เคยมองจมูกตัวเองไหม คนเราไม่สามารถมองจมูกตัวเองได้ชัดนัก(ผมเชื่อว่าคุณกำลังมองมันอยู่ : ) จมูกอยู่ตรงนี้แต่เราก็เห็นแค่ลางๆ เหมือนอุทัยธานี อยู่แค่ปลายจมูก แต่หลายคนก็มองข้ามไป
“ 2 วัน 1 คืน เรามาทำความรู้จักกับปลายจมูกของเรากัน "
...อย่าให้ความใกล้ / ไกล วัดคุณค่าความหมายของการเดินทาง...
ผมไม่ได้ควบมอเตอร์ไซค์ออกต่างจังหวัดนานเท่าไหร่แล้วนะ น่าจะปีนึงได้ ผมบ่นกับตัวเอง
ทำไมต้องเป็น ..อุทัยธานี.. ใช่ผมเคยเรียนที่นี่เมื่อตอน ม.2 และผมก็ไม่ได้กลับไปที่นั่นอีกเลยตั้งแต่ เรียนและทำงาน ราวๆ 15 ปีได้
มันคงพอที่จะทำให้ใจเต้นแรงน่าดู เมื่อรู้ว่าเรากำลังจะกลับไปหาอดีต และใจเต้นแรงขึ้นอีกเมื่อรู้ว่าอดีตคงเปลี่ยนไปเป็นอนาคต
มันจะเปลี่ยนไปขนาดไหนกันนะหรือมันอาจไม่เคยเปลี่ยนเลย.. ผมบ่นกับตัวเอง(อีกครั้ง)ผมเก็บสัมภาระและพยายามนอนให้หลับ พรุ่งนี้ผมต้องนั่งไทม์แมชชีนขับเคลื่อนสองล้อไปอุทัยธานี ไม่รู้ว่าไทม์แมชชีนจะพาผมกลับไปหาอดีตหรืออนาคตกันแน่!!! ระหว่างที่ผมคิดผมหลับไปโดยไม่รู้ตัว รอวันพระอาทิตย์ตอกบัตรเข้างาน และตัวผมจะออกเดินทาง..
................................................................
คำพูดที่มักพบบ่อยๆ ในนิยาย เมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึง
เช้าที่อากาศสดใส...
และมันเป็นเช่นนั้น วันอาทิตย์ วันที่ 1 แต่เป็นเดือนที่ 5 และอากาศดีมาก(และร้อนมากด้วย) เพราะมันเป็นตอนเช้า และเป็นวันหยุด//วันที่พนักงานประจำทั้งหลายให้ความสำคัญ
08.00 น. ออกเดินทาง
เราใช้เส้นทาง 345 ไปทางสุพรรณบุรีเพื่อแวะบางปลาม้าทำธุระกัน 30นาที หลังจากทำธุระเสร็จเราเดินทางต่อไปชัยนาทและถึงชัยนาทราวๆเที่ยง สภาพอากาศค่อนข้างร้อนโหดร้าย เราจึงแวะพักกันที่ศาลาถ่ายภาพแรก ของที่แพ็คไว้แน่นหนาไม่สามารถทำให้เราหยิบกล้องมาถ่ายได้สะดวกนัก
และอีกภาพจากกล้องมือถือ นี่คือสภาพของผมหลังจากเจอลมแดด
ก่อนเข้าอุทัยธานีผมขอเล่าประวัติให้ฟังคร่าว ๆ กันก่อน (ซึ่ง copy มาจากวิกิและผมก็อ่านไปหนึ่งรอบเพื่อความรู้)
เมืองอุทัยธานีมีหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์ของกรมศิลปากรยืนยันไว้ว่า เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อประมาณ 3,000 ปี มาแล้ว โดยพบหลักฐานยืนยันในหลายพื้นที่ เช่น โครงกระดูก เครื่องมือหินกะเทาะจากหินกรวด ภาพเขียนสมัยก่อนประวัติศาสตร์บนหน้าผา (เขาปลาร้า) เป็นต้น
ตำนานเก่าเล่าว่า ในสมัยกรุงสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองนั้น ท้าวมหาพรหมได้เข้ามาสร้างเมืองที่บ้านอุทัยเก่า คือ อำเภอหนองฉางในปัจจุบันนี้ แล้วพาคนไทยเข้ามาอยู่ท่ามกลางหมู่บ้านคนมอญและคนกะเหรี่ยง จึงเรียกว่า "เมืองอู่ไทย" ตามกลุ่มหรือที่อยู่ของคนไทยซึ่งพากันตั้งบ้านเรือนอยู่อย่างหนาแน่น มีพืชพันธุ์และอาหารอุดมสมบูรณ์กว่าแห่งอื่น ต่อมากระแสน้ำเปลี่ยนทางเดินและเกิดกันดารน้ำ เมืองอู่ไทยจึงถูกทิ้งร้าง จนในที่สุด พะตะเบิดได้เข้ามาปรับปรุงเมืองอู่ไทย โดยขุดที่เก็บกักน้ำไว้ใกล้เมือง และพะตะเบิดได้เป็นผู้ปกครองเมืองอู่ไทยเป็นคนแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยา
เมืองอู่ไทยต่อมาได้เรียกกันเป็น "เมืองอุไทย" คาดว่าเพี้ยนไปตามสำเนียงชาวพื้นเมืองเดิม ได้มีฐานะเป็นหัวเมืองด่านชั้นนอก มีพระพลสงครามเป็นนายด่านแม่กลอง และพระอินทรเดชเป็นนายด่านหนองหลวง (ปัจจุบันแม่กลองคืออำเภออุ้มผางจังหวัดตาก และหนองหลวงคือตำบลหนองหลวง อำเภออุ้มผาง) คอยดูแลพม่าที่จะยกทัพมาตามเส้นทางชายแดนด่านแม่ละเมา
ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ (พ.ศ. 2148-2163) ได้โปรดเกล้าฯ ให้บัญญัติอำนาจการใช้ตราประจำตำแหน่ง มีบัญชาการตามหัวเมืองนั้น ได้ระบุในกฎหมายเก่าลักษณะพระธรรมนูญว่า "เมืองอุไทยธานี เป็นหัวเมืองขึ้นแก่มหาดไทย"
ในที่สุดเราก็มาถึงตอนบ่ายโมง แดดแรงมากร่างกายล้าไปหมด จากสามแยกไฟแดงเราเลี้ยวขวา ตรงไปจนถึงสนามกีฬาจังหวัด จากนั้นเลี้ยวซ้ายเพื่อขึ้นไปที่วัดสังกัสรัตนคีรีหรือเขาสะแกกรัง (ไม่ได้ถ่ายรูปไว้)
เมื่อขึ้นมาถึงให้มองไปทางขวามือ จะเห็นร้านไอติมกะทิสดอย่ารอช้าให้เดินไปสั่ง ดับร้อนนนนน!! ตอนนี้มีเวลาพักรถพักคนครึ่งชั่วโมงก่อนลงเขาไปตลาดในเมือง
ประวัติของ วัดสังกัสรัตนคีรี
พ.ศ. 2335 - 2342 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้นำพระพุทธรูปขนาดย่อมที่ชำรุดไปไว้ตามหัวเมืองต่างๆ เมืองอุทัยธานีได้รับ 3 องค์ พระพุทธรูป องค์ที่ 1 นำมาประดิษฐานไว้ที่วัดขวิด เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่เป็นพระเนื้อทองสำริด ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 3 ศอก สร้างในสมัยพระเจ้าลิไท ฝีมือช่างสุโขทัยยุค 2 มีส่วนเศียรกับส่วนองค์พระเป็นคนละองค์ เข้าใจว่าคงซ่อมเป็นองค์เดียวกันก่อนนำมาไว้ที่เมืองอุทัยธานี
ต่อมาเมื่อยุบวัดขวิดไปรวมกับวัดทุ่งแก้ว จึงได้ย้ายพระพุทธรูปองค์นี้ไปไว้ที่ วัดสังกัสรัตนคีรี และได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในพระเศียร พร้อมกับถวายนามว่า พระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์สร้างมาแล้วนาน 214 ปี
(ข้อมูล http://place.thai-tour.com/uthaithani/mueanguthaithani/2069)
ภาพวิวบนวัดสังกัสรัตนคีรี ที่สามารถมองเห็นเมืองอุทัยธานีได้อย่างชัดเจน
อีกฝั่งของวัด
เกร็ดความรู้ : วัดนี้ตั้งอยู่บนเขาสะแกกรัง มีทางเดินขั้นบันไดกว่า 449 ขั้น
: ที่นี่เป็นวัดที่มีการจัดงานตักบาตรเทโวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศ
................................................................
เมื่อหายเหนื่อยกันแล้ว เราขับรถลงมาในตัวเมืองต่อทันทีเวลาของเรามีจำกัดเพราะไม่อยากไปถึงบ่อน้ำพุร้อนค่ำ อีกทั้งสภาพร่างกายที่เราบู๊มา ยังไม่ได้ตอบแทนให้กับลำไส้ของเรา
ขณะที่กำลังหาตู้กดเงินสายตาก็เหลือบไปเห็นร้านกาแฟ ที่เราดีใจกว่าการได้กินกาแฟก็คือห้องแอร์ : )
และขณะที่เราหมดแรง เราก็ได้รับกำลังใจจากข้อความของคนแปลกหน้า (ลองสังเกตดี ๆ นะ)
แดดบ่าย2 รุนแรงมากพ่อค้าแม่ค้ากำลังตั้งแผงขายของกันเก็บมาหนึ่งภาพ : )
หลังจากนี้เราเดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อย คิดถึงสมัย ม.2 ที่เรียนที่นี่นึกในใจว่าน่าจะเจอเพื่อนซักคนคงได้มีเรื่องคุยยาว แต่ผมกลับจำหน้าและชื่อของเพื่อนไม่ได้ซักคน ระหว่างนั่งพิมพ์นั่งนึกอะไรไปเรื่อยก็คิดออกชื่อหนึ่งไอ้โชค ไอ้โชคเป็นเพื่อนที่เราปั่นจักรยานไปเรียนกันทุกวัน (โรงเรียนพุทธมงคลวิทยา) มีอยู่ช่วงหนึ่งหลังเลิกเรียนอยู่ดี ๆ มันก็ชวนเราไปแห่สิงโตเราก็คิดว่ามันพูดเล่นที่ไหนได้มันพาไปจริง ๆ ทั้งที่เราก็ไม่เคยแห่มาก่อนมันบอกได้ตังตอนนั้นก็เลยไป แม่เจ้าโว้ยไปถึงกัมพูชาทั้งป้าทั้งยายก็เป็นห่วงเพราะไปตั้ง 3 วัน เดือดร้อนต้องหาเวลาโทรบอกป้ากับยาย แต่ก็สนุกดีจากเขิน ๆ อาย ๆ ก็กลายเป็นตื่นเต้น เข้าให้ตีฉิ่งตีฉับก็ต้องทำ เพราะไปแล้ว แถมได้นอนบนรถบรรทุกของคณะด้วย(ซึ่งปูด้วยลังกระดาษ) สนุก เหนื่อย และกลัว แต่เป็นประสบการณ์ความลำบากครั้งแรก ไอ้โชค!! ขอบใจเอ็งมาก T T
ระหว่างที่เราใกล้จะหมดแรง เราใช้แรงฮึดลูกสุดท้ายสู้กับแดดบ่ายสองอย่างบ้าคลั่งเพื่อถ่ายรูปเก็บเป็นความทรงจำ
วัดอุโปสถาราม เดิมชื่อ "วัดโบสถ์ มโนรมย์" ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำสะแกกรัง ฝั่งตรงข้ามกับตลาดสดเทศบาลเมืองอุทัยธานี เข้าใจว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ประมาณปี พ.ศ. 2324 บ้างชาวบ้านนิยมเรียกวัดนี้สั้น ๆ ว่า "วัดโบสถ์" วัดอุโปสถารามได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2325
(ข้อมูล http://www.onep.go.th/cultural_environment/viewpage.php?mode=274 )
ก่อนกลับขออีกหน่อย ฟึ๊บบๆ!! (เสียงรัวของชัตเตอร์)
หลังสิ้นเสียงของชัตเตอร์ถึงเวลาที่เราจะมาฟังเสียงของเครื่องยนต์กันอีกครั้งหลังจากที่วันนี้เราได้ยินมาทั้งวันแล้ว(เสียงท้องร้องก็ไม่น้อยหน้ามันกำลังจะบอกว่ารีบถึงที่หมายและหาอะไรยัดลงไปให้มันหน่อย) จุดมุ่งหมายต่อไปคือการไปน้ำพุร้อนบ้านสมอทอง(ต.ทองหลาง อ.ห้วยคต จ.อุทัยธานี ) เราขับกันตามGPS ซึ่งติดอยู่ที่ปากเรา ขับไปถามไป บ้างก็ไม่ถามจนมาถึงตรงนี้เราเพิ่งรู้ว่าขับเลยทางเข้ามากว่า10กิโล ขอบคุณพี่ร้านกาแฟด้วยนะครับที่บอกทางเรา : )
จอดถามรอบไหนก็ถ่ายรูปไปในตัวด้วย กว่าจะถอดหมวกถอดโหม่ง ไหนจะถุงมืออีก นี่แหละวิถีไบเกอร์(จอมขี้เกียจ)
17.20 น. / ในที่สุดพวกเราก็มาถึง ผมจำความรู้สึกตอนขับเข้ามาได้ มันเหมือนได้แชมป์แรลลี่ดาการ์ยังไงยังงั้นดีใจมากทั้งหิวทั้งเหนื่อย (ซึ่งมันเป็นการขับทางไกลครั้งแรกของผมด้วยและดันมาห้าวขับช่วงแดดเที่ยงแดดบ่าย)
ขอบคุณธรรมชาติและแสงอาทิตย์ที่ต้อนรับเราด้วยแสงยามเย็นสวย ๆ หายเหนื่อยไปนิดนึงแต่ก็ยังหิวอยู่ดี ติดต่อห้องพักกันเรียบร้อยในราคาแปดร้อย(ยังคงราคาเดิมที่ดูมาจากในเว็ป) นอนกัน 2 คนคนละ400ถือว่าโอเคเลยครับ แอร์เย็น ทีวีดูได้ แต่ช่วงฝนตกหนักๆ จะดูได้แค่บางช่อง
หลังจากเอาของโยนๆ ล้างตัวล้างหน้าผมเดินไปเช่าจักรยานคันล่ะ 20 บาทเพื่อเอาไว้ปั่นถ่ายรูป แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่ลืมไม่ได้เลยเพราะมันร้องเตือนตลอดก็คือการหาอะไรหนักๆ ใส่ท้องโดยด่วน “ ป้าพริกแกงหมูกรอบจานนึง " เสียงผัดดังโฉ้งเฉ้งๆ ไม่เกิน 5 นาทีผมก็ได้กิน และไม่เกิน 5 นาทีมันก็หายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กระดกน้ำอัดลมเฮือกใหญ่ให้เสียด/แสบ/บาดคอกันหน่อยก่อนตะลุยเฮือกสุดท้ายรอบ ๆ น้ำพุร้อนบ้านสมอทอง ตอนนี้ฟรีสไตล์แล้ว / ปั่นจักรยานถ่ายรูปอย่างเดียว ระหว่างนั้นก็คิดถึงคน ๆ หนึ่งตอนนี้เขาไปเที่ยวญี่ปุ่น บรรยากาศเอยลมเอยมันเป็นใจให้เหงาเสียดท้องเสียจริง ๆ
จ้างไกด์ส่วนตัว
ยัง ยังอีก ยังไม่หมดแรงก็ปั่นไปถ่ายไป
ทางเข้า น้ำพุร้อนบ้านสมอทอง
มาเห็นแผนที่ตกใจมาก ทำไมเราไม่เข้าทางด่านช้าง ไปอ้อมซะไกลถึง อ.วัดสิงห์
ชีวิตต้องพูดคุยกับความสงบมากกว่าสิ่งเร้า
ตอนมาก็อยู่ท่านี้ ตอนจะกลับห้องพักก็อยู่ท่านี้ไม่เมื่อยบ้างหรอถามจริง (ท่าจะบ้า..นะ ไอ้คนพิมพ์)
แหนะ!!มีเล่นกล้อง อิจฉาน้อง ๆ ที่นี่ตื่นมาก็เจอธรรมชาติ เจออากาศดี ๆ มีป่าเขียวขจี ไม่มีมลพิษ
เป็นทาสธรรมชาติ
เป็นทาสความเจริญ
เป็นทาสใครเหนื่อยน้อยกว่ากัน
สิ่งที่มีอยู่ก่อนหน้า
หรือ
สิ่งที่กำลังดิ้นรน
ขับรถก็เหนื่อย ปั่นจักรยานก็ล้า ถึงเวลาที่ต้องมาหาป้า ให้สกัดจุดคลายเส้นกันซักหน่อย คอร์สล่ะ1ชั่วโมง(200บาท) ก็ยังไปต่อเขาเพื่อประหยัดเงินในกระเป๋า คุณป้าก็ใจดีเรียบเรียงวิทยายุทธ์สกัดจุดกันใหม่ให้หายปวดภายในครึ่งชั่วโมง100 บาท นวดไปพูดคุยกันไป ป้าบอกว่าถ้ามีคนมานวดก็นวดได้เรื่อยๆ คนเงียบหรือไม่มีป้าก็กลับเร็วหน่อย แล้วเราอะเป็นอะไรอายุอานามเท่านี้ปวดหลังแล้วรึยังวัยรุ่นอยู่เลย / ไม่ค่อยได้ขับรถไกลๆน่ะครับป้า อ๊าก อ๊า โอ้ยๆ แขนป้าแขนผม
“ ดัดหน่อยให้เส้นมันคลาย "
อ๊ากกกก! : (
เดินกลับห้องพักด้วยสภาพร่างกายที่ดีขึ้น นึกในใจทำไมไม่นวดชั่วโมงนึง ป่านี้หลับสบายไปแล้ว ก่อนกลับขออนุญาตถ่ายรูปคุณป้าไว้หนึ่งรูปแต่ดันลืมถามชื่อ : )
กินข้าว เตรียมนอนเพื่อภารกิจสุดท้ายของวันพรุ่งนี้ เลื่อนช่องทีวีไปเรื่อย ดูอะไรไปเรื่อยแต่ได้ไม่นาน ตอนนี้ผมเริ่มต่อสู้กับหนังตาตัวเองไม่ไหวแล้ว ยื้อยุดฉุดกระฉากกันอยู่นาน สุดท้ายผมก็ต้องยอมแพ้และหลับไป ปล่อยให้ดวงจันทร์เฝ้ายาม และลมร้อนเดินไปมาตรวจตรารอบๆ ห้อง เสียงใบไม้ใบหญ้าเสียดสีเป็นดนตรีกล่อม หัวใจเต้นเป็นกลองทำนองเนิบช้า และผู้ชมคงเป็นการหลับใหล รอเช้าวันต่อไปให้ไก่ให้นกปลุก..
08.00 น. เอ๊กอี๊เอ๊ก เจี๊ยบๆ จิ๊บๆ
..เวลาไปเที่ยวควรกลับตอนที่ยังไม่อยากกลับ นั่นแหละจะทำให้ความรู้สึกดีๆ ยังคงอยู่ และจะทำให้เราถวิลหาเมื่อหลับตานึกถึง..(จำมาจากหนังสือ^^)
ดื่มกาแฟ รับบรรยากาศสุดท้ายของที่นี่ อากาศตอนเช้ายังคงเย็น ๆ มีเสียงนก มีเสียงลม มองไปทางไหนก็สบายตา เพราะโดยรอบเกือบจะถูกโอบกอดด้วยภูเขา ที่นี่ตอนกลางคืนไม่มีการเปิดเพลง ไม่มีเสียงดังรบกวนคนอื่น ไม่มีเสียงกีต้าร์ ไม่มีการตะโกนโวยวายแหกปาก ทุกคนเข้าใจตรงกันว่าเรามาพักผ่อน มาหาความสงบ และนั่นทำให้การอยากกลับมาที่นี่พร้อมกับครอบครัวอยู่ในหัวผม
การมาเที่ยวแต่ละที่ของผมมาอย่างหลวม ๆ แค่อยากไปไหนจดไหว้พร้อมกับปริ๊นเส้นทางคร่าว ๆ เราสนุกกับการจอดถามได้คุยกับคนแปลกหน้า คนท้องถิ่น ผมไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่านักท่องเที่ยวหรือนักเดินทางหรืออะไรก็ตามแต่ ความหมายสำหรับผม มันคือการเปลี่ยนที่นอน มันคือการหลบตัวเองเพียงเพื่อจะมาฟังเสียงธรรมชาติที่ชัดเจนขึ้น มันคือการพักผ่อนอย่างจริงจังหลังจากที่เราต้องทำงานมาเหนื่อย เราแค่อยากหลบจากเสียงความวุ่นวายในเมือง การเดินทางการเห็นธรรมชาติมันคือการที่เราได้ทิ้งทุกอย่างลงไปอย่างเงียบๆ(โดยไม่รู้ตัว) ตอนนั้นแหละที่เรื่องวุ่นวายมันแอบหลบซ่อนตัวอยู่หลังสมองเรา เราแค่จดจ่อและตื่นเต้นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เราอยู่กับตรงนั้น ซึ่งมันดีมากๆ จะวันเดียวหรือสองวัน ซึ่งนั่นแหละมันเป็นช่วงที่สมองกำลังฟื้นตัว และเราจะรู้สึกดี ขณะที่เรานั่งทำงานและได้นึกถึงการเดินทางครั้งต่อๆ ไป หรือครั้งที่ผ่านมาแล้ว (เสียงธรรมชาติอยู่ในหัวเราและมันทำให้เราสงบ)
ที่เพ้อเจ้อมาทั้งหมดนี่ยังไม่จบนะ
08.35 น.
เตรียมตัวออกเดินทางต่อไปยัง โรงเรียนบ้านโกรกลึก ต.น้ำรอบ อ.ลานสัก อุทัยธานี เพื่อไปหาน้องคนหนึ่งที่เราเตรียมเสื้อผ้ามาให้
ไม่แน่ใจว่าเป็นต้นสักหรือป่าว เพราะตอนนี้เราอยู่ที่อำเภอลานสักแล้ว รถไม่ค่อยเยอะ สองข้างทางร่มรื่นเงียบสงบ ตอนนี้เกือบจะสิบโมงแล้วอากาศเริ่มร้อนไม่มีต้นไม้นี่แย่เลยนะชาวไบค์เกอร์
เราขับมาจนถึงวัดโกรกลึกเพื่อเอาข้าวให้หมา (ปลากระป๋อง2กระป๋องกับข้าวอีก20บาทที่ซื้อมาจากร้านค้าที่น้ำพุร้อนบ้านสมอทอง) ส่วนพี่อ้นพี่ที่มากับผมนำหนังสือสวดมนต์ไปมอบให้หลวงพ่อ
หลังจากนั้นเราขับย้อนไปอีก100เมตรเพื่อเข้าไปโรงเรียนบ้านโกรกลึกเพื่อถามทางไปบ้านน้องเตชิต พี่ช่างซ่อมในโรงเรียนรู้ว่าพวกเราไปไม่ถูกแน่ๆ จึงอาสาขับนำทางไป จนถึงบ้านน้องซึ่งไม่ไกลจากโรงเรียนบ้านโกรกลึกมาก
“ มนุษย์ทำงานเกือบตัวเป็นเกลียว
เพื่อหวังให้ชีวิตมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
บางคนทำเพื่อนตัวเอง บางคนทำเพื่อคนอื่น
บางคนทำเพื่อทั้งสองอย่าง
บางคนเป็นนักสะสมความเครียด
บางคนมีความสุข จนเบื่อหน่าย
หรือบางคนก็มีความทุกข์ จนเป็นปกติสุข
แต่..
ทุกคนล้วนมีความหวังเล็กๆ ซ่อนอยู่ "
11.30 น. / บ้านหลังเล็กในไร่มันสำปะหลัง
ผมเจอน้องคนหนึ่งในเฟสบุ๊คซึ่งมีคนโพสต์ไว้ซึ่งไม่ไกลกับสถานที่เที่ยวที่ผมกำลังจะไปพักผ่อนพอดี อ่านจากคนโพสต์ได้ความว่าน้องมีความลำบาก พ่อแม่ไม่สมประกอบ อาศัยที่เขาอยู่ กินและใช้น้ำจากสระที่ไหลมาจากไร่มันสำปะหลัง พี่ชายทำงานในเมืองและพ่อจะคอยปั่นจักรยานไปรับตรงทาง3แยกผมไม่รู้ว่าแยกอะไร รู้แต่ว่ามัน10กว่ากิโล ส่วนตัวน้องก็เรียนด้วยและรับจ้างทั่วไปด้วย ผมจึงคุยกับพี่ว่าเราจะไปเที่ยวด้วยและเอาเสื้อผ้าให้น้องคนนี้กันด้วย ข้อมูลที่เรามีเกี่ยวกับน้องก็คือน้องเรียนที่ รร.บ้านโกรกลึก (มีแค่นี้จริงๆ แต่เราก็มาจนถึงบ้านน้องจนได้..จากGPS ที่ปาก)
ตอนนี้เรามาอยู่ที่บ้านน้องแล้ว แต่ไม่มีใครอยู่ พี่ช่างซ่อมเดิมหารอบบ้าน เดินไปที่คลองก็ไม่เจอ พี่ช่างซ่อมก็โทรประสานงานติดต่อถามคนนั้นคนนี้ให้เรา เราเลยบอกว่าไม่เป็นไรครับเดี๋ยวเอาของวางไว้ตรงที่นอนน้อง พร้อมเหน็บเงิน200บาทใส่ไปในถุงเสื้อผ้า พร้อมหนังสือที่ผมเตรียมมาอีกหนึ่งเล่ม (ด้านในมีข้อความบางอย่างที่ผมเขียนไว้ให้น้อง) ในขณะที่ผมคิดว่าตัวเองเหนื่อยและลำบากจากหลายๆ เรื่อง ในวันนี้ความเหนื่อยและลำบากมันอาจไม่ได้เสี้ยวของน้องคนนี้เลย ผมมีห้องที่มีที่นอนที่เกือบนุ่ม มีหมอนนิ่มๆหนุน(พร้อมหมอนข้าง) มีเงินซื้อน้ำสะอาดๆดื่ม มีเกือบทุกอย่างเท่าที่มนุษย์จนๆ คนหนึ่งจะพอหาได้ เพื่ออยู่ในสังคมที่โคตรสมมุติกันขึ้นมา
“ เราอยู่บนโลกที่มีแต่ปัญหาและไร้ซึ่งฮีโร่ที่จะออกมาพร้อมกับดนตรีอลังการ
เราเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน "
(หากทำได้..)
01/05/59
ขณะที่ขับรถออกมาผมเจอแม่ของน้องซึ่งกำลังแบกฟืนมาพอดี
ผมยิ้มให้ แต่เขาคงไม่เห็น(รอยยิ้ม)เพราะผมใส่หมวกกันน็อกอยู่
: )
ROAD MOVIE
วันพฤหัสที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 19.21 น.