เมื่อได้ออกเดินทาง หัวใจของ "ดินสอขอเขียน" จะพองโตทุกครั้ง แม้ว่าการไปเที่ยวเชียงใหม่นั้นจะเป็นอะไรที่คุ้นเคย และไปบ่อยมากๆ แต่สำหรับครั้งนี้มันไม่ธรรมดาตรงที่เราเลือกเดินทางด้วย "รถไฟ" นั่นเอง

ตั้งแต่รู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยได้เปิดให้บริการรถไฟตู้นอนขบวนใหม่เอี่ยม ซึ่งมีด้วยกัน 4 เส้นทาง ได้แก่ "อุตราวิถี" เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่-กรุงเทพฯ, "อีสานวัตนา" กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี-กรุงเทพฯ, "อีสานมรรคา" กรุงเทพฯ-หนองคาย-กรุงเทพฯ และ "ทักษิณารัถย์" กรุงเทพฯ-หาดใหญ่-กรุงเทพฯ

ครั้งนี้ "ดินสอขอเขียน" เลือกเดินทางสาย "อุตราวิถี" เพราะมีปลายทางอยู่ที่เชียงใหม่ โดยเลือกเป็นรถปรับอากาศนั่งและนอนชั้น 2 เตียงบน ราคา 791 บาท และเตียงล่างราคา 881 บาท ส่วนใครที่อยากได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้นไปอีก ก็สามารถเลือกเป็นรถปรับอากาศนั่งและนอนชั้น 1 เตียงบน ราคา 1,253 บาท และเตียงล่าง ราคา 1,453 บาท โดยที่รถไฟชั้น 1 นั้น จะแบ่งเป็นห้อง ห้องละ 2 คน ภายในมีจอทีวี เก้าอี้กว้างขวาง อลังการงานสร้างสุด แถมยังมีห้องอาบน้ำไว้บริการอีกด้วย


เรามาดูรถปรับอากาศนั่งและนอนชั้น 2 กันบ้างดีกว่าค่ะ "ดินสอขอเขียน" เลือกตู้สตรีและเด็ก จึงมั่นใจได้ในความปลอดภัย อีกทั้งทุกตู้ของรถไฟจะมีพนักงานของการรถไฟดูแลอยู่ทุกตู้ ภายในขบวนรถ กว้างขวาง สะอาด เบาะที่นั่งสีแดงสดใส ใหม่กิ๊ก

ในส่วนของห้องน้ำและอ่างล้างหน้าก็ทำออกมาได้สะอาด ดูดีมากๆ ติดอยู่ตรงที่ว่าห้องน้ำแคบไม่นิด ซึ่งห้องน้ำของรถไฟขบวนใหม่นี้ใช้ระบบปิดสุญญากาศ ซึ่งมีความทันสมัยเท่ากับห้องน้ำบนเครื่องบินเลยทีเดียว แถมยังช่วยลดปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็น และช่วยประหยัดน้ำอีกด้วย

รถไฟออกจากรุงเทพฯ เวลา 18.10 น. แต่เวลาจริงออกช้าไปประมาณ 10 นาทีเอง เราโอเคนะ เมื่อรถไฟค่อยๆ เคลื่อนออกจากสถานีกรุงเทพฯ พนักงานก็จะนำน้ำมาเสิร์ฟ ขนาดน่ารัก กะทัดรัด แถมเป็นแบรนด์การรถไฟด้วยนะเออ ส่วนใครที่หิวก็ไม่ต้องกังวลเพราะที่นี่เค้ามี "ตู้เสบียง" ให้บริการทั้งอาหารขาว ของว่าง เครื่องดื่มร้อนเย็นต่างๆ ให้เลือกกินมากมาย แถมบริการฟรี wi-fi ให้สาวกคนติดโซเชียลได้อัพเดทข่าวสารต่างๆ อีกด้วย

รถไฟแล่นไปสักพัก ประมาณเกือบๆ 2 ทุ่มได้ พนักงานก็จะมาแปลงร่างเก้าอี้นั่งของเราให้กลายเป็นเตียงนอนสุดแสนสบาย ใครที่เลือกเตียงล่าง จะหลับสบายกว่า เพราะไม่มีแสงไฟจากด้านนอกมากวน ส่วนใครที่นอนเตียงบนขอแนะนำว่าควรมีผ้าปิดตาในทริปนี้ด้วย เพราะตลอดเส้นทางนี้ เค้าเปิดไฟตลอดทั้งคืนเลยจ้า แม้จะนอนไม่ค่อยหลับเพราะแสงไฟ แต่มันก็ทำให้ "ดินสอขอเขียน" อุ่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัย

เวลาประมาณ 7.15 น. รถไฟก็พาเรามาถึงสถานีเชียงใหม่โดยสวัสดิภาพ นับเป็นประสบการณ์เดินทางด้วยรถไฟครั้งแรกที่ยาวนาน และได้ใจเราไปเต็มๆ

ถึงเชียงใหม่แล้ว สถานที่ท่องเที่ยวแรกที่เราจะไปเยือนคือ "สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์" ต.แม่แรม อ.แม่ริม โดยต้องไปนั่งรถสองแถวสีเหลืองสายเชียงใหม่-แม่ริม ที่สถานีขนส่งช้างเืผือก แต่เมื่อสอบถามคนขับรถแล้ว ปรากฏว่ารถสายเชียงใหม่-แม่ริม ไปไม่ถึงสวนพฤกศาสตร์ เราจึงต้องลงรถที่วัดแม่ริม แล้วต่อสองแถวสายแม่ริม-สะเมิง

แม้ว่าการเดินทางจะยากลำบาก แต่เราก็ไม่ย่อท้อ ไปจนถึงสวนแห่งนี้จนได้ ก่อนเข้าไปเที่ยวจะต้องซื้อบัตรค่าเข้าชมคนละ 40 บาท และเมื่อไม่มีรถ จึงต้องใช้บริการรถรางของสวนอีกคนละ 30 บาท โดยจะพาแวะตามจุดท่องเที่ยวหลักๆ ซึ่งเราบอกพี่คนขับเลยว่าขอไป "Canopy Walkway" เท่านั้น 555

และแล้วรถรางก็พาเรามาถึง "Canopy Walkway" ทางเดินที่สร้างจากเหล็กกล้า สูงจากพื้นดิน 20 เมตร ทอดยาวเหนือเรือนยอดไม้กว้างไกลเป็นระยะทางประมาณ 400 กว่าเมตร คุณจะได้สัมผัสกับดงทิวสนสามใบ ดอกไม้ต่างๆ ที่ออกดอกในช่วงฤดูหนาว ระหว่างทางมีการลดหลั่นกันไปบ้าง ขึ้นๆ ลงๆ แล้วยังมีส่วนของพื้นที่เป็นกระจกใส ทำให้เราสามารถมองเห็นต้นไม้ด้านล่างได้อย่างชัดเจน ทั้งตื่นเต้น ทั้งหวาดเสียวเลยแหละขอบอก และเมื่อเดินมาจนสุดทางแล้ว จะเป็นจุดชมวิว เต็มไปด้วยภูเขา ต้นไม้ต่างๆ มากมาย ให้ความรู้สึกสบายตา

เป้าหมายต่อมาของเราคือ "แกรนด์แคนยอน" เกิดจากการที่มีที่ดินโล่งๆ แล้วมีการขุดหน้าดินไปขาย ด้านล่างจึงกลายเป็นแอ่งน้ำสีเขียว เกิดเป็นความสวยงามแปลกตาคล้ายกับแกรนด์ แคนยอนในต่างประเทศ และกลายเป็นที่เที่ยวสุุดฮิปอีกแห่งของเชียงใหม่

ใครที่ชอบความตื่นเต้น หวาดเสียว สามารถกระโดดจากบนดินที่มีความสูงมว๊ากกก ลงไปยังน้ำด้านล่าง หรือจะเลือกนั่งอาบแดดบนแพด้านล่างก็ได้ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นอย่างมาก

จากนั้นเรามุ่งหน้าไปยัง "วัดพระธาตุดอยคำ" ซึ่งเป็นที่ตั้งของ "หลวงพ่อทันใจ" ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความสักดิ์สิทธิ์ ทั้งคนเชียงใหม่และคนต่างถิ่นต่างให้ความเคารพศรัทธากันเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในเชียงใหม่ มีอายุยาวนานกว่า 1,300 ปี

"หลวงพ่อทันใจ" สร้างขึ้นในรัชสมัยพญากือนา กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา มีชื่อเสียงมากในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาขอพรกับท่าน เมื่อประสบความสำเร็จแล้วจะกลับมาถวายดอกมะลิเพื่อแก้บน นอกจากหลวงพ่อทันใจแล้วก็ยังมี พระปางเปิดโลก พระพุทธรูปองค์โต ศาล ปู่แสะ และย่าแสะให้ได้สักการะกันอีกด้วย หลังจากไหว้พระขอพรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต้องไม่พลาดมาชมวิวเมืองเชียงใหม่ กว้างไกลไปสุดสายตา

เป้าหมายสุดท้ายของทริปนี้ของเราคือ "บ้านข้างวัด" แหล่งช้อปปิ้งสไตล์พื้นเมือง ตัวโครงการนั้นออกแบบอย่างเรียบง่าย เน้นปูนเปลือยผสมกับไม้ ภายในประกอบด้วยร้านค้าต่างๆ มากมายให้คุณได้เดินชม ช้อป และชิมกันอย่างสบายใจ เพราะมีทั้งร้านกาแฟ ร้านอาหาร โปสการืด ของที่ระลึก สินค้าพื้นเมือง งานศิลปะ เป็นที่เที่ยวอีกแห่งที่นักถ่ายภาพทั้งหลายไม่ควรพลาด เพราะมีมุมเก๋ๆ ให้ถ่ายรูปเพียบแลยแหละขอบอก

และแล้วการเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วยรถไฟของ "ดินสอขอเขียน" ก็จบลงด้วยประการฉะนี้ เด๋วมีซีซั่น 2 เรื่องร้านอาหาร คอยติดตามกันนะจ๊ะ ขอบคุณค่ะ

ติดตามเรื่องกินเรื่องเที่ยวของ "ดินสอขอเขียน" ได้ที่ www.facebook.com/EatAndTravelWithTT กันนะคะ


ดินสอขอเขียน

 วันพฤหัสที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 19.53 น.

ความคิดเห็น