเก็บจาน เก็บที่นอนก็ไม่ให้เก็บ ภรรยาบูซ่าบอกว่า แขกคือพระเจ้าของเรา พระเจ้าไม่ต้องทำอะไร โอ้วโหววววว อะไรจะดีขนาดนี้

ทุกคนนั่งล้อมวงอยู่ในห้องนอน พร้อมเล่าเรื่องนู้นนี้นั้นขำกันคิกคักๆ ถ่ายรูปเป็นที่ระทึกกันเสร็จเรียบร้อยก็เตรียมตัวกันเดินทางต่อไปยังที่พักตัวจริงเสียงจริง



ชาติที่แล้วเราคงทำบุญกันมาเยอะอยู่เนอะถึงได้โชคดีนอนฟรีกินฟรีไปอีกหนึ่งมื้อ ฮืออออ ซึ้งใจหลายยยยยยยยย


ขอบคุณทุกคนมากจริงๆ คนอินเดียใจดีมีน้ำใจก็มีอีกเยอะนะ เพราะหลังจากที่บูซามาส่งเราถึงที่พักเราก็ยืน tip ให้ ถึงมันจะไม่เยอะแต่ก็อยากให้เพื่อนแสดงความขอบคุณในน้ำใจของเขา แต่บูซ่าไม่รับเงินเลย ยัดใส่มือเราคืนให้เราเก็บไว้ใช้พร้อมให้เบอร์โทรติดต่อเผื่อมีอะไรฉุกเฉินที่นี้ด้วยย



กราบงามๆสามที ขอบคุณยูวมากเลยจริงๆป่าป๊าาา



มาถึงศรีนาการ์ จองที่พักไว้ที่นี้หนึ่งคืน ก็อย่างที่รู้ๆกันว่ามาถึงนี้ก็ต้องลองนอนพักบ้านเรือ HouseBoat พายเรือชิการ่าดูหน่อย เดี๋ยวเขาจะหาว่ามาไม่ถึง สำหรับที่พักบ้านเรือที่นี้ จะมีทั้งที่ต้องนั่งเรือจากฝั่งไปยังที่พักที่อยู่กลางน้ำ กลับที่พักที่อยู่ริมน้ำเลยไม่ต้องนั่งเรือต่อไป


ของพวกเราชอบความลำบาก แบกเป้ลงเรือ นั่งต่อไปยังเรือที่พัก



สถานที่เที่ยวในศรีนาการ์ก็จะมีประมาณสวนสาธรณะ สวนดอกไม้ ด้วยความที่ขี้เกียจและเริ่มเหนื่อยๆเลยตัดสินใจซื้อ one day trip กับทางที่พักเลย ก็จะมีพานั่งรถไปชมรอบเมือง เที่ยวแลนด์มาร์คต่างๆ ซึ่งมันก็ไม่ได้น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่หรอก แถมพอมาบวกลบคูณหารดูแล้วก็ยังแพงกว่าไปเองด้วยซ้ำ แต่ก็เอาเหอะ อยากขี้เกียจเอง พอตกเย็นก็ไปนั่งเรือเล่นดูพระอาทิตย์ตกดิน พายเรือไปยังตลาดของทะเลสาป Dal Lake บรรยากาศก็คล้ายๆตลาดน้ำบ้านเราเลยแฮ่ะ



เช้าวันรุ่งขึ้น ฝนเทลงมาอย่างหนัก แต่ต้องรีบบึ่งไปสนามบินเพื่อบินกลับไปยังเดลี


อย่างที่รู้ๆกันว่าสนามบินศรีนาการ์ แคชเมียร์นั้นขึ้นชื่อเรื่องความโหด กว่าจะผ่านแต่ละด่าน

เอาจริงๆมันโหดตรงที่ตรวจเยอะมาก หน้าทางเข้าต้องยกกระเป๋าลงจากรถเพื่อไปแสกนแล้วแบกขึ้นรถอีกรอบเพื่อเข้าไปยังตัวสนามบิน

จริงๆความโหดนี่น่าจะเป็นที่ว่าถ้าตกเครื่องนะมึ๊งงงง ชีวิตบัดซบทันทีแน่ๆ แต่สุดท้ายก็ผ่านมันไปด้วยดี เฮ้ออออออ



welcome to the real world

นี่คือคำต้อนรับ ทันทีที่เท้าพวกเราแตะสู่พื้นดินที่นี่



. . .



ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองตากันปริบๆ

นี่จะทักทายกันยังงี้จริงๆดิ

นี่จะเบะละนะะ

เอาน่าเพื่อนนกิตติศัพท์ของเดลีไม่ได้ร้ายเเรงขนาดน้าน ประสบการณ์คือการเรียนรู้ไงเพื้อนน



เอาวะะทุกคนน ได้เวลาสร้างบาเรียให้กับตัวเองแล้ว ลุย!



พวกเราติดต่อพี่แทคจากสนามบินตรงเคาน์เตอร์บริการแทกซี่เป็นเเบบจ่ายเงินล่วงหน้าก่อนเลย แล้วเราต้องเก็บใบเสร็จไว้เอาไปให้คนขับ ว่ากูจ่ายเเล้วนะยูวว (ประมาณ 250 รูปี)

ราคาจะถูกกว่าถ้าเราไปเรียกเองข้างนอก แต่สภาพก็ตามที่คิดอ้ะ ...

ทันทีที่ออกมาพวกเราก็งงๆคอยมองหาพี่แทคสีดำของทางสนามบิน

ระหว่างนั้นชาวแขกมากมายแห่แหนกันมาช่วยยกกระเป๋า อีกคนก็มาช่วยเข็นรถให้

ขุ่นพระ!! หรือเราจะคือพิ้งกี้

แต่พอก้าวขาจะขึ้นรถเท่านั้นแหละ … มันนี่ๆ

โอเครจ้ะเพื้อนนน้องเข้าใจล้าวว



นี่เป็นการเเยกกลุ่มจากเพื่อนครั้งเเรกของทริปนี้

เพราะรถสามารถนั่งในคันละ 3 คน เลยต้องแบ่งเป็น 3 กับ 2

ความรู้สึกเลยรวมๆกันถล่มๆเข้ามา

ทั้งตื่นเต้น .. ร้อนโว้ยย .. ลุ้น .. ตื่นเต้นน .. สนุกดีนะ .. ร้อนโว้ยยย … ตื่นเต้น

นี่จะไปถึงโรงเเรมที่จองไว้มั้ยวะ หน้าพี่ก็ทำให้คิดถึงข่าวรุมโทรมบนรถเมล์

พูดกันก็ไม่รู้เรื่อง อากาศก็ร้อนระอุ ฝุ่นก็ฟรุ้งงฟริ้งกระพริบตาถี่ๆเลย

(ความรู้สึกเหมือนอยู่ในเรื่อง MAD MAX อะไรยังงั้น)

บนถนนก็มีเเต่เสียงเเตร ขับรถพับหูกันเป็นเรื่องปกติ

แถมเวลานี่น่าจะเป็นช่วงเวลาเลิกเรียนของเด็กๆ

ภาพที่เห็นเลยมักจะเป็นเด็กน้อยๆที่อัดตัวกันอยู่บนรถแบบเเน่นนนนนบั้ก



ก็ไม่รู้ว่าจะแคะน้องๆออกมายังไงเวลาถึงบ้าน


บวกกับสายตาของน้องๆทุกคน ที่ทั้งคันรถจับตามามองพวกเราชาวเอเชีย

โถ่..หนูลูกพี่ขอโทษ



ที่นี่มีความคอนทราสสูงอยู่พอสมควร เห็นบ้านเมืองดูเศร้าๆเเบบนี้

ก็เหลือบตาไปเห็นสะพานลอยที่มีบันไดเลื่อนนเกร๋ไกร๋อยู่เป็นบางจุด

เออๆที่นี่สตรองมากจีจีๆจ้ะ



จุดหมายของเราคือ โรงแรม SHRI VINAYA

แต่นี่สรุปพี่เค้าก็ไม่ได้พาเรามาถึงโรงเเรมนะ เค้าโวยวายอะไรไม่รู้มาซักพักละล่ะ

คืออยู่ๆก็หาไม่เจอ แต่ไปถึงละเเวกนั้นละล่ะ เป็นซอยตรอกๆ ที่รถจ่อตูดกันเข้ามา

ค่ะ!! และประชากรยังคงคอนเซปบีบเเตร บีบไม่หยูด บีบมิดเเขน จี้ตูดเข้ามา ตะโกนอะไรกันไม่รู้

(หรือจริงๆพี่เค้าจะถามว่า...ให้ช่วยอะไรมั้ยยยไอ้หนู...เเตโทนเสียงพี่เเค่เข้มแข็งไปนิสสนุง)

เพื่อนก็เลยพยักหน้าละบอกเค้าว่าเอาพวกหนูลงไว้ตรงนี้ดีกว่าโนะ เดี๋ยวหากันเองค่ะ



พอลงมาจากรถหันหลังไปยังเห็นรถเพื่อนๆอยู่ก็สบายใจ

อะๆลงมากันเถอะ

กูเกิ้ลแมพของเพื่อนเป็นพี่พึ่งเเห่งตนเนาะ

ถึงสภาพจะฝุ่นๆเศร้าๆ แต่ระเเวกนี้มีคาเฟ่ชิคๆ มีร้านไอติม baskin robbins ด้วยนะทำเป็นเล่น



ในที่สุดก็มาถึงโรงเเรม

มีพี่เข้มยิ้มส่ายหัวต้อนรับอย่างอบอุ่น แอร์เย็นฉ่ำ

ฮรัยยหวัดดีค่าา อารมณ์ดีเเล้วเลยยิ้มให้พี่หนึ่งที

บรรยากาศตอนก้าวเข้าไปข้างในแล้วมันแฮปปรี้มากจริงๆ

ทำไมมันคนละขั้วขนาดนี้อะคะพี่

เหมือนข้างในเป็นพารากอนข้างนอกเป็นทะเลทรายที่มีอีกาบินโฉบไปโฉบมาแบบนั้นเลย



สภาพห้องนี่โอเครเลย ดีมากเลยในระดับ 3 ดาว

ถึงห้องแล้วพวกเราไม่รอช้า เอาทิชชู่เปียกถูหน้า ถูมือก่อนเลย

สภาพพวกเราไม่ต่างกับซอมบี้ หิวโหยระดับฝึก รด.

(คิดเอาเองว่ามันต้องเป็นเเบบนี้แน่ๆ)

นฟ แม่ศรีเรือนจัดแจงต้มมาม่าคลุกน้ำพริกสามห่อสุดท้ายให้เพื่อนๆกิน

น้ำตาจะไหล อาหารร่วมสาบานผ่านร้อนผ่านหนาวกันมาเยอะกำลังจะหมดลง





เติมพลังเสร็จเเล้วได้เวลาออกไปผจญภัยกันต่อ เฮ้!!



อิ่มหนำจากที่นี่เเล้ว


เพื่อนโส้มของเราเลยแนะนำให้ไปย่านชิคๆของที่นี่กัน

เฮ้ยยย ที่นี่มีแบบนี้ด้วยหรอแกก ปะจิๆๆ ขอดูหน่อยย

พวกเราพุ่งตรงไปที่สถานี KHAN MARKET

ความรู้สึกเวลาเดินที่นี่เหมือนเวลาเดินสยามบ้านเราเลย

คึกคักและมีร้านค้าเเบรนด์เยอะเเยะ

มีเสียงเพลง กลิ่นน้ำหอม และซุปเปอร์มาร์เก็ต

มีความสุขละ กลับไปนอนกันน



จบวันนี้ด้วยการนอนหลับฝันดี มีเสียงเเตรรถข้างนอกกล่อมเพลินๆ

(นี่เมื่อไหร่จะเลิกบีบกับวะ ทำไมบีบทั้งวันขนาดนี้)

แล้วพรุ่งนี้เราไปอัครากันนเถอะ
NEW DELHI TO AGRA



ช่วงเช้าของวันนี้เริ่มขึ้นด้วยการไปเที่ยวเตร่ในเมืองเเป๊บนึง

ละจะรีบกลับมาเชคเอาท์ก่อนเที่ยง

ก่อนออกถามพี่เข้มหน้าเคาน์เตอร์ก่อนว่าตุ๊กๆประมาณเท่าไหร่

พี่เค้าบอกว่าเก่งๆก็ 40 รูปี



สุดท้ายต่อเเขกได้ด้วยราคา 50 รูปี

นี่ก็โดนเเขกขับตุ๊กๆวนๆหลอกไปตามๆกัน เห็นเพื่อนไฟท์กับมันเเบบขาดไต

นี่ไม่รู้จะทำไง แกล้งตายเลย



สุดท้ายหันไปพึ่งใต้ดินกันน

เราไปลงกันที่สถานี CHANDNI CHOWK ………………………………..(ปะวะะ?)

ละหาข้าวกินกัน

เดินๆไปสุดท้ายเลยมาปักหลักลงที่ร้าน HALDIRAM

จริงๆก็ไม่เชิงเป็นร้านอาหารอะ มันจะอารมณ์เหมือนเป็นฟู้ดคอร์ทในห้างบ้านเรา

เราเลือกกิน PANEER KATHI ROLL

เห้ยยมันโอเครนะ อร่อยเลยอะ

(จริงๆก็โอเคทุกอย่างอะตั้งเเต่อยู่มา 555555)



ส่วนสภาพอาหารของเพื่อนๆสองคนนี้ . . . เห็นรูปแล้วสงสารเอาเองเนาะ



(จริงๆกูว่ามันก็พอกินได้นะงง)



พวกเราซื้อเคเอฟซีไว้เป็นเสบียงไว้ไปกินบนรถไฟด้วยนะ

อย่างน้อยก็เป็นมาตรฐาน เพื่อนๆคงไม่อยากลุ้นแล้ว 5555555

ที่นี่มีโปรโมชั่นตามวันด้วย

พวกเราโชคดี ที่วันนี้เป็นโปรซื้อไก่ไม่มีกระดูก 1 ถัง ฟรีไปเล้ยยอีก 1 ถังง



ขากลับไปที่พัก

ไม่มีอะไรสะเทือนใจเท่ากับตอนสแกนกระเป๋าเข้ารถไฟใต้ดิน

คือรีบไงงง ถอดทุกอย่างออก ละกล้องก็ไหล่ลงจากหัวไหล่ กระเด็นกลิ้งกลุกๆๆ

ฟิลเตอร์ครอบเลนส์แตกเพล้งงงงงง! เฮ้!!

...



คือยังไม่ทันได้ช็อคเลยอะ

หันไปเห็นหน้าพี่ยามสาวแขกตาเบิกโพลง เอามือทาบอก

ละส่ายหัวเอ็นดู น้ำตาจะคลอเเทนหนูอยู่เเล้วด้วยอะ เห็นพูดอะไรด้วยไม่รู้พึมพำ



จากจะเศร้า นี่จะซึ้งใจแทนอยู่แล้วเนี่ยย ถถถถ55555555555555

(ขำแบบเสียสติเป็นแบบคนช็อคที่จิตหลุด)



หลังจากนั้นน้องก็จากไปไม่โฟกัสใครอีกเลย ลาก่อยย

(ดีนะเหลืออีกวันเดียวไม่งั้ยเสียใจเเย่เลยย)





เอาน่าา Life must go on เนาะะ

ไปอัครากันต่อดีฝ่าา ลาก่อนนะเดลี



พวกเราหน้าเหือดรีบกลับไปเช็คเอาท์ที่โรงแรม

บอกลาพี่เข้มแล้วรีบไปสถานีรถไฟ



สถานีรถไฟที่นี่ก็เเบบที่รู้กัน

หัวลำโพงที่ว่าชิคค์มากแล้วนั้น ที่นี่ X10 เข้าไปเลยค่าา

ไม่รู้จะบรรยายยังไงดี ของแบบนี้ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง



ไปถึงเราๆก็ไปยืนดูเที่ยวรถไฟ

คือหาไม่เจออะว้าวุ่นอีกละ

สุดท้ายละก็ต้องพึ่งพี่ยามแขกคนเก่ง เค้าก็ชี้ๆให้เข้าไป

(ไม่ใช่จะไว้ใจถามใครกันได้ง่ายๆนะ ต้องดูดีๆด้วยนะ)



ยืนรอกันอยู่นานมากจะวางกระเป๋าก็ไม่กล้า

แต่หลังจะแหกอยู่แล้วอะ

สุดท้ายก็ช่าง วางๆไปเหอะเปรอะขี้ก็ยอมอ้ะ 55555

รอนานมากแล้วก็หิวอะ เอาเคเอฟซีมานั่งจกกันตรงนี้เลย

ชาวเเขกก็มองกันใหญ่ เออๆไม่ใช่แค่มองอะ เรียกว่าจ้องเลยย

(เศร้านะ แต่หนูหิวจิงๆ)

กินไปกินมารถไฟก็มา

พี่แขกรถไฟก็เอาป้ายใบรายชื่อมาแปะ ว่าใครนั่งตรงไหน

(เพื่อนทอมจองที่นั่งไว้อยู่แล้วเลยสบายใจ)

คนก็กรูกันเข้าไปดู โหยย ตื่นเต้นอะ

อารมณ์เหมือนประกาศผลเอนท์อะไรยังงั้น



เรามีกัน 4 คน ทำให้ที่นั่งเราค่อนข้างส่วนตัว


มีพี่แขกนิสัยดีอีก 2 คน น่าสงสารเค้าเหมือนกันเหมือนโดนแก๊งชะนีเด็กอนุบาลเผือกรุม



รถไฟจากเดลี - อัครานี้ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงได้

ระหว่างนั้นก็พยายามแหกตา คือไม่กล้าหลับ

หากิจกรรมทำไปเรื่อยๆแป๊บๆก็ถึงแล้ว



ตอนไปถึงก็ไม่ยากเลยเพราะโรงแรม ATULYAA TAJ ที่เราจะไปพัก

เค้าส่งพี่เข้มมารับเรา



ตอนมาถึงโรงแรมน้ำตาจะไหล (อีกละ 5555555)

เห็นแล้วเพิ่มพลังชีวิต อยู่อีกสิบวันก็ได้นะเพื้อนน

หลังจากพวกเราเก็บของกันแล้ว ก็ขึ้นไปบนดาดฟ้าของโรงแรมกัน

คือโรงแรมที่พวกเราเลือกสามารถเห็นวิวทัชมาฮาลได้ชัดแจ๋ว

แต่วันนั้นที่เราไปทัชมาฮาลปิด มืดดดดดตึ้บเลยคร่าา

ไม่รู้ว่าวันอื่นที่เปิด จะมีไฟรึเปล่านะ



ชมวิวไป ยุงกัดไปนิส จิบเบียร์เย็นเพลินๆ ฮร้ายยยยดีจังเลยยย



เราชอบบรรยากาศแถวที่พักในอัครานี้มากกว่าในเดลีนะ

ถึงเเม้สภาพบรรยากาศจะฝุ่นๆเพราะเค้ากำถังทำถนนอยู่ก็เถอะ

แต่มันไม่วุ่นวายดีอ้ะ รถก็ไม่เยอะมาก

ที่สำคัญมีของกินเป็นรถเข็นเหมือนบ้านเราเลยยวันสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพ

วันนี้แน่นอนเราต้องได้ไปชื่นชมสุสานรักโลกกกตะลึ่งง

แต่ก่อนไปก็ตามเสตป เราต้องเที่ยวรอบๆตามสูตรของพวกเค้าก่อน

พวกเราไป Baby Taj ต่อด้วย Agra Fort

จะได้ซึมซับทัชมาฮาลเป็นที่สุดท้ายกับแสงตอนเย็นๆ



ความสวยงามของที่นี่ก็สวยงามตามท้องเรื่องเเบบที่เคยคิด


แต่สิ่งที่ทำให้พวกเราช็อคก็คงจะเป็นชาวอินเดียนั่นแหละ



นอกจากที่นี่เราชาวไทยจะได้สิทธิ์บัตรถูกทุกที่แล้ว

ที่นี่เรายังเป็นเซเลปด้วยนะ 55555555 (จริ๊งงงง ต้องลองง)

ไม่ว่าเเก๊งค์ไหนก็เหลียวหลังง (โฮะะะะะะ ใส่แว่นดำแพรพพ)

มีเดินมาขอถ่ายรูปกันเป็นครอบครัว

บางคนก็เอาลูกมาวางฝากไว้ แล้วก็ยืนถ่ายรูป ตอนที่พวกเรานั่งกันอยู่ที่พื้น

บางคนก็มากันเป็นกรุ๊ป พอคุณยายรู้ตัวตัวเองหลุดเฟรมแล้ว ก็ยื่นหลานมาให้อุ้มแทน

บางคนก็เรียกเราแล้วชี้ไปที่ตัวเอง ประมาณว่าถ่ายรูปให้เราสินาย

เสียดายเหมือนกันน่าจะชักภาพเก็บไว้ให้ครบทุกแก๊ง ตลกดีอะ 555555



บอกตรงๆว่าตอนแรกตกใจ และไม่ไว้ใจเลย


แต่หลังๆก็เออเห้ย หนุกว่ะะ มาเลยยยพี่ๆ

พวกเค้าก็สนุกของเค้า ไม่ได้มีพิษภัยอะไรหรอก

คงแค่อยากมีเรื่องเอาไว้เม้าท์ตอนจกแกงมื้อเย็นอะแหละ



..



Baby Taj




Agra Fort




Taj Mahal




ปิดท้ายกันด้วยภาพนี้เดินถอยหลังออกจากทัชมาฮาล


ภาพสุดท้ายที่ลั่นชัตเตอร์ในกล้องเอาไว้

อินเดียเป็นประเทศที่สุดโต่งจริงๆ ในหลายๆด้าน แต่เราว่ารวมๆแล้วอินเดียเป็นประเทศที่ตลก 55555



ใครที่เคยไปอินเดียก็จะพูดกันว่า ไม่รัก ก็เกลียดเลย

ตอนได้ยินก็คิดว่าต้องเกลียดและไม่อยากกลับไปเหยียบอีกแน่ๆ

แต่ ผิดหวะ .. สับสนในตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากกลับไปที่นั้นอีก

ไว้เจอกันนะนายจ๋า : )



ความคิดเห็น