“ เวลาของมนุษย์ไม่เคยพอ สำหรับการเดินทาง "

การตื่นสายและออกจากห้องหกโมงกว่าๆคือหายนะโดยแท้ในเมืองกรุง ผมเริ่มต้นด้วยการนั่งรถตู้จากมีนบุรีลง กม.6ต่อแท็กซี่ แต่เห็นที่จะไม่ทันเพราะเส้นรามอินทรารถติดหนักมากๆ ผมลง กม.4และต่อวินมอไซด์เพื่อไปสนามบินดอนเมือง เพื่อนสาวโทรจิกไม่ขาดสาย ผมกังวลจนเหงื่อไหล คิดในใจว่าไม่ทันแน่ ต้องถึงสนามบินในสิบห้านาที แต่ยังเหมือนพอมีหวังพี่วินมอไซด์ขับเหมือนรู้ใจว่าผมรีบ ลัดเลาะไปตามทางเท่าที่ช่องว่างจะเอื้ออำนวย ถึงจะเป็นเช้าที่อากาศสดใสแต่ไม่สามารถหยุดเหงื่อที่ไหลเพราะใจร้อนรน



เป๊ะ..!! ทันเวลาเป๊ะ ผมวิ่งอย่างเดียวเลยตอนนั้นเพราะมันยังทัน (ค่าเสียหาย270บวกค่าทิปยี่สิบบาท-ผมถือว่าไม่แพงดีกว่าอดเที่ยวแถมอาจจะโดนเธอด่าอีกเป็นชุด) ขอบคุณพี่วินมากครับไม่มีพี่ผมอดเที่ยวแน่ ที่ GATEคนกำลังต่อแถวเพื่อเดินขึ้นเครื่องพอดี เธอยังคงบ่นอยู่ข้างๆ



และแล้วผมก็ได้มีโอกาสมาเที่ยวอีกครั้ง เป็นที่ที่ผมยังไม่เคยมาซักครั้ง นี่เป็นการนั่งเครื่องบินครั้งที่สองของผมยังคงมีความหวาดเสียว ตื่นเต้น และสนุกเหมือนครั้งแรก เพียงแต่ไม่มากเท่า...และครั้งนี้มีเธอมาด้วย



นกยักษ์พวยพุ่งแหวกอากาศออกจากรันเวย์ ผู้คน รถยนต์ บ้านเรือนและตึกที่ว่าใหญ่ค่อยๆเล็กลงและจางหายไปเพราะถูก Dissolve ด้วยก้อนเมฆ



ตอนนี้ผมอยากให้ถึงเชียงรายเร็วๆแล้ว เค้าบอกว่าถ้าอยากถึงเร็วคงไกลหน่อย แต่ถ้าไม่รีบร้อนเดี๋ยวเดียวก็ถึง



เราถามราคาแท็กซี่เพื่อเหมาไปบ้านเพื่อน(บ้านดู่)ในราคาสองร้อยบาทซึ่งถือว่าค่อนข้างแพง เพราะมันไม่ค่อยไกลจากสนามบิน เราเก็บของเข้าบ้านเพื่อน ที่พักของคืนนี้ ก่อนแวะกินข้าวซอยที่ร้านนางแล นี่เป็นข้าวซอยจริงๆจังๆเลยก็ว่าได้หลังจากเคยกินที่ราม1เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ซึ่งผมลืมรสชาติไปสนิทจ้าว



อิ่มท้องแล้วก็มุ่งสู่ดอยตุง ที่แรกที่เราแวะถ่ายรูปก็คือจุดชมวิว กม.12



หลังจากนั้นเราเดินทางไปต่อที่พระตำหนักดอยตุง เราเลือกชมสวนแม่ฟ้าหลวงสนนราคาอยู่ที่ 90บาท/คน แต่จุดประสงค์หลักของเราคือ Doi Tung Tree Top Walk สะพานบนยอดไม้ กิจกรรมใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนสิงหานี้เอง 150บาท/คน เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนเรือนยอดไม้ที่ความสูง10-20 เมตร เราได้รอบบ่ายโมงร้อนหน่อยแต่ผมว่าสนุกดีนะ ได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างแท้จริงในมุม 360 องศา



สามสิบถึงสี่สิบนาทีผ่านไปสำหรับกิจกรรม พักเหนื่อยด้วยกาแฟและบรรยากาศดอยตุง



ข้าพเจ้ากำลังเป็นเศรษฐีอารมณ์



มูฟไปดอยช้างมูบ ถ่ายรูปชายแดนไทย – เมียนมา (จบทริป Day 1)



(Day 2)



วันที่สองตื่นแต่เช้าตรู่หลังไก่ขันนิดหน่อย อาบน้ำแต่งตัวง่ายๆ ก่อนหาร้านเช่ามอไซด์เตรียมขึ้นดอย เมื่อถึงร้านเช่ามอไซด์จำชื่อร้านไม่ได้ แต่ที่จำได้แม่นคือค่ามัดจำห้าพันบาท ใช่ครับฟังไม่ผิดหรอก เข้าไปจะเจอ Honda 500X จอดอยู่7-8คัน ร้านอยู่ตรงแยกหอนาฬิกาเลี้ยวไปทางซอยเจ็ดยอด ราคาเช่าเวฟ110 I อยู่ที่สองร้อยบาท/วัน เดินผ่านเวฟไปถามราคาค่าเช่า Honda 500X



“ คุณน้าครับ Honda 500X เช่าวันละเท่าไหร่ครับ " คุณน้าตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ พันห้าร้อยบาทจ๊ะ "



เราหยิบหมวกก่อนเดินไปง้อเวฟ บิดกุญแจและสตาร์ทเท้าด้วยความมั่นใจก่อนมีเสียงตะโกนจากช่างว่า “ มีสตาร์ทมือนะ "แหม่..เขิลจังเลย บิดคันเร่งเหนียมอายออกไปอย่างช้าๆ



ก่อนเดินทางเราแวะกินอาหารเช้าที่ร้านปังปอนด์ ก็กระเพาะเราเริ่มประท้วงตั้งแต่ตื่นนอนแล้ว


ไข่กระทะ 40 บาท / ฮอทดอก+ผัก 15 บาท



ร้านปังปอนด์ : อยู่บริเวณแยกโรงเรียนสามัคคี ถนนสนามบินเก่า



เก้าโมงเช้าไม่หนาวไม่ร้อน ออกเดินทางไปยังดอยช้าง หัวใจตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับลูกบอลลูนที่มันค่อยๆพองโตและลอยขึ้นไปบนความเบิกบานของอากาศแห่งความสุข ในวันศุกร์ที่รถไม่ชุกเหมือนเมืองกรุง หนุ่มสาวสองคนกำลังหนีความวุ่นวายไปดอย..



ให้เพื่อนสาวขับบ้าง



ขับจนมาถึงอ่างเก็บน้ำห้วยส้านพลับพลาซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำสาธารณะของหมู่บ้าน ต.โปร่งแพร่ อ.แม่ลาว นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะขับผ่านถนนน้ำ ถ้าไม่นับน้ำท่วมที่กรุงเทพฯนะ : )



ผมขับวนอยู่สามรอบเพื่อให้เธอถ่ายรูป



ใจจริงนี่อยากแก้ผ้าเล่นน้ำแบบตอนเด็กๆมาก ถ้าไม่ติดว่ามีรถผ่านไปมา



จำอารมณ์ตอนนั้นไม่ได้จริงๆ มันคงเป็นความสุขแบบเงียบๆไม่ต้องพูด สื่อสารกับความสุขผ่านทางสายตาอย่างเดียว



เมื่อมองผ่านเลนส์จนพอใจก็ถึงเวลาวางกล้องลงบ้าง ให้สายตาได้สัมผัสกับความงามที่แท้จริง



ผมยืนอยู่เงียบๆ กับความงามอีกซักครู่



เติมพลังชีวิตที่อ่างเก็บน้ำห้วยส้านพลับพลากันจนพอใจ เราออกก็เดินทางกันต่อ เส้นทางมีทั้งขึ้นและลงเขาซึ่งชันมาก แต่ยังดีที่เป็นทางปูน เกียร์หนึ่งและสองถูกใช้ตลอดเส้นทาง ข้อดีของมอไซด์อีกอย่างคือมันสามารถจอดถ่ายตรงไหนก็ได้ เพราะยิ่งขับขึ้นดอยถนนจะแคบและชันมาก



ขับรถอยู่เกือบสองชั่วโมงเราพักรถที่ร้านค้าในหมู่บ้านห้วยส้าน (เพราะเครื่องร้อนมาก) กินไอติมแท่งละห้าบาทดับร้อนคนไปด้วย เพราะตลอดระยะทางมีทั้งหนาวทั้งร้อนและครึ้มฝนสลับกันไปมาจนลืมฤดูปัจจุบัน



พักรถพักคนเสร็จก็ออกเดินทางต่อ ระหว่างทางก็ขับไปจอดไป ถ่ายรูปไป เพราะวิวสวยตลอดทั้งเส้นทาง



' มีทั้งเขาและ...เรา '



หนึ่งชั่วโมงผ่านไป



เราก็อยู่ในหมู่บ้านดอยช้าง แต่ยังไม่ได้หาที่พัก “ ความสุขไม่ควรเอาไปวัดกับเข็มนาฬิกา "



… แต่ถ้ายังลีลาอาจหาที่พักไม่ได้



เมื่อหาที่พักในหมู่บ้านดอยช้างไม่ได้ เราจึงตัดสินใจไปพักที่กระเหรี่ยงเฮ้าส์ที่เพื่อนแนะนำมา พิกัดอยู่ที่อยู่ที่หมู่บ้านทุ่งพร้าวห่างจากดอยช้างราว 22กิโลเมตร ใช้เส้นทางวาวี-ห้วยไคร้



รูปแผนที่ก็อปจากในเน็ตมาให้



เส้นทางที่ไม่คุ้นชินทำให้เราต้องคอยจอดถามทางบ่อยๆ และโชคดีมากที่เราไปถามคุณลุงที่ขับรถประจำทาง ซึ่งแกจะไปทางนั้นพอดี แกเลยช่วยนำทางให้เราก่อนจะแยกกันตรงหมู่บ้านห้วยไคร้ ขอบคุณครับคุณลุง : )



เส้นทางวาวี-ห้วยไคร้เป็นเส้นทางที่เราจอดบ่อยเหลือเกิน จอดทุกๆหนึ่งกิโลเมตรเลยมั้ง วิวสวยมากมองไปทางไหนก็มีแค่สีเขียวตัดกับสีฟ้า แทบจะถูกโอบกอดด้วยภูเขาและท้องฟ้าตลอดเส้นทาง เจอป่าแบบนี้ยิ่งไม่อยากกลับไปเจอป่าคอนกรีตเลย



ขับลงมาถึงแยกก็เริ่มหิวแวะกินลูกชิ้นร้านข้างทางอยู่ตรงข้ามโรงเรียนบ้านห้วยไคร้ หนึ่งอิ่มยี่สิบบาท(ลูกชิ้น4ไม้) อิ่มกันทั้งสองท้อง



ข้าวโพดตากแห้งสำหรับให้อาหารสัตว์ เกือบหยิบมากิน



ขับชิวมาเรื่อยๆในที่สุดก็ถึงที่พัก / ติดต่อที่พักตรงนี้



น้าหมูคนดูแลกะเหรี่ยงเฮ้าส์ ผู้ที่มีรอยยิ้มตลอดเวลา ยิ้มผ่านทางสายตาและอารมณ์ น้าหมูดูแลเราดีมากจนเสมือนเราเป็นญาติคนหนึ่งเลย หาน้ำมาให้ปอกสับปะรดกับแก้วมังกรมาให้เราอีก



นั่งคุยกับน้าหมูอยู่นานก็ไปดูที่พัก เดินไปไม่ถึงสิบก้าวก็ถึง ที่นี่มีห้องพักอยู่เจ็ดห้อง ราคาห้องละสี่ร้อยบาท ไม่รวมค่าอาหาร น้าหมูยังเล่าให้ฟังอีกว่าหน้าหนาวห้องพักจะเต็มทุกห้อง ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติที่มาพัก ถ้าห้องเต็มก็สามารถกางเต้นท์นอนได้ถ้าเอาเต้นท์มาเองคิด 150บาท/คืน ถ้าจะเช่าเต้นท์คิดเพิ่ม 200บาท



นี่เป็นห้องของเฮเลน (แหม่มเมกา) อาสาสมัครที่มาสอนหนังสือให้เด็กในหมู่บ้าน เพื่อนห้องข้างๆเรานี่เอง



น้าหมูยังบอกอีกว่าห้องพักที่นี่เงียบสงบมาก เหมาะสำหรับคนที่ต้องการมาพักผ่อนจริงๆ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการอยู่กับตัวเองสัมผัสกับธรรมชาติจนถึงแก่นแท้ ไม่มีทั้ง wifi ไม่มีแอร์และตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่นก็เป็นแบบใช้แก๊ส ต้องเดินออกไปเปิดปิดจากข้างนอกห้อง อยู่ที่นี่คุณจะสนิทและหลงรักกับธรรมชาติอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นสิ่งเดียวที่คุณจะเห็นและอยู่รอบๆตัวคุณ แต่วันนี้ผมหลงรักอยู่สองอย่างทั้งธรรมชาติและ...



หลังจากชาจแบตคนไปกับที่นอนนุ่มๆเกือบยี่สิบนาที เราล้างหน้าก่อนออกไปหาร้านค้าเพื่อซื้อสบู่และยาสระผม ขับไปทางแม่สรวยกว่าสิบกิโลเมตรก็ยังไม่เจอซักร้าน เจอแต่ภูเขาและวิวถ่ายรูป รวมทั้งควายที่ร้องเสียงแปลกๆ



เราขับรถวนกลับมาทางที่พักและตรงไปอีกหนึ่งกิโลเมตรก็เจอร้านค้าตั้งสองร้านแหนะ!! : ( เราเข้าร้านที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนี้ ซื้อของที่ต้องการและขนมติดไม้ติดมือนิดหน่อย



เอารถมาจอดที่พัก เดินเล่นถ่ายรูปต่อระหว่างรอเชฟน้าหมูทำอาหารให้ทาน เสียงชัคเตอร์แย่งกันดังทั้งกล้องผมและเธอ แชะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ถ่ายทุกอย่างที่ขวางหน้าไม่เว้นแม้กระทั่งขี้ควาย หมูหมากาไก่ถ่ายให้หมด



หล่อนอยากเป็นฮิปสะเตอร์



แก๊งค์แฟนฉันตกปลา



เดินถ่ายรูปกันจนหนำใจก็เตรียมตัวกลับมากินอาหารฝีมือน้าหมู เชฟเก่า(เพื่อนแอบบอกมา) เมนูวันนี้มี กระเพราเห็ด ไก่ทอด และต้มจืดเต้าหู้ ตวัดช้อนเข้าปากคำแรกต้องบอกเลยว่ามีคนทำกระเพราอร่อยกว่าแม่เราอีกหรอเนี่ย เฉือนกันนิดเดียวตรงเครื่องเทศและจังหวะของการเทน้ำมันหอยและอื่นๆที่ไม่อาจรู้ได้ว่าใส่อะไรลงไปในน้ำหนักมือเท่าไหร่ ไม่มีหมูก็ได้นะแค่เห็ดก็เอาอยู่แล้ว อยากจะสบถกับเธอจริงๆว่า เห้ยมันใช่อ่ะ!!



ปล.ไม่เว่อร์นะ



หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนเข้าห้องเปิดไฟปุ๊ปตาสว่างทันที เจอแล้วไงรุ่นใหญ่ เกือบกรี๊ดแตก!! วิ่งหาน้าหมูทันที ช่วยผมด้วยเถอะไม่งั้นผมนอนไม่ได้ แล้วน้าหมูแกก็สุดยอดจริงๆ แกบอกแกชอบเลย ชอบจับ น้าหมูใช้เวลาไม่ถึงนาทีเอาอยู่



ความเหนียวของเท้าตุ๊กแกหางกุด จบDay2 อย่างแต๋วแตก



Day 3



ตื่นเจ็ดโมงกว่าๆทักทายกับหมอกบนภูเขาที่รอเราตั้งแต่เมื่อคืน อากาศเย็นสบายไม่หนาวมาก



เดินย่องๆไปเปิดแก๊สให้เธอ เพราะยังระแวงตุ๊กแกหางกุดเมื่อคืน ไม่รู้จะออกมาทักทายกันอีกหรือเปล่า



รูปห้องด้านใน



อาหารง่ายๆของเราเช้านี้ ก่อนกลับร่ำลาน้าหมู จ่ายค่าเสียหายทั้งหมดสี่ร้อยเฉพาะค่าห้อง น้าหมูบอกว่าค่าอาหารทั้งหมดไม่คิดเงินแต่ขอให้มาเที่ยวอีก ผมบอกกับน้าหมูว่าถ้ามีเวลาผมมาอีกแน่ ขอบคุณสำหรับอาหารอร่อยๆนะครับน้าหมู



ถ้ายังไม่ได้ชิมกาแฟดอยช้างเค้าว่ายังมาไม่ถึง เป้าหมายของวันนี้คือกลับทางเดิมเพื่อไปชิมกาแฟ ผมมีความรู้สึกว่าทางเดิมที่มาขากลับสวยมากกว่า อาจเป็นเพราะยังเช้าอยู่ประกอบกับขามาเราถึงบริเวณนี้ก็บ่ายแก่ๆแล้ว แต่วันนี้ฟ้าเปิดอากาศปลอดโปร่ง เราขับๆจอดๆถ่ายรูป กว่าจะถึงจุดชิมกาแฟที่ศูนย์วิจัยฯดอยช้างก็ปาไปเกือบสิบโมงเช้าแล้ว



คุณน้าที่ศูนย์วิจัยฯดอยช้างชงกาแฟให้ชิม คั่ว บด ชง ดื่ม ขมมากครับตาค้างเลย อธิบายรสชาติไม่ถูกปกติผมจะกินแค่กาแฟลาเต้เท่านั้น ส่วนไอ้คนที่มาด้วยไม่เคยกินกาแฟเลย นี่เป็นแก้วแรกในชีวิตของเธอ (ทำท่าจิบๆเหมือนแมวกินน้ำเลย)



ส่วนผมนอกจากจะได้จิบกาแฟแล้วยังได้ดื่มบรรยากาศเข้าไปด้วย



ขอบคุณน้าที่ศูนย์วิจัยฯเสร็จ เป้าหมายต่อไปคือดอยช้างคอฟฟี่ มารู้ตอนถึงกรุงเทพฯว่าเรายังไปไม่ถึง ที่ที่เราถ่ายรูปกันสนุกสนานและสั่งกาแฟมากินคือที่ DOI CHANG COFFEE FARM แต่ก็ยังเป็นกาแฟอาราบิก้าเหมือนกันนะ : )



เสน่ห์ของมันอยู่ตรงป้ายและความเก่าแก่ของโต๊ะเก้าอี้ ลาเต้เย็นๆ บรรยากาศดีๆ และเก้าอี้นั่งสบายๆ ทำให้ความฟุ้งซ่านติดปีกบินรวดเร็ว



ออกจาก DOI CHANG COFFEE FARM ก็แวะเติมน้ำมัน ระหว่างทางเจอเขาย่างหมูข้างถนนด้วย : (



แวะหลบฝนและกินข้าวกลางวันที่ DOI CHANG VIEW



โผล่ถ่ายรูปที่สถานีทดลองเกษตรที่สูงวาวี



“ ผมไม่สามารถบรรยายถึงความงดงามที่เห็นอยู่เบื้องหน้าให้เห็นเด่นชัดขึ้นได้ เพื่อบอกความรู้สึกให้ผู้อ่านเข้าใจ บางครั้งภาพถ่ายคงไม่พอนอกเสียจากได้มายืนตรงนี้กับผม ธรรมชาติไม่มีอะไรซับซ้อนไม่เคยเรียกร้อง มีแต่ให้ความสบายใจเพียงแค่ได้มอง "



ผมยืนอยู่เงียบๆกับความงามอีกซักครู่



ลงจากสถานีทดลองเกษตรที่สูงวาวีก็แวะต่อที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์สถานที่ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง ข้างๆกันก็มีบ่อน้ำธรรมชาติที่เลี้ยงปลาคาร์ฟไว้ด้วย แต่วันนี้มองไม่ค่อยเห็น



พลังและเวลายังเหลือลงดอยไปต่อที่วัดร่องขุน เพราะผมก็ไม่รู้จะได้กลับมาที่นี่อีกเมื่อไหร่ เลยอยากไปในหลายๆที่ที่ยังไม่เคยไป เวลาบ่ายสามกับแดดที่ไม่ปราณี ผู้คนที่พลุกพล่านกับผลงานที่จำลองมาจากสวรรค์



ผมนี่ FC อาจารย์เลยนะครับ



เวลายังพอมี เธอบอกอยากไปกินติมร้านเรียวกังคาเฟ่ก็จัดไปสิฮับ ให้GPSนำทางอ้อมซะไกลเลย เสียเวลาไปนิดหน่อยแต่ก็คุ้มค่า ปกติผมไม่ค่อยได้กินอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ผมชอบไอติมรสวาซาบิจังแล้วก็ชอบโทโทโร่คุงด้วย



หลังจากคืนรถเช่า ตัดภาพมาที่ถนนคนเดิน สิ่งแรกที่คิดถึงคือหมอนวด (อย่าเข้าใจผิดนะ^^ขับรถนานๆมันก็ปวดเมื่อย) นวดไปฟังเค้าคุยภาษาเหนือไปหลับสิครับเหมือนมีคนมากล่อมเลย ผมชอบภาษาเหนือผมว่ามันมีเสน่ห์ นุ่มและดูเป็นมิตรกับหู ต่อให้เค้าตะโกนด่ากันผมว่ามันก็ยังเพราะ



คิดแล้วก็ใจหายกับความวุ่นวายที่ยังมาไม่ถึง(ในเมืองกรุง) ถ้าอยู่ต่อนานกว่านี้อาจจะไม่อยากกลับ นั้นกลับตอนที่ยังไม่อยากกลับ เพื่อหล่อเลี้ยงความรู้สึกดีๆให้ยังคงอยู่ บางครั้งผมก็ยังต้องการเวลามากกว่านี้ เราต้องการชาจพลังชีวิตให้นานกว่านี้ แต่เราทุกคนมีหน้าที่ แม้จะหลบหนีได้เพียงชั่วคราว



“ เชียงราย ร่างกายต้องการเวลา "



ROAD MOVIE

 วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.15 น.

ความคิดเห็น