ถ้าพูดถึงจังหวัดที่น่าเที่ยวของเมืองไทย เชียงใหม่ต้องติดอันดับต้นๆของใครหลายคนแน่ๆ เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายน่าสนใจเต็มไปหมด ผมเองก็อยากไปมานานแล้วเพราะยังไม่เคยไปเชียงใหม่เลยสักครั้ง พอตัดสินใจได้แล้วว่าจะไปที่ไหนก็เก็บกระเป๋า เตรียมกล้อง ไปกันแบบ โนแพลน โนจอง กันเลย ค่อยไปคิดเอาระหว่างทาง วางแพลนไว้ 4วันครับ

ทริปนี้เราไปเก็บภาพต่างๆ โดยใช้กล้อง Fuji X-T10 (เพิ่งได้มาสดๆร้อนๆเลย) พร้อมกับเลนส์ 18-55 … ถือเป็นทริปเจิมกล้องใหม่กันเลยก็ว่าได้ครับ

ออกเดินทาง : สู่เชียงใหม่

เราได้ตั๋วรอบ 3ทุ่มครับ คำนวณเวลาแล้วน่าจะถึงเชียงใหม่ตอนเช้าพอดี…พร้อมแล้วออกเดินทางกันเลย

ก่อนวันเดินทางเราไปจองตั๋วรถโดยสารไปเชียงใหม่ ของบริษัทนครชัยแอร์ ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิต ราคา (Gold Class ) 538 บาท/ที่นั่ง (สามารถจองตั๋วออนไลน์ล่วงหน้าได้ที่ http://www.nca.co.th )


อยู่บนรถของนครชัยแอร์มีของกินให้เพียบ

รถออกจากหมอชิต 20.55น. ตรงเป๊ะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 9 ชม. ระหว่างทางเป็นไงไม่ต้องพูดถึงครับ หลับตลอดทางตามเคย เก็บแรงไว้ใช้ตอนเช้าครับ


วันแรก : ถึงเชียงใหม่ มุ่งหน้าสู่ดอยอ่างขาง

เราถึงบริษัทนครชัยแอร์ที่เชียงใหม่ (อยู่ติดกันกับสถานีขนส่งอาเขตเชียงใหม่) เวลาประมาณ 6โมงเช้า ฟ้ายังมืดอยู่เลย เข้าห้องน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ให้เรียบร้อย…เตรียมตัวเข้าสู่โหมดเที่ยวเสร็จธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว อย่างแรกที่ต้องทำคือ หาร้านเช่ามอเตอไซต์ ซึ่งจะเป็นพาหนะหลักในการเดินทางของเรา…

จากที่หาข้อมูลผ่านอากู๋ เราก็เจอเว็บของร้าน " Bikky Chiangmai " ร้านอยู่แถวๆอาเขต เลยเซเว่นไปหน่อยเดียว

ที่ร้านมีรถหลายรุ่น หลายราคาให้เลือกเช่า แถมถ้าลงทะเบียนผ่านหน้าเว็บของร้านล่วงหน้า ทางร้านมีส่วนลดให้ด้วย ตามนี้เลยครับ http://www.bikkychiangmai.com

วันที่เราไปนี่คนเยอะมากครับ กว่าจะทำเรื่องเสร็จก็เกือบสายเลย แล้วเราก็ได้ Grand Filano สีขาวคันนี้ ค่าเช่าวันล่ะ 300 บาทเป็นเพื่อนเดินทางของเราในครั้งนี้ครับ

เอาล่ะ ออกเดินทางสู่จุดหมายแรกกัน ที่แรกที่ผมอยากไปนั่นคือ ดอยอ่างขางครับ คุยกับพี่ที่ร้านเช้ามอไซต์ พี่แกบอกว่าไกลไปมั้ย แต่ผมไม่หวั่นอยู่แล้ว…พอเปิด GPS ดูเท่านั้นแหละ แม่เจ้า 157 km … เอาวะ ตั้งใจไว้แล้วก็ต้องไป

เราออกเดินทางจากเชียงใหม่ ประมาณ 8.30 น. ไปตามป้ายบอกทางและเปิด GPS ไปตามเส้นทางเชียงใหม่ – ฝาง ขับไปแวะไป เติมน้ำมันไปรอบนึง ขับไกลเริ่มจะเหนื่อย ขับเรื่อยๆเริ่มท้อ ขับเร็วก็ไม่ได้ มันหนาววว … เห้ย!!อีกไกลป่ะเนี่ยะ ยิ่งขับไปไกลเส้นทางก็ยิ่งโลนลี่ขันเรื่อยๆเลย

ขับมาจนเที่ยงก็ยังไม่ถึงครับ ภูมิอากาศที่นี่ขับมอไซต์ตอนบ่ายงไม่รู้สึกอุ่นเลย ยิ่งขับมาไกลเส้นทางยิ่งโหดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งแคบ ทั้งชัน นี่มันเส้นทางทดสอบฝีมือการขับขี่ชัดๆ!! ขอแนะนำสำหรับใครจะขับมอไซต์หรือแม้แต่รถยนต์มาเส้นทางนี้ ควรใช้ความระมัดระวังอย่างสูงนะครับ และควรมาตอนเช้าหรือกลางวันจะดีกว่า เพราะหากเกิดอุบัติเหตุหรือรถเสียตอนบ่ายหรือเย็นจะหาความช่วยเหลือค่อนข้างยาก เพราะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์แม้แต่ขีดเดียว

ขับมานานเริ่มเมื่อยมากขึ้นเรื่อยๆครับ หลังจากนั้นเราแวะจุดพักรถเป็นว่าเล่นเลย แบบว่าอยากพัก เห็นวิวสวยเป็นต้องจอดถ่ายรูป ใจเย็นกันเกินไปรึเปล่านะเรา

ระหว่างทางมีดอกพญาเสือโคร่งบานอยู่เป็นระยะ ยังบานไม่เยอะเท่าไรแต่ก็สวยดีครับ

ขับตามทางมาเรื่อยๆ เริ่มจะมีหวังว่าคงถึงในเร็วๆนี้เมื่อเราเห็นจุดกางเต็นท์ เลยเข้าไปถามพี่ชายที่จุดกางเต็นท์นั้น พี่เค้าบอกว่าไปอีกนิดเดียว ผมนี่ยิ้มเลย ตรงนี่มีบริการเต้นและเครื่องนอนให้เช่าด้วยนะครับ แต่เราไม่ได้นอนนี้นะ ยังเสียดายอยู่เลย ถ้านอนตรงนี้กลางคืนคงได้ดูดาวสวยๆแน่ๆ

ขับต่อมาอีกนิดเดียว ถึงแล้วครับ "สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง" จุดหมายของเรา

ดูนาฬิกา เวลาตอนนั้นก็เกือบจะบ่ายสามแล้ว หาที่พักกันก่อนดีกว่า …เราได้ที่พักเป็นที่ " บ้านจี๊ดจ๊าด อ่างขาง " ห้องที่เราพักเป็นห้องสำหรับ 2 คน ราคา 1000บาท/คืน พร้อมอาหารเช้าครับ

เก็บของเข้าที่พักแล้ว ล้างหน้าล้างตา นั่งพักกันหน่อย แต่วันนี้ของเรายังไม่จบ …มาเที่ยวทั้งทีจะนั่งเฉยๆให้เสียเวลาทำไมเล่า เที่ยวต่อสิครับ ปะ! สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง

ก่อนเข้าชมสถานีเกษตร ต้องเสียค่าบำรุงสถานี คนล่ะ 50 บาท หากนำรถเข้าต้องเสียค่ารถอีกคันละ 50 บาท งั้นเราเดินดีกว่าเนอะ

ที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขางเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 8.00น. – 18.00น. จ่ายค่าบำรุงสถานีเรียบร้อยเราจะได้บัตรพร้อมแผ่นพับแนะนำสถานีพร้อมแผนที่ภายในสถานีแห่งนี้ครับ

สถานีเกษตรหลวงอ่างขางแห่งนี้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรมให้ชาวบ้านแถบนี้แทนการปลูกฝิ่น ข้อมูลเพิ่มเติมหาได้จากเว็บไซต์ของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง http://www.angkhangstation.com/

เดินเข้ามาภายในสถานีเกษตร ทางเดินด้านหน้าปลูกต้นซากุระที่กำลังออกดอกอย่างสวยงามไว้ต้อนรับผู้ที่มาเที่ยว บรรยากาศนี่นึกว่าอยู่ญี่ปุ่น (ถามว่าเคยไปญี่ปุ่นมั้ย…ไม่ครับ ฮ่าๆ)

หลังจากนั้น โลกแห่งการถ่ายภาพของผมก็กลายเป็นสีชมพูไปชั่วขณะ

ออกจากโลกสีชมพูแป๊บนึง เรามาฝั่งตรงข้ามมีสวนกุหลาบอยู่ครับ เข้าไปดูสักหน่อย

ในนี้มีแต่กุหลาบครับ...ก็แปลงกุหลาบนิ

เดินออกมาทางด้านหลังเราเจอกับแปลงไม้ดอกสวยๆ กว้างๆ มีไม้ดอกหลายชนิด ได้เห็นมีวิวสวยๆของสถานีเกษตรอ่างขางนี้ด้วย


ทุ่งคาโมมายสวยๆ ณ แปลงไม้ดอก

ก่อนเดินออกจากแปลงไม้ดอก ขอถ่ายรูปวิวกว้างเอาไว้หน่อย

กลับเข้าสู่เส้นทางตามแผนที่ เราเดินตามทางมาก็มีดอกบ๊วยบานอยู่ริมทางด้วย

เดินลัดเลาะเข้ามาที่สวนบอนไซ ในนี้มีต้นบอนไซแปลกๆตาเพียบ แต่เราเดินชมในนี้กันแค่แป๊บเดียวครับ

เราออกจากสวนบอนไซ กลับสู่ทางเดินอีกครั้ง ดูท่าแล้วคงต้องเดินอีกไกลเลย แต่ตลอดทางมีนู่น นี่ นั่น ให้เราได้ดูเพลินๆตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ทางเดิน ซากุระ แปลงบ๊วย ทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยครับ

เดินมาอีกนิดเรามาถึงโซนที่เรียกว่า ลานกิจกรรม ซึ่งปกติแล้วเข้าเอาทำกิจกรรมต่างๆนั่นแหละครับ


ในส่วนนี้ จะมีมุมถ่ายรูปกับต้นบ๊วย มีกิจกรรมขี่ล่อ มีเจ้าหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือเรื่องต่างๆด้วยครับ

รอบๆลานกิจกรรมมีอะไรสวยๆให้ถ่ายรูปเยอะครับ ดอกบ๊วยที่กำลังบาน นาข้าวบาร์เลย์ ฯ


เดินมาต่อกันอีกนิดนึงเรามาถึงโซนของ สวน 80 ตรงนี้เป็นสวนดอกไม้หลายชนิด จัดอย่างสวยงาม

ใกล้ๆกันเป็นสวนกุหลาบอังกฤษ

สารภาพตามตรงว่าเข้ามาโซนนี้ผมไม่ได้สนใจกุหลาบเลย สิ่งที่อยู่ด้านหลังมันดึงดูดผมมากกว่า นั่นก็คือแปลงปลูกซากุระ อีกแล้ว

ออกจากสวนกุหลายอังกฤษมา เข้าสู่เส้นทางที่เป็นทางเดินกลับ ระหว่างทางนั้นบรรยากาศและทัศนียภาพยังสวยงามอย่างต่อเนื่องครับ เราก็เลยเดินชิลๆถ่ายรูปตามทางไปเรื่อยๆ


เดินต่อมาอีกเรามาถึงแปลงบ๊วย ที่หลายๆคนที่มาที่นี่ชอบมาถ่ายรูปกัน เลยขอแวะสักหน่อยเผื่อจะได้รูปสวยๆกับเค้าบ้าง

ออกจากแปลงบ๊วยมาเราก็เดินถ่ายรูปตามทางมาเรื่อยๆ เจอลูกพีช ที่กำลังออกผลด้วยครับ

บรรยากาศตามทางเดินก็สวยงาม เดินกันเพลินเลย

เดินทัวร์สถานีเกษตรหลวงอ่างขางจนรอบ เราออกมาก็ 5โมงเย็นกว่าๆ ฟ้าเริ่มจะมืด อากาศเริ่มจะเย็น ก่อนที่จะเย็นไปกว่านี้เรากลับเข้าที่พักไปอาบน้ำกันก่อนดีกว่า

คนที่นี่เค้าบอกกันว่าต้องจำกัดเวลาอาบน้ำสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่คุ้นเคยกับอากาศ ไม่ให้อาบน้ำเกินสองทุ่มครับ เนื่องจากร่างกายอาจจะยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับอากาศเย็นจัดของที่นี่ได้…

หลังจากอาบน้ำ ธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว เราออกมาหาอะไรกินรองท้องกัน อากาศตอนประมาณทุ่มครึ่งหนาวจนต้องใส่เสื้อ 3-4 ชั้น เดินหนาวๆไปหาของกิน ที่นี่มีร้านค้า มากมาย เราเดินไปเจอร้านขายเครื่องดื่มอุ่นๆ มีหลายอย่าง เช่น นมสด ชาเขียว น้ำขิง น้ำเก็กฮวย เราเลยจัดซะหน่อยแก้หนาว

อีกอย่างที่น่าลองคือ ซาโบซ่า เป็นของทานเล่นของคนที่นี่ รสชาติเหมือนๆปอเปี๊ยะทอดครับ แต่น้ำจิ้มจะออกรสเปรี๊ยวหน่อย


เดินไปเดินมา คืนนี้จบที่มาม่า ซะงั้น…ก่อนที่จะเข้านอนเอาแรงเพื่อลุยวันต่อไป


วันที่ 2 : ไร่ชา , ไร่สตรอเบอร์รี่ ก่อนขี่รถเข้าเมือง

เช้าวันต่อมา เราตื่นแต่เช้าเพราะกะว่าจะไปไร่ชา 2000 กับ ไร่สตรอเบอร์รี่แต่เช้า แต่อากาศหนาว 2 องศา ขอไม่ฝ่าลมหนาวไปจะดีกว่า ขอนั่งทานอาหารเช้าของที่พักก่อนค่อยออกไป

หลังจากเช็คเอาท์จากที่พักประมาณ 7.30น. มุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไป ไร่ชาแปลง 2000 อากาศหนาวจนมือชา ถุงมือก็เอาไม่อยู่แล้วครับ

ระหว่างทางไปไร่ชานั้น เราแวะที่จุดกางเต้นท์ และจุดชมวิวบ้านขอบด้ง มีดอกพญาเสือโคร่งบานอยู่ทั้งสองข้างทางสวยงามมากๆ

ตรงนี้มีร้านขายอาหาร ผัก ผลไม้ และสินค้าของชาวบ้านที่นี่ด้วย ใครที่ยังไม่ได้ทานอะไรตอนเช้าก่อนออกมา ก็มาแวะทานอาหารที่นี่ได้ครับ

เราจอดมอเตอร์ไซต์ของเราไว้ตรงร้านอาหารแถวนี้แล้วเดินไปจุดชมวิว เส้นทางเป็นทางเดินเข้าป่าครับ พอเดินมาถึงตรงจุดชมวิวที่เป็นขอบผา ต้องบอกเลยว่าวิวสวยมากๆ เสียดายที่เรามาถึงก็สายแล้ว อดเห็นทะเลหมอกเลย แต่ก็ยังถือว่าสวยมากๆอยู่ครับ

ชมวิวภูเขากับสายหมอกจางๆสักพักเราก็ออกเดินทางกันต่อ ไม่นานเราก็มาถึงจุดหมายแรกของวันนี้ครับ “ไร่ชาแปลง 2000" เป็นแหล่งปลูกและผลิตชาของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ซึ่งพอเรามาถึงทางเข้า มองทางลงไปที่ไรชาแล้วไม่อยากเอารถลงไปเลย บอกตามตรงว่ากลัวรถขึ้นไม่ไหวครับ เลยจอดรถไว้ข้างบนแล้วเดินลงไป

แม้ว่าตอนที่เรามาถึงจะสายแล้ว แต่อากาศและบรรยากาศที่นี่ก็ยังดีมากๆเลยครับ วิวสวยๆของไร่ชา แสงแดดอ่อน ไอหมอกบางๆ ยิ่งมองยิ่งมีความสุข

ผมประทับใจบรรยากาศที่นี่มากเลย ถ้ามีโอกาสอีกคราวหน้าจะต้องมาที่นี่ตอนเช้าให้ได้ คงต้องสวยมากๆแน่เลย

ก่อนกลับออกจากไร่ชา เราได้เห็นการเก็บชาด้วยครับ ใบชาดีอยู่ที่ยอด…เก็บเสร็จแล้วต้องเอาไปอบก่อนถึงจะมาเป็นใบชาที่ใช้ชงดื่มกัน

แดดเริ่มออก จนเราเริ่มอุ่นบ้างแล้ว จากไร่ชาเรายังมีจุดหมาอีกที่ นั่นคือ ไร่สตรอเบอร์รี่ ที่บ้านนอแล

ไร่สตรอเบอร์รี่บ้านนอแล เป็นไร่สตรอเบอร์รี่ที่ปลูกเป็นขั้นบันได ลดหลั่นกันไปตามไหล่เขา ที่ที่เราสามารถเดินชมได้ ถ่ายรูปได้ แต่ห้ามเก็บนะครับ

มาถึงตรงนี้ เดินชมไร่สตรอเบอร์รี่จนอิ่มตา มองดูนาฬิกาก็กำลังจะ 10โมงเช้า … เริ่มอยากจะกลับเข้าเมืองแล้ว เอาล่ะ เตรียมตัวแว้นอีกยาวๆ (ดูจากรูปเสื้อ 3ชั้น กับผ้าพันคอ พร้อมถุงมือ … ขนาดนี้ยังหนาวไมาหาย)

ระหว่างขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไป เราก็ขับไปแวะไปเหมือนเดิมครับ แถวแวะเยอะกว่าเดิมอีก ก็พอได้เก็บภาพระหว่างทางมานิดหน่อยเพราะส่วนใหญ่เป็นการแวะพักรถ พักคน ซะมากกว่า

ขับแบบเอ้อระเหย กว่าจะออกจากเขามาได้ก็เที่ยงพอดีครับ เราแวะที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองเขียว กินข้าวซอยอร่อยๆ

ก่อนจะขับยาวๆกันไปจนถึงเชียงใหม่ ระหว่างนั้นแวะปั๊มเติมน้ำมันกันไปรอบนึง ถึงเชียงใหม่ประมาณบ่าย โมง แล้วเราก็ต้องมาหาที่พักกัน เนื่องจากเราไม่ได้จองที่ไหนไว้เลย ผมเลยสอบถามจากเพื่อนๆที่รู้จักกันที่เคยมาเที่ยวเชียงใหม่ แล้วก็มาได้ห้องนอนที่ โรงแรมแทรเวเลอร์อินท์ แถวๆไนท์บาซ่าครับ คืนล่ะ 480 บาท

เก็บของเข้าที่พัก อาบน้ำกันให้สบายตัว พักต่ออีกหน่อย จนเวลาประมาณ 6โมงเย็น ออกไปขับรถเล่นชมเมืองกันดีกว่า ไหนๆเข้าเมืองเชียงใหม่แล้วก็เลยแวะไปถ่ายรูปที่จุดเช็คอินยอดฮิตกันที่ประตูท่าแพสักหน่อย

เย็นๆเริ่มจะหิวแล้ว เราเลยหาร้านน่านั่งในเชียงใหม่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีร้านนึงที่เราอยากไปครับ ร้านนี้ไง

ร้าน iberry ร้านของนักเดี่ยวไมโครโฟนมือหนึ่งของเมืองไทยที่ผมชอบมากๆ อยู่ถนนนิมมาน ซอย17

ในบริเวณร้านมีมุมสวยๆ ของเจ๋งๆให้ถ่ายรูปเยอะแยะเลย

ขนมก็น่ากิน ไอติมก็น่าลอง

สุดท้ายมาจบที่ฟิชแอนด์ชิปได้ไงเนี่ยะ

ของที่ระลึกน่ารักๆ เกร๋ๆสไตล์เฮียโน๊ต

หลังจากนั้นเราก็หาข้าวกินแถวๆไนท์บาซ่า เดินเล่นกันต่ออีกนิดหน่อยก่อนกลับไปสลบคาหมอนเพราะ เพลียจากการเดินทางมากๆ เป็นอันจบวันแสนสุขไปอีกวัน

วันที่ 3 : เส้นทางเดินป่ากิ่วแม่ปาน, ดอยอินทนนท์, น้ำตกวชิรธาร

เช้าวันต่อมาเราเช็คเอาท์ 7 โมงครึ่ง หาอะไรรองท้องที่เซเว่นตรงข้ามที่พักแล้วออกเดินทางสู่ดอยอินทนนท์ ขับออกจากเชียงใหม่ไปตามเส้นทางไปอำเภอหางดง มีป้ายบอกตลอดทางครับ โชคดีนิดนึงวันที่เราไปตรงกับวันเด็กพอดี ทางอุทยานให้เข้าฟรี 1 วัน ประหยัดไปอีกหน่อย

เข้าเขตอุทยาน เส้นทางเริ่มคดเคี้ยวและสูงชันขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งวันหยุดรถเยอะๆแบบนี้ด้วยยิ่งอันตรายเลย เราเองก็พยายามขับด้วยความระมัดระวังที่สุดล่ะครับ

ขับผ่านความชันมาจนถึงทางเข้ากิ่วแม่ปาน ที่นี่ไฮไลท์จะอยู่ที่เส้นทางเดินป่าสำรวจธรรมชาติ แต่ก่อนจะเข้าไปเราขอแวะถ่ายรูปแถวลาดจอดรถก่อน วิวสวยดีครับ

ยืนกินลมชมวิวกันแถวลานจอดรถสักพักเริ่มจะหิว แถวนี้ก็มีร้านอาหารไว้บริการครับ เราเลยหาอะไรกินกันก่อนที่จะไปเดินป่ากัน

ประมาณเที่ยงครึ่ง เราก็เข้าไปติดต่อเพื่อเข้าไปเดินในกิ่วแม่ปาน ตรงนี้ต้องเสียค่าเข้ากลุ่มล่ะ 200 บาทครับ ใครมากัน 1-2คน จะแชร์กับกลุ่มอื่นก็ได้ไม่ว่ากัน โดยจะมีคนนำทาง 1คน ต่อ 1กลุ่ม

เดินเข้ามาในป่ากิ่วแม่ปาน ไกด์นำทางของเราก็อธิบายนู่นนี่นั่นให้ฟังครับ (แต่จำไม่ได้) ในนี้อุดมสมบูรณ์มาก ต้นไม้ขึ้นหนาแน่น จุดแรกตรงนี้คือป่าเมฆ

ได้เห็นดอกกล้วยไม้รองเท้านารีด้วย ดอกเล็กๆยังโตไม่เต็มที่เลยครับ

เดินต่อมาอีกหน่อย เรามาถึง น้ำตกธารเสด็จ เป็นน้ำตกเล็กๆ ที่ไหลมาตามธารน้ำด้านบน น้ำก็น้อยตามฤดูกาลแหละครับ

แวะชมน้ำตกกันสักพักก็เดินกันต่อ ไกด์ของเราบอกว่ายังต้องเดินอีกไกล ใช้เวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมงครับ

เดินในป่ามาสักพัก กำลังจะบ่นว่าเหนื่อยอยู่แล้ว…แต่พอเดินต่อมาอีกแป๊บนึงผมแทบหายเหนื่อยเลยกับสิ่งที่ได้เห็น

เราเข้าสู่บริเวณของทุ่งหญ้าเมืองหนาว หญ้าสีเหลืองทองพลิ้วเอนไปตามสายลม กับวิวภูเขาที่อยู่ด้านหน้า…สวยจนทำให้หายเหนื่อยจริงๆครับ

เดินกันต่อครับ สู่จุดที่เขาบอกว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่ จุดชมวิวอันสวยงามของกิ่วแม่ปาน จุดที่เราจะได้เห็นภูมิประเทศที่เป็นภูเขาอันสวยงามแบบ 180องศา

มาถึงนี่แล้วก็อยากจะนั่งห้อยขาแบบคนอื่นเค้าบาง แต่ตอนนั้นคนเยอะจนขี้เกียจต่อคิวเลยต้องเปลี่ยนมุมมาตรงนี้แทน (ด้านบน)

ในเมื่อไม่ได้ห้อยขา…เราถ่ายรูปวิวดีกว่า อยากจะบอกว่าผมชอบวิวตรงนี้มากๆ ถ้าใครได้มาเห็นกับตาก็คงจะติดใจเหมือนผมแน่ๆ

ชมวิว ถ่ายรูป ตรงนี้จนจุใจแล้วเราก็ออกเดินกันต่อครับ

เดินต่อมาอีกหน่อย ตรงนี้มีหินก้อนใหญ่ตั้งพิงกันอยู่เรียกกันว่าเป็น หินคู่รัก

นอกจากหินคู่รักแล้วยังมีอกอย่างที่น่าสนใจครับ มันคือต้นกุหลายพันปี ที่กำลังออกดอกสีแดงเต็มต้น

จากตรงนี้เราเดินกันต่อ เดินไปถ่ายรูปไปตามแนวไหล่เขาที่ตีรั้วเป็นทางเดินไว้

เดินมาเรื่อยๆจนถึงอีกจุดนึง เป็นจุดชมวิวพระธาตุ จากตรงนี้เราสามารถมองเห็นพระมหาธาตุเจดีย์นภเมทนีดล และพระมหาธาตุเจดีย์นภพลภูมิสิริ ที่เราขับรถผ่านมา


หลังจากนั้นเราก็ออกจากป่า เป็นอันจบการเดินป่ากิ่วแม่ปาน เหนื่อยเหมือนกันแฮะ…แต่จากตรงนี้ยังมีอีกที่ที่ผมอยากไป นั่นคือจุดสูงสุดแดนสยาม ยอดดอยอินทนนท์ ที่เราต้องขับมอไซต์ขึ้นเขาไปอีกหน่อย

ถึงแล้วครับจุดสูงสุดแดนสยาม

เดินเข้าไปอีกหน่อย เข้าไปไหว้ กู่พระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ 7 จากตรงนั้นมีเส้นทางชมธรรมชาติสั้นๆ นอกจากนั้นบนนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรครับ

เวลา ณ ตอนนั้นกำลังจะ 4 โมงเย็น อากาศก็เริ่มจะเย็นแล้วด้วย ได้เวลาที่เราจะลงจากดอยแล้วครับ ระหว่างทางกลับลงจากดอย เราก็แวะอีกที่นึงที่ น้ำตกวชิรธาร ทางเข้าคดเคี้ยวและแคบ ขับมอเตอร์ไซต์ยิ่งต้องระวังครับโดยเฉพาะเวลามีรถสวนมา

น้ำตกวชิรธาร เป็นน้ำตกที่สูง และสวยงาม น้ำเยอะ เราได้แค่ยืนถ่ายรูปอยู่ไกลๆ เข้าไปใก้กว่านี้ไม่ได้แล้วครับ…เปียก…คนเปียกไม่เท่าไร กลัวกล้องเปียกมากกว่า

ออกจากน้ำตกวชิรธารมา เราก็ขับมอเตอร์ไซต์ยาวๆเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ ไปหาที่พัก ซึ่งวันนั้นตรงกับวันเสาร์หาที่พักยากมากๆเลย ไปที่ไหนที่เพื่อนๆแนะนำมาก็เต็ม วนหลายรอบจนได้ที่นี่ ฆ้องคอร์ท เกสเฮาส์ อยู่ใกล้ๆกับถนนไนท์บาซ่า ราคาเริ้มต้นที่คืนละ 350บาท หลังจากเก็บของ อาบน้ำ ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกไปหาข้าวกิน แล้วก็กลับมานอนเลยครับเพราะใช้พลังงานไปเยอะมากไม่มีแรงออกไปไหนแล้ว เช้าค่อยลุยกันต่อ

วันที่ 4 : วันสุดท้ายของทริป ดอยสุเทพ ขุนช่างเคี่ยน

วันสุดท้ายของทริปเราตื่นสายหน่อย ก่อนออกไปหาข้าวเช้ากิน แล้วเช็คเอาท์ที่พักประมาณ 10 โมง เตรียมเดินทางไปสู่จุดหมายที่เราอยากไปอีกที่นั่นคือ วัดพระธาตุดอยสุเทพวรวิหาร

เราขับมอเตอร์ไซต์ไปตามป้ายบอกทาง และเปิด GPS ขับตามทางมาเรือยๆ แล้วก็มาแวะพักรถที่จุดชมวิวระหว่างทาง ได้เห็นวิวมุมสูงของเมืองเชียงใหม่แบบกว้างๆ

หลังจากพักแป๊บนึงเราขับต่อขึ้นมาจนถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพฯในวันอาทิตย์ที่คนเยอะมากๆ จากข้างล่างนี้เราต้องเดินขึ้นบันไดนาคอีก 306 ขั้นเพื่อขึ้นไปสักการะองค์พระธาตุ (จริงๆก็มีลิฟต์นะ แต่ไม่ขึ้นครับ เดี๋ยวมันไม่ได้อารมณ์ ฮ่าๆ)

ระหว่างทางขึ้น เราหยุดถ่ายรูปเด็กคนนึงครับ พอถ่ายเสร็จกำลังจะเดินไป ผมก็ได้ยินประโยคนึง “ถ่ายรูปแล้วให้เงินหนูด้วย"…. เด็กที่นี่เค้าจริงใจดีแฮะ

กว่าจะเดินขึ้นมาถึงเล่นเอาหอบเหมือนกันแฮะ

ขึ้นมาถึงแล้วเราเข้าไปไหว้องค์พระธาตุกันครับ องค์พระธาตุเป็นเจดีย์สีทองอร่าม บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ภายใน

องค์พระธาตุงดงามมากๆ รวมถึงบริเวณรอบๆก็งดงามเช่นกัน แม้จะเป็นวันที่นักท่องเที่ยวเยอะจนหามุมถ่ายรูปแทบไม่ได้

เดินออกมาด้านนอก จะมีร้านค้าทั้งของกิน ของฝากเยอะแยะครับ

จบจากวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ ตอนแรกก็กะจะกลับเข้าเมืองเตรียมตัวกลับ กทม. ครับ แต่จากตรงนี้อีกไม่ไกลมีเส้นทางไปถึงหมู่บ้านขุนช่างเคี่ยนที่เป็นแหล่งชมดอกพญาเสือโคร่ง ไหนๆก็มาแล้ว เวลาก็ยังเหลือเราเลยไปต่อกัน แต่กว่าจะไปถึงต้องบอกเลยว่าทางโหดมากสำหรับผม…เส้นทางที่ไม่ได้ราบเรียบตลอดทาง เป็นทาง ขึ้น-ลง เขา และค่อนข้างแคบ แถมในวันนั้นรถยังเยอะอีกต่างหาก ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงเลยครับ

ถึงแล้วครับ ขุนช่างเคียน …กว่าจะมาถึงก็กินฝุ่นกันไปเยอะเหมือนกัน รถก็ติด มาถึงคนก็เยอะมากๆ

ที่นี่ดอกนางพญาเสือโคร่งกำลังบานเต็มเลยครับ แต่อย่างที่บอกว่าคนเยอะมากๆ เราเลยเดินไปหาที่คนน้อยๆแล้วค่อยหามุมถ่ายรูปกัน ซึ่งทางด้านหลังก็สวยใช้ได้ครับ

เดินชมดอกพญาเสือโคร่งจนอิ่มตา เราก็หาข้ากินแถวนี้ให้อิ่มท้อง ก่อนจะกลับเข้าเมือง เตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ

ก่อนกลับขอเก็บภาพรอยยิ้มน่ารักๆของเด็กน้อยชาวม้งคนนี้ไว้นิดนึง ถือเป็นการปิดทริปด้วยรอยยิ้ม

และแล้วก็เป็นอันจบทริป ด้วยความประทับใจในทุกๆสถานที่ที่เราได้ไปเยือน ถึงการเดินทางจะไกล ลำบาก หรือเหนื่อยล้า แต่บอกได้เลยว่าทุกที่คุ้มค่าการเดินทางมากๆ เชียงใหม่เป็นเมืองที่น่าเที่ยวจริงสมคำร่ำลือ นอกจากที่ต่างๆที่เราได้มาแล้วก็ยังมีอีกหลายจุดที่เราอยากไปแต่ยังไม่ได้ไป ถ้ามีโอกาสอีกเราต้องกลับมาเยือนเชียงใหม่อีกแน่นอน

ขอบคุณทุกๆคนที่อ่านกระทู้อันยาวเหยียดนี้มาจนถึงตรงนี้ครับ หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่อยากไปเที่ยวในแบบเราได้บ้างนะ

ถ้าอยากพูดคุยหรือสอบถามข้อมูล ก็เข้าไปที่แฟนเพจ www.facebook.com/่journeygallery ได้เลย

ฝากกดไลค์และติดตามกันด้วยนะครับ

ไว้เราได้ไปเที่ยวที่ไหนอีกจะกลับเขียนเล่าให้ได้อ่านกันใหม่นะครับ บ๊ายบาย ^^

Journey Gallery

 วันพฤหัสที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.30 น.

ความคิดเห็น