จากประเทศที่เคยอยู่นอก wish list การเดินทางของผม แต่เมื่อได้ไปสัมผัส “ไต้หวัน" ครั้งแรกเมื่อปลายปีที่แล้ว ผ่านไปเพียง 3 เดือน ผมก็ได้กลับไปเยือน “ไต้หวัน" อีกครั้งด้วยรูปแบบการเดินทางที่แตกต่างจากรอบก่อน เพราะครั้งนี้มีคนท้องถิ่นนำเที่ยวไปชิมไปชมจุดต่างๆ รอบๆ ไทเป มีทั้งแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังและสถานที่อันซีนสำหรับคนไทย … และนี่คือบันทึกการเดินทาง 4 วันที่แม้แต่ฝนก็หยุดเราไม่ได้

** ทริปนี้ได้รับการสนับสนุนการเดินทางจาก Taiwan Love & Fun ซึ่งดูแลงานด้านการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวให้กับประเทศไต้หวันครับ **

หากอ่านรีวิวแล้วถูกใจ ช่วยเป็นกำลังใจโหวตและติดตามผลงานด้วยนะครับ

DAY 1

สำหรับทริปนี้ผมเดินทางด้วย China airlines ซึ่งถือเป็นครั้งแรกเลยสำหรับการใช้บริการสายการบินนี้ของผม เที่ยวบินเป็นช่วงเช้าไปถึงไต้หวันเกือบบ่ายโมงก็ถือว่าเวลาดีทีเดียวเพราะพอจะมีเวลาเที่ยวอีกครึ่งวัน … สำหรับที่นั่งของ China airline ก็ถือว่าสะดวกสบายพอสมควรครับ ไม่ได้กว้างมาก แต่ก็ไม่แคบจนอึดอัด อาหารรสชาติถูกปาก พนักงานบริการดีทีเดียว ยิ้มแย้มและคอยดูแลตลอดเที่ยวบินจนถึงจุดหมายที่สถามบินในเมืองเถาหยวน …

มารอบนี้ผมจัดการกรอกแบบฟอร์มเข้าเมืองผ่านระบบ online มาล่วงหน้าจึงสามารถยื่นพาสปอร์ตกับเจ้าหน้าที่ได้เลย ไม่ต้องกรอกเอกสารแล้ว แต่คิวก็ยังยาวเหมือนครั้งก่อน ต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะผ่านไปรับกระเป๋าได้ (สามารถกรอกแบบฟอร์มเข้าเมืองผ่านทางออนไลน์ได้ที่นี่ครับ)

อย่างที่เกริ่นไปล่วงหน้า มาไต้หวันรอบนี้มีคนท้องถิ่นนำเที่ยว โดยวันนี้มีรถมารับถึงสนามบินและนำผมมุ่งหน้าสู่จิ่วเฟิ่น (Jiufen) เมืองโบราณชื่อดังริมทะเลที่ตั้งอยู่บนไหล่เขา … จากสนามบินในเมืองเถาหยวน รถของเราขับผ่านไทเป ก่อนที่จะมุ่งขึ้นเหนือต่อไปยังจิ่วเฟิ่น …

บรรยากาศขณะกำลังเข้าสู่ไทเป ก่อนจะวิ่งต่อไปยังจิ่วเฟิ่น ดูฟ้าสิคร้บ T T

ยิ่งใกล้จิ่วเฟิ่นเท่าไหร่อุณหภูมิก็ลดลงจาก 14 องศาลงไปเหลือเลขตัวเดียว แถมด้วยฝนที่โปรยปรายไม่หยุด … ที่จิ่วเฟิ่นทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยสายหมอก จนไม่สามารถมองเห็นทะเลที่อยู่เบื้องล่าง …



ผมเดินลัดเลาะตามซอยเล็กๆ มีโคมแดงประดับประดาไปทั่วให้กลิ่นอายของความเป็นจีนชัดเจน ซอยเล็กๆ เหล่านี้ขนาบด้วยร้านรวงมากมายทั้งขายของฝากและอาหารท้องถิ่น … เนื่องจากเลยเที่ยงมาพอสมควรแล้วก็เลยถือโอกาสชิมเมนูท้องถิ่นซะเลย


เมนูแรกที่ลองเป็นไอศครีมถั่วแบบโบราณ ห่อก้อนไอศครีมด้วยแป้งบางๆ คล้ายแป้งปอเปี๊ยสด โรยด้วยผงถั่วเคลือบน้ำตาล (ถั่วตัดที่ผ่านการสไลด์) โปะด้วยผักชีอีกที รสชาติก็ถือว่าเข้ากันได้ดีนะ



เมนูถัดมาคือมื้อเที่ยงของวันนั้นชื่อว่า “โร่วหยวน" เป็นแป้งกึ่งใสกึ่งขุ่นเหนียวนุ่มสอดใส้หมูแดง เสิร์ฟในถ้วยในน้ำซุบและโรยหน้าด้วยผักชี รสชาติถือว่าถูกปากคนทานยากอย่างผมนะ … นอกจากนี้ก็ยังสั่งซุปลูกชิ้นมาทานคู่กันเพราะกลัวไม่อิ่ม มี 5 สีรสชาติแต่ละแบบก็คล้ายๆ กันครับ ต่างกันนิดหน่อยที่กลิ่น


ปิดท้ายด้วยของหวานที่ร้านดัง (สังเกตจากปริมาณลูกค้า) ตั้งอยู่ไม่ห่างกัน หน้าตาคล้ายบัวลอยในน้ำขิงบ้านเรา แต่รสชาติบางกว่ามากและรู้สึกว่าเนื้อแป้งจะมากไปหน่อย เลยรู้สึกไม่ถูกปากผมนัก … อันที่จริงถ้าน้ำออกรสขิงมากกว่านี้หน่อยคงดีไม่น้อยสำหรับอากาศเย็นๆ แบบนี้



อิ่มท้องแล้วก็มีเรี่ยวแรงเดินต่อขึ้นไปชมวิวด้านบนกันต่อ แต่เนื่องจากฝนยังคงไม่หยุด ลมค่อนข้างแรง หมอกก็มาแบบเต็มๆ ทำให้จุดชมวิวต่างๆ ไม่สามามองเห็นวิวด้านล่างได้เลย กลายเป็นหมู่บ้านโบราณท่ามกลางสายหมอกไปซะงั้น ยังดีที่หามุมถ่ายภาพมหาชนโรงน้ำชาเจอและเก็บภาพได้มานิดหน่อย



นอกจากโรงน้ำชาแล้วก็แวะเข้าไปชมโรงหนังเก่า บ่งบอกว่าจิ่วเฟิ่นเคยเป็นเมืองที่รุ่งเรืองอย่างมากมาก่อน ทั้งนี้เพราะที่นี่เคยเป็นแหล่งเหมืองทองคำ ต่อมาเมื่อทองคำค่อยๆ หมดลงกอปรกับเกิดเหตุการณ์เหมืองถล่ม เมืองนี้จึงค่อย ๆ หมดความสำคัญในด้านการทำแร่ และภายหลังจึงแปรสภาพมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวแนวหน้าของไต้หวันอันเนื่องมาจากเอกลักษณ์ของเมืองควบคู่กับทัศนียภาพที่สวยงามนั่นเอง


นอกจากโรงน้ำชาแล้วก็แวะเข้าไปชมโรงหนังเก่า บ่งบอกว่าจิ่วเฟิ่นเคยเป็นเมืองที่รุ่งเรืองอย่างมากมาก่อน ทั้งนี้เพราะที่นี่เคยเป็นแหล่งเหมืองทองคำ ต่อมาเมื่อทองคำค่อยๆ หมดลงกอปรกับเกิดเหตุการณ์เหมืองถล่ม เมืองนี้จึงค่อย ๆ หมดความสำคัญในด้านการทำแร่ และภายหลังจึงแปรสภาพมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวแนวหน้าของไต้หวันอันเนื่องมาจากเอกลักษณ์ของเมืองควบคู่กับทัศนียภาพที่สวยงามนั่นเอง


อันที่จริงโปรแกรมค่ำวันนี้ผมจะต้องไปเดินที่ตลาดกลางคืน Keelung Temple Night Market ที่อยู่ไม่ไกลจากจิ่วเฟิ่น แต่เนื่องจากเปียกปอนไปหมดและฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จึงเปลี่ยนโปรแกรมกลับไป check in ที่โรงแรมในเมืองไทเปแทน


โรงแรมสำหรับคืนแรกของผมชื่อ Morwing Hotel อยู่ไม่ไกลจาก Taipei Main Station เรียกว่าทำเลดีมากๆ เลยเพราะอยู่ย่านใจกลางเมือง สามารถเดินไปแหล่งช้อปปิ้งชื่อดังอย่าง Ximending โดยใช้เวลาราว 15 นาทีเท่านั้น ตัวโรงแรมถือว่าหาไม่ยาก ตั้งอยู่ชั้นบนของอาคารย่านธุรกิจ …ที่พิเศษคือโรงแรมแห่งนี้ตกแต่งด้วยภาพฝาผนังที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในนิทาน แต่ละห้องก็แตกต่างกันล้วนแล้วแต่น่ารักทั้งนั้น ซึ่งสามารถสัมผัสความพิเศษนี้ได้ตั้งแต่ที่ lobby เลยเพราะใช้ภาพบนฝาผนังที่เหมือนเรากำลังนั่งอยู่ในห้องสมุดภายในปราสาทเก่าแก่ที่ไหนสักแห่ง เชื่อว่าดีไซน์แบบนี้คงถูกใจคนไทยแน่


ในส่วนของห้องพักก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นครบถ้วน แม้ว่าขนาดห้องจะไม่กว้างนัก แต่เตียงก็ใหญ่พอและนอนสบาย ห้องน้ำก็ไม่คับแคบ ข้อเสียก็คงจะเป็นเรื่องพื้นที่รอบเตียงที่มีจำกัด ทำให้ไม่สะดวกในการวางกระเป๋าเดินทางที่ต้องเปิดกางออก



หลังจากอาบน้ำล้างตัวแล้ว เรามีโปรแกรมไปเดินกันที่ย่านช้อปปิ้ง Ximending ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล … พอถึง Ximendign ก็รองท้องมื้อค่ำด้วย Ay-chung flour rice noodle ร้านดังของไต้หวัน ซึ่งเป็นบูธเล็กๆ ในซอยย่านนี้ … ร้านนี้ไม่มีโต๊ะให้นั่งเป็นเรื่องเป็นราว มีเก้าอี้ไว้จำนวนหนึ่งให้คนที่ไม่สะดวกจะยืนนานๆ ได้นั่งทาน … ลักษณะของหมี่จะเป็นเส้นเล็กในน้ำข้นๆ เหนียวๆ คล้ายน้ำราดหน้า ใส่ใส้หมูและปรุงรสด้วยซอสพริก เสิร์ฟมาในถ้วยกระดาษมีสองขนาด ส่วนรสชาติก็ถือว่าทานไม่ยากนะ แต่อาจจะไม่ถูกปากผมนัก ส่วนถ้าใครอยากลองก็ตามไปชิมกันได้ที่พิกัดนี้เลยครับ 25.043318, 121.507625

เราเดินกันต่อในย่าน Ximending ไปจนถึงสี่แยกใกล้กับร้าน Hot Pot ชื่อดัง Mala Yuanyang Hotpot … แต่อย่างที่บอกว่ารอบนี้เรามากับคนท้องถิ่น และจะพาเราไปลองอะไรที่แตกต่าง จึงลงไปทานที่ชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าดั้งเดิมในย่านนี้ (ชื่อจีน 萬年商業大樓 ผมอ่านไม่ออก แต่อยู่ที่พิกัด 25.043531, 121.505855) ถ้าให้เปรียบเทียบที่นี่เหมือนมาบุญครองครับ ด้านในแบ่งเป็นร้านเล็กๆ ขายสินค้าวัยรุ่น สินค้าแฟชั่น และมีชั้นที่เป็นร้านอาหาร โดยผมทดลองทานเมนูนึงที่คล้ายหอยทอด ทำจากแป้งไข่คลุกเคล้ากับหอยนางรมแล้วนำไปทอดเป็นแผ่น ทานกับซอสรสชาติดีทีเดียว ส่วนของหวานผมลองทานวุ้นใสๆ ใส่น้ำหวาน ที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นอย่างเดียวกับของหวานภูเก็ตบ้านผมที่ชื่อว่า “โอเอ๋ว" นั่นเอง อันนี้ก็ชอบครับหวานเย็นชื่นใจดี


อิ่มจากมื้อค่ำแล้วก็เดินซื้อโน่นนี่กันเล็กน้อยก่อนที่จะกลับไปนอนเก็บแรงที่โรงแรม เพราะมีโปรแกรมออกไปหาอาหารท้องถิ่นกันตั้งแต่เช้า



DAY 2


6 โมงตรงเราออกเดินทางจากโรงแรมด้วย MRT ไปลงสถานี Shandao Temple Station เพื่อไปยัง Huashan Market ซึ่งเป็นตลาดสดของคนท้องถิ่นที่นี่ … เราไม่ได้มาช้อปปิ้งที่นี่หรอกแต่มาชิมเมนูมื้อเช้าที่ชั้นสองของตลาด เป็นอีกร้านดังอีกแห่งของไทเปนั่นคือ Fuhang Soy Milk … ที่ต้องมาเช้าก็เพราะหากมาสายอาจต้องต่อคิวรอนานมากๆ สำหรับเมนูหลักของที่นี่คือนมถั่วเหลืองตามชื่อร้านนั่นเอง ทั้งนี้จะมีให้เลือกสองแบบคือรสเค็มกับรสหวานทานคู่กับแป้งม้วนชิ้นโตที่ผมอยากเรียกว่าปลาท่องโก๋สไตล์ไต้หวัน แต่วิธีการทำเก๋กว่าตรงเอาไปอบในโอ่งแทนที่จะทอดในน้ำมัน นอกจากนี้ก็มีอีก 2-3 เมนูที่ผมจำชื่อไม่ได้ เป็นแป้งทอดไส้ผัก, ข้าวเหนียวสอดไส้หมู โดยรวมใครที่ชอบพวกน้ำเต้าหู้หรือนมถั่วเหลืองน่าจะถูกใจเมนูนี้ครับ

หลังจากมื้อเช้าก็กลับมาเก็บของที่โรงแรม แล้วเดินทางต่อไปยังซินเป่ยโถว Xinbeitou เมืองน้ำพุร้อนที่อยู่ห่างจากไทเปไปไม่ไกล โดยคืนนี้ผมพักที่ The Gaia Hot Spring Hotel เป็นโรงแรม 5 ดาวของเมืองนี้ … แค่เดินเข้าไป Lobby ก็ประทับใจแล้วเพราะตกแต่งอย่างสวยงามด้วย collection งานศิลปะ ที่สวยสะดุดตา ที่ชอบมากคือโถง Lobby สูงโปร่งที่ตกแต่งเหมือนห้องสมุดขนาดใหญ่ … แต่เช้านี้เราแค่ฝากสัมภาระไว้ก่อน ค่อยกลับมา check in เข้าห้องพักในช่วงเย็น


เดิมทีโปรแกรมของวันนี้ผมจะต้องเดินทางไปเที่ยวที่อุทยาน Shei-Pa (GuanWu) ที่อยู่ในจังหวัด Miaoli ห่างออกไปจากไทเปราว 2-3 ชั่วโมง แต่ด้วยสภาพอากาศที่ฝนตกตลอดจึงต้องเปลี่ยนแผนเพราะอุทยาน Shei-Pa เป็นเทือกเขาสูง หากขึ้นไปอาจเจอแต่หมอกจนมองไม่เห็นอะไร โปรแกรมวันนี้จึงถูกเปลี่ยนเป็นอุทยานหยางหมิงซาน (Yangmingshan) ที่อยู่เขต Beitou ไม่ห่างจากที่พักของเรา … อันที่จริงหยางหมิงซานนั้นมีอาณาบริเวณกว้างทีเดียว และจุดท่องเที่ยวก็มีด้วยกันหลายแห่ง แต่ผมขอให้ทีมงาน Taiwan Love & Fun พาไปชมไร่ดอก colla lilly ที่ตอนนี้เริ่มบานแล้ว (ผมไปช่วงปลายเดือนกุมภาฯ)


จากซินเป่ยโถว รถค่อยๆ ไต่ระดับความสูงผ่านภูเขาที่ยังคงอุดมสมบูรณ์อยู่ มีบางช่วงผ่านจุดที่มีบ่อน้ำพุร้อนด้วย ดูเหมือนกำลังจะก่อสร้างอะไรสักอย่าง ไม่แน่อาจเป็นโรงแรมก็เป็นได้


ผมสังเกตเห็นต้นซากุระพันธุ์สีชมพูเข้มมีดอกบานบ้างประปราย และอดไม่ได้ที่จะขอหยุดถ่ายภาพเป็นระยะ


เราเดินทางไปถึงบริเวณไร่ที่ปลูกดอก colla Lilly กันราวเที่ยงพอดี แต่ฝนก็ยังตกไม่หยุด จึงถึงโอกาสแวะทานข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งชื่อ Green Valley Café ซึ่งมีแปลงดอกไม้เล็กๆ อยู่หน้าร้านด้วย ได้บรรยากาศดี


อาหารมื้อนี้เราทานเป็น set มีจานหลักเป็นข้าวราดหน้าด้วยหมูหรือไก่ คู่กาแฟ (ของ illy) หรือชาจีน และของหวานเป็น waffle


ระหว่างรอข้าวผมก็สวมบูธของทางร้านออกไปถ่ายภาพดอกลิลลี่กลางฝน (บอกแล้วว่าสู้ไม่ถอย 555) เพราะดูสถานการณ์แล้วยังไงฝนคงตกไม่หยุดแน่



หลังทานอาหารเสร็จ เจ้าของร้านก็เอาดอกลิลลี่ช่อใหญ่มาให้กับเรา บอกว่าเป็นของที่ระลึก น่ารักจริงๆ … เพื่อน ๆ ที่สนใจลองไปดูข้อมูลเพิ่มเติมและตำแหน่งที่ตั้งได้ที่ facebook ของทางร้าน https://goo.gl/5ldH71 (พิกัดร้าน 25.178796, 121.540117)


อันที่จริงเราสามารถเที่ยวในเขตอุทยานหยางหมิงซานได้ทั้งวันเลยนะครับ เพราะอย่างที่บอกว่ามีจุดที่น่าสนใจหลายแห่ง แต่เนื่องด้วยสภาพอากาศวันนี้ไม่อำนวยนักเราเลยเปลี่ยนแผนไปเที่ยวตั้นสุ่ย (Tamsui) กันในช่วงบ่ายแทน สำหรับเพื่อนๆ ที่เป็นกรุ๊ปสัก 3-4 คนขึ้นไป ผมแนะนำให้เช่ารถพร้อมคนขับท่องเที่ยวในหยางหมิงซานจะสะดวกมากครับ ค่ารถรวมค่าน้ำมันต่อวันน่าจะราว 3,500 NTD หารออกมาแล้วก็พอๆ กับทัวร์แบบ day trip ในบ้านเราเลย


จากหยางหมิงซานใช้ Google map นำทางไปยังตั้นสุ่ย ซึ่งเป็นทางลัดแต่ก็ต้องใช้ถนนแคบๆ อยู่หลายช่วง น่าหวาดเสียวพอสมควร น่าเกร็งอยู่พักใหญ่ 555 … วิวของเส้นทางแถบนี้สวยงามทีเดียวครับ มีหมู่บ้านที่จำหน่ายพันธุ์ดอกไม้เลยแวะถ่ายภาพไว้ด้วย


ตั้นสุ่ยตั้งอยู่ติดทะเลทางตอนเหนือของประเทศไต้หวัน จึงเป็นชัยภูมิที่ดีด้านการค้าขายมาตั้งแต่สมัยโบราณ เมืองนี้จึงเคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญมากของไต้หวัน และอาคารบ้านเรือนก็ได้รับอิทธิพลจากทางตะวันตกที่มาติดต่อค้าขายและตั้งสำนักงานอยู่ในเมืองนี้


ผมไปถึงตั้นสุ่ยก็แวะเที่ยวป้อมปราการโบราณที่ตัวอาคารออกแบบและตกแต่งโดยได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตก มีความโอ่อ่าสวยงาม จะว่าไปผมว่าที่นี่มีมุมถ่ายภาพสวยๆ เยอะมาก ลักษณะอาคารเหมาะกับการถ่ายภาพ pre-wedding หรือจะถ่ายแนว hip ก็ได้อยู่ … อีกอย่างแอบชอบห้องน้ำที่นี่ด้วย อิอิ


หลังจากนั้นผมก็นั่งรถชมเมืองตั้นสุ่ยในเขตเมืองเก่าผ่านหน้าต่างรถยนต์ เพราะฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ได้ภาพมาฝากนิดหน่อยครับ …


ก่อนกลับไทเปแวะถ่ายภาพริมแม่น้ำซึ่งมีวัดจีนชื่อดัง และมองเห็นสะพานแดงที่ข้ามไปอีกฝั่งของแม่น้ำ


ออกจากตั้นสุ่ยก็มุ่งหน้ากลับโรงแรมครับ … อย่างแรกเลยคือแช่น้ำพุร้อนในอ่างแบบส่วนตัวของห้องพัก สบายตัวสุดๆ เลย



หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ของโรงแรมก็พาเดินชมโรงแรมและสิ่งอำนวยความสะดวก … ทำให้ทราบว่าเจ้าของโรงแรมโปรดปรานงานศิลปะ และงานหลายชิ้นที่ตั้งโชว์อยู่ในโรงแรมไม่ใช่งาน copy แต่เป็นงาน original ซึ่งทางเจ้าของสะสม หรือบางชิ้นก็สั่งทำพิเศษ อาทิ แชนเดอร์เรียประดับคริสตัล 1314 ชิ้นที่หมายถึงความนิจนิรันดร์เป็นต้น

Lobby ที่เป็นห้องสมุดในตัว แขกสามารถหยิบยืมไปอ่านในห้องได้ มีหนังสือหลากหลาย ชั้นล่างเป็นหนังสือสำหรับเด็ก

ห้องสปา บรรยากาศแบบเซ็น ผ่อนคลายมาก

ห้องอาบน้ำแร่รวม (แยก หญิง/ชาย) เจ๋งตรงมีเครื่องทำหิมะเทียมด้วย ได้บรรยากาศสุดๆ เลย



นอกจากบริการบ่ออาบน้ำพุร้อนสำหรับแขกที่พักในโรงแรมแล้ว ที่นี่ยังมีส่วนห้องอาบน้ำพุร้อนส่วนตัวสำหรับแขกที่ไม่ได้พักในโรงแรม หรือพูดง่ายๆ ค่าใช้บริการราว 2800 NTD ต่อห้องซึ่งใช้บริการได้สองคน รวม amenities อย่างดีในห้องและเครื่องดื่มต่างๆ นับว่าไม่แพงเลยสำหรับบริการแบบหรูหราอย่างนี้


นอกจากนี้ก็ยังมีฟิตเนส และสระว่ายน้ำที่ปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะอีกด้วย

ชมส่วนอื่นของโรงแรมไปแล้วมาดูห้องพักบ้างดีกว่า … นี่ห้องพักของผมครับ ชอบมาาาาาก


จะเห็นได้ว่าห้องพักยังใหม่ ตกแต่งสวยงามมากสมกับเป็นโรงแรม 5 ดาว … ของใช้ภายในห้อง ก็ล้วนแล้วแต่เกรดดีทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องทำกาแฟ Nesspresso เซ็ตเครื่องอาบน้ำของ Hermes รวมถึงฟรี minibar และช่องชมภาพยนต์ที่รวมอยู่ในค่าห้องเป็นต้น



เสียดายที่ปลั๊กไฟในห้องน้อยไปหน่อย และส่วนใหญ่รับเฉพาะหัวแบบแบนทำให้ชาร์จอุปกรณ์ที่มาขนมากมายของผมไม่ค่อยพอ และดูเหมือนการออกแบบไฟส่องสว่างในห้องพักเน้นเพื่อการพักผ่อนทำให้ไม่สว่างนัก เวลาเปิดคอมพิวเตอร์ทำงานจะรู้สึกไม่ค่อยสบายตา (คงมีนักท่องเที่ยวแบบผมไม่กี่คนหรอกที่มาเปิดคอมพ์ทำงานที่ Hot Spring Resort แบบนี้ อิอิ)

มื้อค่ำวันนี้เราทานกันที่ห้องอาหารของโรงแรม … อาหารเป็นแนวจีนประยุกต์รสชาติอร่อยถูกปากทุกจาน ไม่ว่าจะเป็นไก่กับซอสพริก, ปลาหมึกยัดไส้ผักดอง, ผมออกจะแปลกใจด้วยซ้ำที่ราคาในห้องอาหาร 5 ดาวแบบนี้จานละ 3xx NT เป็นส่วนใหญ่ มีเพียงเมนูหัวปลาในน้ำซุปสูตรพิเศษเท่านั้นที่ราคาพันต้นๆ (แต่ก็จานใหญ่มาก) ที่ประทับใจสุดๆ คือเมนูของหวานปิดท้ายที่ผมนึกว่าเค้าเอาเห็ดหอมมายัดไส้ถั่ว ที่จริงทำจากแป้ง แต่ก็เหมือนของจริงมากๆ … ทั้งนี้การดีไซน์เมนูและหน้าตาอาหารได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ มาจากคอนเซ็ปหลักและชื่อโรงแรมที่หมายถึงพื้นดินหรือพื้นโลกนั่นเอง

DAY 3


เช้าวันรุ่งขึ้นพยากรณ์อากาศแจ้งว่ายังคงมีฝนตกต่อเนื่อง ผมเลยต้องพับแผนไปอุทยาน Shei-Pa อีกครั้ง แต่จะให้ยอมถอยและนอนอยู่กับห้องนั้นไม่มีทาง ไหนๆ ก็ต้องเจอฝนอยู่แล้วก็เลยเลือกไปน้ำตกให้มันชุ่มฉ่ำซะเลย … โดยน้ำตกที่ไปวันนี้ชื่อว่า ซือเฟิ่น (Shifen) ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านซึ่งมีชื่อเดียวกันในเขต New Taipei อยู่ห่างจากไทเปไม่ไกลนัก

ก่อนออกเดินทางก็ทานอาหารเช้ากันก่อน ที่ The Gaia Hot Spring Hotel เสิร์ฟอาหารแบบกึ่ง buffet คือเลือกอาหารจานหลักจากเมนูเสริมด้วยบุฟเฟ่ต์ ทั้งนี้ไลน์บุฟเฟ่ต์ไม่ได้อลังการเหมือนเหล่าซิตี้โฮเต็ลแต่คุณภาพอาหารนั้นสมกับเป็นโรงแรมห้าดาวครับ

หลังมื้อเช้าผมเดินทางด้วยรถของทีมงาน Taiwan Love & Fun มุ่งหน้าสู่ซือเฟิ่น (Shifen) ซึ่งใช้ราวหนึ่งชั่วโมงก็ถึง เป็นอีกเมืองที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ยังคงสมบูรณ์มาก ๆ จะว่าไปก็น่าอิจฉาคนไต้หวันนะครับที่มีแหล่งโอโซนอยู่ใกล้เมืองแค่นิดเดียว


น้ำตกซือเฟิ่น ถือเป็นน้ำตกขนาดค่อนข้างใหญ่จนได้รับสมญญาว่าไนแองการ่าแห่งไต้หวัน … จากที่จอดรถใกล้ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เดินลัดเลาะไปตามแม่น้ำบนเส้นทางที่ทำไว้อย่างดี ใช้เวลาราว 15 นาทีก็ถึงตัวน้ำตกแล้ว แต่สำหรับผมมัวแวะถ่ายภาพอยู่หลายจุดกว่าจะถึงก็ปาเข้าไปเกือบชั่วโมง 555


ระหว่างทางเดินไปน้ำตก มีมุมให้ถ่ายภาพเยอะมาก


ที่ตัวน้ำตกซือเฟิ่นวันนี้น้ำแรงมาก คงเป็นเพราะฝนที่ตกติดต่อกันหลายวันนั่นเอง จุดเด่นของน้ำตกแห่งนี้นอกจากความใหญ่โตของน้ำตกและธรรมชาติรายรอบแล้ว น้ำยังเป็นสีเขียวมรกตสวยงามมาก ในช่วงฤดูที่น้ำไม่แรงเกินไปจะเห็นเป็นสายน้ำไหลผ่านแก่งหินตรงหน้าผา แต่ยามน้ำแรงแบบนี้ปริมาณน้ำนั้นมากมายจนเกือบมองไม่เห็นแก่งหินเลยทีเดียว เลยดูยิ่งใหญ่แฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขามแทน … จุดชมน้ำตกซือเฟิ่นน้ำทำไว้อย่างดีและปลอดภัย สามารถชมน้ำตกได้จากหลายมุม นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องถือร่มไปถ่ายภาพไปคงได้รูปสวยๆ เยอะกว่านี้แน่นอน


ออกจากน้ำตกเราเดินทางต่อไปอีกเล็กน้อยเพื่อเที่ยวหมู่บ้านซือเฟิ่น ซึ่งเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ … ที่นี่มีกิจกรรมการปล่อยโคมลอย (Sky lantern) บนรางรถไฟที่วิ่งผ่านกลางหมู่บ้าน โดยโคมจะตกแต่งด้วยกระดาษหลากสี ผู้ปล่อยโคมสามารถเขียนคำอธิษฐานลงบนโคม โดยแต่ละสีของกระดาษแทนเรื่องที่จะขอแตกต่างกัน อาทิ สีแดงหมายถึงโชค สีชมพูหมายถึงความรัก หรือสีเขียวหมายถึงสุขภาพเป็นต้น ทั้งนี้เราสามารถเลือกโคมไฟแบบผสมสีเพื่อขอหลายๆ เรื่องก็ได้ โดยโคมที่ยิ่งลอยสูงนั้นหมายถึงยิ่งมีโอกาสที่คำอธิษฐานจะเป็นจริงมากขึ้น


กิจกรรมนี้นับว่าได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากทีเดียว ไม่ใช่เฉพาะชาวจีนเท่านั้น ผมเห็นคำขอที่ถูกเขียนมีทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีด้วย

ผมถือโอกาสทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารริมรางรถไฟ โดยเลือกเมนูเป็นเสี่ยวหลงเปา ราคา 120 NTD ต่อเข่งครับ รสชาติอร่อยดีทีเดียว


จากหมู่บ้านผมเดินมาอีกนิดหน่อยเพื่อชมสะพานแขวนซึ่งเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวของเมืองนี้ก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังไทเป



สำหรับเพื่อนๆ ที่จะเดินทางมาที่นี่ หากจะให้สะดวกก็เช่ารถเหมือนกับที่แนะนำไว้ข้างต้น หรืออาจนั่งรถไฟสายผิงซี (Pingxi) มาลงที่สถานี Shifen ก็ได้เช่นกัน จากสถานีจะเดินไปน้ำตกก็ได้แต่ไกลพอสมควร จึงแนะนำให้เช่ารถแท็กซี่ไปเพราะระยะทางนิดเดียวค่ารถแท็กซี่คงไม่เยอะครับ


ก่อนกลับเข้าที่พักเราแวะไปเดินเที่ยวกันที่ MITSUI OUTLET PARK LINKOU ซึ่งอยู่ในเขต New Taipei เป็น Outlet ในร่มมีแบรนด์ต่างๆ ขนสินค้ามาลดราคามากพอสมควร ข้อดีคือไม่ต้องกลัวเปียกฝนเพราะร้านทั้งหมดอยู่ในตัวอาคาร วันที่ผมไปคนค่อนข้างเยอะทีเดียว แอบแปลกใจที่ไม่ค่อยเห็นคนไทย อาจเป็นเพราะ Outlet แห่งนี้ค่อนข้างจะห่างจากสถานีรถไฟก็เป็นได้


ออกจาก outlet ผ่านหน้า Starbucks ที่อยู่ใกล้ๆ อดไม่ได้ที่จะลงไปเก็บภาพ เพราะกำลังบานสวยงามเลย

คืนนี้เราย้ายที่พักกันอีกครั้งไปยังอีกหนึ่งโรงแรม 5 ดาวดั้งเดิมของไต้หวันที่ชื่อ The Sherwood Taipei ตั้งอยู่ย่านการค้าของเมือง …. ความน่าสนใจของโรงแรมนี้อยู่ตรงที่งานจิตรกรรมประดับผนัง ซึ่งสื่อถึงการผสมผสานระหว่างความเป็นตะวันตกและตะวันออก และบ่งบอกถึงค่านิยมของโรงแรมที่ปลูกฝังให้พนักงานรักในงานบริการ จึงไม่แปลกที่โรงแรมแห่งนี้ได้มีโอกาสต้อนรับบุคคลสำคัญระดับโลกมากมายในห้วงเวลาหลายปีที่เปิดให้บริการมา


ห้องพักที่นี่แตกต่างจากโรงแรมในตัวเมืองไทเปทุกแห่งที่ผมเคยพักมา เพราะกว้างขวางมาก แม้ดีไซน์จะไม่ได้ทันสมัยนักเพราะโรงแรมสร้างมานานแล้ว แต่ชดเชยด้วยความสะดวกสบายแลมาตรฐานการบริการ … ถ้าไม่ติดขัดเรื่องงบประมาณ ผมว่าราคาคืนละ 5,xxx NTD ก็สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับจากโรงแรม 5 ดาว


สิ่งอำนวยความสะดวกของโรงแรม


อีกเรื่องที่ประทับใจมากจนต้องมาเล่าคืออาหารมื้อค่ำที่โรงแรมครับ ได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากหัวหน้าเชฟที่เคยรับรองบุคคลสำคัญมาแล้วมากมาย โดยเมนูวันนี้เป็นแบบฟิวชั่นที่ปรับรสชาติให้เข้ากับลิ้นคนไทย ซึ่งแต่ละจานถูกเสิร์ฟอย่างพิถีพิถัน และรสชาติต้องบอกว่าอร่อยล้ำจริงๆ


เสียดายที่ไม่ทราบราคาครับ เพราะดูเหมือนจะเป็นเมนูที่จัดทำให้เป็นพิเศษเพื่อต้อนรับเราเลย … แต่ถ้าอยากมีมื้อพิเศษสักมื้อนึงในไต้หวัน ผมรับประกันว่าไม่ผิดหวังกับที่นี่แน่นอนDAY 4


เช้าวันรุ่งขึ้นผมต้องเดินทางกลับ flight เที่ยงๆ พอมีเวลาเหลือเล็กน้อย จึงไปสำรวจสถานี MRT ใหม่ที่อยู่ติดกับ HSR เถาหวาน ซึ่งทำให้การเดินทางจากสนามบินเถาหยวนเข้าสู่ไทเปนั้นสะดวกขึ้นมาก

ที่เลือกมาตรงสถานี MRT ใกล้สถานีรถไฟความเร็วสูงก็เพราะติดกันกับตัวสถานีเป็น Outlet อีกแห่งนั่นเอง … Outlet แห่งนี้คือ Gloria Outlets มี Brand ต่างๆ ให้เลือกเยอะพอสมควร แต่เนื่องจากไม่ได้เป็นแบบ indoor เลยอาจจะลำบากสักนิดในช่วงวันฝนตกและอากาศหนาวแบบนี้


ออกจาก Outlet ก็ได้เวลาไปสนามบิน ซึ่งก็ไม่ลืมที่จะนำ pocket wifi ไปคืนที่ฝั่งขาเข้าที่อยู่คนละฝั่งในอาคารเดียวกัน … ขากลับของผมวันนี้ยังคงเป็น China airlines เหมือนกับขามา และเครื่องจอดที่ Gate 7 ซึ่งร้านขายพายสับปะรดที่ผมซื้อรอบที่แล้วอยู่หน้า Gate นี้พอดี … รอบนี้นอกจากพายสับปะรดกับขนมเปี้ยใส้เผือกแล้วก็ลองซื้อพายไส้มะม่วงมาลองด้วยอีกอย่างเพราะชิมแล้วอร่อยดี …


ทริปไต้หวันของผมครั้งนี้แม้จะต้องเจอฝนตลอดทริป แต่ก็ทำให้ผมได้สัมผัสกับอีกความเป็นไต้หวัน นั่นคือธรรมชาติที่อยู่ใกล้เมือง อากาศถือว่าเย็นสบายต่างจากรอบที่แล้วซึ่งร้อนไม่แพ้เมืองไทย … หลายคนอาจบ่นว่าไปไต้หวันต้องเสี่ยงกับการเจอฝน แต่ทริปนี้ทำให้รู้ฝนไม่ได้เป็นอุปสรรคใหญ่โตอะไร ขอแค่มีความยืดหยุ่นและไม่ยึดติดกับอะไรเดิมๆ แล้วจะค้นพบว่า “ไต้หวัน" ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมายให้ค้นหา มีเรื่องราวอีกหลายอย่างที่รอให้เราไปสัมผัสเพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ … และทั้งหมดนี้คือบันทึกการท่องเที่ยวไต้หวันครั้งที่สองของ “นายมด" ครับ

นายมด

 วันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 17.07 น.

ความคิดเห็น