สวัสดีทุกคนเหมือนอย่างเคย
กระทู้รีวิวกระทู้นี้ดองไว้เนิ่นนานเหลือเกิน จะครบรอบปีนึงแล้วกว่าจะได้ฤกษ์มาลง
จนเพื่อนๆที่อยากไปก็รอดูรอถามจนเลิกรอไปแล้ว 55555 จนใครๆเขาก็ไปเที่ยวที่นี้กันหมดละ จนกลายเป็นเราที่เชยชะมัด 55555
แต่เชื่อดิ ว่ายังไงโบรโม่และคาวาอิเจี้ยนของเราไม่เหมือนใครแน่นอน
เพราะ .. เราไม่เจอโบรโม่ที่ท้องฟ้าเปิดแล้วเห็นปล่องภูเขาไฟชัดเจนสวยงาม
เพราะ .. เราไม่เห็นทะเลสาปคาวาอิเจี้ยนที่น้ำเป็นสีฟ้าเทอควอยซ์
เพราะ .. เราเจอแต่ท่องฟ้าสีหม่น เราเจอแต่ฝนตกปรอย
.
.
.
.
แต่ .. เราได้เจอความสวยงามของแต่ละสถานที่ในอีกมุมนึง ถึงแม้มันจะเป็นคำปลอบใจตัวเองก็เหอะ แต่เราเชื่อว่าแต่ละสถานที่มันมีความสวยงามตามแต่ละช่วงเวลาของมันเอง
การเดินทางในช่วงเวลาสั้นๆเพียง 1 อาทิตย์ สำหรับสถานที่หลักๆ โบรโม่ คาวาอิเจี้ยน และบาหลี
ไม่มีวันไหนไม่สนุกเลย เดี๋ยวไปดูกันว่าเราเจออะไรกันมาบ้าง ..
ติดตามและพูดคุยสอบถามได้ที่นี้เลย <3
https://www.facebook.com/some.mileอย่างแรกเลยที่อยากจะบอกคือ เราจำรายละเอียดได้ไม่หมดจริงๆ อาจจะเขียนงงๆ ซึ่งทุกทีก็เขียนงงอยู่แล้ว 5555
แต่จะพยายามรื้อฟื้นความจำให้ได้มากที่สู้ดดดดดดดด
เราเริ่มออกเดินทางไปยังเมือง Jakarta โดยสายการบิน Lion Air กว่าจะจองตั๋วได้ก็โดนแคนเซิลไฟลท์มารอบสองรอบ ไม่รู้อะไรกลั้นแกล้งให้เราไม่ได้ไปขนาดนั้น แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรมาฉุดรั้งเราไว้ได้ โห๊ะๆๆๆ
เครื่องบินมุ่งหน้าสู่สนามบินนานาชาติซูการ์โนฮัตตา ตอนแรกได้ยินชื่อก็งงอะไรนะ ฮัชช่าๆ นี่มาอินโดหรือมาอินเดีย?
การรับกระเป๋าก่อนออกสนามบินก็เป็นอีกนึงวิธีที่ทำให้ทุกคนประหยัดได้ คือไม่ต้องให้ใครมาช่วยถือกระเป๋าทั้งนั้นนนน !!
เราถือเองได้แก ให้เราเก็บเงินไว้กินข้าวเหอะนะๆ
ถ้าให้พูดถึงภาพความประทับใจแรกที่ได้มาเหยียบพื้นแผนดินอินโดและสนามบินนี้ คือ วินาทีที่เราก้าวขาเข้าห้องน้ำ สนามบินเขาดูสะอาดและใหม่ใช่เล่น ไม่ได้ดูเลอะเทอะเหมือนที่แอบคิดไว้ แต่ทันทีที่ก้าวเข้าห้องน้ำไปเท่านั้นแหละ โอ้วโหวว เวลคัมชิท นี้มันเขร้นี่พี่!!! กระจุยกระจายอะไรขนาดนั้นวะ สาบานว่านั่งเขร้ โอ๊ยย ทำไงดีภาพติดตามาจนถึงตอนนี้ ..
จริงๆแล้วใครจะเดินทางไปเที่ยวโบรโม่นั้น สามารถต่อเครื่องจากที่นี้ไปลงสุราบายาได้เลย แต่เราขอพักที่จาก้าร์ต้าก่อนหนึ่งคืน
ได้รับความอุปการะคุณจากผู้ใหญ๋ใจดีที่นี้ ให้ได้นอนฟรีอย่างสุขสบาย กริกริ
อาหารมื้อแรกของที่นี้คือ หมี่โกเรง หรือมาม่านั้นแหละ อร่อยดีนะ กินแค่นี้ก็อิ่มสบายนอนหลับฝันดี
ตื่นเช้ามาก็มาทำตัวน่าหมั่นไส้ใส่เพื่อนๆ ลงรูปเก๋ๆชีวิตดีดีใส่ แต่มันก็คงไม่รู้กันหรอกว่าพอหมดคืนนี้ไปเราต้องเจอกับอะไรบ้าง
นาซิ โกเร็ง หรือข้าวผัดของที่นี้ รสชาติจะออกเผ็ดหน่อยๆ ต้องกินกับปลาตัวจิ๋วทอดกรอบด้วยนะ หูยยยยย เข้ากั๊นเข้ากันนน
วันนี้ก่อนที่จะต้องไปขึ้นเครื่องที่สนามบินเพื่อบินไปยังสุราบายาตอนสามทุ่ม เราก็ได้ตระเวนแวะเที่ยวห้าง ห้าง ห้าง และก็ห้างในจาการ์ต้า ช่างไม่มีสาระอะไรทั้งนั้นเลย เดินฆ่าเวลาทิ้งไปเล่นๆ อ่อมีสาระอยู่อย่างเดียวคือ ไปแลกเงิน
จริงๆแล้วเราสามารถใช้แบงค์ดอลล่าที่นี้ได้ แต่เราจะขอแลกเงินรูเปียห์ไว้เผื่อจะได้ใช้จ่ายสะดวกตอนไปเมืองอื่น
และการแลกเงินที่นี้ สำคัญมากๆเลย คือ "แบงค์ห้ามยับ" เพราะค่าเงินจะลดลงเปลี่ยนตามความยับของแบงค์ทันที !
สิ่งนึงที่จาการ์ต้ามีเหมือนประเทศไทยคือ "รถติด" ใช่มันติดมาก ติดหนักกว่ากรุงเทพอีกด้วยซ้ำ ติดแบบใจร้ายมาก เพราะถ้าอยู่กรุงเทพเรายังสามารถลงจากแท็กซี่วิ่งไปขึ้นมอเตอร์ไซต์ขึ้นบีทีเอสใต้ดินได้ แต่ที่จาการ์ต้า ไม่!! ได้แต่นั่งๆนอนๆงีบๆอยู่บนรถอย่างเดียวเลย
ใครจะไปธุระสำคัญอะไรหรือต้องรีบไปสนามบิน เผื่อเวลาเอาไว้ได้เลยหลายๆชั่วโมง
สำหรับชีวิตง่ายๆสบายๆของเราคงหมดแค่ที่จาการ์ต้านี้แล้ว ต่อไปจะไปลุยกันที่ "โบรโม่"
โดยบินจากสนามบินฮัชช่าๆไปลงที่สนามบิน Juanda เมืองสุราบายา นี้เอง เอง เอง . . . .สวัสดีดากานดา เรามาถึงสุราบายาแล้วนะ
มาถึงสนามบิน Juanda เกือบๆสักเที่ยงคืนได้ บรรยากาศช่างเงียบเหงา วันนี้เราได้ติดต่อไกด์ไว้ตั้งแต่ที่ไทย
นั้นก็คือ Bram เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนใหม่และเพื่อนร่วมทางคนนึงเลยก็ว่าได้ Bram ขับรถมารับเราตอนเที่ยงคืนไปยังจุดเปลี่ยนรถจิ๊บ
ระหว่างทางสามสี่ชั่วโมงคือไม่ได้หลับเลยสักนิดเดียว เพราะรถมันเด้งหน้าเด้งหลังโยกเยกไปมานึกว่าอยู่ในสวนสนุก
หันไปเห็นน้องที่มาด้วยกัน อ้าว.. ทำไมมันหลับได้น่าอิจฉาขนาดนี้วะ
แต่พอรถจอดเท่านั้นแหละ น้องมันถึงกับต้องวิ่งลงรถไปอ้วกออกมา Bram ก็เหมือนจะรู้ว่านักท่องเที่ยวหลายๆคนคงเจออาการแบบนี้บ่อยเลยยื่นยาน้ำสมุนไพรมาให้กิน
เราก้าวขาลงจากรถก็ต้องรีบวิ่งไปหยิบเสื้อหนาวที่มีทุกตัวมาใส่ คือก่อนมาไม่คิดว่ามันจะเย็นขนาดนี้ Bram หัวเราะใส่แล้วบอกว่า 10 องศาจร้ะ 10 องศา พร้อมกับยื่นถุงมือของตัวเองมาให้ เพราะเห็นว่าเราไม่มี .. หูวว ซึ้งใจ <3
เรานั่งรออยู่บริเวณรีสอร์ต Lava View Lodge เพื่อที่จะรอเปลี่ยนรถจิ๊บขึ้นไปดูวิวพระอาทิตย์ขึ้นกับยอดโบรโม่ แอร๊ยยตื้นเต้นนนน
เหมารถจิ๊บขึ้นไปกันสองคน ระหว่างทางก่อนจะขึ้นเขาคือทุกอย่างมืดแต่ไม่สนิทเพราะสายตาปรับรับแสงตอนนั้นได้แล้วส่วนนึง
เราเห็นทุกอย่างข้างทางมันโคตะระสวยเลย เหมือนหลงมาอยู่ในเวิ้งอะไรสักอย่าง ยิ้มตื้นเต้นอยู่คนเดียว จนน้องหันมาเกาะแขนแล้วพูดว่า
"ขอบคุณนะพี่ที่ชวนมา" ในใจตอนนั้นคือไม่ได้ตอบอะไรน้องไป แต่เรารับรู้ได้ถึงความดีใจ เพราะว่ามันสวยจริงๆ
ถึงด้านบน เราและน้องรีบเดินไปจับจองหาที่นั่งดูวิว นักท่องเที่ยวเริ่มเยอะ และ ฝนตกปรอยตลอดเลยค่ะะะ !! ช่างน่ายินดีจริงๆๆ
หนาวก็หนาวเปียกก็เปียก พอฟ้าเริ่มสว่าง ยอดโบรโม่มาได้สักประมาณ 5 วินาที ตอนนั้นเสียงทุกคนเฮดีใจกันใหญ่ แต่ๆๆ แต่แล้วมันก็หายไปในม่านเมฆอีกครั้ง
มองย้อนกลับไปดูคนข้างหลังเรา โหย อะไรมันจะขนาดนั้น ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาคอย หวังอยู่กันเยอะแยะ แต่เจ้าโบรโม่จ๋า จะไม่ออกมาจริงๆหรอ
นี้ก็นานแล้วนะ มาสักหน่อยเหอะนะ ..
สุดท้ายภาพที่ได้มาบนนั้นก็มีเพียงแค่เมฆและหมอกและภาพคนสองคนนี้
มีความสุขสินะ ถึงไม่เห็นยอดโบรโม่แต่พวกเธอก็มีความสุขสินะ เช้ออออออ
เราตัดสินใจออกลงจากที่นี้เพราะแอบได้ยินไกด์คนไทยพูดกับลูกทัวร์ว่าให้ลงเถอะ
อยู่ไปจนเที่ยงก็ไม่รู้ว่าจะเห็นยอดรึป่าว .. โหววว มันช่างกัดกินหัวใจอะไรขนาดนั้น
ลงก็ได้ ไม่ดูก็ได้โบรมงโบรโม่
แต่ละคนเริ่มทยอยลงกันแล้ว เพราะว่าจุดหมายต่อไปคงเป็นจุดหมายเดียวกัน นั้นก็คือ การเดินขึ้นไปดูปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่นั้นแหละ
เห็นจากไกลๆไม่ได้ ก็ไปเห็นใกล้ๆเลยแล้วกัน
หลังจากที่ตัดสินใจลงจากจุดชมวิว ระหว่างทางเราก็ได้เจอมันแล้ววววว เจ้าโบรโม่ที่รอมาทั้งวันทั้งคืน
นาทีนั้นรีบหันไปบอกไกด์คนขับของเราให้จอดรถทันที หนูขอลงไปถ่ายรูปหน่อยแนร้
เราอยู่สูงและแผนดินข้างล่างกว้างมากจริงๆ จนมองเห็นรถที่วิ่งไปมาด้านล่างตัวจิ๋วไปหมด
เมฆลอยต่ำ ไม่มีแม้แต่แสงแดดส่องลงมากระทบเจ้าโบรโม่แม้แต่นิดเดียว แต่มันยังคงความสวยงามไว้อยู่
แสงไม่เอื้อแต่เราก็ยังกดชัตเตอร์รัวๆ และมองค้างกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ลงไปข้างล่างแล้ว ตรงนี้ก็คือระหว่างทางที่เมื่อคืนเราผ่านนั้นเอง
รถจะมาจอดเรียงรายกันเต็มไปหมดระหว่างตีนเขา ซึ่งขั้นตอนต่อไปเราก็เลือกเอาได้ตามใจเลยว่า จะเดิน หรือ ขี่ม้า
ซึ่งพวกเรางกมากๆ ถามราคาไปโหวทำไมแพงจัง เลยเลือกเดินดีกว่า (แต่จริงๆแล้วคำนวนราคาผิด ซึ่งมันไม่แพงหรอก โง่เลยจร้ะ เดินไปสิเดินไป)
วิวภูเขารายล้อมเต็มไปหมด
ตรงนี้จะเป็นวัด Candi Bentar temple เป็นวัดฮินดูที่สร้างไว้บูชาภูเขาไฟโบรโม่ (จำเขามาจีจี)
เดินขึ้นไป เราจะเดินไปถึงสุดขอบภูเขานั้นเลย แต่ใครที่ขี่ม้ายังไงก็ต้องเดินนะแก เพราะม้าจะส่งแค่ครึ่งทางเท่านั้นแหละ ที่เหลือก็ต้องเดินไต่บันไดเอาเหมือนกันแหละ
และสำหรับใครที่เดินขึ้น สิ่งที่ต้องเตรียมไปเลยก็คือผ้าปิดปาก คือทั้งฝุ่นทรายเถ้าภูเขาไฟอะไรต่ออะไร เต็มปากไปหม๊ดดดดด
เดินทางรูปไปเรื่อยๆ กว่าจะขึ้นมาถึง มาเหนื่อยเอาตรงเดินบันได และในที่สุดเราก็มาถึงปากปล่องภูเขาไฟแล้ววววว
มองลงไปข้างล่าง ไม่คิดว่าจะเดินขึ้นมาสูงขนาดนี้ และด้านบนเราสามารถเดินต่อไปรอบๆปากปล่องภูเขาไฟได้อีกด้วยนะ (ถ้าไม่กลัวเสียว)
คือแบบว่ามันชันและมันสูง แต่มันก็สะใจดี
หลังจากที่คำนวนค่าขี่ม้าผิด ขากลับเลยตัดสินใจขี่ม้าลง ไหนๆมาแล้วขอลองให้ครบ
และที่ต่อไปที่จะไปก็คือ ทุ่งสะวันนา อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่เราอยู่ นั่งรถสิบห้านาทีก็ถึงแล้ว ดูวิวเพลินๆ ภูเขาเขียวๆ
ทุ่งสะวันนาจะเป็นจุดจอดรถให้ถ่ายรูปสะมากกว่า เอาจริงๆก็ไม่มีอะไรมาก แต่สวยอะสวยมากอยู่
ไปต่อกันที่ ทะเลทรายดำ ทรายสีดำน่าจะมาจากภูเขาไฟนี่แหละ ดำประกายด้วยนะ เม็ดทรายละเอียดยิบ
จอดถ่ายรูป เล่นเอ็มวีสักพัก ก็กลับไปที่รีสอร์ตที่เราเปลี่ยนรถตอนแรก แต่เราไม่ได้เขาพักหรอกนะ เราไปลุยกันต่อเลยต่างหาก
แวะกินข้าวเช้าแบบบุฟเฟ่กันก่อน และออกลุยไปคาวาอิเจี้ยนกันเลย ระหว่างทางไปอิเจี้ยนจะผ่านน้ำตก madakaripura
ก่อนเข้าไปจะมีไกด์มาพาเข้าไปก็ต้องจ่ายเงินให้เขาตอนขาออก ไม่แน่ใจว่าถ้าเราเลี่ยงไกด์ได้มั้ย แต่ว่ามีไว้ก็อุ่นใจ
เพราะว่าเสียไม่เท่าไหร่หรอก แต่ระหว่างทางกว่าจะเดินเข้าไปถึงน้ำตก เราต้องเดินขึ้นลงปีนป่ายก้อนหิน สลับฝั่งซ้ายทีขวาที
ระหว่างทางเดินฝนก็เริ่มตกปรอยๆ ต้องรีบเก็บกล้อง ดีนะที่เตรียมซองกันน้ำที่เหลือจากสงกรานต์มาด้วย
เดินเข้าไปเรื่อยๆ ภูเขาสูงรายล้อมมากๆ เขียวและธรรมชาติสุดดดด เราจะเจอร้านขายของเล็กๆระหว่างทางด้วย ใครจะแวะกินโกเรงจิบกาแฟก็ตามสบาย แต่เราขอบลุยไปให้ถึงด้านในก่อน ยิ่งเดินเข้าไปลึก ฝนเริ่มแรง คือจริงๆมันไม่ได้แรงหรอก น่าจะมาจากละอองน้ำตกที่อยู่สูงมากบวกกับละอองฝน
เดินผ่านน้ำตกจุดเล็กมาแล้ว แต่ยังไม่ใช่จุดพีคของที่นี้ ซึ่งเราต้องเดินต่อเข้าไปอีกนิดหน่อย ก็จะเจอกับความอลังการงานสร้างที่ธรรมชาติสร้างขึ้น
ภาพที่ถ่ายได้จากไอโฟนแค่นั้นจริงๆ มิบังอาจกล้ายกกล้องออกมาจากกระเป๋าเลยสักครั้ง
ขากลับก็เดินดุ่มๆไม่สนใจอะไร ระหว่างทางจะถึงรถแม่ค้าพ่อค้าแถวนั้นก็มองมาที่เราสองคนกันใหญ่
อะ หญิงไทยใจงาม ยิ้มตอบกลับไปสิ ..
ระหว่างที่จะถอดเสื้อกันฝนแสนบางที่คลุมอยู่นั้น ปั๊ดโถ่ววววว กางเกงงงงน้องงง ขาดจร้ะขาดดดดด
ขาดตั้งแต่ชายขามาถึงเป้า !! โถ่ววววว ก็ว่าทำไมเดินมานี่ฮอตฮิตจริงๆมีแต่คนมองและยิ้มให้
จำไว้เลยนะจำไว้เลย อย่าใส่กางเกงที่มีรูเล็กๆเพียงนิดเดียว เพราะระหว่างที่ก้าวขาปีนป่ายนั้น เราไม่รู้หรอกว่ามันจะแหกได้ถึงไหน !มาต่อกันดีกว่า หลังจากผจญภัยดินแดนน้ำตกไปแล้ว เราก็นั่งรถต่อกันมายาวๆ
มาถึง Arabica Homestay คือที่พักบริเวณทางขึ้นคาวาอิเจี้ยน ตอนนั้นน่าจะประมาณ6โมงเย็นได้
อากาศเริ่มหนาวแล้ว กว่าจะเตรียมตัวเก็บของกินข้าวเย็นกันเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม
Bram นัดว่าเที่ยงคืนจะมาปลุกนะ เราต้องขึ้นรถไปยังคาวาอิเจี้ยนและไปลุยเดินต่อชมบลูไฟกันให้ทันตอนตีสาม
เที่ยงคืน !! มีเวลานอนสามชั่วโมงต้องรีบเก็บแรง ชั่วโมงเดียวก็ต้องเอาวะ !
เราตื่นเช้า ไม่น่าเรียกว่าเช้าสิ เราตื่นกันเที่ยงคืนด้วยเสียงเคาะประตูจาก Bram นักท่องเที่ยวคนอื่นๆก็ทยอยตื่นกันหมด
ทางที่พักเตรียมอาหารเช้าไว้สำหรับทุกคน เป็นชากาแฟ ไข่ต้มหนึ่งฟอง และขนมปังสองแผ่น
นั่งรถออกจากที่พักแค่ประมาณสิบนาที ก็ไปถึงจุดจอดรถ และหลังจากนี้คือเราต้องเดินต่ออีกประมาณ 3-4 ชั่วโมง !!
โอ้วเย้ ท้องฟ้ามืดสนิท อากาศหนาวเย็น ไกด์ Local หรือคนเหมืองที่นั้นถูกติดต่อให้โดย Bram ที่จะเป็นคนพาเราขึ้นไปยังข้างบนนั้น
ระหว่างที่เริ่มเดินไปเรื่อยๆ ด้วยความชันของทางเดิน ทำให้เหงื่อออกอากาศร้อนขึ้นมาทันที
แต่แล้วเรื่องดีดีก็เกิดขึ้น เพราะว่าฝนเริ่มตกปรอยๆ โอเคมันยังแค่ปรอยเหมือนน้ำค้างละอองฝน
"ไม่เป็นไรหรอกมั้ง" มันคือคำปลอบใจตัวเองที่ลืมมมมหยิบเสื้อกันฝนมาจากบนรถ
เดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยมาก ! หอบมาก ! พยายามเดินช้าๆ จนกรุ๊ปอื่นแซงนำไปหมดแล้ว นาทีนั้นพูดกับใครไม่ออก ร้องเพลงปลอบใจตัวเองตลอดเวลา ตรูมาทำอะไรที่นี้วะะะะะ ?!! มาทรมานตัวเองทำม๊ายยย คิดถึงที่นอนนนน
ฝนเริ่มตกแรง รีบเก็บกล้องเข้ากระเป๋าเอาเสื้อหนาวมาคลุมกระเป๋า ตัวเริ่มเปียกโชกไปหมด หนาวทั้งลม หนาวทั้งฝน โหยยยยย..
แต่แล้วก็มาถึงจุดพักกลางทาง ร้านค้ายังไม่เปิด เราได้แต่นั่งพักให้หาหอบ แล้วเดินต่อขึ้นไปอีกน่าจะไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเราก็ไปถึงยังยอดคาวาอิเจี้ยน
ตอนนั้นไม่รู้ว่ามาสูงแค่ไหนเพราะมองลงไปข้างล่างไม่เห็นอะไรเลย แต่รู้ว่าสูงมากๆ เพราะเหมือนอยู่ใกล้ท้องฟ้านิดเดียวเอง
ทุกอย่างเป็นสีเทาดำในความหนาวเย็นและเปียกปอน โรแมนติกสุดๆเลยมั้ยละ พี่ไกด์ของเราก็พาเดินลงไปดูบลูไฟ เปลวไฟสีฟ้าที่ตั้งใจมาดู
(คือจริงๆถ้าใครไม่อยากเดินให้มันเหนื่อยและลำบากตัวเอง ก็แค่ไม่ได้ดูบลูไฟ แต่ต้องหาที่หลบหนาวตามโขดหิน ส่วนหลบฝน ไม่มีที่ให้หลบนะจ้ะ ต้องหลบอยู่ในเสื้อกันฝนตัวเองนั้นแหละ ต้องอย่าลืมเตรียมมาเลยนะ)
ทางเดินลำบากมากๆเลยแก ลำบากจริงๆ มีไฟฉายอันเล็กๆนำทาง มันลำบากเพราะฝนตกและความหนาว หินลื่น พลาดล้มทีไม่รู้จะเอาส่วนไหนลง
มือคงแหก เข่าคงพัง ต้องค่อยๆไต่ลงไปตามทาง ตอนนั้นก็แบบว่าให้ขึ้นมาจนสุดแล้ว ยังต้องลงอีกหรอวะ ?
แต่ก็นั้นแหละ ถึงอยู่รอหนาวๆข้างบนก็อาจจะสั่นตายก็เป็นได้
เดินไต่ลงไปข้างล่าง เจอกระท่อมเล็กๆ จริงๆมันคือเพิงที่คนเหมืองสร้างไว้หลบความหนาวเย็น นาทีนั้นนักท่องเที่ยวเกือบจะทุกคนหมุดเข้าไปอยู่กันในนั้น เบียดจนเป็นปลากระป๋องจริงๆนะ หนาวจนขอกอดกับใครก็ได้แล้วอะตอนนั้น
เราแอบเห็นเปลวไฟสีฟ้าก่อนเข้ามาหลบในเพิง มันสวยนะ แต่ตอนนั้นไม่มีความรู้สึกอินกับอะไรทั้งนั้น พี่ไกด์เลยบอกว่าเอากล้องมาสิเดี๋ยวเดินไปถ่ายให้ เราเลยยื่นโทรศัพท์ไปให้เขา แล้วก็กลับมาได้รูปบลูไฟประมาณนี้
กว่าท้องฟ้าจะสว่าง เพื่อที่จะได้เดินไต่ขึ้นไปข้างบนอีกครั้ง ก็รอกันหลายชั่วโมง นอนหนาวรออยู่ในเพิงจนนักท่องเที่ยวคนอื่นๆเขาไปกันหมดแล้ว
ท้องฟ้าเริ่มสว่าง แต่หมอกยังหนาอยู่และตัวเรายังไม่แห้งเลย พี่คนเหมืองเริ่มเอาฟืนไฟที่ชื้นและเปียกน้ำมาพยายามก่อไฟให้
แบบว่าต้องขอบคุณมาก ตอนนั้นมันหนาวจนคิดในใจว่าถ่ายแกล้งตายตรงนี้จะมีใครแบกขึ้นไปและพาลงจากเขามั้ยวะ
ไม่อยากจะก้าวขาหรือทำอะไรทั้งนั้นแล้วจริง ๆ
ขอบคุณมากๆจริงๆ นึกไม่ออกว่าถ้าตอนนั้นตัวเปียกแบบไม่มีที่หลบอยู่จะเป็นยังไงบ้าง เห็นเปลวไฟแล้วอยากจะกระโดดเข้าไปจริงๆ
สติเริ่มกลับมา เริ่มหันไปชักชวนน้องให้เดินกลับขึ้นไปข้างบน และเราก็พบว่าหมอกแมร่งโคตรหนา แล้วยังงี้จะเห็นมั้ยเนี่ยคาวาอิเจี้ยน ทะเลสาปน้ำสีฟ้าแสนสวยที่เราอยากมาดู
ทั้งหมดสีเหลืองที่เห็นนั้นคือกำมะถันที่กลิ่นฉุนมากกกก ต้องใส่หน้ากากตลอดเวลา
ทางเดินที่เราเดินไต่กันลงมา เป็นหินลักษณะแบบนี้นี่แหละ เพิ่งมาเห็นชัดๆตอนสว่างและเพิ่งรู้ว่า โหวว ชันจังวะ ?
แล้วคนเหมืองที่นั้นเดินแบกกำมะถันขึ้นๆลงๆกันแบบชิลมาก นับถือเลยพี่ สุดยอดมากจริงๆ
สุดท้ายเราก็เดินขึ้นมายังจุดสูงสุดของที่นี้ ภาพความฝันทุกอย่างที่มีเกี่ยวกับคาวาอิเจี้ยนก็ได้มลายหายไป
ไม่มีทะเลสาปสีฟ้าแบบที่จินตนาการไว้ ไม่มีอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างข้างหน้ามีเพียงสีขาวและสีเหลืองให้เราได้เดินผ่านไป
แต่ยังไงแล้วเราจะขอบอกกับทั้งโบรโม่และคาวาอิเจี้ยนไว้ตรงนี้เลยนะ ว่าเราไม่ยอมแพ้หรอก ขอบคุณที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้ไปเป็นดังใจ
เพราะมันทำให้เราหึกเหิมบอกกับตัวเองตั้งแต่ยังไม่ออกจากคาวาอิเจี้ยนเลยว่า
"ครั้งหน้าเราจะมาเจอกันใหม่"
จบไปอีกวันกับการเที่ยวอินโดฝั่งหมู่เกาะชวาตะวันออก ลงจากอิเจี้ยนไปเราจะนั่งเรือข้ามไปยังบาหลีกันต่อ
ติดตามได้กระทู้หน้านะคะ
ปล. หลังจากลงมา Bram คนขับรถบอกว่า เมื่อวันก่อนพานักท่องเที่ยวมาฟ้าสวยมาก ! ฝนไม่มี ! ทั้งโบรโมและคาวาอิเจี้ยน
ขอบคุณค่ะ !
some.mile
วันพุธที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.44 น.