ปากเซ เที่ยวน้ำตกเก๋ๆ ไม่ถึง 2 พัน / 2 วัน 2 คน"

ไปลาวทริปนี้ ด้วยความจำกัดทั้งเวลาและเงิน จึงเน้นเที่ยวน้ำตกใกล้เมืองปากเซเป็นหลัก น้ำตกที่ปากเซมีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติค่อนข้างสูง มีขนาดใหญ่ถึงใหญ่มาก แต่ก่อนที่จะออกเดินทาง มาดู 7 สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปปากเซกันนะคะ


7 สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปปากเซ

1. ทำความรู้จักกับ "ปากเซ" (ภาษาลาว: ປາກເຊ) เป็นเมืองเอกของแขวงจำปาศักดิ์ อยู่ริมแม่น้ำโขง และบริเวณปากแม่น้ำเซโดนที่บรรจบกับแม่น้ำโขง ซึ่งนับได้ว่าเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของลาวตอนใต้ หรือที่หลายคนเรียกที่แห่งนี้ว่า "ลาวใต้" นั่นเอง อุณหภูมิตลอดทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 15-35 องศาเซลเซียส ไม่ต่างจากประเทศไทยมากนัก ช่วงเดือน ธันวาคม ถึง มกราคม จะมีอากาศเย็นที่สุด ไม่ถึง 20 องศาเซลเซียส ช่วงเดือน มีนาคม ถึง เมษายน จะร้อนที่สุด อุณหภูมิอยู่ที่ 30 กว่า องศาเซลเซียส และช่วงเดือนพฤษภาคม ถึง ตุลาคม จะมีฝนตก สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่คือน้ำตก หรือที่ภาษาลาวเรียกว่า "ตาด" มีวัดวาอารามอันเป็นเอกลักษณ์ของลาว รวมถึง ปราสาทหินวัดพู ซึ่งเป็นมรดกโลกแห่งที่สองของประเทศลาว



2. การเดินทาง จากประเทศไทย สามารถเดินทางผ่านพรมแดนที่ช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี แล้วไปตามทางหลวงหมายเลข 10 ของลาว ข้ามสะพานมิตรภาพลาว-ญี่ปุ่น บริเวณแม่น้ำโขง มีรถประจำทางออกจากจังหวัดอุบลราชธานีไปถึงปากเซโดยตรง วันละ 2 เที่ยว คือ 9.30 น. และ 15.30 น. จากปากเซถึงช่องเม็ก ระยะทาง 44 กิโลเมตร ปัจจุบัน รถทัวร์ดังกล่าวจะวิ่งไปเข้าขนส่งที่ “เกรียงไก ขนส่ง" ส่วนขากลับก็มี 2 เที่ยว เวลาเดียวกันกับขาไป หรือถ้าไม่ทันเวลาของรถทัวร์ ก็มีรถตู้อุบล-ช่องเม็ก รถจะส่งแค่ด่านผ่านแดน แล้วต้องไปขึ้นรถตู้จากด่านถึงปากเซอีกต่อหนึ่ง ค่ารถต่อละ 100 บาท มีวิ่งหลายเวลา


3. เงินตรา สกุลเงินที่ใช้ในประเทศลาว คือ “กีบ" ค่าเงินในประเทศลาวอ่อนค่ากว่าเงินบาทของไทยมาก แต่ค่าครองชีพสูง แม้ว่าในลาวจะจับจ่ายใช้สอยกันด้วยเงินมูลค่าเป็นพันกีบ แต่ต้องใช้จำนวนหลายพันกีบในการใช้แต่ละครั้ง ดังนั้นเวลาแลกเงินบาทเป็นเงินกีบ ถ้าดูที่จำนวนนับ เป็นหมื่นเป็นแสน จะให้ความรู้สึกเหมือนว่าเรามีเงินในมือเยอะมาก แต่พอดูที่การจ่ายออกแต่ละครั้ง หมดไปไวพอๆกับใช้เงินบาทหลักร้อยหลักพันอยู่บ้านเรานั่นเอง

เรทเงิน ณ วันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ คือ 238.16 (เรทของธนาคารและจุดแลกเงินส่วนมากภายในประเทศลาวจะไม่ต่างกันมาก) ต้องการแลกเงินไทยเท่าไรก็จับ คูณ ด้วยเรท ณ วันนั้นไปได้เลย เช่น แลก 1,000 บาท ก็จะได้ 238.000 กีบ ถ้าเทียบคร่าวๆง่ายๆใช้สูตร เงินกีบ (ตัดสามตัวหลังออก) x 4 จะได้ค่าเงินบาทโดยประมาณ เช่น 1.000 กีบ (หนึ่งพันกีบ) ก็จะได้เป็น 1 x 4 = 4 บาท (โดยประมาณ) หรือถ้าต้องการผลลัพธ์แบบเป๊ะๆ ก็ใช้สูตร เงินกีบ หารด้วยเรทเงินที่แลกมา เช่น 1.000 กีบ เท่ากับ 1,000 ÷ 238 = 4.20 บาท

* หมายเหตุ บริเวณด่านฝั่งลาว จะมีคนลาวเดินเข้ามาเสนอให้แลกเงินกีบ แต่เป็นเรทที่ต่ำกว่าพอสมควร แนะนำให้เดินไปที่ธนาคาร อยู่ฝั่งตรงข้ามกับด่านตรวจ หรือถามหา “ทะนาคาน" ก็ได้


4. การเรียกจำนวนเงินในประเทศลาว ภายในประเทศลาวปัจจุบัน ใช้จำนวนเงินเป็น “พันกีบ" (1.000 กีบ) ต่อการใช้จ่ายแต่ละครั้ง ให้สังเกตเวลาเขียนเป็นตัวเลข ถ้าของไทยจะใช้ จุลภาค หรือเครื่องหมายลูกน้ำ ( , ) แต่ของลาวจะใช้ จุด ( . ) เวลาออกเสียงจะนิยมเรียกจำนวนเงินข้างหน้าจุด แล้วตามด้วยคำว่า พัน เช่น 1.000 กีบ = หนึ่งพันกีบ / 10.000 กีบ = สิบพันกีบ / 100.000 กีบ = ร้อยพันกีบ หรือหนึ่งร้อยพันกีบ แต่ถ้าเป็น 20.000 กีบ จะเรียกว่า “ซาวพันกีบ" (ซาว แปลว่า ยี่สิบ ภาคเหนือและภาคอีสานของไทยก็มีใช้คำว่า ซาว ที่แปลว่า ยี่สิบ เช่นกัน) แต่คนลาวบางคนจะเรียกเหมือนภาษาไทย เพื่อให้คนไทยอย่างเราเข้าใจง่าย คือ พันกีบ หมื่นกีบ แสนกีบ


5. ที่พัก โรงแรมส่วนใหญ่จะอยู่ในตัวเมืองปากเซ ราคามีตั้งแต่ สามร้อยกว่าบาท จะทั่งถึงหลักพันบาท ถ้าถูกกว่านั้นจะมีเป็นเกสต์เฮ้าส์ สามารถหาดูข้อมูลและเปรียบเทียบได้จากเว็บไซต์สำหรับจองที่พักหลายๆเว็บฯของไทยได้เลย จองไว้ก่อนเดินทางจะได้ไม่ต้องถือเงินไปเผื่อส่วนนี้อีก

* หมายเหตุ ห้ามพักค้างคืนที่บ้านคนลาว โดยไม่แจ้งต่อนายบ้าน (ผู้ใหญ่บ้าน) ก่อนเด็ดขาด และการมีเพศสัมพันธ์กับคนลาวที่ไม่ใช่คู่สมรสเป็นเรื่องผิดกฎหมาย หากละเมิดจะถูกกักตัวจนกว่าจะจ่ายเงินค่าปรับขั้นต่ำ 500 ดอลลาร์สหรัฐ และถูกส่งกลับประเทศในที่สุด


6. อาหาร ร้านอาหารในปากเซมีกระจายอยู่หลายร้าน หลากสไตล์ มีตั้งแต่ร้านเฝอ ร้านอาหารตามสั่งทั่วไป จนกระทั่งภัตตาคาร และร้านอาหารต่างประเทศ ราคาตั้งแต่ 10.000 กีบ ขึ้นไป (ราคาปกติของอาหาร 1 จาน อยู่ที่ 10.000 – 15.000 กีบ)

ไม่มีย่านที่มีหลายๆร้านอยู่ติดๆกัน หาร้านสะดวกซื้อยากมาก ร้านขายของชำก็ไม่มี ร้านขนมอะไรก็แทบไม่เจอ ต้องเข้าไปที่ตลาด จะเป็นตลาดนัด และตลาดดาวเรือง ที่คนลาวจะเรียกว่า ตลาดศูนย์การค้า


7. การเดินทางภายใน

- รถสองแถว สกายแล็ป หรือรถพ่วงสามล้อ แนะนำว่าควรตกลงราคากันให้ดีก่อนขึ้น ถ้าวิ่งแค่ในเมือง ต่อราคาได้สัก 10.000 กีบ จะดีที่สุดหรือไม่เกิน 20.000 กีบก็ยังถือว่าพอรับได้ แต่ถ้าถูกเรียกราคาเกินกว่านั้นอย่าขึ้น เพราะถือว่าแพง

- ร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ ราคาเช่าทั่วไปจะอยู่ที่วันละ 60.000 กีบ ถ้าเช่า 2 วันขึ้นไป สามารถต่อรองราคาเหลือวันละ 50.000 กีบ ส่วนรถเกียร์ออร์โต้จะอยู่ที่ราวๆ 100.000 กีบต่อวัน ต้องคืนรถภายในเวลา 20.00 น. ของวัน จะไม่ได้นับเป็น 24 ชั่วโมงเหมือนในไทย แต่ถ้าเริ่มเช่าเวลาประมาณ 14.00 – 15.00 น. สามารถต่อรองขอเป็น 24 ชั่วโมงได้ ใช้เอกสารเพียงแค่พาสปอร์ต ทั้งนี้ ที่สำคัญต้องรู้กฎจราจรของลาวด้วย หลักๆคือขับฝั่งขวา ตรงข้ามกับบ้านเรา ดูไฟเขียว (ไฟเสรี) ไฟแดง (ไฟอำนาจ) ให้ดี ดูป้ายจราจร ป้ายบอกทางดีๆ ภาษาลาวอ่านแล้วพอจะเดาได้ว่าอ่านว่าอะไร บางป้ายจะมีภาษาอังกฤษกำกับอยู่ด้วย ไฟจราจรบางแยกจะมีเขียนบอกว่า วิ่งทางตรงไม่ต้องรอสัญญาณไฟ คล้ายๆเลี้ยวซ้ายผ่านตลอดในประเทศไทย

- รถตู้ ส่วนใหญ่จะสามารถแจ้งให้ที่พักติดต่อให้ได้เลย แค่แจ้งจุดหมายที่ต้องการไป เท่านั้นเอง


* ข้อควรระวังสำหรับนักท่องเที่ยว : กิจกรรมที่ห้าม ได้แก่ ห้ามถ่ายภาพสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เช่น ค่ายทหาร สถานเรดาร์ หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดีโดยมีโทษทั้งจำและปรับให้ข้อมูลเบื้องต้น เพื่อทำความเข้าใจกันก่อนไปท่องเที่ยวในปากเซแล้ว ถึงเวลามาออกเดินทางไปด้วยกันแล้วนะคะ




จุดเริ่มต้นของการเดินทางในครั้งนี้

คือ มีตั๋วเครื่องบิน ไป - กลับ อุบลราชธานี 2 ที่นั่ง ของ สายการบินนกแอร์ เช็คเวลาและหาผู้ร่วมทริปลงตัวแล้วก็มาคิดต่อว่าจะเดินทางไปไหนกันดีในจังหวัดอุบลราชธานี โดยลิสต์สถานที่ที่อยากไปออกมาเยอะมาก ดูแผนที่ ดูเรื่องการเดินทาง กระทั่งผู้ร่วมทริปเสนอมาว่า "ไปปากเซกันไหม" ตึ่ง!!....... แล้วหาดชมดาว วัดเรืองแสง สามพันโบก พัทยาน้อย ฯลฯ ที่หาข้อมูลมาล่ะ แต่ปากเซเราก็ยังไม่เคยไปนะ ไหนๆก็ไปถึงตรงนั้นแล้ว ไปต่ออีกหน่อยก็ถึงปากเซแล้ว ไว้ค่อยมาเก็บที่ใกล้ๆคราวหน้าก็ได้ .. ถกเถียงกับตัวเองอยู่ไม่กี่นาที ก็เป็นอันเห็นพ้องต้องกันว่า "โอเค ไปปากเซกัน" เก็บปลาเก๋า เอ้ย!! เก็บกระเป๋าสิคะ รออะไร!!



และเนื่องจากเรามีวันหยุดค่อนข้างจำกัด เหตุเพราะเป็นพนักงานบริษัท ที่ทำงานวันเสาร์ 2 เสาร์ต่อเดือน แต่มีทริปที่วางแผนพร้อมจองตั๋วบินโปรฯเอาไว้ค่อนข้างเยอะ จึงมาลงตัวที่ เสาร์ – อาทิตย์ 2 วัน 1 คืน (เป็นเสาร์ที่ต้องทำงานซะด้วย) ในเมื่อมีเวลาเท่านั้นก็ต้องจัดสรรให้ลงตัว หลายที่ต้องเดินทางไปไกลต้องมีเวลามากกว่านี้ก็จำใจตัดออกไปก่อน เอาไว้เดินทางมาครั้งต่อไป จนแล้วจนรอดออกมาเป็นทริป “ปากเซ เที่ยวน้ำตกเก๋ๆ ไม่ถึง 2 พัน / 2 วัน 2 คน" เน้นเที่ยวน้ำตก หรือ “ตาด" ในภาษาลาว ที่ไม่ไกลจากเมืองปากเซ


- ตาดอีตู้ (E-Tu Waterfall)

- ตาดฟาน (Tad Fane Waterfall)

- ตาดเยือง (Tad Gneuang Waterfall)

- ตาดถ้ำจำปี (Tad Thum Jum Pee)

- ตาดผาส้วม (Tad Pha Souam)

- น้ำตกหมากแงว

- พักในเมือง





วันที่หนึ่ง

ไฟลท์ 7.25 น. ขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมือง "สายการบินนกแอร์ สามารถเช็คอินผ่านเว็บไซต์ด้วยตัวเองได้ ภายในระยะเวลาตั้งแต่ 24 ชั่วโมงจนถึง 1 ชั่วโมง ก่อนเวลาเครื่องออก" จึงไม่ต้องรีบไปสนามบินเพราะปริ๊นท์บอร์ดดิ้งพาสถือมาเองแล้ว เพียงแค่ดูบอร์ดดิ้งไทม์ หรือเวลาที่ระบุอยู่ในบอร์ดดิ้งพาสให้ดีๆ เพราะนั่นเป็นเวลาที่เจ้าหน้าที่จะเรียกให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องได้ เมื่องถึงสนามบินก็เดินเข้ามาด้านในได้เลย

แต่เดี๋ยวก่อน!!! หากคุณมาสนามบินดอนเมืองช่วงนี้ และใช้โทรศัพท์มือถือเครือข่ายทรูมูฟ เอช อย่างเรา สามารถเดินเข้าร้านเบอร์เกอร์คิง แล้วกดหมายเลขตามที่มีป้ายบอกไว้ ก็จะได้รับชุดเบอร์เกอร์กันไปฟรีๆ แบบนี้ คนละ 1 ชุด/เดือน กันเลยทีเดียว (จะใช้คำโฆษณาทำไมเนี่ย..!!)


ส่วนสิทธิพิเศษของ เอไอเอส เซเรเนด โกลด์ จะได้รับเครื่องดื่ม ฟรี 1 แก้ว/เดือนนะจ๊ะ และนอกจากที่ร้านเบอร์เกอร์คิงแล้ว ยังมีอีกหลายร้านในสนามบินหลายๆแห่งที่รอมอบสิทธิพิเศษให้เราอยู่นะคะ (สามารถตรวจสอบสิทธิพิเศษกันได้ สำหรับลูกค้าทรูมูฟ เช็คที่แอพลิเคชั่น หรือเว็บไซต์ Trueyou แล้วเสิร์ชคำว่า “สนามบิน" / ส่วนสมาชิกเอไอเอส เช็คได้ตามลิ้งค์นี้ค่ะ http://www.ais.co.th/serenade/privileges-detail.aspx?spid=17&language=th อยากให้รู้ว่าพวกเรามีสิทธิพิเศษกันอยู่)


ทำเวลากันได้ดีมาก เข้ามาถึงเกทแล้วยังมีเวลาให้นั่งกินนั่งเล่นกันอีกสบายๆเลย เม้าท์มอยกันไปได้สักพักก็ได้เวลาขึ้นเครื่องกันแล้วจ้ะ


เดินทางมาก็หลายต่อหลายครั้ง แต่กับสายการบินนกแอร์แล้วครั้งนี้เพิ่งเป็นครั้งที่สองเอง



ระหว่างรอผู้โดยสารท่านอื่นๆขึ้นเครื่อง นั่งอ่านนิตยสาร JIBjib ไปเพลินๆ ฉบับนี้ "น้ำพระราชหฤทัยสู่แดนดอย ตามรอยพระบาท เชียงราย" ทริปหน้าของเราจะไปแอ่วเชียงรายพอดีเลย ได้โอกาสหาข้อมูลเพิ่มเติม



เมื่อเครื่องออกได้ไม่นานก็มีของว่างมาให้ทานเล่นกัน เก๋ตรงนี้ ชอบขวดน้ำที่สุด ขวดจิ๋วๆน่ารักมากเลย



จากสนามบินดอนเมือง ถึง สนามบินอุบลราชธานี ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว จุดหมายต่อไปของเราคือ สถานีขนส่ง ต้องไปขึ้นรถทัวร์ สาย อุบลราชธานี – ปากเซ ให้ทันเวลา 09.30 น. โดยใช้บริการแท็กซี่ มิเตอร์ แค่ 60 บาท ก็มาถึงสถานีขนส่งแล้ว เวลาเหลือเฟือ



เดินไปยังเค้าน์เตอร์ “จำหน่ายตั๋วรถโดยสารระหว่างประเทศ อุบลฯ – ปากเซ" ยื่นเงินพร้อมพาสปอร์ตเพื่อซื้อตั๋ว ราคา 200 บาท



แล้วเดินมาตรงนี้นะ ชานชาลาที่ 2 "อุบลฯ - ปากเซ" รถทัวร์จอดอยู่พอดี คันนี้เลย "รถโดยสารระหว่างประเทศ THAI - LAO INTERNATIONAL BUS" .. "ไปปากเซค่ะพี่" ทำหน้าตาท่าทางร่าเริงเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ประจำรถทัวร์พร้อมยื่นตั๋วไป "เชิญขึ้นรถได้เลยครับ เดี๋ยวผมดูที่นั่งให้" เจ้าหน้าที่ก็น่ารักค่ะให้บริการแบบ เซอร์วิส มายด์ รับรู้ได้


ประมาณ 09.40 น. รถทัวร์ก็ค่อยๆเคลื่อนตัวมุ่งหน้าสู่ด่านช่องเม็ก ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองฝั่งไทย ก่อนถึงด่านไม่ไกลมากนัก รถทัวร์จอด แล้วเจ้าหน้าที่จะมาบอกให้คนที่ไม่มีพาสปอร์ตลงไปทำ บอร์ดดิ้งพาส สำหรับเข้าเมืองลาวแบบชั่วคราว 30 บาท (บอร์ดดิ้งพาส อยู่ในลาวได้ 3 วัน / พาสปอร์ต อยู่ได้ 1 เดือน) จากนั้นอีกไม่กี่นาทีรถก็จอดอีกครั้ง เจ้าหน้าที่คนเดิมเดินขึ้นมาบอกให้ทุกคนลงไปทำเรื่องเข้าเมือง เริ่มจากด่านฝั่งไทย เดินเข้าไปหยิบใบตรวจคนเข้าเมือง กรอกข้อมูลให้เรียบร้อยทั้งขาเข้าและขาออก แล้วนำไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ ตม. พร้อมกับพาสปอร์ต เมื่อเจ้าหน้าที่เช็คข้อมูลเสร็จจะดึงเอาส่วนของขาออกไป และนำส่วนของขาเข้าเย็บติดในพาสปอร์ตไว้ให้เราค่ะ


จากตรงนี้ เดินลงทางอุโมงค์ไปยังด่านฝั่งลาว ระยะห่างราวๆ 700-800 เมตรเห็นจะได้ เดินกันไปฝุ่นตะหลบแป๊บๆก็ถึงที่ทำการ ตม. ฝั่งลาว หยิบใบตรวจคนเข้าเมืองลาวมากรอกข้อมูลทั้งสองส่วนให้เรียบร้อยเช่นกัน



จากนั้นนำไปยื่นพร้อมพาสปอร์ตและเงิน ที่อ่านๆมาว่า 40 บาท 20 บาท มันไม่ใช่แล้ว เพราะเจ้าหน้าที่คงรู้ทันหมดแล้ว แจ้งเราก่อนยื่นเลยว่า 100 บาท แหม่!



เมื่อเสร็จกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง เดินไปแลกเงินในธนาคาร อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนกับด่าน ได้เรท 238 ถ้าแลกกับคนลาวที่เดินมาเสนอเรากันนั้น เรทจะต่ำกว่านี้



แลกมาไว้ก่อน 1,000 บาท ได้เงินกีบมา 238.000 กีบ บวกกับเงินที่เหลือจากทริปก่อนของเราอีก 50.000 กีบ



ที่นี่มีจำหน่ายซิมการ์ดโทรศัพท์ด้วยนะคะ ที่ทราบมาคือ 100 บาท ใช้อินเตอร์เน็ตฟรี 1 สัปดาห์ โดยมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 1 ปี ส่วนเรา รอไปใช้ Wifi ในที่พักเอาก็ได้ ไม่ซีเรียสเรื่องนี้




หลังจากขึ้นรถแล้วออกเดินทางกันต่ออีกเกือบชั่วโมง ก็ถึงสถานีขนส่ง “เกรียงไก ขนส่ง" อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปพอสมควร ความจริงขอลงในเมืองก่อนก็ได้นะคะ แต่เรานั่งไปลงที่ขนส่งเพื่อให้รู้สถานที่รอขึ้นรถขากลับด้วย เมื่อลงรถแล้วเราเดินไปขอซื้อตั๋วรถทัวร์สำหรับขากลับไว้ก่อน คนละ 200 บาท เหมือนเดิม แล้วก็หารถต่อเข้าเมืองทันที มีสองแถวจอดรอกันอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่ไม่ได้อ่านข้อมูลมาก่อนว่าเขาเข้าเมืองกันที่ราคาเท่าไรบ้าง จึงจ่ายด้วยราคาคนละ 20.000 กีบ ถ้าจะจ่ายเงินบาทเขาคิด 100 บาท (จ่ายเงินกีบถูกกว่า) ผู้ร่วมทริปบอกว่า “ได้ยินเขาพูดว่าเก้าพันกีบ ก็เลยให้รีบขึ้นรถกันมา" เรื่องของเรื่องคือให้ผู้ร่วมทริปเป็นคนหาข้อมูลเรื่องนี้มา รีวิวเก่าๆของใครหลายคนบอกเอาไว้ว่า ให้ต่อรองราคาสัก 40 บาทก็ได้ไปแล้ว (แต่นี่เรานั่งกันมา 80 กว่าบาทเลยนะ!!!) พอได้ยินผู้ร่วมทริปพูดอย่างนั้น เราก็อ๋อทันที “เขาพูดว่าซาวพันกีบหรือเปล่า แล้วไปได้ยินเป็นเก้าพันกีบหรือเปล่า ซาวพันกีบก็คือสองหมื่นกีบนะ" ฮ่าๆๆๆๆ



วันนี้เราจะไปน้ำตกที่อยู่เส้นเดียวกันก่อน ตามภาพแผนที่เลยค่ะ


ส่วนที่พักสำหรับคืนนี้ ได้ทำการจองล่วงหน้ามาแล้ว มีส่วนลดนิดหน่อย ราคาอยู่ที่ 390 บาท “โรงแรมรอยัล ปากเซ" (ที่อยู่ 242 Ban Lakmuang, Road 13, Champasack, Lao) เหตุที่เลือกที่นี่เพราะอยู่ในเมือง หาร้านอาหารง่าย และราคาไม่แพง



ด้านหน้าโรงแรมมีจุดเช่ารถมอเตอร์ไซค์อยู่พอดี แต่ไม่มีรถว่างให้เช่าเลยแม้แต่คันเดียว “วันนี้คนมาเที่ยวกันเยอะเลยนะ คนบ้านคุณมากันเยอะแยะเลย พวกฝรั่งก็มาเช่ากันเยอะตั้งแต่เมื่อวานแล้ว นี่ยังสงสัยอยู่ว่าบ้านคุณเป็นวันหยุดอะไรหรือเปล่า" พี่ผู้ชายคนลาวนั่งอยู่หน้าโต๊ะเช่ารถกล่าว (พูดไทยชัดมาก ไม่บอกก็ไม่รู้ว่าเป็นคนลาว) เหตุนี้ทำให้เสียเวลาไป จึงบอกให้กันรถเอาไว้ให้หนึ่งคันถ้ามีใครนำรถกลับมาคืน และจำเป็นต้องเช็คอินเข้าห้องพักกันก่อน ห้องพักที่นี่ข้อเสียคือ ทีวีเปิดไม่ติด หน้าต่างมุ้งลวดหัก เครื่องดูดอากาศในห้องน้ำเสียงดัง นอกนั้นถือว่าอยู่ได้สบายๆค่ะ ราคานี้กำลังดี


หลังจากวางกระเป๋า ล้างหน้า เตรียมของสำหรับออกไปข้างนอกแล้ว พอลงมาก็เห็นมีรถสำหรับเช่าอยู่สองคัน จัดการจองมาเลย 1 คัน ผู้ให้เช่าจะยึดพาสปอร์ตเราไว้ ค่าเช่าอีก 60.000 กีบ/วัน ตอนแรกบอกเราว่า ไม่ใช่ 24 ชั่วโมงนะ ต้องคืนรถภายใน 20.00 น. นั่นคือ 1 วัน เราก็เริ่มออกความคิดเห็น “อ้าว ไม่ใช่ 24 ชั่วโมงเหรอคะ แต่เราก็ไม่ได้เช่าตั้งแต่เช้านะ นี่อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงเราก็ต้องคืนรถแล้ว แต่จะคิดเราราคาเต็ม 60.000 กีบเลยเหรอคะ เราก็บ้านพี่เมืองน้องน่าจะอะลุ่มอล่วยให้กันบ้าง" น้องผู้ชายอีกคนพูดต่อท้ายขึ้นมาว่า “ถ้ามาเช่าสักบ่ายสองบ่ายสามก็จะให้เป็น 24 ชั่วโมงได้อยู่หรอกนะ แต่มันไม่ได้จริงๆ ปกติก็คิดราคานี้" ทันทีที่ฟังประโยคนั้นจบ เราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา “อ้าว นี่ก็จะบ่ายสองโมงแล้วนี่ไงคะ" น้องอึ้งค่ะ อาจจะคิดอยู่ในใจว่าไม่น่าพูดอะไรอย่างนั้นออกไปเลย.. หรือเปล่านะ สุดท้ายก็ได้เช่า 24 ชั่วโมง ในราคา 60.000 กีบ (ประมาณสองร้อยห้าสิบบาท) ไม่มีน้ำมันให้นะคะ เหลือแค่ก้นถัง ต้องไปหาปั๊มน้ำมันเติมกันก่อนเดินทางไกล



จุดมุ่งหลายแรกของเราคือ “ตาดอีตู้" ไม่ไกลมากค่ะ แต่ไปไม่ทันไรท้องก็เริ่มครวญครางส่งสัญญาณว่าต้องกินอะไรสักอย่างลงไปแล้ว ฮ่าๆๆๆ พอออกมาจากตัวเมืองหน่อยเดียว เริ่มมองหาร้านอาหารยากแล้ว แต่ไม่นานจากนั้นชำเลืองไปเห็น “ร้านชายสี่เกี๊ยว" อยู่ริมถนนฝั่งตรงข้าม



ไม่รีรอแล้วค่ะแวะเข้าก่อนเลย ราคารับได้ค่ะ ชามละ 15.000 กีบ



ถ้าพิเศษก็ 20.000 กีบ ได้เยอะมาก เป๊บซี่อีก 5.000 กีบ รสชาติพอทานได้ มื้อนี้หมดไป 40.000 กีบ



เมื่อท้องอิ่มแล้วก็พร้อมเคลื่อนทัพต่อ เส้นนี้กำลังทำถนนอยู่แทบจะตลอดทาง ฝุ่นเยอะมาก แนะนำให้พกหน้ากากอนามัยไปกันด้วยนะคะ บางช่วงคือโหดมากถึงขั้นต้องเอาเสื้อคลุมของตัวเองขึ้นมาปิดจมูก ระหว่างทางจะเจอร้านขายเครื่องสานจำพวก กระติ๊บข้าวเหนียว ฝาชี เป็นต้น บางร้านมีไหตั้ง ไม่แน่ใจว่าเป็นสุราหรือปลาร้า



ผ่านปั๊ม ปตท. ผ่านโรงงานกาแฟดาว สักพักเจอสามแยกใหญ่ สองข้างทางจะมีร้านขายผลไม้ กล้วยหอม แตงโม ฯลฯ คือถ้าเลี้ยวซ้ายตรงนี้จะไปทางตาดผาส้วม แต่เราขับตรงไปก่อนค่ะ ไม่นานนักก็ถึงทางเข้า “ตาดอีตู้"


“ตาดอีตู้" จากเมืองปากเซ ใช้ถนนหมายเลข 13 แล้วเข้าหมายเลข 16E ไปทางทิศตะวันออก มุ่งหน้าไปทางเมืองปากซอง ก่อนถึงกิโลเมตรที่ 38 จะมีทางเข้าอยู่ซ้ายมือ แล้วตรงเข้าไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร ระยะทางรวมประมาณ 38 กิโลเมตร อยู่ในบริเวณตาดอีตู้รีสอร์ท


มีร้านอาหาร และลานจอดรถอำนวยความสะพวกแก่นักท่องเที่ยว ค่าเข้าชมน้ำตกคนละ 5.000 กีบ ทางลงจะราดซีเมนต์เป็นบันไดลงไป แอบหอบอยู่เหมือนกันนะจะบอกให้



ระหว่างทางเดินลงนั้น เมื่อมองลงไปจะเห็นลานกว้างๆมีน้ำไหลเอื่อยๆอยู่



มีป้ายบอกทาง ไปทางขวาคือน้ำตกชั้นที่ 1 ไปทางซ้ายคือ น้ำตกชั้นที่ 2 และ 3



กระทั่งได้เห็นอลังการงานสร้างจากธรรมชาติ ของน้ำตกชั้นที่ 1



เราชอบที่นี่นะ มีความเป็นธรรมชาติค่อนข้างสูง น้ำตกไหลลงมาจากหินผาสูง มีแอ่งที่สามารถลงเล่นน้ำได้ น้ำใสมากด้วย



แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าฝน น้ำหลาก บริเวณนี้จะไม่สามารถลงเล่นได้ ส่วนน้ำตกชั้นที่ 2 และ 3 นั้นเราไม่ได้เดินไปชม เนื่องจากมีเวลาค่อนข้างจำกัด ต้องตัดใจเดินทางต่อไปยังอีกแห่งหนึ่งก่อน




“ตาดฟาน" จากตาดอีอู้ออกมายังถนนหมายเลข 16E อีกครั้ง แล้วมุ่งหน้าไปทางปากซองอีก 2.5 กิโลเมตร ถึงหลักกิโลเมตรที่ 38 จะเจอทางเข้าไปยังตาดฟานอยู่ทางขวามือ



เลี้ยวเข้าไปอีก 1 กิโลเมตรเท่านั้นก็จะพบกับทางเดินเข้าไปยังน้ำตก ค่าเข้าคนละ 5.000 กีบ ค่าจอดรถมอเตอร์ไซค์อีก 3.000 กีบ



ที่นี่ก็มีที่พักไว้ให้บริการเช่นกัน มีร้านอาหาร และซุ้มขายของด้านหน้าอีกหลายร้านเลยทีเดียว



ตาดฟาน เป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในแขวงจำปาสัก เรียกอีกชื่อว่า น้ำตกดงหัวสาว (ฟาน แปลว่า เก้ง) มีขนาดใหญ่มาก จุดชมวิวที่เรามานี้อยู่คนละฟากกับน้ำตกค่อนข้างไกลพอสมควร มีน้ำไหลลงหุบเขาราวๆร้อยกว่าเมตรถึง 2 สายด้วยกัน



ถ้าช่วงน้ำหลาก จะมองเห็นเป็นน้ำตกขนาดใหญ่โตมโหฬาร สายน้ำทางซ้ายมือไหลมาจากห้วยผักกูด และทางขวามือไหลมาจากอุทยานแห่งชาติดงหัวสาว ในระดับความสูงเท่าๆกัน สามารถเดินลงไปชมตัวน้ำตกใกลๆได้ ใช้เวลาเดินเท้าค่อนข้างนาน ต้องเตรียมอาหารและอุปกรณ์กางเต็นท์ไปเองเพื่อพักแรมบริเวณด้านล่าง 1 คืน และเดินกลับขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น แนะนำให้ติดต่อเจ้าหน้าที่บริเวณน้ำตกเพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางและการเตรียมตัวเพื่อความปลอดภัย



ซูมเน้นๆให้เห็นความฟุ้งของตาดฟาน



เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ไม่ถึง 15 นาที ก็เดินทางไปกันต่อ บ๊ายบายนะแม่กุ๊กไก่กับลูกเจี๊ยบจิ๊บๆ





สถานีถัดมาคือ “ตาดเยือง" อยู่ไม่ไกลจากตาดฟาน ใช้เส้นทางหมายเลข 16E ต่อไปจนถึงหลักกิโลเมตรที่ 40 จะมีป้ายชื่อน้ำตกอยู่ทางขวามือ



เข้าไปอีกราวๆ 1 กิโลเมตรจะถึงป้อมทางเข้า ค่าเข้าคนละ 10.000 กีบ ค่าจอดมอเตอร์ไซค์อีก 5.000 กีบ จอดรถไว้ด้านนอกตรงนี้แล้วเดินเข้าไปด้านในได้เลย



น้ำตกแห่งนี้ ตอนที่นั่งหาข้อมูลแล้วได้เห็นรูปแว๊บแรกเราก็รู้สึกชอบทันที และเมื่อได้มาเห็นสถานที่จริงแล้ว ชอบมากกว่าเดิมซะอีก


ขนาดกลางๆ มีความเป็นธรรมชาติสูง ทางเดินจะเป็นขั้นๆลงไปแล้วจะพบกับทางเดินไปยังศาลาชมวิว จุดนี้เป็นอีกจุดที่เราชอบตั้งแต่ได้เห็นภาพถ่ายจากหลายเว็บไซต์



หินที่น้ำตกไหลผ่านจะเป็นสีออกดำ แรงลมจากความแรงของน้ำที่ไหลลงสู่ด้านล่าง ทำให้มีละอองน้ำฟุ้งกระจาย ถ้าเป็นช่วงที่มีน้ำมากๆ ละอองน้ำจะกระจายเป็นวงกว้างมาถึงศาลาชมวิวเลยทีเดียวเชียวแหละ



มองลงไปที่ต้นหญ้าเล็กๆ มีหยดน้ำเกิดจากละลองน้ำที่ซ่านกระเซ็นมาเกาะอยู่ ดูน่ารักกระหยุมกระหยิมดีนะคะ



สามารถเดินไปด้านบนได้ ด้านบนน้ำตกจะมีลานกว้างๆเป็นทางน้ำไหลผ่านก่อนตกลงยังหน้าผา มีทางลาดซีเมนต์ให้เดินเข้าไป มีที่ให้นั่งเล่นด้วยค่ะ เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ค่อนข้างนานพอควร ก่อนจะไปยังจุดต่อไป





ออกเดินทางไปยังจุดต่อไป “ตาดถ้ำจำปี" ใช้เส้นทางเดิมย้อนกลับเข้ายังตัวเมืองปากเซ บนถนนสายหลักเพียง 450 เมตร จะมีป้ายบอกทางเข้าไป



เวลาก็เริ่มใกล้ค่ำเข้าไปทุกที แต่คิดว่าไหนๆมาถึงที่นี่แล้ว ถ้าไม่เข้าไปคงจะเสียดาย จึงได้มุ่งหน้าเข้าไปโดยไม่รีรอ ตลอดเส้นทางที่เข้ามายังคงเป็นดินปนหินปนกรวด มีหลุมมีบ่ออยู่ประปราย ใช้ความเร็วได้ไม่มาก ต้องค่อยๆขับเข้าไปไกลกว่าตาดอื่นๆนิดหน่อย กว่าจะถึงก็เริ่มค่ำแล้ว คิดว่าคงไม่มีคนเก็บค่าเข้าแล้วเพราะเงียบมาก ที่ไหนได้ มีพี่ผู้ชายคนหนึ่งวิ่งออกมา “คนละ 5.000 กีบ" เราลองต่อรอง “มันค่ำแล้วใกล้จะมืดแล้ว แวะมาถ่ายรูปนิดเดียวเองค่ะ เก็บค่าเข้าด้วยเหรอคะ" พี่ผู้ชายยิ้มฟันขาวและยืนยันคำเดิม “คนละ 5.000 กีบ เขาให้เก็บจ้า เก็บแค่ค่าคนค่ารถไม่เก็บ" (ปกติจะคิดค่ารถอีกคันละ 5.000 กีบ) ........ อึนมาก ความรู้สึกตอนนั้น บางคนอาจคิดว่าเราเคี่ยว เรานิสัยไม่ดีที่ไปต่อรอง แต่มานึกถึงว่าถ้าเป็นในไทยบ้านเรา เย็นป่านนี้ต่อให้มีเจ้าหน้าที่อยู่ ก็มีแต่จะให้รีบเข้าแล้วรีบออกมา ไม่ต้องเสียเงิน เอ๊ะ หรือว่าเราชินกับการอะลุ่มอล่วยของบ้านเรามากไป... จนแล้วจนรอดก็จำต้องยอมจ่ายไปเพื่อให้ได้เข้าไปด้านใน เข้าไปเก็บภาพกลับมาเล่าให้คนอื่นอ่านและดูก็ยังดี



ที่นี่เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่สุดเมื่อเทียบกับที่อื่นๆ น้ำตกสูงจากหน้าผาประมาณ 5 เมตร บริเวณด้านล่างของน้ำตกสามารถลงเล่นน้ำได้ แต่ควรระมัดระวังในการลงเล่นน้ำ เนื่องจากหินที่อยู่ในแอ่งน้ำค่อนข้างลื่น เรามีเวลาไม่มากพอที่จะลงไปเล่นน้ำด้านล่าง นึกแล้วก็ยังแอบเสียดายอยู่ไม่ใช่น้อย



ใกล้ค่ำแล้ว ได้เวลากลับเข้าเมืองปากเซ หลังจากที่แสงตะวันหายไปจากขอบฟ้า ความมืดเข้ามาแทนที่



รู้สึกหนาววาบๆขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ท้องก็เริ่มหิว มองหาร้านอาหารกันมาตลอดทาง แล้วมาแวะเดินเล่นกันที่ เฟรนชิพมอลล์ ห้างสรรพสินค้าของเมืองปากเซ แต่ไม่มีร้านที่น่านั่งทานข้าว พูดง่ายๆว่า ไม่รู้จะกินอะไร แอบถ่ายรูปราคาเครื่องดื่มในนี้มาด้วย ราคาถูกกว่าร้านข้างนอกเห็นๆ



เดินเล่นกันแป๊บเดียวก็มุ่งหน้าเข้าตัวเมืองกันต่อ กัดฟันนั่งนิ่งจนถึงที่พัก เก็บของแล้วออกหาร้านอาหารกันอีกครั้ง ลองขับวกกลับไปทางที่ผ่านกลับมาอีกครั้ง แวะดูร้านบุฟเฟต์ปิ้งย่าง คนละ 50.000 กีบ เดินเข้าไปดูแล้ว ไม่น่าสนใจเพราะมีแต่ของเหมือนร้านหมูกระทะบ้านเรา แต่ถ้าเป็นบ้านเราราคาราวๆ 200 บาทแบบนี้อย่างน้อยจะมีกุ้งและของหลากหลายกว่านี้



ว่าจะแวะตลาดนัดที่สนามกีฬา ทั้งแสงสีเสียงมาเต็มมาก แต่คิดค่าจอดรถและมองดูแล้วคิดว่าไม่น่าเข้า ฮ่าๆๆๆ (เราเรื่องมากใช่ไหม) ขับไปวนแถวๆที่พักอีกสองสามรอบ สุดท้ายแวะร้านอาหารตามสั่งธรรมดา ผู้ร่วมทริปสั่งเฝอ เรานี่หันไปมองคนข้างหลังเห็นทานผัดหมี่อะไรสักอย่างอยู่ ก็สั่งง่ายๆ “เอาเหมือนของคนนี้นะคะ" แฮ่!!รสชาติคล้ายๆผัดไวๆมีน้ำนองไปหน่อย หมี่รสชาติไม่คุ้นเคย แต่รวมๆแล้วก็ใช้ได้ มื้อนี้หมดไป 38.000 กีบ เฝอ 15.000 กีบ ผัดหมี่ 20.000 กีบ เป๊บซี่ 3.000 กีบ



ก่อนเข้าที่พักแวะแลกเงินเพิ่มกันไว้อีก 240 บาท ได้เรท 238 มาเป็น 57.000 กีบ



วันที่สอง


เมื่อคืนลังเลว่าจะไปทางปราสาทหินวัดพู หรือว่าจะไปตาดผาส้วมกันดี เนื่องจากอยู่คนละเส้นทางกัน ถ้าจะไปทั้งสองที่เวลาคงไม่พอแน่ๆ นั่งหาข้อมูลอ่านกันไปได้ไม่นานก็ตกลงกันว่าจะเลือกไปตาดผาส้วม เนื่องจากที่ปราสาทหินวัดพูนั้นมีค่าเข้าค่าธรรมเนียมนู่นนี่ค่อนข้างแพง เกินงบประมาณของเราไปมาก เอาไว้คราวหน้าดีกว่า


ก่อนจะมุ่งหน้าไปตาดผาส้วม แวะไปทานข้าวเช้ากันที่ตลาด คนลาวเรียกว่า “ตลาดศูนย์การค้า" แต่เราว่ามันคือ ตลาดสดนะ ถ้าเสิร์ชหาในแผนที่จะเจอคำว่า “Fresh Market" เป็นส่วนหนึ่งของตลาดดาวเรือง ตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองปากเซ โดยจอดรถไว้ฝั่งตรงข้ามกับ โรงพยาบาลจำปาสัก แล้วเดินเข้าไป ร้านในตลาดราคาไม่แพงเลย



ที่ทานมาอาหารตามสั่งจานละ 10.000 กีบ ไข่ดาวฟองละ 2.000 กีบ ส้มตำจานละ 10.000 กีบ อย่างมื้อนี้หมดไปแค่ 32.000 กีบเองค่ะ




เมื่ออิ่มท้องแล้ว ต้องออกเดินทางไปยัง "ตาดผาส้วม" กันต่อ จากตัวเมืองห่างออกไปประมาณ 36 กิโลเมตร ใช้เส้นทางหมายเลข 13 และต่อด้วย 16E เหมือนเดิม เมื่อผ่านโรงงาน Dao Coffe ทางขวามือไปแล้ว ขับตรงไปอีกโดยสังเกตทางซ้ายมือ จะเจอสามแยกใหญ่ๆมีทางให้เลี้ยวทางซ้าย ก็เลี้ยวไปตามทางนั้นได้เลยค่ะ ตลอดสองข้างทางของถนนสายนี้ บ้านเรือนแต่ละหลังได้กลิ่นอายของความเป็นอยู่แบบธรรมดา ที่นึกแล้วดูมีความสุขไม่ใช่น้อย


เมื่อเลี้ยวมาแล้วขับตรงทางไปอีกประมาณ 13 กิโลเมตรจะเจอป้ายทางไปตาดผาส้วมอยู่ทางซ้ายมือ



เลี้ยวซ้ายตามทางไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตรก็จะพบทางเข้าสู่ตาดผาส้วม ค่าเข้าคนละ 10.000 กีบ ค่ารถเข้าอีก 2.000 กีบ



จอดรถไว้แล้วเดินเข้าด้านในกันค่ะ ระหว่างทางเดินเข้าไปจะมีร้านแผงลอยเล็กๆตั้งเรียงกันอยู่ ขายของกินเล็กๆน้อยๆ อุดหนุนกันได้เลยนะคะ



เมื่อเดินเข้ามาจากทางเมื่อสักครู่จะเป็นทางที่ต้องเดินข้ามสะพานเหล็กตรงนี้เข้าไป แล้วจะพบร้านอาหารร้านใหญ่ๆ



จากตัวสะพาน มองไปทางซ้ายมือจะเห็นแอ่งน้ำที่ไหลมาจากน้ำตกด้านใน และมีสะพานไม้สำหรับเดินข้ามอีกเส้นทางหนึ่ง



จากร้านอาหารเข้าไปอีกหน่อยก็จะถึงตัวน้ำตกแล้วค่ะ



คำว่า "ผาส้วม" มีความหมายว่า ห้องของเจ้าบ่าวเจ้าสาว หรือห้องหอนั่นเอง เรียกตามลักษณะของโขดหินที่เป็นห้องๆสวยงาม ที่แห่งนี้ถูกค้นพบ ปรับภูมิทัศน์ และก่อตั้งให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดยคนไทย คือ คุณวิมล กิจบำรุง ซึ่งใช้เวลากว่าจะกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวนานถึง 5 ปีด้วยกัน ที่แห่งนี้อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติบาเจียง เราเดินมาเข้าทางสะพานเหล็กก่อนเพื่อให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ในมุมกว้าง บริเวณทางเดินเข้าสู่ตัวน้ำตกจะมีร้านอาหารไว้รองรับนักเที่ยว ซึ่งนักท่องเที่ยวใหญ่ก็เป็นชาวไทยนั่นเองค่ะ ตาดผาส้วมเป็นน้ำตกที่ไม่สูงมาก แต่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีน้ำไหลตลอดทั้งปี บริเวณด้านบนมีโขดหินเรียงรายอยู่ละลานตา สามารถลงเล่นน้ำได้ แต่ควรระมัดระวังเพราะอาจลื่นล้มกระแทกหินได้ สายน้ำที่ไหลจากผาลงไปด้านล่างนั้นค่อนข้างแรง หากพลัดตกลงไปแล้วอาจมีอันตรายถึงชีวิต ความลึกนั้นไม่ทราบได้แต่จากการคาดคะเนด้วยสายตาแล้วมิดหัวแน่นอน


สามารถเดินชมความงามของน้ำตกได้แบบรอบๆ แต่ไม่สามารถกระโดดลงไปเล่นน้ำด้านล่างได้นะคะ เนื่องจากกระแสน้ำค่อนข้างแรงและดูลึกมากด้วย ยืนชมอยู่ด้านบนก็มองเห็นความงดงามได้อย่างชื่นใจกันแล้ว ที่นี่มีหินก้อนใหญ่ๆเรียงรายเป็นทางเดิน ต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินกันด้วยนะคะ มีคนลื่นล้มบ่อยมาก รวมถึงผู้ร่วมทริปของเราด้วย ล้มตัวกระแทกหินแล้วไถลลงไปนั่งอยู่ตรงซอกหิน แขนและเข่าเป็นแผลถลอกเลย แต่โชคดีที่สะพายเป้อยู่แล้วพลิกเอาหลังลง ไม่เช่นนั้นคงมีจุกแน่ๆ


บริเวณด้านบนที่เป็นทางน้ำไหลผ่านก่อนจะตกลงจากผาหินสู่แอ่งน้ำ สามารถลงเล่นน้ำได้นะคะ และยิ่งช่วงที่ไม่ใช่หน้าฝนแบบนี้ น้ำไหลมาไม่มาก สามารถเดินข้ามฝั่งกันได้ไม่ยากเลย แต่ก็ต้องระวังเนื่องจากหินมีความลื่นอยู่ค่ะ


เราลงไปเล่นน้ำกันได้สักพักก็ขึ้น ส่งท้ายที่นี่ด้วยภาพสายรุ้งซึ่งเกิดจากการตกกระทบของแสงแดดลงสู่ละอองน้ำ เกิดการหักเหของแสงให้เราเห็นเป็นเส้นสีบางๆแบบนี้ค่ะ


เราแวะเข้าไปยัง “น้ำตกหมากแงว" ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตาดผาส้วมกันมาด้วย เป็นน้ำตกขนาดเล็ก ลงเล่นบริเวณริมๆแค่แช่เท้าได้สบายๆ มาเดือนกุมภาพันธ์น้ำยังค่อนข้างใสอยู่หน่อยๆ แต่ถ้าเป็นช่วงธันวาคมถึงมกราคมน้ำตกในลาวจะใสและสวยมาก ชอบสะพานไม้ตรงนี้จัง


ก่อนถึงตัวน้ำตก เราจะได้เดินผ่านต้นไม้ใบหญ้าเข้าไป ซึ่งที่นี่มีความชุ่มชื่นมากดูเขียวชะอุ่มสบายตามากเลย


สามารถลงเล่นน้ำได้นะคะ จุดนี้ไม่ค่อยมีคนเดินเข้ามาจึงดูเงียบสงบดี


นอกจากน้ำตกทั้งสองแห่งและร้านอาหารแล้ว ภายในอุทยานยังมี บ้านพักหลากหลายแบบ ยกตัวอย่างให้ดูสักหนึ่งหลังค่ะ อีกทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์ชนเผ่า 8 เผ่า เช่น กะเหรี่ยง ส่วย ลาวลุ่ม สามารถเดินไปชมและศึกษากันได้ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากกันในแต่ละจุดด้วย



เราอยู่ที่นี่จนถึง 13.00 น. ก็ได้เวลากลับ ให้ผู้ร่วมทริปแวะส่งเราที่ เกรียงไกร ขนส่ง ก่อน เพราะเป็นทางผ่านอยู่แล้ว ส่วนผู้ร่วมทริปขับมอเตอร์ไซค์เข้าไปคืน แล้วต่อรถพ่วงสามล้อมาในราคา 15.000 กีบ เงินก้อนสุดท้ายที่มีอยู่พอดิบพอดี ที่ขนส่งแห่งนี้มี Wifi ให้ใช้ฟรีด้วยนะคะ แรงได้ใจเลย นั่งเล่นกันไปกระทั่ง 15.00 น.โดยประมาณ รถทัวร์สายเดิมก็มา




ถึงเมื่อ 15.30 น. รถก็เคลื่อนออกพร้อมกลับประเทศไทย เราใช้เวลากันทั้งหมดคุ้มค่าแล้วสำหรับทริปนี้ ที่ดูเหมือนไม่ค่อยได้วางแผนอะไรมามากนัก รถเคลื่อนผ่านสะพานข้ามแม่น้ำโขง เรากดถ่ายภาพนี้มาโดยตอนนั้นคิดว่าเป็นเรือ แต่พอกลับมาซูมดูแล้วกลับไม่ใช่เรืออย่างที่เราคิด ไม่ทราบจริงๆค่ะว่าคืออะไร



ไม่นานนักก็มาถึงด่าน ตม. ของฝั่งลาวอีกครั้ง ตอนเข้ามาจ่ายแล้ว 100 บาท ตอนจะออกก็ยังจะเก็บอีก 100 บาท เอาๆๆ ก็ตามนั้นเลยจ้า



เราเดินออกมาเจอกับสิ่งนี้เข้า นึกถึงตอนเด็กๆที่พ่อชอบเอามาให้กิน ปิ้งบ้าง ทอดบ้าง อร่อยมาก เลยอดใจไม่ไหว ซื้อมา 1 ห่อ 20 บาท



พอได้เห็นตรงนี้ก็รู้สึกอุ่นใจ สบายใจ ความรูสึกเหมือนไปไหนมาไกลๆแล้วได้กลับถึงบ้าน



บริเวณทางออกมาจากด่านตรวจคนเข้าเมืองของไทย มีเซเว่น อีเลฟเว่น และร้านขายของหลายร้าน แวะซื้อน้ำซื้อของทานเล่นระหว่างรอคนกลับมาขึ้นรถได้เลย



เวลาประมาณ 18.30 น. มาถึงสถานีขนส่งจังหวัดอุบลราชนี ค่ำพอดี อาการหิวก็เกิดขึ้น


เมื่อลงจากรถ ชวนกันเดินมาทานข้าวที่ร้านอาหารด้านหลัง จะมีสองร้านใหญ่ๆอยู่ เจออาหารรสชาติไทยแล้วสบายใจแล้ว ราคาไม่แพงด้วย



ผู้ร่วมทริปนี่สั่งข้าวตั้งแต่เมนูยังไม่มา ซัดข้าวขาหมูเน้นหนังซะด้วย คงจะหิวกว่าเรามาก



ส่วนเราเอาแค่ข้าวผัดไก่ ไข่ดาว ก็พอแล้ว ได้ทานอาหารรสชาติที่คุ้นเคยแล้วสบายใจ๊สบายใจ



อิ่มแล้วก็เดินไปหารถแท็กซี่มิเตอร์ ไม่ทันได้เดินออกไปริมถนนก็เจอก่แนแล้ว 1 คัน ไม่นานนักก็ถึงสนามบินแล้ว ค่าแท็กซี่แค่ 57 บาทเท่านั้นเอง เดินเข้าไปเช็คอินกันก่อนเลยค่ะ



เวลาเหลือเฟือเลยคราวนี้ ต้องหาที่นั่งเล่นกันไปก่อน เดินหาซื้อของกินของฝากกันไปเรื่อยๆ แล้วก็เดินเข้าไปที่เกท ในนี้มีร้านแบล็คแคนยอน จะบอกว่า... ลูกค้า เอไอเอส เซเรเนด ได้รับฟรี เครื่องดื่มที่ร่วมรายการ 1 แก้ว + แซนวิชแฮมชีสหรือแซนวิชทูน่า 1 ชิ้น!!! ไปจัดค่ะไปจัด (แซนวิชถูกผู้ร่วมทริปกินเข้าไปก่อนจะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปค่ะ!)



ได้เครื่องดื่มเย็นๆมาแล้ว หาที่นั่ง อืม... อย่าเรียกว่าหาเลยเนอะ เพราะยังไม่มีใครเลย อยากนั่งตรงไหนก็เลือกเอาได้ตามใจชอบ



ก้มหน้าก้มตาเข้าสู่สังคมออนไลน์ได้สักพัก เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาเรียกขึ้นเครื่องแล้ว ขึ้นเครื่องมาได้สักพักก็ได้รับสแน็คบ็อกซ์น่ารักๆแบบนี้กันอีกครั้ง



ข้างในก็เป็นขวดน้ำจิ๋วน่ารักๆ และไรซ์สแน็คแบบนี้เช่นเดิม (เมื่อก่อนจะเป็นขนมของอานตี้แอนส์ นี่ไม่ได้ขึ้นเครื่องของนกแอร์มานานแค่ไหนแล้วลองคิดดูเอาเถิด ฮ่าๆๆๆ) เผื่อยังมีคนไม่รู้ว่า ไรซ์ สแน็ค คืออะไร อ่ะ เราถ่ายมาให้ดู แต่มือสั่นไปหน่อยนะ เบลอเลย เราเนี่ย เบลอไปเลย...



ขอขอบคุณอีกครั้ง ที่เข้ามาอ่านบันทึกการเดินทางฉบับเพ้อๆของเรากันนะคะ แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้า บ๊ายบาย...



GowithAmp

 วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.45 น.

ความคิดเห็น