ต่อนยอน ต๊ะต่อนยอน สวัสดีฮะ 555555555555 พอดีได้มีโอกาสกลับไปเที่ยวเชียงใหม่
เลยอยากเอาภาพบรรยากาศมาฝาก ก็ถือว่าเป็นการเที่ยวที่รอมานานมากๆ เนื่องด้วยบรรดาเพื่อนๆ
แต่ละคนที่ไปด้วยนั้นต่างว่างไม่ตรงกันซักที จนวันเวลาล่วงเลยข้ามปี แล้วก็ได้ไปเที่ยวกันซักทีครับ
ไปครับไปเที่ยวด้วยกัน : )

16.02.2017 - Day1 (เจอกันอีกแล้วนะคุณเชียงใหม่)

: เริ่มต้นทริปด้วยเครื่องบินไฟล์ทช่วงสิบเอ็ดโมง ทริปนี้เดินทางด้วยสายการบิน Thai Lion Air ครับ ไปถึงนั่นก็ราวๆเที่ยงกว่าแล้ว


โดยแพลนตอนแรกของเราคือไปที่สวนพระนางเจ้าครับ จริงๆก็เห็นมาเยอะแล้วนะครับสำหรับรูปของคนอื่น แต่ก็ยังมีความอยากที่จะได้ไปเห็นด้วยตัวเองอยู่ดี 5555555

เรานั่งไปถึงนั่นประมาณช่วงบ่ายสองนิดๆครับ ตอนแรกเห็นแดดแรงมาก คิดไว้แล้วว่าโอ้โหร้อนตับแตกแน่นอน แต่พอลงมาจากรถ

ก็เออพบว่า แดดมันแรงก็จริงอยู่ แต่ก็ยังพอมีลมเย็นพัดตลอดเวลา เท่านั้นแหละครับก็รู้สึกแฮปปี้แล้ว ตอนแรกพี่คนรถของเราขับไปส่งตรงโซนพิพิธภัณฑ์ภาพสามมิติ ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าเปิดใหม่รึป่าว ในนั้นก็มีพวกแหล่งข้อมูลเยอะแยะอยู่ ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับพันธุ์ไม้ต่างๆ มีทั้งแบบบอร์ดให้อ่านคล้ายๆกับบรรยากาศบอร์ดของเราตามงานวิทยาศาสตร์โรงเรียน รวมไปถึงโซนที่เป็นพวก Interactive ก็มีครับ แต่จริงๆเหมือนที่นี่เค้าจะมีชั้นบนด้วย แต่ว่าตอนที่พวกผมไปนี่ชั้นบนปิดซ่อมพอดีครับ ก็เลยไม่รู้เลยว่าข้างบนเค้ามีอะไรกันบ้าง เราใช้เวลาอยู่ที่นี่กันแปปเดียวเองครับไม่มากเท่าไหร่ เพราะจริงๆจุดที่ตั้งใจอยากไปเดินคือตรงสะพานเหล็ก กับตรงที่เป็นโซนต้นไม้ต่างๆมากกว่า มาจากในเมืองกันมั้งครับเบื่อตึกเต็มที อยากเห็นใบไม้กับโลกข้างนอกกันซะส่วนใหญ่ 555555

คำแนะนำของพี่คนรถก็คือให้เราไปที่ตรงสะพานเหล็กก่อน แล้วค่อยเดินมาโซนกระบองเพชรเพราะเหมือนโซนสะพานเหล็กจะปิดเร็วกว่าอีกโซนนึง ตรงนี้เป็นโซนสะพานเหล็กครับ จริงๆตอนเดินไป เห็นป้ายระหว่างทางติดว่าจะมีน้องกิ้งก่าบิน แต่นี่ไม่เจอสักตัวเลยครับ 555555555 ตอนแรกคิดว่าจะเหมือนกับป่าในกรุงของ ปตท ที่กรุงเทพ แต่ถ้าเทียบกันผมว่าที่นี่เดินสบายกว่า อาจจะเพราะด้วยอากาศ ที่นี่แดดแรงแต่ว่าลมเย็นพัดตลอดทำให้รู้สึกว่าเดินได้เรื่อยๆ ไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อยเท่าไหร่ครับ



อันนี้ถัดมาเราเดินกันมาในโซนของต้นไม้ครับ ไฮไลท์ที่นี่คงจะเป็นโซนของกระบองเพชรที่ทุกคนดูต้องมา พอเข้าไปก็ดีนะครับเค้าจัดโซนสวยดี ดูตั้งใจวางน้องๆแคคตัสแบบคิดมาแล้ว รวมถึงจัดโซนต่างๆทำให้ดูน่าเดิน น่าถ่ายรูปเล่นดีครับ... เข้าใจแล้วว่าทำไม คนมาถ่ายกันเยอะขนาดนี้

จบจากสวนพระนางเจ้า ก็เริ่มหิวข้าวกันละครับ ก็เลยเดินทางไปหาร้านข้าวกินกัน ตอนแรกลังเลระหว่างกลับไปกินมื้อเย็นตรงที่พักในคืนนี้ หรือไปหาอะไรกินแถวดอยก่อนดี สรุปใจความได้ก็คือ ตัดสินใจไปที่ม่อนแจ่มครับ

ตอนแรกคิดว่าคงไปไม่ทันเพราะกลัวดอยข้างบนเค้าจะปิดให้เที่ยว แต่พอลองไปถามเค้าดูร้านอาหาร รวมไปถึงทุกๆโซนของที่นี่จะปิดประมาณหกโมงกว่าๆครับ ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่ดีมากเลย กับการมากินข้าวเย็นที่นี่ อากาศดีมากกกกกกกก ลมเย็น มองไปตรงไหน ก็สบายตาสบายใจไปหมดฮะ อาหารที่นี่ก็ผมถือว่าอร่อยนะครับ แล้วก็คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายลงไปครับ เราชิวกันอยู่ที่นี่จนถึงช่วงหกโมงนิดๆเลยครับ รอเก็บภาพตอนพระอาทิตย์กำลังจะตก มองไปข้างๆก็เจอแต่ทุ่ง เจอแต่สวน เหมือนได้มาเติมพลังงานให้กับตัวเอง หลังจากที่ต้องทนอยู่แต่ในเมืองมาในช่วงหลายเดือนนี้

อิ่มท้องกันแล้วก็เตรียมตัวไปที่พักกันต่อเลยครับ สำหรับคืนแรกพวกเราจองที่พักไว้ที่ "Camp Chiang Mai" อยู่แถวๆบริเวณแม่ริม เนื่องด้วยทริปนี้มีเพื่อนผู้หญิงไปด้วย ก็คงพอจะเข้าใจใช่มั้ยครับว่าทำไมถึงเลือกมานอนกันที่นี่ 5555555 เราเดินทางไปถึงที่นั่นกันประมาณหนึ่งทุ่ม ก็ทำการจ่ายเงินเรียบร้อยตรงหน้าเคาท์เตอร์ แล้วก็ยกข้าวของไปเก็บในแคมป์ที่เราจองไว้ เนื่องด้วยวันที่พวกเรามาเป็นวันธรรมดาครับ

ทำให้คนพักที่นี่ค่อนข้างน้อย ซึ่งมันดีนะครับ มันดูเงียบสงบดี ส่วนห้องที่พวกเราไปพักเราเลือกเป็นห้อง Family จำนวน 2 ห้องครับ นอนได้ห้องละ 3 คน มันน่ารักมากนะครับ เป็นกระโจมเล็กๆ แต่ไม่ได้รู้สึกอึดอัดเมื่อเข้าไปนอนอยู่ข้างใน บวกกับโทนสีของ

เครื่องนอนในห้องนั้นทำให้รู้สึกเหมือนเรามาตั้งแคมป์ลูกเสือสุดๆ เรานอนเล่นกันสักพักนึงครับ
ก่อนที่วางแพลนจะออกไปปิ้งบาร์บีคิวกันบริเวณโซนทานอาหารด้านหน้าทางเข้าแคมป์ เพราะนี่ก็ถือว่าเป็นกิจกรรมหลักที่คนส่วนใหญ่มาแล้วก็นิยมทำแน่นอนครับ มันก็ดูหาที่ทำได้ยากนะถ้าเราอยู่ในกรุงเทพ

*สำหรับเมนูอาหารที่ให้เรานำมาปิ้งก็เป็นเนื้อไก่ เนื้อหมู ไส้กรอก อะไรแบบนี้ครับ ราคาก็น่ารักดี อยู่ที่ไม้ละสิบบาท สิบห้าบาทโดยประมาณ จะมีโดดมาหน่อยก็คงจะเป็นไส้กรอกที่ขาย 80 บาท แต่ถ้าให้แนะนำ ผมแนะนำให้เลือกซื้ออันที่มันเป็นชิ้นเนื้อครับ แล้วเอามาย่างกันเอง แล้วค่อยหั่นทีหลัง เพราะผมว่ามันคุ้มกว่าแล้วก็มันค่อนข้างสุกกันอย่างทั่วถึงครับ ถ้าเป็นแบบไม้เสียบจะสุกไม่ค่อยเสมอกันเท่าไหร่*

หลังจากทานอิ่มกันเรียบร้อย ก็แยกย้ายกันกลับแคมป์ของตัวเอง แล้วก็ทยอยกันออกมาอาบน้ำครับ สำหรับไฟกลางที่นี่จะปิดประมาณช่วง 4 ทุ่มครับ ดังนั้นรีบกลับก่อนก็จะดี เพราะเดี๋ยวจะมืดไป แต่ที่นี่น่ารักดีนะครับ เพราะตอนที่เราไปพัก เค้าจะแจกเจ้าไฟฉายจิ๋วมาให้เราคนละอัน เป็นของเล็กๆน้อยๆ แต่ดูได้ใช้ประโยชน์นะครับ สำหรับใครที่เกิดอยากเข้าห้องน้ำในช่วงกลางดึก เพราะห้องน้ำของที่นี่เป็นห้องน้ำรวม อารมณ์ประมาณโรงแรมโฮสเทลครับ เครื่องทำน้ำร้อนมีแน่นอนสำหรับคนที่กลัวว่าน้ำจะเย็น แต่ต้องปรับดีดีนะครับ ด้านซ้ายด้านขวา ไม่งั้นถ้าไม่ร้อนจนไข่สุกก็จะหนาวเย็นเป็นเอลซ่าเลยครับ สำหรับคืนวันแรกผมถือว่าค่อนข้างประทับใจนะครับ มันได้มาพักจริงๆในที่ที่เราอยากมา มันดูไม่ได้หวือหวามากหรอกครับ แต่เหมือนได้มาทำตัวง่ายๆ อยากพักที่ที่ทุกคนอยากมาพัก แค่นี้ก็โอเคแล้วครับ ฝันดีครับคุณเชียงใหม่


17.02.2017 - Day2 (เหมือนน้ำตกรักจังเลยเนาะ...)

: อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่ 2 ครับ ตื่นมาเจอกับอุณหภูมิ 18 องศากำลังเย็นสบายๆเลยครับ หลังจากอาบน้ำอาบท่ากันเสร็จก็เดินมาที่โซนอาหารเช้า อาหารเช้าที่นี่ก็น่ารักครับ มีทั้งหมูทอดกระเทียม ไก่ย่าง หมูปิ้ง ไข่ต้ม ข้าวเหนียวปิ้ง กาแฟ โอวัลตินต่างๆนาๆ ถือว่าอร่อยและอิ่มท้องเลยนะครับ


เรานัดพี่คนรถไว้ประมาณแปดเก้าโมงครับ สำหรับแพลนวันนี้คือไปที่แม่กลางหลวงฮิลล์ครับ ไปพักตากอากาศที่นั่นเพื่อรอขึ้นกิ่วแม่ปานกันในวันถัดไป แต่ถ้าจะไปเลยตอนนี้มันก็จะดูถึงเร็วไปหน่อย ก็เลยเลือกไปเดินเล่นทานกาแฟกันที่ "เก๊าไม้ล้านนา" ครับ ที่นี่เป็นทั้งที่พักแล้วก็มีร้านอาหารร้านกาแฟรองรับอยู่ด้านหน้าบริเวณทางเข้าด้วยครับ

หลังจากทานขนมและเครื่องดื่มกันเสร็จแล้ว ระหว่างเดินทางไปที่พัก พวกเราก็ทำการแวะไปกันที่น้ำตกวชิรธารครับ เป็นอีกที่ที่มีคนแนะนำให้มาเหมือนกัน บรรยากาศที่นั่น ค่อนข้างเย็นสบายและเงียบสงบดีครับ เราแวะทานข้าวกันที่นี่เลย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา อาหารที่นี่สำหรับผมเฉยๆนะครับ ยังแพ้อาหารที่ม่อนแจ่มเมื่อวานอยู่ 5555555555

หลังทานข้าวเสร็จพวกเราก็เดินทางไปต่อยังที่พักครับ ที่พักที่เราจองกันไว้สำหรับคืนนี้คือ “แม่กลางหลวง ฮิลล์ ครับ" จริงๆที่นี่มีที่พักหลายชื่อมากๆที่อยู่ในโซนของแม่กลางหลวง จะมีมุมของวิวที่แตกต่างกันออกไปครับ สำหรับบ้านของเราคือเป็นจุดที่มองเห็นวิวทุ่งจากมุมสูง ซึ่งสวยมากๆครับเมื่อมองลงไปจากหน้าต่างของบ้านพัก



สำหรับบ้านพักที่นี่ไม่มีแอร์นะครับ แต่ว่าอากาศเย็นฉ่ำนอนหลับสบายแน่นอน แต่ว่าถ้ามาถึงแล้วแก่วอยู่แต่ที่พักมันก็ค่อนข้างน่าเบื่อใช่มั้ยครับ พวกเราเลยเลือกกิจกรรมเดินสำรวจป่าครับ โดยจุดที่เราเดินทางสำรวจนี้มีชื่อว่า "เส้นทางศึกษาธรรมชาติ น้ำตกผาดอกเสี้ยว" ซึ่งเส้นทางการสำรวจนี้ ผมว่าเดินง่ายนะครับ แต่ว่าจะค่อนข้างอบอ้าวนิดนึง อาจจะเพราะป่าที่ใบค่อนข้างเยอะ ทำให้มันแย่งอากาศเราหายใจ แต่ไม่ถึงกับเหนื่อยมากจนเดินไม่ได้ครับ ซึ่งทางเดินของเราเริ่มต้นจาก ที่พักไล่ไปตามทางน้ำจนวนกลับมาที่พักอีกรอบ

สำหรับน้ำตกผาดอกเสี้ยว หลายคนอาจจะคุ้นจากภาพยนตร์เรื่อง "รักจัง" นั่นแหละครับเพราะความคุ้น ผมก็มัวแต่ยืนคุ้นจนลืมถ่ายมา แล้วมาระลึกชาติได้ทีหลังว่า อ้าวววนั่นมันน้ำตกรักจังนี่นา ถือว่าน่าเสียดายมากครับ 55555

สำหรับระยะเวลาในการใช้เดินเส้นทางนี้ก็ประมาณ สองถึงสามชั่วโมงครับแล้วแต่ความเพลิดเพลินในการเดินถ่ายรูป ผมชอบที่นี่นะครับ ระหว่างทางตอนเดินไปก็เจอชาวบ้านที่กำลังเก็บสตอเบอร์รี่อยู่ ก็เลยแวะเข้าไปขอซื้อกับพี่เค้าซักหน่อย อร่อยมากครับ หวานกรอบ แถมราคาก็ถูกมากๆด้วยสำหรับที่นี่ กรุงเทพนี่แพคเดียวปาไปร้อยกว่าบาท แถมไม่ค่อยอร่อยเหมือนที่นี่ด้วยครับ

จากนั้นเราก็เดินสำรวจเส้นทางไปเรื่อยๆครับ เส้นทางการเดินเหมือนกับเรากำลังเดินทางตามผังของท่อส่งน้ำไปยังหมู่บ้านครับ จริงๆจะว่าไปเหมือนอยู่ในฉากของ จิบิเหมือนกันนะครับ ใครต้องการสัมผัสธรรมชาติก็แนะนำให้ลองมาเดินสำรวจเส้นทางกันดูครับ

จนสุดท้ายเราก็ได้กลับมาที่พักของเรา สำหรับมื้อนี้ฝากท้องไว้กับหมูกระทะของร้านแถวนั้น ถือว่าเป็นมื้อที่ง่ายแต่ฟินมากครับ อากาศหนาวๆบวกกับหมูกระทะร้อนๆ นี่ถือว่าเป็นอะไรที่ลงตัวสุดๆไปเลย จบมื้อนี้ก็จัดการชาร์ตแบตอุปกรณ์และชาร์ตแบตตัวเองกันละครับ เพราะว่าพรุ่งนี้เราต้องตื่นกันเช้ามากเพื่อเดินไปทางไปขึ้นกิ่วแม่ปาน ไฮไลท์ของทริปนี้เลย ที่ผมแทบจะเป็นตัวตั้งตัวตีในการมาทริปนี้ว่าทุกอย่างแคนเซิลได้ยกเว้นที่นี่... เจอกันพรุ่งนี้ครับคุณกิ่วแม่ปาน

18.02.2017 - Day3 (ขอบคุณที่เทเรานะ)

: เช้านี้เราตื่นกันตั้งแต่ตีห้าครับ เพราะว่าอยากไปถึงเป็นเซ็ตแรกๆ ด้วยความที่มันตรงกับเสาร์อาทิตย์ด้วยเลยคิดว่าคนต้องค่อนข้างมากันเยอะแน่ๆ แล้วหลายคนก็อยากไปเห็นตอนช่วงพระอาทิตย์ขึ้นพอดีด้วย เราออกจากที่พักกันประมาณตีห้าครึ่งครับ โดยทุกคนก็ต้องเซ็ตเครื่องแต่งกายประหนึ่งว่าจะไปเดินโซล แฟชั่นวีค แต่ก็ต้องแต่งเต็มกันแบบนี้แหละครับ เพราะเมื่อวานเราได้ยินพี่คนรถบอกมาว่า อากาศที่กิ่วแม่ปาน เป็นเลขตัวเดียวนะครับน้อง...

เราเดินทางจากที่พักเพื่อมายังกิ่วแม่ปานครับ มาถึงก็มีคนมารอเป็นจำนวนหนึ่ง เราก็แยกย้ายกันไปกินข้าวกินปลาเอาแรงซักหน่อย ร้านค้าแถวนั้นก็มีพวกหมูปิ้ง ไก่ย่าง ข้าวเหนียว ข้าวต้มครับ ซึ่งถือว่าอร่อยนะครับ ไม่ใช่แบบมีให้กินแค่นี้ก็ต้องกิน โอเคมากเลยทีเดียว อ้อสำหรับใครที่กลัวว่าแต่งมาแล้วจะยังสร้างความอบอุ่นไม่พอ ตรงร้านค้าแถวนั้นก็มีของมาขายเพิ่มนะครับเช่นหมวกไหมพรม หรือพวกถุงมือ ราคาก็ลดหลั่นกันไปตามแต่สไตล์แฟชั่นที่อยากจะแต่งกัน ถึงเวลาเราก็เริ่มเดินขึ้นกิ่วแม่ปานกันแล้วครับ

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่อนๆที่ไปด้วยรู้สึกยังไงกับการได้เดินขึ้นไป แต่ผมรู้สึกหลายอย่างเอามากๆ เพราะจริงๆเหตุผลที่รู้สึกต่างๆนาๆ มันเกิดมาจากการโดนเทครับ 55555 พอมาถึงก็เลยคาดหวังและรู้สึกว่าอยากเก็บทุกอย่างที่มองเห็นตั้งแต่ต้นทางเดินจนถึงสุดทางเดิน การเดินทางขึ้นมาบนนี้ใช้พี่ไกด์หนึ่งคนต่อหนึ่งกรุ๊ปการเดินครับ พี่ไกด์ของผมเป็นพี่ผู้หญิงน่ารักคนนึง ที่เค้าจะคอยมาเป็นไกด์นำช่องทางการเดิน รวมถึงการอธิบายถึงจุดนั้น จุดนี้ในช่วงทางเดินของกิ่วแม่ปาน อากาศก็เริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆครับ แรกๆทุกคนจะเหนื่อยง่ายและบางคนอาจจะรู้สึกเหมือนหน้ามืดเล็กน้อย เพราะเป็นเรื่องของต้นไม้ที่แย่งอากาศที่เราหายใจนี่แหละครับ บวกกับทางที่ค่อนข้างชัน ก็ทำให้เหนื่อยง่าย แต่จริงๆผมเคยไปเดินขึ้นม่อนจองมา พอมาเจออันนี้ ที่นี่เลยกลายเป็นที่ที่เดินง่ายมากไปในพริบตาเลยครับ เราเดินผ่านช่วงป่าโซนแรก ซึ่งผมว่าถ้าได้มาอีกทีช่วงก่อนที่กิ่วแม่ปานปิด ที่เป็นช่วงเข้าหน้าฝนโซนนี้คงสดชื่นน่าดู

เราเดินกันมาจนถึงจุดไฮไลท์ที่เรียกว่าทุกคนคงได้รูปจากโซนนี้กันไม่มากก็น้อย มันสวยจริงๆนะครับ ขึ้นมาแล้วก็รู้สึกว่าที่นี่เป็นที่ที่ผมควรได้มาจริงๆ เพราะทุกอย่างมันดีมากๆ มองไปทางไหนก็สวย ยิ่งตรงโซนที่ทุกคนถ่ายรูปแล้ว ณ จุดนั้นถือว่าประทับใจมากครับ

ที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าคาดหวังกับการมาที่นี่ก็คงเป็นเพราะ ผมเคยได้คำสัญญากับคนคนนึงว่าจะมาเที่ยวที่นี่ มันเลยผ่านมาเป็นปีได้แล้วมั้งครับ สุดท้ายก็ไม่ได้มา แต่ตอนนี้ก็มายืนอยู่บนยอดคุณกิ่วนี่แล้ว ก็ขอโทษคุณกิ่วด้วยที่เรามาช้าไปหน่อย แต่ไม่เป็นไร เรามาหาแล้วนะ สวยเหมือนที่เราคิดไว้เลย

ทิ้งเรื่องการโดนเทไว้บนนั้น แล้วเดินลงมาต่อกับเส้นทางที่เหลือครับ โชคดีมากๆด้วยที่ตอนเราเดินมาก็เจอกับไก่ฟ้า(รึเปล่า?) ที่กำลังยืนถ่าย Beauty Shot เหมือนรู้งานเป็นอย่างดีให้กับนักท่องเที่ยว น้องก็น่ารักดีนะครับ ไม่กระโตกกระตากเลย สำหรับเส้นทางการเดินของที่นี่ผมว่าเดินค่อนข้างง่ายครับ ใครที่อยากลองมา ก็ลองมากันได้นะครับ จริงๆใครว่างๆลากผมไปด้วยอีกหลายรอบก็ได้นะครับ จริงๆอยากไปอีก เพราะรู้สึกว่าพอได้ขึ้นไปถึงข้างบนแล้วเราก็มีความสุขแบบไม่รู้ตัว คือดูรู้เลยอ่ะครับว่ามาจากกรุงเทพ ต้นไม้แห้งนิดหน่อยก็ตื่นเต้นดีใจยืนถ่ายรูป ยืนเพ้อกันอยู่ตรงนั้น 55555555


สำหรับเส้นทางกิ่วแม่ปานเราใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงครับ ตอนลงมาก็ประมาณแปดโมงกว่าเกือบๆเก้าโมง แล้วเราก็มาขึ้นรถเพื่อขับต่อขึ้นไปข้างบนแวะเยี่ยมชมอ่างกากันต่อ... อ้อ ว่าแต่บ๊ายบายนะคุณกิ่ว ถ้าเรามีโอกาสเดี๋ยวเราจะกลับมาหาคุณอีก เราสัญญา


เดินทางจากกิ่วแม่ปานมายังอ่างกาเพียงสิบนาทีเท่านั้นเองครับ ตรงอ่างกาก็เป็นเสมือนเส้นทางสำรวจที่รวบรวมต้นไม้นานาพันธุ์ ก็เป็นสถานที่ที่เดินแล้วสดชื่นดีครับ เพราะมองไปทางไหนก็เขียว จะมีบางต้นที่ใบเริ่มเปลี่ยนสีบ้างออกส้มออกแดง ความรู้สึกเหมือนกำลังเป็นกลุ่มนักวิทยาศาสตร์เดินทางไปสำรวจป่าลึกลับยังไงอย่างงั้น

เสร็จจากการเดินสำรวจเส้นทางอ่างกา เราก็เดินทางไปต่อกันที่ผาตั้งครับ เพราะมีความตั้งใจอยากมาดูน้องแกะ ที่บางคนก็เรียกตรงนั้นว่า "ม่อนน้องแกะ" จากที่เคยเห็นมาตามกระทู้ต่างๆ พบว่าน้องแกะที่นี่ดูมีขนที่สวยและหน้าตาดูไม่ได้อิดโรยเหมือนที่เคยเห็นมาตามหลายๆที่ในประเทศไทย ก็เลยอยากลองมาหาน้องๆดูครับ ซึ่งตอนเราไปถึงน้องแกะกำลังกินหญ้ากันอย่างหนักหน่วงมาก แดดค่อนข้างแรงครับ เพราะสถานที่เป็นเหมือนทุ่งที่เปิดโล่ง แต่น้องแกะก็น่ารักมากนะครับ มีตัวนึงส่งเสียงขู่วตั้งแต่ตอนเรามาถึง ประมาณว่าเฮ้ยว่าไง เจ้าพวกมนุษย์ แล้วก็ร้องอยู่นั่นแหละครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องเค้าเป็นอะไร 5555555555555

ดูน้องแกะเสร็จเราก็เดินทางมาฝากท้องไว้กับร้าน "กะโหล้ง" เป็นร้านขาข้าวซอยที่บรรจุภัณฑ์น่ารักมากๆ โดยใส่มาในกะลา รสชาติค่อนข้างเข้มข้นเลยทีเดียวครับ บีบแค่มะนาวก็อร่อยแล้ว ไส้อั่วที่นี่ก็แน่นเครื่องเทศดีครับ กินแล้วรู้สึกชอบมาก ที่นี่ชอบอีกอย่างตรงที่มีน้ำมะพร้าวอ่อนแบบรีฟีลด้วยครับ เหมาะสำหรับอากาศร้อนตับแตกตอนนี้มากๆเลย

และแล้วก็ถึงเวลาแยกย้ายกับรถแดงของเราแล้วครับ เราจ้างพี่เค้าเบ็ดเสร็จ 3 วัน ก็ค่ารถทั้งหมด 5500 บาท อันนี้ราคา
รวมค่าน้ำมันแล้วนะครับ ผมถือว่าคุ้มนะ สำหรับการเดินทางทั้งหมดที่ผ่านมา เนื่องด้วยพวกเราเองก็ขับรถกันไม่เป็น ราคานี้
ได้คนขับกับรถ ถือว่าโอเคเลยครับ พี่บูรณ์เดินทางมาส่งพวกเราที่ท่ารถครับ ตอนนั้นพวกผมก็ลังเลอยู่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนกันดี ระหว่างเข้าที่พัก หรือว่าไปเดินเล่นกันที่แม่กำปอง แล้วพวกเราก็สรุปกันได้ว่าจะเหมารถไปลงที่พัก แล้วเก็บแม่กำปองไว้สำหรับวันพรุ่งนี้

สำหรับที่พักในวันนี้ของพวกเราคือที่ ธารทองลอดจ์ ผมหาเจอในที่ีรีวิวแล้วเห็นว่ามันดูน่าเข้าพักมากเลย ลักษณะคล้ายกับบ้านพักตากอากาศที่บรรยากาศน่าสนใจมาก เราก็เลยเล็งที่นี่กันไว้ แต่ก่อนที่จะเดินทางเข้าที่พัก พวกเราก็ไปแวะทานขนมกันที่บริเวณแถวๆ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก เค้กที่นี่ก็รสชาติดีนะครับ ผมสั่งเค้กมะพร้าวไป รสชาติค่อนข้างโอเคเลย

นั่งตากลมกันได้สักพักก็ตีรถกลับเข้าที่พักครับ เข้ามาถึงแล้วรู้สึกว่าได้พักจริงๆ บรรยากาศที่นี่ดีมากกกกกและเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างกว้างใหญ่มาก ผมว่าใครมาเข้าพักที่นี่คงรู้สึกสบายตัวกันทุกคนแน่ๆ สำหรับบ้านพักที่นี่มีหลายหลังนะครับ ราคาก็ถือว่าไม่แพงเลยครับ ผมเข้าพักกันหกคน บ้านหลังนี้ราคา 3000 บาท ผมเลือกพักที่บ้านหินงาม เพราะทุกคนดูชอบใจกับบริเวณชั้นใต้ดิน ที่เป็นห้องนอนใหญ่ ที่ถูกประดับไปด้วยหิน ให้อารมณ์เหมือนเราอยู่บ้านมนุษย์หินยังไงอย่างงั้น

สำหรับคืนนี้ถือว่าใช้ร่างกายกันมาอย่างเต็มที่มากครับ คืนนี้ก็เลยขอนอนพักผ่อนกันอย่างเต็มที่ตั้งแต่ยังไม่ค่ำมาก ที่นี่บรรยากาศสบายมากครับ ยิ่งโดยเฉพาะตอนเวลากลางคืน จะได้ยินเสียงน้ำตกตลอดเวลา แถมอากาศก็เย็นสบายมากจนไม่ต้องเปิดแอร์หรือพัดลมเลยครับเรียกได้ว่าใครอยากพาผู้ใหญ่ที่บ้านมาพัก ผมก็แนะนำที่นี่นะครับ บรรยากาศเหมาะอยู่กันเป็นครอบครัวมากๆครับ

19.02.2017 - Day4 (เล็กๆแต่อบอุ่นนะ)

: วันนี้ตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมอากาศที่หนาวเย็นได้ใจมากๆครับ สดชื่นตั้งแต่เปิดประตูหน้าบ้านที่พักออกมาเลย ตอนเช้าก็ได้มีโอกาสเดินเก็บบรรยากาศรอบๆ แต่ยังไม่หมดนะครับ ที่นี่ค่อนข้างกว้างและใหญ่มากจริงๆ แล้วจัดโซนได้สวยงามมากครับ เหมือนได้พักแล้วก็ได้เที่ยวสวนน้ำตกไปในตัวด้วยเลย ที่ประทับใจอีกอย่างของที่นี่คงเป็นแผนกต้อนรับ ที่เป็นคุณน้าที่ใจดีมากๆ บวกกับสำเนียงการพูดสไตล์คนเหนือ พูดอะไรก็ดูใจเย็นไปหมด ทำให้ได้รับความประทับใจไปเต็มๆเลย

แพลนสำหรับวันนี้คือไปเที่ยวที่หมู่บ้านแม่กำปองครับ แต่ก่อนไปก็ไม่รู้ว่าจะไปลงเอยกับที่ไหน เพื่อนก็เลยแนะนำว่าถ้าเอาใกล้ๆ นี่ก็จะเป็น The Giant เชียงใหม่ ครับ

*เพื่อนผมเคยไปมาแล้วครั้งหนึ่งมีการเคลมตอนแรกว่ารสชาติอาหารและเครื่องดื่มอาจจะไม่ค่อยถูกปากมากนัก และราคาค่อนข้างสูง ซึ่งพอไปถึงก็ถือว่าราคาสูงจริงนะครับ สั่งชามะนาวไปในราคา 110 บาท ก็ต้องดูดจนหมด 5555555 เรื่องรสชาติให้กลางๆแล้วกันครับ แต่คาดว่าที่ราคาค่อนข้างสูงอาจจะเป็นเพราะเค้าคงบวกราคาของค่าสถานที่ ค่าบรรยากาศไปแล้ว*

คนมาที่นี่ค่อนข้างเยอะครับ เพราะดูเป็นสถานที่ที่ดึงดูดบรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติมามากพอสมควรเลย เราอยู่ที่นี่กันไม่นานมากครับเพราะบางคนก็ค่อนข้างหิวข้าวแล้ว เลยตัดสินใจขึ้นรถแล้วเดินทางไปต่อกันที่แม่กำปองครับ เพราะคิดว่าราคาของกินที่นั่นน่าจะค่อนข้างน่ารักสำหรับพวกเรา


ทางขึ้นแม่กำปองก็ดูค่อนข้างจะทุลักทุเลนิดนึงครับ รถที่ขึ้นก็ต้องขับเก่งพอตัวเหมือนกัน พอได้ขึ้นไปถึงแล้วมันก็เป็นแบบที่คิดไว้ในหัวเลยครับ เป็นหมู่บ้านเล็กๆขนาดกำลังน่ารัก เราตัดสินใจมาฝากมื้อกลางวันกันที่ร้าน ลุงปุ๊ด ป้าเป็ง น่าจะดูเป็นร้านฮิตของคนที่มาที่นี่กัน สักพักก็เดินสำรวจแถวนั้นแหละครับเดินขึ้นเดินลง จนไปเจอร้านกาแฟร้านนึง ดูน่ารักดีเลยเข้าไป ผมก็สั่งชาพีชกับหนมปังปิ้งมาโอ้โหโคตรอร่อยอ่ะครับ ชาพีชคือหอมมากกกกกและรสชาติกำลังดี ส่วนหนมปังมันก็ดูเป็นหนมปังธรรมดานะครับ แต่น่าจะเพราะเค้านำไปปิ้งแบบกำลังได้ที่ พอทานด้วยกันมันเลยกลายเป็นอร่อยมาก

แพลนการพักของวันนี้พวกเราจะลงมาพักกันที่นิมมานละครับ กลับเข้าสู่ตัวเมืองอย่างแท้จริง พี่คนรถพามาส่งตรงขนส่งแถวๆใกล้ๆกับสันกำแพง แล้วก็จัดการติดต่อรถตู้แอร์อากาศธรรมชาติให้กับพวกเรา เพื่อเข้าไปยังตัวเมืองครับ

ปิ๊งป่อง... ตัดภาพมาที่นิมมานซอย 17 นี่คือที่พักของพวกเราในคืนนี้ครับ ที่ The Pause Hostel ครับ พวกเราเลือกห้องพักแบบหกคนรวมกัน โดยจะมีทั้งหมด 3 เตียง แต่เป็นเตียงสองชั้น ภายในห้องก็จะมีล็อคเกอร์เก็บของครับ แต่ด้วยความที่เรามากันครบจำนวนพอดี ล็อคเกอร์ก็เลยแทบไม่ได้ใช้เลย ผมว่าที่นี่ค่อนข้างดีเลยครับ ที่พักสบายมาก เหมือนโรงแรมทั่วไปเลย

ใครผ่านมาแถวนิมมานแล้วไม่รู้ว่าจะพักที่ไหนก็ขอแนะนำให้ลองมาที่นี่ดูครับ ด้วยความที่ผมก็ไม่เคยพักโฮสเทลมาก่อนตอนแรกก็กลัวว่าบรรยากาศหลายๆอย่างมันจะไม่โอเค แต่ก็ไม่ได้เป็นเหมือนที่คิดไว้นะครับ เพราะที่นี่จริงๆค่อนข้างสะอาดมาก แล้วพนักงานก็ค่อนข้างเป็นกันเองนะครับ ด้านล่างก็จะมีโซนน้ำโซนขนม โต๊ะพูลเผื่อใครที่อยากมาดวลประลองกับเพื่อนๆชาวโฮสเทล ด้านบนสุดก็มี rooftop ให้ขึ้นไปนั่งเล่นได้ครับ ตอนเช้าแดดจะค่อนข้างแรงนิดนึงแต่ผมแนะนำว่า มานั่งเล่นช่วงตอนเย็นๆพระอาทิตย์ตกน่าจะสวยงามไม่เบาเลย

มานิมมาน มาทำอะไร... ในกลุ่มของเราไม่ใช่สายเหล้ากันซะด้วย ก็เลยต้องไปจบที่การเจริญอาหารครับ 5555555555 โดยเริ่มแรกก็เดินทางไปทานอาหารกันที่ร้านคั่วไก่นิมมานครับ เพราะทุกคนดูกระหายกันมากเหลือเกิน ก็เข้าไปกินกันคนละอย่างสองอย่างพอเป็นพิธีครับ แต่คือผมยังไม่รู้สึกว่าอิ่ม แล้วตอนนั้นคืออยากกินผักมากๆ มันเลยทำให้เรามาต่อกันที่ Salad Concept ต่อครับ มาหลายรอบแล้วนะครับเชียงใหม่ แต่พึ่งจะมีโอกาสมาได้กิน ผักสดมากครับ แล้วก็เยอะมากๆด้วย เรียกได้ว่าถูกใจที่สุด

มันยังไม่จบแค่นั้นครับ ถ้าเรามาแล้วเราต้องมาให้สุดกันไปเลยครับ จบของคาวเราก็ต้องมาต่อกันที่ของหวานครับ ก็เลยไปกันที่ Guu Fusion Roti เราสั่งเซ็ตนี้มาทานกันครับ ถิอว่าอร่อยมากมาก และก็คุ้มมากด้วย มีหลายรสให้กิน จริงๆตอนแรกก็ตั้งใจว่าจบจากเจ้าโรตีนี่แล้วจะกลับไปนอน...

แต่ไม่ได้ครับ เพราะตอนแรกเราเดินผ่านร้านนึงมา ซึ่งเป็นร้านที่ตอนทริปรอบที่แล้วมาทานแล้วติดใจมาก มันเป็นร้านธรรมดาที่รสชาติไม่ธรรมดาเลยครับ เป็นร้านต้มแซ่บ คอหมูย่าง ที่กินแล้วประทับใจมาก ขากลับมันต้องผ่านอยู่แล้ว ก็เลยขอแวะหน่อย กินอะไรร้อนๆก่อนนอนจะได้หลับสบายไงครับ 5555555

จบค่ำคืนนี้ไปด้วยความอิ่มระดับชูชก ก็ได้เวลาพักผ่อนแบบจริงๆจังๆแล้วครับ พรุ่งนี้ไฟลท์กลับของพวกเราค่อนข้างดึกอยู่ ดังนั้นวันพรุ่งนี้จะเป็นอีกวันที่ตระเวนกินแบบแหลกลาน ไว้ตื่นมาละเดี๋ยวจะพาไปกินข้าวกินหนมกันนะฮะ ราตรีสวัสดิ์คุณนิมมาน


20.02.2017 - Day5 (ถ้างอแงแล้วอยู่ต่อได้มั้ยล่ะ)


: วันสุดท้ายสำหรับการอยู่ที่เชียงใหม่แล้วครับ เช้านี้ตื่นมาพร้อมกับความโนแพลนเที่ยวแต่อย่างใด ใจจริงอยากไปเดินเล่นแถวๆดอยปุย แต่ก็หวาดหวั่นค่ารถที่อาจจะต้องเหมากันขึ้นไปอยู่ ก็เลยเปลี่ยนเป็นวันตระเวนกินในนิมมานแทน

พวกเราตื่นกันมาตั้งแต่ช่วงแปดเก้าโมงครับ เพราะมื้อเช้าสำคัญมาก เราจะไปออกล่าน้องไดโนเสาร์ปาท่องโก๋ ซึ่งเพื่อนรายงานมาว่ามันจะหมดก่อนช่วง 11 โมงดังนั้นก็เลยต้องรีบไป เพราะกลัวว่าน้องไดโนเสาร์จะสูญพันธ์ไปกันหมดซะก่อน

ไปถึงที่หน้าร้านคนก็เริ่มเยอะละครับ แต่ก็ไม่รอช้าครับ รีบต่อคิวสั่ง มากัน 6 คนก็บ้าคลั่งมากครับ สั่งไดโนเสาร์ไป 6 ตัว...ซึ่งพอทอดมาแล้วจริงๆน้องตัวใหญ่มากครับ กินได้แค่ครึ่งตัวก็เริ่มไม่ไหวแล้ว แต่โดยรวมเป็นปาท่องโก๋ที่อร่อยนะครับ ตอนกัดเข้าไปไม่ได้รู้สึกว่าอมน้ำมันแต่อย่างใด แต่ตอนที่กำลังกินในใจก็นึกว่าเออ ถ้ามีโจ๊กให้กินตอนนี้ด้วยก็คงจะดี...

แล้วไงครับ ก็เช็คบิลน้องไดโนเสาร์แล้วโบกรถไปกินโจ๊กกันต่อที่ร้านโจ๊กต้นพะยอม อร่อยมากกกกกกกก เนื้อโจ๊กเนียนสุดๆผมสั่งอันที่มันเป็นซี่โครง คือยิ่งนุ่มเข้าไปกันใหญ่ ถือว่าจบได้ดีสำหรับมื้อเช้าฮะ

ถัดจากนั้นเราก็เริ่มกระจายตัวกันไปครับ ผมกับเพื่อนอีกสองคนเลยไปตามหาร้านหนังสือที่ชื่อว่า "ร้านเล่า" พอเข้าไปถึงในร้านเป็นร้านที่น่ารักมากครับ เป็นร้านหนังสือขนาดเล็กที่รวบรวมหนังสือไว้ ทางชั้นบนมีงาน Exhibition : Unfold & Reread ของศิลปินที่ชื่อว่า Poypoy ผลงานน่ารักมากครับ ใครสนใจก็ลองแวะขึ้นไปดูกันได้ ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวงานจะมีจัดไว้ถึงวันไหน

แต่ใครชอบอ่านหนังสือภาษาอังกฤษก็แนะนำเป็นอีกร้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนะครับ ชื่อร้าน The Booksmith ร้านั้นก็ดีครับด้านหน้าตกแต่งเหมือนออกมาจากต่างประเทศจริง ข้างในค่อนข้างเงียบและมีหนังสือหลากหลายครับ

ใช้เวลากันอยู่ในร้านหนังสือสักพัก ก็เริ่มมีความรู้สึกง่วงอยากกินกาแฟกันขึ้นมา ( รู้เลยนะครับว่าเป็นคนขยันกันขนาดไหน..) ก็เลยตั้งใจจะไปที่ร้าน The Barisotel bt The Baristro หลายคนน่าจะพอรู้จักกันบ้างแล้ว ร้านสีขาวๆที่ดูสะอาดตั้งแต่หน้าร้านยันข้างในร้าน วันนี้มีโอกาสได้มาลองซักที คนไม่เยอะมากครับ อาจจะเพราะว่าวันนี้เป็นวันธรรมดา ที่ผมสั่งไปก็มีเจ้าตัวนี้ แอบจำชื่อไม่ได้แต่ว่ารสชาติกำลังดีเลยครับ อมปรี้ยวอมหวาน อร่อยมาก ขนมที่เราสั่งรสชาติโอเคมากเลยครับ โดยเฉพาะเจ้าไอติมมะพร้าวนี้ ที่เสิร์ฟพร้อมกับฝอยทอง ทานด้วยกันแล้วอร่อยมากกกกกกกก ราคานี่ผมว่าก็ยังถูกกว่าราคาที่ The Giant นะครับ บวกค่างานอาร์ตที่เค้าจัดเสิร์ฟมาพร้อมกับเครื่องดื่มหรือขนม ผมว่าราคาโอเคเลยครับ

จบจากร้านกาแฟที่น่ารักของเรา เราเดินทางตามหาร้านขายกล้วยทอดเลื่องลือซอย 17 ครับ คือร้านป้านากล้วยทอด ป้าแกใจดีมากครับอารมณ์ดี แถมให้อีกด้วย แล้วรสชาติก็อร่อยมากด้วยครับ ที่สำคัญคือราคาไม่แรง แต่ควรไปก่อนช่วงบ่ายสามนะครับ เพราะว่าอาจจะหมดแล้วหมดเลย จริงๆป้าแกเริ่มขายตั้งแต่ช่วงเช้าเลยครับ ใครผ่านแถวนั้นก็ลองไปแวะทานกันดูได้

ถัดจากนั้น เราเดินทางไปทานมื้อบ่ายกันต่อที่ร้านชื่อว่า Seoul Mind เพราะทุกคนลงมติว่าอยากกินไก่ทอดเกาหลีก็เลยลองเลือกมาร้านนี้ดูกัน ร้านน่ารักดีครับ แต่งสไตล์เกาหลีมาเลย ร้านค่อนข้างมีพื้นที่เยอะมาก ไม่ต้องกลัวว่าไปแล้วจะไม่มีที่นั่ง ในส่วนของไก่นั้น อร่อยมากครับ แถมที่สำคัญราคาไม่แรงเท่าไก่เกาหลีในย่านกรุงเทพแบบเรา อ้อแล้วก็ไม่มี VAT ซะด้วยนะฮะ

หนังท้องได้ทำการตึงกันหมดแล้ว กว่าเครื่องจะออกก็ตั้งเกือบ 3 ทุ่ม เลยคิดว่าจะไปนั่งเล่นกันที่อ่างแก้ว มช หน่อยก็เลยเรียกรถแดงกันเข้าไปนั่งพักที่อ่างแก้ว มช ครับ วันนี้ทัวร์ไม่ค่อยมาลงเท่าไหร่ บรรยากาศก็เลยเงียบสงบอย่างที่เห็น

เรากลับจากอ่างแก้วกันในช่วงหกโมงกว่า พร้อมกลับมาจัดมื้อสุดท้ายกันที่นิมมานก่อนจะบินกลับกทม. เราเลือกไปลงกันที่ร้าน ชีวิตชีวา เพราะตอนนี้เหมือนร่างกายต้องการบิงซู ร้านน่ารักดีนะครับ ชอบการตกแต่งไฟ การจัดร้านของที่นี่ มาถึงนี่ก็ต้องสั่งบิงซูมากิน คนอื่นก็สั่งกันแค่นั้นแหละครับ แต่ผมแพ้ทาง Red velvet ก็เลยลองสั่งมาเพิ่มอีก แต่ต้องบอกเลยว่าเนื้อเค้กอร่อยมากกกก มีความแน่น กินมื้อนี้เสร็จก็น่าจะไปหลับสบายบนเครื่องบินได้เลยทีเดียว

แล้วก็มาถึงเวลาต้องบินกลับ... จริงๆไม่อยากกลับหรอกครับ พอมาเที่ยวแบบนี้แล้วก็รู้สึกเสมอว่าไม่อยากกลับไปเผชิญโลกความจริงเท่าไหร่ แต่มาที่นี่กี่ครั้งก็รู้สึกดีนะครับ เชียงใหม่เหมือนเป็นที่ที่มาให้เราเติมแรง เติมความสุขกลับไปได้ในทุกครั้ง ยิ่งโดยเฉพาะเวลาที่เรามาถึงที่ธรรมชาติของเค้า แค่ได้นั่งเฉยๆ เก็บเกี่ยวบรรยากาศทั้งจากสายตาและลงไปในกล้อง แค่นี้ก็มีความสุขแล้วครับ

อันนี้เป็นสรุปคร่าวๆนะครับสำหรับพวกราคาค่ารถ กับค่าที่พัก จริงๆเที่ยวแบบนี้ไปกันหลายๆคนพอหารกันมันก็พอคุ้มอยู่ครับแต่ถ้าไปจำนวนคนน้อยน่าจะอ้วกแตกอยู่ครับ เพราะแสนสาหัสเอาการอยู่ 555555 รูปยังมีลงเรื่อยๆนะครับ

แต่ว่าไปอยู่ในนี้แทน (Instagram : mathahuan #MATHAHUANxWINTERTHINGS) สงสัยอะไรอยากรู้ดีเทลเพิ่มถามได้เลยนะครับ สุดท้ายนี้ก็หาเวลาไปต๊ะต่อนยอนกันบ้างนะครับ : )


*อันนี้ผมเคยเขียนกระทู้ไปเชียงใหม่เหมือนกัน แต่เป็นตอนช่วงหน้าฝน เผื่อใครยังนึกไม่ออกว่าไปไหนดี แล้วมันเลยหน้าหนาวมาแล้ว ลองเข้าไปดูแพลนเที่ยวหน้าฝนเพิ่มก็ได้นะฮะ ฟินคนละแบบแต่ไม่แพ้กันเลย : ) https://pantip.com/topic/33983492

Mathahuan Teppratoom

 วันพฤหัสที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.13 น.

ความคิดเห็น