ถ้าไปกระบี่แล้วไม่ไปทะเล จะไปไหนได้อีกบ้าง?


ครั้งนี้จะพาลงใต้ ไปชมความงดงามแบบธรรมชาติๆของจังหวัดกระบี่กันบ้าง เมื่อพูดถึงกระบี่ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่มักจะนึกถึง ทะเล แต่รู้ไหมว่าที่จริงแล้ว "กระบี่ มีดีมากกว่าทะเล" นะคะ แต่ถ้าไปกระบี่แล้วไม่ไปทะเล จะไปไหนได้อีกบ้าง? เราเก็บภาพบางพื้นที่ที่ไปได้ไม่ยากมาให้ชม ตามมาค่ะ



สถานที่

- เขาหงอนนาค

- วัดถ้ำเสือ

- สระมรกต

- น้ำตกร้อน

- ลานปูดำ

- ถนนคนเดิน




ติดตามบันทึกการเดินทางต่อๆไปได้ที่ :

GowithAmp

https://facebook.com/GowithAmp


"จองโปรฯบิน 0 บาททิ้งไว้นานแล้ว"

ปลายปีที่แล้วสายการบินไทยแอร์เอเชียเปิดโปรโมชั่น Big Seat หรือ 0 บาท แต่เดินทางช่วงกรีนซีซั่น หรือช่วงฤดูฝน เราเล็งเส้นทางภายในประเทศ คือ กระบี่ เป็นหลักเลย เที่ยวช่วงนี้คนไม่เยอะอะไรๆก็ไม่แพง แต่ราคาโปรฯมีแค่วันธรรมดาจึงจองไว้ก่อน แล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมามีทั้งอีเมลและ sms ส่งมาแจ้ง "retime" ทั้งขาไปและขากลับ ระยะเวลาสามารถเปลี่ยนแปลงวันเดินทางได้(ฟรี) ก่อนและหลังวันเดินทางเดิม 14 วัน (นับ 1 ที่วันแรกของการเดินทางเดิม) จึงเลื่อนไปให้ตรง เสาร์ - อาทิตย์



เงื่อนไขการขอเลื่อนเที่ยวบิน ฟรี กรณีสายการบินแจ้งเลื่อนวันหรือเวลาเดินทาง

- ไม่ถึง 45 นาที : ไม่สามารถเลื่อนได้

- 45 – 119 นาที : เลื่อนได้ภายในวันเดียวกัน

- 120 – 179 นาที : เลื่อนได้ +/-7 วัน นับจากวันเดิม

- 180 นาทีขึ้นไป : เลื่อนได้ +/-14 วัน นับจากวันเดิม



แต่พอใกล้ถึงเวลา เกิดอารมณ์ไม่อยากไปคนเดียวขึ้นมา พอดีกับ AirAsia Big กำลังมีโปรฯแลกแต้ม จึงหาผู้ร่วมทริปไปด้วย ยอมทิ้งตั๋วโปรฯ 0 บาท ไว้ขอภาษีสนามบินคืนภายหลัง (ภาษีสนามบินไป-กลับ 200 บาท) แล้วมา จับราคาบินใหม่ที่ 770.80 บาท/2 คน (รวมภาษีและค่าธรรมเนียม) แทน แลกกับการมีเพื่อนไปและจะได้มีคนหารค่าใช้จ่ายด้วย สำหรับทริปนี้ชอบตรงที่ง่ายๆ สบายๆ อะไรก็ได้ ไม่มีแผนมากนัก เน้นประหยัด (ทริปนี้ ไม่ได้คิดไว้ว่าจะบันทึกหรือรีวิวตั้งแต่ต้น บางช่วงอาจไม่มีภาพประกอบ เช่น รูปที่พัก ไม่ได้ถ่ายไว้เลยค่ะ)



วันแรก : เขาหงอนนาค – พักในเมือง


ไฟลท์ 8.55 น. ถึงท่าอากาศยานนาชาติกระบี่เวลา 10.20 น.

ครั้งนี้ใช้บริการรถสองแถวเข้าเมือง ซึ่งต้องเดินออกมานอกเขตสนามบิน แล้วข้ามถนนไปรอฝั่งตรงข้าม รถสองแถวมีหลายสาย โบกถามได้เลย ต้องการลงตรงไหนก็สอบถามกับคนขับรถได้ค่ะ ส่วนใหญ่จะผ่านลานปูดำ หรืออาจสุดสายที่หน้าห้างโวค กระบี่ ค่าบริการคนละ 20 บาท


เราลงกลางตลาดก่อนถึงห้างโวค กระบี่ แล้วเดินไปร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ ผู้ร่วมทริปมาเช่าร้านนี้บ่อย สบายเลยสิ มีคนพาเที่ยวแล้ว!!! เย่!! จัดมาหนึ่งคัน วันละ 250 บาท (1 วันคือ 24 ชั่วโมง ทริปนี้ของเราจองไว้ 48 ชั่วโมง) รับหมวกกันน็อคและเอกกสารการเช่าแล้วเข้าที่พักไปเช็คอินและเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน


บอส แอนด์ เบนซ์ เฮาส์

คือ ที่พักที่จองผ่านแอปพลิเคชั่นหนึ่งเอาไว้ ได้ส่วนลดมาอีก 25% สรุปแล้ว 2 คืน ราคาเพียง 316.05 บาท เป็นห้องพัดลม ห้องน้ำรวม แต่ห้องน้ำสะอาดมาก!! ดูดีกว่าที่คิดเยอะเลยแหละ ผู้เข้าพักส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ นักท่องเที่ยวแนว Backpacker หรือคนที่เน้นประหยัด แนะนำค่ะ (*ราคาขึ้นอยู่กับช่วง วันเวลาและโปรโมชั่น)

ที่อยู่: 120/1 ถนนมหาราช ซอย 22 ต.ปากน้ำ อ.เมือง

เบอร์โทรฯติดต่อ: 083-691-3933

เพิ่มเติม: https://www.facebook.com/Boss-Benz-House-289973277717774/


“จะไปไหนก่อนดี" ผู้ร่วมทริปเอ่ยถาม เนื่องจากคุยกันมาคร่าวๆแล้วว่าจะไปไหนกันบ้างแต่ไม่ได้วางแผนแบบละเอียดไว้ เราไม่ลังเลอะไรใดๆแล้ว ขอไปให้ถึงจุดประสงค์หลักของทริปนี้ก่อนเลยก็แล้วกัน “เขาหงอนนาค" จัดการฝากของและเปลี่ยนเสื้อผ้านิดหน่อยให้พร้อมลุย แล้วออกเดินทางกันเล้ย!!



เดี๋ยวๆๆๆ หิวค่ะหิว ลืมไปว่าต้องหาอะไรกินก่อนนะคะ





เขาหงอนนาค

เขาหงอนนาคอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ที่ทำการอุทยานที่นี่เป็นหน่วยย่อย เรียกง่ายๆว่า อุทยานหาดทับแขก เป็นหนึ่งใน 28 สถานที่ “เขาเล่าว่า" ที่เป็นอีกหนึ่งในโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยว ภายใต้แนวคิด "การสร้างเรื่องราวจากความเชื่อให้แหล่งท่องเที่ยวต่างๆเพื่อสร้างกระแสให้คนไทยเที่ยวในประเทศ กระตุ้นให้คนอยากเดินทางท่องเที่ยวสักครั้งในชีวิต"

"ณ ดินแดนอันชวนฝันของนักเดินทางที่ถูกโอบล้อมด้วยวิวพาโนรามาอันสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย แต่ใครเล่าจะรู้ว่า ดินแดนแห่งนี้เป็นจุดจบเรื่องราวความรักของพญานาคจนต้องหลั่งน้ำตาออกมา เกิดเป็นบ่อน้ำเล็กๆ ที่มีน้ำใสไหลตลอดปี ชาวบ้านเชื่อว่า เมื่อได้อธิษฐานขอพรพร้อมทั้งนำน้ำมาลูบหน้า จะสมปรารถนาในสิ่งที่ขอ และเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต"



การเดินทาง: มีคนกล่าวไว้ว่า “ไปทาง บ้านหนองทะเล ตามเส้นทาง 4034 ได้สักประมาณ 15 กิโลเมตร จะถึง บ้านหนองทะเล สังเกต ด้านขวามือจะเป็น โรงเรียนบ้านหนองทะเล เมื่อถึงไฟแดงบ้านหนองทะเลแล้ว ก็เลี้ยวซ้ายไปตามเส้น 6024 จะมีป้ายบอกทางไป หาดคลองม่วง" เส้นนี้จะมีโรงแรมดังๆอยู่มากมาย “กระทั่งถึง โรงแรม อมารี โวค กระบี่ ทางซ้ายมือ ขึ้นเนินไปอีกประมาณ 500 เมตร" จะถึงที่ทำการอุทยานฯ ระยะทางรวมประมาณ 30 กิโลเมตร

เบอร์ติดต่อเจ้าหน้าที่: 086-143-6144

ผู้ช่วยแบกสัมภาระหรือคนนำทาง: 1,000 บาท/คน/เที่ยว




เขาหงอนนาค เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหนๆ สามารถมองเห็นวิวได้กว้างไกล มองเห็นอ่าวนาง เกาะห้อง ทะเลแหวก เกาะยาว ไปจนถึงอ่าวท่าเลน เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเมื่อปี พ.ศ. 2555 มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 500 เมตร ระยะทางเดินป่า 3.7 กิโลเมตร ดูเหมือนไม่ไกลมาก แต่ใช้เวลาขาขึ้นประมาณ 2-4 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความเร็วของแต่ละคน



**เมื่อถึงที่ทำการอุทยานฯ จะต้องลงชื่อไว้ก่อนและหลังจากที่กลับลงมาแล้วก็จะต้องมาลงชื่อออกด้วยนะคะ สามารถขอเบอร์ติดต่อเจ้าหน้าที่ไว้ได้ เผื่อกลับออกมาช้า หรือเกิดปัญหาอะไร จะได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ได้ ด้านบนมีสัญญาณโทรศัพท์นะคะ แต่บางช่วงสัญญาณอาจจะขาดๆหายๆไปบ้าง



ถึงตรงนี้ ผู้ร่วมทริปของเราได้ปล่อยเราไว้กลางทาง เอ้ย!! ฮ่าๆๆๆๆ เหตุผลของผู้ร่วมทริปคือ เคยมาแล้วครั้งหนึ่งและไม่สามารถไปเผชิญเส้นทางนี้ด้วยความทรหดเป็นครั้งที่สองได้อีก จึงตกลงกันไว้ตามนี้ ทันใดนั้น เล็งเห็นกลุ่มผู้หญิงกลุ่มหนึ่งมากันทั้งหมด 4 คน คาดว่าน่าจะอายุพอๆกันกับเรา หลังจากลงชื่อเสร็จ ก็ได้เวลาตีสนิทหาเพื่อนค่ะ ^^



ก่อนเริ่มเดินทาง เจ้าหน้าที่จะอธิบายเกี่ยวกับเส้นทางในแผนที่ และเรื่องของเวลา รวมถึงเรื่องต่างๆที่ควรทราบ


แวะถ่ายรูปกันที่ป้ายทางขึ้นก่อน

ทางซ้ายมือจะมีน้ำตกเล็กๆด้วยนะคะ (แต่ไม่ได้เก็บภาพเอาไว้)


เส้นทางศึกษาธรรมชาติ 3.7 กิโลเมตรนั้น ประกอบไปด้วย 13 ฐาน แต่ละฐานจะมีป้ายให้ความรู้เกี่ยวกับลักษณะเด่นแต่ละช่วงของป่าสองข้างทาง (ทำไมเจอถึงแค่ป้ายฐานที่ 12 แล้วฐานที่ 13 อยู่ตรงไหนใครทราบวานมาบอกหน่อยค่ะ) อยากจะเข้าไปกระซิบใกล้ๆว่า "ทางเดินระหว่างช่วงที่ 8 และ 9 ระยะทางไกลที่สุดและโหดที่สุด ต้องปีนขึ้นคล้ายๆปีนเขาย่อมๆ ระทึกที่สุดแล้ว ใจเต้นแรงมาก จะเหนื่อยก็เพราะจุดนี้เลย" ><


เริ่มต้นเบาๆ ผลัดกันถ่ายรูปตรงนั้นตรงนี้ไปค่ะ


ระหว่างที่เดินกันไปมีชวนคุยกันบ้างเรื่อยๆ ได้ทราบว่าพี่คนที่อายุมากกว่าเราเป็นชาวกระบี่และเป็นเภสัชกรอยู่ที่กระบี่นี่เลยค่ะ ส่วนที่เหลืออีกสามคนอายุน้อยกว่าเรา เป็นเภสัชกรฝึกหัด บางคนเป็นชาวกระบี่ บางคนก็มาจากภาคเหนือแต่มาฝึกงานอยู่กระบี่ ทุกคนน่ารักและอัธยาศัยดีมาก นับว่าโชคดีของเราจริงๆ


ที่นี่มีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ และช่วงฤดูฝนแบบนี้ทำให้เขียวชะอุ่มตลอดเส้นทางที่เดินผ่าน ขออย่างเดียวว่า.. ฝนอย่าตกลงมาก่อนก็แล้วกัน ทางเดินเป็นทางชัดเจนไม่มีหลงแน่นอนค่ะ


ดูเหมือนว่าจะมีวัสดุก่อสร้างบางอย่างวางอยู่เป็นระยะๆในช่วงต้นๆด้วยค่ะ อาจจะทำเป็นที่นั่งหรือเปล่า ไม่แน่ใจนะคะ ลืมสอบถามเจ้าหน้าที่เลย


ไม่ใช่เพียงต้นไม้ใบหญ้าเขียวชะอุ่ม แต่ยังสามารถพบเห็นเห็ดน้อยใหญ่ขึ้นอยู่ตามทางอีกมากมายเลยค่ะ อย่างเช่นภาพนี้ เห็ดน้อยสีส้ม น่ารัก


และเราก็เดินมาถึงป้ายฐานที่ 8 แบบไหนหรือที่ว่าโหด โปรดอ่านตามลงมาค่ะ


ระยะแรกก็ยังคงสบายๆ บรรยากาศชวนให้ตื่นตาตื่นใจไปกับความงดงามของธรรมชาติ


เดินไปได้สักพักน้องผู้ร่วมทริปคนหนึ่งเกิดอาการมึนหัวและจะอาเจียน หยุดนั่ง หยุดรอกันไปอยู่หลายหน แอบคิดในใจว่าจะขึ้นไปคนเดียวก่อน ยังไงเขาก็ยังมีพวกพ้องไปด้วยกันไม่น่าห่วงมากนัก (ไม่ได้ห่วงตัวเองเลยจ้า) แต่ไหนๆก็มาด้วยกันแล้ว... พอเดินไปได้อีกระยะหนึ่ง น้องมีอาการเดิมอีกและดูท่าจะหนักกว่าเก่า พี่เภสัชกรออกความเห็นว่าให้เราไปกับน้องคนหนึ่งก่อน แล้วจะตามขึ้นไปสมทบ เราหันไปสบตากับน้องที่จะร่วมทางไปด้วยกันก่อน แล้วรับรู้ได้ถึงแรงขับที่ส่งพลังผ่านมาทางสายตา (เว่อร์มาก ^^") จึงตกลงตามนั้นค่ะ เรากับน้องนะจะมุ่งหน้าไปยังจุดหมายด้วยกันก่อน


เจอขอนไม้ใหญ่ก็นั่งพักพอเป็นพิธีเล็กๆน้อยๆ ระหว่างทางก็มีคนเดินแซงไปบ้าง เดินสวนทางลงมาบ้าง ปกติเรามักจะได้ยินคนที่สวนทางลงมาปลอบใจด้วยคำว่า “อีกนิดเดียว ใกล้จะถึงแล้ว" แต่คราวนี้ไม่เลยจ้า “อีกค่อนข้างไกลเลย" “อีกพักใหญ่ๆเลยนะ" “ข้างหน้าทางขึ้นยากหน่อยนะต้องปีนแล้วก็จับกิ่งไม้ขึ้นไป" ...... เอิ่ม... ดูจริงใจใสซื่อกันมากเลยค่ะ ^^"


กระทั่งถึงจุดที่เราต่างหันไปมองตากันปริบๆ จุดนี้ค่อนข้างสูงชันมาก ต้องก้าวขาขึ้นสูงๆและเอื้อมมือคว้ากิ่งไม้เพื่อพยุงตัวขึ้นอย่างที่มีคนบอกไว้จริงๆค่ะ พวกเขาไม่ได้โกหกแต่อย่างใด


จากที่คิดว่าชิลๆสบายๆ ขึ้นมาจากจุดนั้นได้เล่นเอาหอบเหงื่อแตกพลั่กๆเลยค่ะ เดินมาอีกหน่อยแล้วจะพบจุดนั่งพัก แต่เราไม่ได้นั่งพักกันนะคะรู้สึกว่าเครื่องกำลังทำงานจึงยังไม่อยากพัก (ทางว่าโหดแล้ว คนโหดกว่า ฮ่าๆๆๆ)


มาเล่าถึงน้องนะ ผู้ร่วมทางของเรากันก่อนค่ะ "น้องนะ" เป็นชาวกระบี่ นับถือศาสนาอิสลาม มีแววตามุ่งมั่นและดูจริงใจ น้องนะตัวเล็กมาก ถ้าเทียบกับเราแล้วน้องน่าจะสูงประมาณ 150 ต้นๆ แต่น้องแข็งแรง! เห็นตัวเล็กๆอย่างนี้ อึดมากนะคะจะบอกให้ ^^


เส้นทางยังคงมีแบบเดินสบายและต้องบากบั่นสลับกันไปเป็นระยะ


จุดชมวิวจุดแรกที่เราแวะชม อยู่ทางขวามือค่ะ


เสน่ห์ที่น่าหลงไหลของการเดินป่าอีกสิ่งหนึ่งนั่นคือ ดอกไม้น้อยๆสีสันสะดุดตา


เดินมาอีกไม่ไกลก็จะพบจุดที่สามารถชมวิวได้อีก ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือ


เจอป้ายบอกทาง อีก 1.5 กิโลเมตร


เดินไปสักพัก ถึงฐานที่ 11 ใกล้ความจริงเข้ามาทุกทีแล้ว


ถึงตรงนี้มีทางแยกให้เดินไปน้ำตกทางขวามือ แต่เกรงว่าเวลาจะไม่พอ จึงไม่ได้เข้าไปดูน้ำตก


ก้อนหินขนาดใหญ่ ใครมาก็ต้องเจอและจำได้


เจอป้ายฐานที่ 12 แล้ว อยู่บริเวณที่นั่งพักพอดี ขอนั่งพักเหนื่อยกันสักครู่ก็แล้วกัน เวลานั้นเหนื่อยจริงๆค่ะ


บริเวณนี้มีมอสขึ้นตามทางเดินเป็นแถบเลยค่ะ แถมยังได้เจอน้ำตกจิวด้วย! ใช่ค่ะ อ่านไม่ผิด "น้ำตกจิ๋ว" ก็คือ บริเวณที่มีน้ำไหลผ่านก้อนหินขนาดเล็กลดหลั่นกันลงมา มีลักษณะคล้ายน้ำตกเพียงแต่มีขนาดเล็กๆเท่านั้นเอง ^^


กระทั่งมาถึงจุดนี้ คิดว่าน่าจะใกล้ถึงแล้ว แวะกันตรงนี้อีกรอบค่ะ กินลม ชมวิว ชิลๆกับอากาศกันไป สลับกันถ่ายรูปบ้าง เซลฟี่บ้าง โอย...มีความสุข


กลุ่มที่กำลังตามมาก็มีส่งไลน์มาถามน้องนะเป็นระยะๆค่ะ พวกเขากำลังรีบตามขึ้นมา ชมวิวและถ่ารูปกันจนหนำใจแล้วก็รีบเดินทางกันต่อค่ะ ถ้าใส่กางเกงที่รัดๆมา ก้าวขึ้นแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ หรือไม่ก็ต้องมีเป้ากางเกงขาดกันบ้างแหละ ฮ่าๆๆๆๆ


เราเดินไปตามทางกันอีกไม่ไกลมากนักก็มาเจอป้ายนี้แล้วจ้า!!!! ใช้เวลารวมทั้งหมดเกือบ 4 ชั่วโมงจ้า

(เพราะช่วงแรกๆหยุดพักกันบ่อย จึงทำให้ใช้เวลานาน)


และเราก็ได้พบหัวใจอีกดวงที่นี่ด้วย .... มอสขึ้นบนโขดหินเป็นรูปหัวใจ ธรรมชาติช่างสร้างสรรค์ความงดงามเหนือความคาดหมาย


พอขึ้นมาถึงจุดสูงสุด แบตโทรศัพท์ก็ใกล้หมดเต็มทีจึงตัดสินใจปิดเครื่องไว้ก่อน เผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้หยิบออกมาใช้ได้ (มีพาวเวอร์แบ้งค์ก็ไม่ได้พกขึ้นไป) โชคดีที่มีคนมาด้วยอย่างน้อยก็ยังพออุ่นใจในระดับหนึ่งบ้าง บริเวณนี้พบชาวต่างชาติอยู่ประมาณ 7-8 คน บ้างก็ทยอยกลับ บ้างก็ยังถ่ายรูปกันอยู่ตรงจุดยอดนิยม เราจึงเดินชมนกชมไม้รอไปก่อน มองลงพื้นก็ได้พบกับหญ้าจิ๋วๆที่เราไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มีรูปทรงคล้ายกังหันลม น่ารักจัง


มีดอกไม้สีชมพู ลักษณะลำต้นเป็นพุ่มสูงประมาณ 50 เมตร มีดอกออกกระจายอยู่ทั่วทั้งต้น


ชวนน้องนะไปนั่งเล่นบนโขดหินอีกทางหนึ่งรอค่ะ


วิวสวยมาก สามารถมองไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา แต่หมอกค่อยๆลอยมาปกคลุมทำให้ภาพที่อยู่ตรงหน้ามีความขมุกขมัว ไม่ชัดเจน


หลังจากชำเลืองไปมองดูว่าจุดยอดนิยมไม่มีคนแล้วก็ได้โอกาสของเรากับน้องนะกันบ้างแล้วล่ะ


บริเวณนี้ วิวสวย แต่ก็อันตรายด้วยเช่นกัน จึงมีเชือกไว้สำหรับให้จับแล้วค่อยๆเดินออกไป


นี่คือจุดที่เรียกว่าเป็นมุมฮิต ใครๆก็อยากมาโพสต์ท่าถ่ายรูปกันตรงนี้ มีชื่อว่า “หงอนนาค" นั่นเองค่ะ ในที่สุดเราก็มาถึงแล้วน้า......... ดีใจจังเล่ย!! ฟินสุด วิวสวยมาก อากาศดีมาก!!! อยากจะนอนค้างอยู่บนนี้สักคืน (ไม่ใช่อะไรหรอก นึกถึงตอนลงแล้วเหนื่อย ฮ่าๆๆๆ)


ถ่ายไปยังน้องนะ ผู้ซึ่งถ่ายรูปให้เรา ณ หงอนนาค บรรยากาศดีไม่แพ้กัน


มองไปยังวิวเบื้อหน้าอีกครั้ง แม้หมอกจะปกคลุมอยู่จางๆแต่ก็ยังสามาถมองเห็นวิวกว้างๆได้อยู่


เดินมาทางโขดหินขนาดใหญ่นี่กันต่อค่ะ มองเห็นฝรั่งกำลังชิลกันอยู่ตรงนี้ เลยจะขึ้นไปก่อกวน เอ้ย!! ขึ้นไปขอเล่นบ้าง ^^ บรรยากาศดีมากค่ะ มองวิวไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา อยากอยู่บนนี้นานๆ


เวลาผ่านไปไม่นานนัก ได้ยินเสียง!!! โอ้โห!! ที่เหลือตามมาสมทบแล้วจ้า เดินกันไวมาก ฮ่าๆๆๆๆ จากนั้นใช้เวลาสลับกันถ่ายรูปให้อิ่มเอมเปรมปรีย์กันต่อ ผ่านไปอีกแป๊บเดียวเท่านั้นแหละ หมอกเริ่มมาจากไหนไม่รู้ขาวโพลนไปหมด เริ่มมองเห็นวิวไม่ชัดแล้ว แต่ก็ยังถ่ายรูปกันต่อ


เราพยายามเดินหาตาน้ำพญานาค แต่ก็ไม่เจอ ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน เดินเข้าไปคนเดียวประมาณร้อยเมตรก็เดินกลับออกมา เพราะเวลาใกล้ค่ำแล้ว ถ้ามัวเพลินต้องกลับไปถึงข้างล่างมืดแน่ เผลอแอบคิดขึ้นมาอีกครั้งว่า ... ใกล้ค่ำแล้วนะควรจะลงได้แล้วกว่าจะลงไปถึงอีก ผู้ร่วมทริปก็รออยู่ข้างล่าง ... แต่ไม่สิ เรามาด้วยกันเราก็ต้องรอกลับพร้อมกันสิ!! อ่ะ ตัดสินใจรอค่ะ


เราก็นั่งรอไป ถ่ายรูปวิวเล่นไป แอบถ่ายเพื่อนบ้าง ถูกแอบถ่ายบ้าง สูดลมหายใจเข้าออกช้าๆเพราะอากาศดีมาก จนอยากเก็บกลับไปบ้านด้วย


เทียบกันให้เห็นชัดๆตอนหมอกลงจางๆ และตอนที่หมอกลงหนา


สักพักหนึ่งดูเวลาเกือบห้าโมงแล้ว ประจวบกับหมอกเริ่มหนา อากาศเริ่มเย็น ดูพวกพ้องถ่ายรูปกันหนำใจแล้วก็ชวนกันเดินกลับค่ะ ก่อนกลับขอเก็บภาพต้นไม้จิ๋วๆไว้อีกสักภาพ


ทุกคนต่างขมีขมันในการจ้ำอ้าวเป็นอย่างมาก ขากลับนี่ไวมาก ด้วยเหตุที่เป็นขาลง และต้องทำเวลาให้ทันก่อนมืด ทางก็ยังเดินลำบากเป็นระยะๆเช่นเคย หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิด เห็นข้อความจากผู้ร่วมทริปส่งไลน์มาถามไถ่ รีบบอกไปก่อนว่ากำลังลงนะ ขาลงนี่ไม่มีใครสนใจเรื่องถ่ายรูปแล้วค่ะ แทบจะวิ่งกันเลย สนู๊กสนุก


เวลาเดินอยู่ในป่า จะรู้สึกเหมือนค่ำไวกว่าเวลาจริง เพราะมีต้นไม้ปกคลุมทำให้แสงส่องลงมาได้ไม่มากนัก เสียงนก เสียงจักจั่น เสียงจิ้งหรีด และสัตว์ต่างๆร้องกันระงม ได้บรรยากาศไปอีกแบบ (ถ้าเดินคนเดียวน่าจะวังเวงน่าดูนะคะ) เดินลงมาได้สักครึ่งทาง ยังคงเป็นเรากับน้องนะที่แทบจะวิ่งหรือพุ่งกันลงมาก่อน พลังยังเหลือเฟือ ฮ่าๆๆๆ แล้วค่อยมาหยุดรอกันเป็นระยะๆ กระทั่งเริ่มได้ยินเสียงน้ำตก แสดงว่าใกล้ถึงปลายทางแล้ว เริ่มดีใจกันอีกครั้งแล้วค่ะ ใช้ความเร็วสูงในการเดินอีกครั้ง กระทั่งจู่ๆเห็นใครก็ไม่รู้ยืนอยู่!!! คุณพระ!!! ผู้ร่วมทริปของเราเองค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ คุณเธอเดินมาตาม เพราะเห็นว่าเริ่มค่ำแล้ว และติดต่อเราไม่ได้


พอตรงนี้ เรารอจนทุกคนเดินมาถึง จึงต้องขอขอบคุณผู้ร่วมเดินทางทุกคน ขอโบกมืออำลากันก่อนแล้ว ดีใจที่ได้เจอทุกคน ดีใจที่ได้ร่วมเผชิญเส้นทางอันหฤโหดและหฤหรรษ์ไปด้วยกัน ขอบคุณค่ะ บ๊ายบาย.... ^____^



เรารีบเดินกลับลงมากับผู้ร่วมทริป กระทั่งถึงปากทางก็เดินไปลงชื่อออกค่ะ ใจอยากเดินไปกระโดดลงน้ำตกมากคงจะเย็นชื่นใจแน่ๆ แต่เริ่มค่ำแล้ว ต้องรีบเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา แล้วเดินทางกลับเข้าเมืองกันต่อ ตัวชุ่มเหงื่อราวกับอาบน้ำทั้งที่ยังสวมใส่เสื้อผ้า แต่อิ่มเอมมากชอบมากจริงๆค่ะ ชอบบรรยากาศ ชอบอารามณ์ของป่าและเส้นทางที่เดิน อยากออกเดินป่าทุกอาทิตย์เลย ^^กว่าจะเข้ามาถึงในเมืองก็หิวแล้วค่ะ ตัวแห้งพอดี วันนี้แวะกินข้าวที่ร้านนี้กันก่อน เป็นร้านที่แนะนำอีกร้านเลยนะคะ ทุกจานราคา 50 บาท ไม่ว่าจะธรรมดาหรือพิเศษ เอ้อ!!! ดีไหมล่ะ!


ยังไม่เพียงเท่านั้น หากคุณซื้อข้าวทานที่นี่ คุณยังมีสิทธิ์ตักซุปทานฟรีแบบไม่อั้น ถึงสองแบบด้วยกัน มีทั้งแบบต้มจืด และแบบต้มยำ ต้องขอบอกเลยว่า คุ้มเกินคุ้ม ในน้ำซุปนั้นมีทั้งผักเน้นๆและซี่โครงไก่เนื้อๆ รสชาติอร่อยถูกปากถูกใจ กินกันได้เต็มที่!!! ^__^ (บรรยายแบบโฆษณา) อ้อ! มีข้าวเปล่าจานละ 10 บาทนะจ๊ะ


ร้านนี้ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามห้างโวค กระบี่ เยื้องๆขึ้นไปทางแยกไฟแดงนะคะ ถ้าไปกระบี่ อย่าลืมมาลองทานร้านนี้ค่ะ แนะนำๆ


กินข้าวอิ่มแล้ว แต่ดูเหมือนว่ายังไม่อิ่มซะทีเดียว ชวนกันเดินข้ามถนนกลับไปนั่งกินโรตีต่อ แหม่ ทั้งคาวทั้งหวานเลยคืนนี้ ร้านโรตีร้านนี้ตั้งอยู่ฝั่งเดียวกับห้างโวคเลยค่ะ ยิ่งดึกคนก็ยิ่งเยอะนะจะบอกให้ ก็เพราะโรตีร้านเขาอร่อยสมคำร่ำลือยังไงเล่า! แถมยังมีชาร้อนให้ดื่มฟรีโต๊ะละ 1 กาด้วย กลิ่นหอมมาก


กลับเข้าที่พัก อาบน้ำนอน คิดว่าคงจะเหนื่อย คงจะเพลีย คงจะได้นอนหลับไวๆ แต่หาไม่ เรากลับไม่รู้สึกเพลียอะไรใดๆ อะไรจะอึดและถึกได้เพียงนี้ล่ะเรา ><




วันที่สอง : วัดถ้ำเสือ – ถนนคนเดิน - พักในเมือง

เดิมคุยกันไว้ว่า เช้าจะเดินทางไปวัดถ้ำเสือ แล้วเย็นจะไปชมพระอาทิตย์ตกที่หนองทะเล แต่วันนี้ฟ้าอึมครึมตั้งแต่เช้า จึงออกเดินทางกันสายๆ แวะเติมน้ำมันรถ 50 บาท เติมน้ำมันยังไม่ทันเสร็จฝนก็เทลงมาจ้า นาทีนั้นทำได้เพียงรอค่ะ รอจนฝนซาก็ออกไปแวะหาอะไรกินก่อนเพราะไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า รวบมื้อเลยก็แล้วกัน มาเจอร้านส้มตำข้างเซเว่นใกล้ๆปั๊มน้ำมันนั่นแหละ ที่นี่ราคาไม่แพงรสชาติพอใช้ได้มีเมนูให้เลือกเยอะ สำหรับมื้อนี้หมดไป 210 บาท มาถึงกระบี่ก็ยังไม่พ้นอาหารอีสาน ฮ่าๆๆๆ


หลังจากอิ่มท้อง ฝนหยุดพอดี ได้เวลาเดินทางสู่

“วัดถ้ำเสือ"


ประวัติวัด: “ในปี พ.ศ. 2518 หลวงพ่อจำเนียรมีความประสงค์จะหาสถานที่ปฏิบัติธรรมใหม่ ก็เกิดนิมิตในมโนภาพว่าเป็นสถานที่มีภูเขา

ล้อมรอบ และถ้ำชื่อ “ถ้ำเสือ" ตลอดถึงถ้ำต่างๆ หลายถ้ำ และอยู่ในเขตจังหวัดกระบี่ด้วย ทันทีที่เกิดนิมิตเห็นก็เกิดความรู้สึกนึกรักสถานที่นั้นขึ้นมาจับใจ เหมือนรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่นี้มาก่อน หลวงพ่อได้ให้พระอาจารย์ด ไปเสาะแสวงหาสถานที่จะตั้งสำนัก จนในที่สุดพระอาจารย์ดได้พบสถานที่หลายๆแห่งรวมถึงถ้ำเสือด้วย หลวงพ่อได้มีโอกาสไปดูสถานที่ถ้ำตามที่พระอาจารย์ดบอก ก็ตรงกับนิมิตที่หลวงพ่อเห็นจริงๆ หลวงพ่อจำเนียร ได้นำคณะพระภิกษุ

สามเณร 53 แม่ชี 56ท่าน จากวัดสุคนธาวาส มาอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้อันมีนามว่าถ้ำเสือ หรือในอดีตวัดมี ชื่อว่า “สำนักสงฆ์หน้าชิง" ตามชื่อหมู่บ้าน เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518 และได้เปลี่ยนเป็น “วัดถ้ำเสือ" เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2533 มาบุกเบิกเปิดเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐานจนถึงปัจจุบัน ที่ได้ชื่อว่า วัดถ้ำเสือนั้น จากการสอบถามชาวบ้านได้ความว่า ในอดีตเคยมีเสือโคร่งจำนวนมากอาศัยอยู่บริเวณของถ้ำที่ตั้งอยู่หน้าเขาแก้ว ภายในถ้ำยังปรากฏหินธรรมชาติเป็นรูปแบบอุ้งเท้าเสืออีกด้วย... สภาพโดยทั่วไปของ วัดถ้ำเสือมีลักษณะ เป็นสวนป่า เป็นโพรงถ้ำ มีเพิงผาและแหล่งถ้ำธรรมชาติ เช่น ถ้ำคนธรรพ์ ถ้ำลอด ถ้ำช้างแก้ว ถ้ำลูกธนู ถ้ำงู ถ้ำเต่า ถ้ำมือเสือ สิ่งสำคัญใน"วัดถ้ำเสือ"นั้นที่ดูเหมือนจะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์มากที่สุดและ เป็นที่นิยมชื่นชอบของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ"

( ที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/วัดถ้ำเสือ )


การเดินทาง: ใช้เส้นทางตาม Google Map ค่ะ ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร จากที่พัก วิ่งเส้น ถ.มหาราช และ จุฑามาตย์ ไปทาง ถนนหมายเลข 411 เลี้ยวขวาเข้าถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) กระทั่งถึงแยกถ้ำเสือทางซ้ายมือ เลี้ยวซ้ายไปตามทางถนนหมายเลข 1067 แล้วยิงยาวเข้าไป จากเส้นนี้จะมีป้ายบอกทางไปวัดอยู่นะคะ โดยให้มองทางซ้ายมือไว้ เพราะวัดจะอยู่ทางซ้ายมือค่ะ กระทั่งถึง “หน่วยบริการประชาชน ม.1 บ้านหน้าชิง" ก็มองเห็นวัดแล้ว เลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกนิดเดียวก็จะถึงค่ะ


เราใช้เวลาเดินทางมาประมาณ 1 ชั่วโมง กระทั่งมาถึงบริเวณวัด ที่นี่มีผ้านุ่งให้ใส่คลุม สำหรับคนใส่กางเกงและกระโปรงสั้น รวมถึงกางเกงขายาวรัดรูปด้วยนะคะ ค่าผ้านุ่งเป็นการทำบุญ 20 บาทค่ะ สีน้ำเงินสวยเชียว (กลับลงมาแล้วต้องนำมาคืนด้วยนะคะ)


เราเคยมาวัดนี้เมื่อ 4 ปีก่อน แต่ครั้งนั้นเดินขึ้นไปทางชมถ้ำเพียงอย่างเดียว ส่วนครั้งนี้เราจะขึ้นไปชมวิวบนจุดสูงสุดของวัด ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 600 เมตรกันค่ะ


แวะซื้อน้ำที่ร้านค้าของวัดกันก่อนคนละขวด แล้วเตรียมใจและร่างกายให้พร้อม สำหรับการเดินขึ้นบันได 1,237 ขั้น (ทำไมขึ้นไปจริงๆแล้วมีขั้นบันไดมากกว่าที่ป้ายบอกล่ะคะ สงสัย)


วันก่อนเดินขึ้นเขาหงอนนาคว่าโหดแล้ว มาเจอที่นี่ความโหดนั้นแตกต่างกัน แต่ทำให้หอบได้ไม่แพ้กันค่ะ เพราะที่นี่เป็นการเดินก้าวขึ้นบันได บางช่วงค่อนข้างชันและต้องก้าวขากว้างมาก ต้องอาศัยหยุดพักเป็นช่วงๆไป เห็นบางคนเดินขึ้นเร็วๆ บางคนวิ่งขึ้นก็มี ดูแข็งแรงกันมาก ส่วนเราใช้วิธีท่อง พุท-โธ ก้าวเท้าซ้าย-หายใจเข้า-พุท / ก้าวเท้าขวา-หายใจออก-โธ ฮ่าๆๆๆๆ เราใช้วิธีนี้จริงๆ เพื่อให้ลมหายใจเราคงที่ ไม่ฝืนร่างกายจนหอบ ใจไม่เต้นแรงเกินไปด้วย แต่เหงื่อท่วมตัวอีกวันแล้ว


มีหนอนบุ้งกระดึ๊บๆกันเพียบเลย ขนย้าวยาว มุ้งมิ้ง น่าเอ็นดู ^^


ระหว่างทางเดินจะมีจุดให้พักเหนื่อยอยู่เป็นระยะๆค่ะ อย่าหยุดระหว่างขั้นบันไดนะคะ ควรหลบให้คนที่เดินตามมาได้เดินขึ้นอย่างสะดวกด้วยนะคะ


เดินขึ้นมากระทั่งถึงลานพัก ก่อนจะถึงลานด้านบนสุด ยืนชมวิวและนั่งพักตรงนี้ได้แป๊บเดียวฝนก็ตกลงมาอีก ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทา เมฆหมอกปกคลุมจนมองไม่เห็นวิวเลยค่ะ


จุดนี้มี Wifi ฟรีด้วยนะคะ


ท้องฟ้ามืดมัว เมฆหมอกปกคลุมไปทั่ว ดูหม่นๆแต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกเหงาเลยนะคะ


เมื่อฝนซาแล้วจึงเดินขึ้นไปด้านบน


มองลงไปยังด้านล่าง จะพบกับวิวเมืองและเจดีย์(ที่ยังสร้างไม่เสร็จ)


จะพบกับ "พระธาตุเจดีย์ยอดเขาแก้ว" และ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ประดิษฐานอยู่ อีกทั้งยังมีรอยพระพุทธบาทจำลองด้วย


ศิลปะบริเวณฐานพระพุทธรูป


จากด้านบนนี้ สามารถมองเห็นทัศนียภาพได้อย่างกว้างไกล ทั้งวิวเมือง และทิวเขา


บางช่วงจะมีทะเลหมอกให้ชมด้วยนะคะ ส่วนวันที่เรามา พบเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง แต่ก็ยังถือว่าโชคดีไม่น้อยค่ะที่ได้เห็นหมอกเมฆลอยอยู่ใกล้ๆภูเขา


เก็บบรรยากาศรอบๆกันได้เรื่อยๆเลยค่ะ วิวสวย อากาศดี บรรยากาศทุกอย่างดีมาก


ศิลปะ และ ธรรมชาติ ทัศนียภาพที่ลงตัว


พอได้เห็นวิวสวยๆอยู่ที่นี่แล้วก็ไม่อยากรีบลงเลย อยากอยู่ชมพระอาทิตย์ตกที่นี่เลยด้วยซ้ำ เพราะคุยกันกับผู้ร่วมทริปแล้วว่าวันนี้ฝนตกทางเข้าไปหนองทะเลต้องเฉอะแฉะจนเข้าไปลำบากแน่ๆ แถมท้องฟ้าก็ไม่เปิด ต่อให้เข้าไปได้ก็คงไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกดินสวยๆแน่นอน


"โปรดมองฉันด้วยดวงตาพร้อมกับหัวใจ อย่าใช้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง รูปที่ไม่สวยนั้นซ่อนสิ่งที่งดงามกว่า คือ จิตใจ"



อยู่ชมวิวกันพักใหญ่ๆก็ชวนกันกลับ ขาลงนี่ อยากจะกลิ้งแทนการเดินลงซะเหลือเกินค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ ขาขึ้นว่าเมื่อยขาแล้ว ขาลงเล่นเอาซะปวดเข่าเลยค่ะ เพราะต้องใช้การย่อเข่าก้าวลง บางคนบอกว่าต้องหันหลังลง จะเร็วกว่า .... แล้วแต่สะดวกเนอะ ยิ่งช่วงที่ขั้นบันไดห่างๆกันนี่แอบสงสารข้อเข่าเบาๆ ^^"กลับเข้าเมืองแล้วยังพอมีเวลาเหลือเฟือ จึงแวะเดินเล่นกันบริเวณลานปูดำ ชมวิวเขาขนาบน้ำ


วันนี้มาเดินเล่นที่ถนนคนเดินกันค่ะ กะว่าจะหาอะไรกินที่นี่ แต่ราคาค่อนข้างแพง จึงได้แต่เดินดู

มีทุกวันศุกร์-อาทิตย์ เวลาประมาณ 17.00-22.00 น. ทำเลอยูที่ ถ. มหาราช ซอย 8 (ใกล้ห้างโวค)


จากนั้นก็เดินไปร้านข้าวร้านเดิมที่มากินวันก่อน ที่ไหนจะคุ้มเท่าร้านนี้ล่ะคะ ทุกจาน 50 บาท ทั้งธรรมดาและพิเศษ ซุปก็ตักฟรีทั้งรสจืดรถต้มยำ ร้านเปิดตั้งแต่ ตีห้า (ภาษาใต้ แปลว่า 5โมงเย็น ฮ่าๆๆๆๆ) จุดเด่นอยู่ที่เสียงแม่ค้า จะพูดเชิญชวนทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษอยู่เรื่อยๆด้วยเสียงที่ดังและขึงขังตามสไตล์คนใต้


กินข้าวอิ่มก็พากันไปต่อร้านโรตี อีกแล้ว ติดใจน้ำชา ฮ่าๆๆๆ




วันที่สาม : สระมรกต – น้ำตกร้อน คลองท่อม

พอเช้ามาฝนก็ตก รู้สึกเสียดายนิดหน่อย แล้วก็นอนต่อ ฮ่าๆๆๆ แต่ผ่านไปไม่นานฝนก็หยุด ได้เวลาตื่นอาบน้ำ ใส่เสื้อผ้า และหน้าสดออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อมุ่งหน้าสู่ “สระมรกต" อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่

ดูจากแผนที่ Google Map แล้ว ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร ต้องใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมงครึ่ง ค่อนข้างไกลสำหรับการเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์


วันนี้เราออกทางถนนอุตรกิจ หรือถนนหมายเลข 411 เลียบคลองปากน้ำกระบี่แล้วยาวไปเข้าสู่ถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) วิ่งตรงไปยาวๆประมาณ 40 กิโลเมตร กระทั่งเจอแยกก่อนถึงที่ทำการเทศบาลตำบลคลองท่อมใต้ กล่าวคือ ให้สังเกตซ้ายมือ ก่อนถึงซอยดังกล่าวจะมี “ห้างทองพงศ์ทองดี 5" ถัดไปจะเป็นเซเว่นอีเลฟเว่นอยู่ปากซอย จากตรงนี้เลี้ยวซ้ายวิ่งไปอีกประมาณ 17 กิโลเมตรก็จะถึงสะมรกต มีป้ายบอกทางอยู่เรื่อยๆด้วยค่ะ จริงๆสามารถวิ่งเส้นทางอื่นก็ได้เช่นกันนะคะ แต่เราเลือกมาตาม Google Map ดูแล้วว่าเป็นทางที่ใกล้ที่สุด (วิธีไปตาม Google Map อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด เพราะบางครั้ง พาไปในเส้นทางที่ค่อนข้างเสี่ยงอันตราย ดังนั้น ควรศึกษาเส้นทางก่อนออกเดินทางจริง)


เมื่อมาถึงทางเข้าสระมรกต หาที่จอดรถแล้วเดินเข้าไปด้านในได้เลย บริเวณนี้มีร้านค้าและร้านอาหารอยู่หลายร้านค่ะ แต่เราคงมาถึงเช้าไปหน่อย ยังไม่มีร้านไหนเปิด มีเพียงป้าร้านน้ำคนหนึ่งกำลังนำน้ำออกมาใส่ตู้เย็น จึงเดินเข้าไปซื้อน้ำเปล่ากันคนละขวด แล้วเดินเข้าไปกระทั่งถึงป้อมเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า บริเวณปากทางของเส้นทางศึกษาธรรมชาติก่อนถึงสระมรกต


ที่นี่เปิดให้เข้าได้ในเวลา 08.30 น. - 17.00 น. ของทุกวัน

โดยมีค่าธรรมเนียมการเข้า ดังนี้

คนไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท

ต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท



ยื่นเงิน รับคูปอง แล้วเดินเข้าไปด้านในโดยสามารถเลือกเส้นทางเดินเท้าได้ 2 เส้นทางนะคะ ทางแรกเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่มีสะพานไม้ทอดยาวเข้าไปตามแนวป่า ระยะทางประมาณ 1.4 กิโลเมตร ส่วนอีกเส้นทางหนึ่งเป็นทางลูกรัง ระยะทางประมาณ 800 เมตร ทั้งสองเส้นทางจะมีป้ายชื่อและข้อมูลเกี่ยวกับต้นไม้ต่างๆ และแน่นอนว่าเราต้องเลือกทางที่ใกล้ที่สุด นั่นคือทางลูกรังค่ะ ^^

เดินเข้ามากระทั่งเจอป้ายนี้ เดินเข้าไปอีกหน่อยก็จะถึงแล้วค่ะ


แค่น้ำที่ไหลผ่านระหว่างทางเดินก็สวยขนาดนี้แล้ว สวยมาก!!!


สระมรกตมีขนาดประมาณ 20 x 25 เมตร ลึกประมาณ 1.5 เมตร น้ำมีอุณหภูมิประมาณ 30-50 องศาเซลเซียส ที่มาจากของเหลวใต้ชั้นหินก้นสระ (Magma) ระบายความร้อนขึ้นมา


ช่วงเวลาที่เราไป ยังไม่มีใครเข้ามาเลยค่ะ เพราะทัวร์ส่วนใหญ่จะมาถึงประมาณ 10 โมง มีเพียงเจ้าหน้าที่ที่เดินตรวจตราความสะอาดของสระ


น้ำใสมาก กระทั่งเห็นฝูงปลาตัวน้อยๆแหวกว่ายไปมาเริงร่าอยู่ในสระแห่งนี้


และเพื่อเป็นการรักษาธรรมชาติ ห้ามนำสบู่ แชมพู ผงซักซอก หรือสารเคมีใดๆเข้ามาใช้ในบริเวณนี้นะคะ เพราะจะเป็นการทำลายสิ่งมีชีวิตนานาชนิดที่อาศัยอยู่ในน้ำแห่งนี้นั่นเองค่ะ


น้ำในสระมรกตนั้นไหลมาจากบ่อผุดหรือสระน้ำผุด สามารถเดินเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร โดยมีสะพานไม้ที่เจ้าหน้าที่สร้างไว้ให้เดินเข้าไปได้ แต่ช่วงที่เราไปนั้นเส้นทางไปสระน้ำผุดปิดไม่ให้เดินเข้าไปชั่วคราวในช่วงเดือน พฤษภาคม - ตุลาคม (อดเข้าไปชมความงามของสระน้ำผุดเลยค่ะ) น้ำในสระน้ำผุดเป็นน้ำจากธรรมชาติที่ผุดผ่านชั้นหินปูนขึ้นมา จึงอุดมไปด้วย แคลเซียมคาร์บอเนต สังเกตุได้จากทางน้ำที่ไหลลงมาสู่สระ และบริเวณโขดหินในสระมรกตจะมีคราบหินปูนเกาะอยู่ อีกทั้งมีความเป็นด่างที่ทำให้แร่ธาตุและสารต่างๆตกตะกอน รวมถึงสาหร่ายและแบคทีเรียที่สามารถแจริญเติบโตในน้ำดังกล่าวได้ น้ำจึงใสและทำให้มองเห็นเป็นสีฟ้าหรือสีเขียวนั่นเอง


เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วออกเดินทางต่อ ทั้งที่ยังไม่อยากกลับแต่ต้องทำเวลา


เราออกเดินทางต่อเพื่อไปยัง

"น้ําตกร้อนสะพานยูง"

โดยใช้เส้นทางเดียวกันกับตอนมาค่ะ ย้อนกลับไปประมาณ 8 กิโลเมตร จะพบป้ายบอกทางเข้าไปยังน้ำตกร้อน อยู่ทางซ้ายมือ ตรงไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร ก็จะพบทางเข้าสู่น้ำตกร้อน


ค่าธรรมเนียมการเข้า

คนไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท

ต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท



แต่เนื่องจากคืนวันก่อนที่เราไปเกิดฝนตกหนัก ทำให้น้ำตกเปลี่ยนเป็นสีออกแดงๆ (น้ำปนดิน) อุณหภูมิของน้ำก็ไม่อุ่นด้วย เจ้าหน้าที่จึงปิดทำการ แต่ให้เข้าชมได้โดยไม่ต้องชำระค่าธรรมเนียมการเข้า เป็นจริงอย่างที่เจ้าหน้าที่แจ้งไว้ตั้งแต่ก่อนเข้ามาเลยค่ะ น้ำแดงขุ่นจนไม่น่าลงเล่นหรือลงแช่เลย เรายอมยืนดูด้วยความเสียดาย ได้แต่ลองเอามือและเท้าจุ่มลงน้ำที่ไม่มีความอุ่นและความใสหลงเหลืออยู่


น้ำตกร้อนคลองท่อม หรือ น้ำตกร้อนสะพานยูง เป็นน้ำที่ไหลมาจากบ่อผุดในป่าจึงมีอุณหภูมิสูงกว่าน้ำตกทั่วไปเล็กน้อย ซึ่งมีอุณหภูมิประมาณ 40-50 องศาเซลเซียส เป็นน้ำตกขนาดเล็กสูงประมาณ 3 เมตร โดยมีแอ่งหินลดหลั่นกันลงมาลักษณะคล้ายแอ่งหรืออ่างน้ำเล็กๆ ลึกประมาณ 0.5 – 1 เมตร สามารถลงไปแช่น้ำอุ่นๆได้



ออกมาได้แป๊บเดียวฝนก็ตกมาอีก ตกแค่ปรอยๆยังไม่เท่าไร ไปๆมาๆตกหนักขึ้นถึงขั้นต้องแวะหลบฝนศาลาริมทาง รอจนฝนซาจึงออกเดินทางต่อได้ กลับเข้าถึงในเมืองเวลา 12.00 พอดี จึงแวะคืนรถเช่าก่อน แล้วเดินกลับที่พัก อาบน้ำแล้วเดินไปร้านพี่ดำธารา กินข้าวรวบมื้อก่อนกลับค่ะ เดินไปประมาณ 2 กิโลเมตร สู้ค่ะ! หิว!!!



ร้านพี่ดำธารา

อยู่บริเวณสวนสาธารณะธารา เบอร์โทรศัพท์ : 08 1397-7332 มีทั้งอาหารซีฟู้ด และอาหารทั่วๆไป เมนูประจำถิ่นหรือเรียกว่าถ้ามากระบี่ก็ต้องมากิน คือ “หอยชักตีน" ค่ะ ราคาอาหารก็มีตั้งแต่ไม่ถึงร้อยจนถึงหลายร้อยบาท มีหลากหลายเมนูมาก ถ้าสำหรับเรา เราว่ารสชาติธรรมดาค่ะ ไม่ได้อร่อยมากนักแต่ก็พอทานได้ ให้คะแนน 7/10 (ครั้งก่อน ร้านอาหารใบเตย ครั้งนี้ ร้านพี่ดำธารา เราว่ารสชาติและราคาใกล้เคียงกันค่ะ ออกไปทางหวาน ไม่จัดจ้านสักเท่าไร)




นั่งกินข้าวไป มองฝนกระหน่ำด้านนอกไป พอกินอิ่มฝนก็ยุดพอดี เราจะต้องกลับไปขึ้นรถสองแถวบริเวณฝั่งตรงข้ามลานปูดำ เพื่อไปสนามบิน แต่ไม่อยากเดินกลับแล้ว จึงถามพนักงานที่ร้านได้ความว่ามีมอเตอร์ไซค์รับจ้างอยู่ไม่ไกลจากร้าน ตามนั้นเลยค่ะ เราเดินไปตามทางที่ได้ข้อมูลมา ถัดจากร้านพี่ดำเข้าไปประมาณ 50 เมตรก็เจอวินมอเตอร์ไซค์ 40 บาทถ้วนสำหรับ 2 คน ค่ารถสองแถวไปสนามบินอีกคนละ 20 บาท


จบทริป “กระบี่ มีดีมากกว่าทะเล" เย่! ^__^


และสำหรับใครที่มีบัตรเครดิตแอร์เอเชีย แพลทินัม มาสเตอร์การ์ด ธนาคารกรุงเทพ สามารถแสดงบัตรพร้อมกับบัตรโดยสารให้พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเพื่อรับเครื่องดื่มร้อนหรือเย็นได้ค่ะ


ค่าใช้จ่ายรวม

ความคิดเห็น