สวัดดีมิตรรักขาเที่ยวทุกท่าน วันนี้เราก็ไม่มีอะไรมาก แค่จะมาบอกว่า

เราเบื่อ ทำงานแล้วมันเหนื่อย อยากพักผ่อน อยากไปไหนไกลๆสักแห่ง ไปสัมผัสอากาศเย็นๆ สูดอากาศให้เต็มปอด

อยากทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ

นั้นก็คือ

นั่งรถไฟฟรี ย้ำนะย้ำว่ารถไฟฟรี (ไม่ต้องบอกนะว่าเป็นยังไง)

ติดตามและสอบถามข้อมูลร่วมพูดคุยกันได้ที่เพจ : https://www.facebook.com/Krapaoneungbai/

เฮ้ยเมิง หน้าหนาวก็อยากไปหาเขาวะ โคตรคิดถึงเขาเลย เขาจะคิดถึงเราหรือเปล่าก็ไม่รู้วะ (แอบมาม่า)สมัยเรียน เคยมีความคิดว่า เอ้ยโคตรอยากนั่งรถไฟไปเที่ยวเหนือวะ แบบนั่งไปเรื่อยๆชิลๆ ไม่ต้องเร่งรีบ ถึงตอนไหนก็ชั่งมัน

แบบตื่นเช้ามาสองข้างทางมีแต่ภูเขาให้ลมมันตีหน้า มันโคตรฟินน่ะแบบนั้นแต่นั่งรถไฟมันไปถึงแค่เชียงใหม่ (แต่แอบเบื่อเชียงใหม่แล้ว) เลยมีความคิดที่จะไป แม่ฮ่องสอน แม่ฮ่องสอน เมืองสามหมอก เมืองแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ที่น่าค้นหา เมืองที่ป่าไม้ยังอุดมสมบูรณ์ ผู้คนยังน่ารัก ยังคงวัฒนธรรมแบบดั่งเดิม

ดูแผนที่เมืองแล้ว

ไม่อยากนั่งรถตู้ไปเลยวะกลัวอ๊วก 55 อยากแว๊นต์มอไซต์ แบบขับไปเรื่อยๆๆอยากแวะไหนก็ได้ เหนื่อยก็พัก

หายเหนื่อยแล้วก็ขับต่อไป มันฟิวแบบลุ้นตลอดทางดีว่าเวลาลง โคตรเสียวบอกเลยในการไปแม่ฮ่องสอนครั้งนี้

เราตัดสินใจแว๊นต์จากเชียงใหม่ ไป ปางอุ๋ง ดูจากโค้งแล้ว เราก็แอบกลัวนิดๆว่าจะไปถึงมั้ย มาดูว่าการไปแม่ฮ่องสอนครั้งนี้

เราจะไปที่ไหนกันบ้างมาติดตามดู

แบบลุยๆนิดๆๆ #สถานที่หลักๆที่เราไป

1.ปางอุ๋ง
2. หมู่บ้านรักไทย
3. โป่งน้ำร้อนท่าปาย
4.ถนนคนเดินปาย
5.บ้านกะทิสด
6.ทะเลหมอกหยุนไหล
7.กองแลน (ปายแคนยอน)
8.สะพานบุญโขกู้โส่ ปาย
9.ผาหมอกบ้านจ่าโบ่
10. ก่วยเตี๋ยวห้อยขาบ้านจ่าโบ่

เสียงมันก้องอยู่ในหูบอกว่า เมิงจะไปรถไฟฟรี เมิงต้องไปแต่ตีห้า อิเตี้ย เวลานี้กุจะลุกออกจากที่นอนยังยากเลย

จะให้กุไปถึงสถานีหัวลำโพงตีห้า เมิงบ้าป่าวสุดท้ายตรูนอนต่อจ้า เอาเป็นว่า มาถึงสถานี 08.10 น.

ไม่ต้องรีรออะไร ให้เดินไปที่จ่ายตั๋วเลย ไปถึงยื่นบัตรประชาชนให้พี่เจ้าหน้าที่ช่ะ เสียงพี่เจ้าหน้าที่บอกว่า เหลือแต่ตั๋วยืนนะครับ ไปไหม ตรูคิดในใจอ้าวพี่ ก็ไปดิ พี่จะให้ผมกลับชลหรอ (อันนี้เราเดินทางมาจากชลนะ)

เอาหว่ะไปก็ไป เป็นไงเป็นกัน เพราะตั้งใจไว้แล้วว่า จะนั่งรถไฟฟรี

แต่ไม่ได้นั่งนาจา ได้ยืน ยืนไปเชียงใหม่ เป็นยังไงไม่ต้องพูดเนอะ 555

สียงประกาศดังขึ้น

ขนาดนี้เวลา 13.45 เวลารถไฟใกล้จะออกแล้ว

ทุกท่านที่จะเดินทางไป เชียงใหม่ ขอให้ขึ้นรถทันที

เรารีบวิ่งหอบกระเป๋า เพื่อไปให้ทัน เพื่อจะไปหาที่ยืนได้

ก็มันยืนเนอะ ก้ต้องหาที่ดีๆ สำหรับยืนแบบยาวๆกันไป

พอขึ้นมาเท่านั้นแหล่ะ

โหวคน

ทำไมมันเยอะขนาดนี้

ได้ยินเสียงแว่วๆว่า ชิดในหน่อยครับ

คนข้างหลังจะได้ขึ้นมั่ง

ห๊ะแน่นขนาดนี้ยังอัดอีกหรอวะ 5555

เอาวะเป็นไงเป้นกัน

คนอื่นขึ้นได้เราก้ต้องอยู่ได้สิวะ

เมื่อรถไฟเคลื่อนออกจากสถานี

มันก็รู้สึกดีน่ะ

อากาศไม่ร้อนมาก

แบบสบายๆชิลๆๆๆ

ยืนไปได้สักพักมันก็เหนื่อยเนอะ

หาที่พิงสิ 55555 เราก็นั่งตรงที่วางแขนนั้นล่ะ

เริ่มได้ครึ่งทาง มันก็เพลียอ่ะเนอะ เราก็ต้องหาอะไรทำ ชวนคนอื่นคุยสิ มันจะได้ลืมความเหนื่อยหรอ

ก็มีเจอ น้องที่ขึ้นที่ลพบุรี

จึงมีบทสนทธาขึ้น

ถามว่าน้องจะไปไหน

น้องบอก ไปเชียงใหม่ครับ

เราอ่อไปเดียวกันเลย

เรายังต้องร่วมชะตาลำบากไปด้วยกัน555

เรารู้สึกอิจฉาน้องสองคนนี้น่ะ

สมัยเด็กมัธยม

เราไม่เคยออกเดินทางแบบนี้เลย

คิดแล้วเสียดาย

แตกต่างจากน้องสองคนนี้ที่บอกจะไปเที่ยวกับเพื่อน

เราถามว่า มากันแค่ 2คนหรอ

น้อง : ป่าวครับ มากับเพื่อนกันหลายคนแต่แยกกันขึ้น

ที่ไหนว่างก้ขึ้น ค่อยไปเจอกันที่เชียงใหม่

เรา : อึ้งสักพัก ดีจัง

กล้าที่จะออกไปหาประสบการณ์รอบข้าง

เราได้แต่บอกว่าโชคดีน่ะน้อง

เก็บเกี่ยวประสบการณ์เยอะๆแล้วมาเล่าสู่พี่ฟังมั่ง

แล้วน้องก็เดินไปหาเพื่อน

เพราะมันเริ่มดึกแล้ว

คนก้เริ่มน้อย

สามารถเดินไปมาได้

พอใกล้จะถึงที่มันก้เริ่มว่าง ก็หาที่นั่งกัน

จริงๆเราก็มีเก้าอี้นั่งเตรียมไปด้วยน่ะ

แต่เราให้น้องเด็กผู้หญิงนั่งแทนเรา

พอได้ที่นั่งเราก็ได้เจอน้องอีกกลุ่ม

สอบถามน้องจะไปเที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่

แต่บอกมีเงินอยู่ 500 บาท

เราอึ้งมันจะอยู่ได้ยังไงวะ

ไปใช้ชีวิตในเชียงใหม่

แค่เดินออกจากห้องแทบจะหมดแล้ว

แต่น้องก็ปรึกษา

เราก็ให้คำปรึกษาอะไรได้ไม่มาก

ไม่รู้จะแนะนำยังไงกับการมาเที่ยวเชียงใหม่

กับเงิน 500 บาท

ได้แต่แนะนำว่า

เดินเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ประหยัดสุดแล้ว

เราบอกกับน้องว่า โชคดีน่ะน้อง

เที่ยวให้สนุกน่ะ

พี่เชื่อว่า พวกเราทำได้


ได้ยินเสียงประกาศบอกว่า



สถานีเชียงใหม่

เราโคตรดีใจ

ถึงเชียงใหม่อย่างปลอดภัย

สิ่งที่ต้องทำในการนั่งรถไฟฟรี

1.ตื่นไปจองตั่วแต่เช้าแล้วค่อยกลับไปนอน

2.เตรียมบัตรประชาชนไป

3.ของกินไม่ต้องเตรียมหรอกมีของให้กินตลอดทาง

4.เตรียมเก้าอี้เล็กๆไปด้วยเผื่อได้ตั๋วยืนแบบเรา

หลังจากที่ถึงเชียงใหม่แล้ว ก็ไปอาบน้ำสิ



ไม่ได้อาบน้ำมาตั้ง 1 วัน

ลมตีหน้า ผมนี้ไม่ต้องพูดถึง ใช้หวี หวียังหัก

ห้องอาบน้ำอยู่ในสถานีนั้นล่ะ ค่าบริการ 15 บาท


อาบน้ำเสร็จก็เดินออกไปนอกสถานี เพื่อจะไปนั่งสองแถว เพื่อจะไปอาเขต(้เช่ามอไซต์)
เขาบอกว่า ถ้ามาเชียงใหม่ ให้อู้กำเมือง ค่ารถแดงจะถูก
เราไม่รอช้า เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามสิ
ถ้าพูดภาษากลางค่ารถแดงจะแพงขึ้น อันนี่เราไม่ได้จะมาดิสเครดิตรถแดง



เรา : ปี้ครับไปอาเขตจักบาทครับ
รถแดง : คนละ 30 บาทขึ้นเลย
เรารีบวิ่งขึ้นอย่างทันใด เพราะตอนนี้มันสายมากล่ะ
พอไปถึงเรารีบดิ่งไปที่ร้านเช่ามอไวต์ ร้านชื่อว่า ร้าน ไบกี้
พอไปถึงต้องตกใจกับคนที่รอเช่ามอไซต์ แบบเยอะมากจนบอกไม่ถูก
อย่างว่าแหล่ะมันเทศกาล เรายืนเอกสาร ปกติจะได้รถเลย แต่ครั้งนี้เรากับรอ ตั้ง 2 ชั่วโมง
แต่เราก็เข้าใจ เพราะคนต้องการแว๊นต์มอไซต์กันเยอะ มันฟินนะแว๊นให้ลมตีหน้ากับอากาศเย็นๆในตอนเช้า

นี่คือเพื่อนร่วมเดินทางไปกับเรา ไปไหนไปด้วยกัน
หลังจากที่ได้รถแล้ว เป้าหมายที่แรกของเรา คือปางอุ๋ง
เชียงใหม่-ปางอุ๋ง ก็ประมาณ 250 กิโลโดยประมาณ ใช้เวลาประมาณ 8-9 ชั่วโมง
เราออกจากร้านไบกี้ เวลา 09.30 น. ไปถึงปางอุ๋งก็ประมาณ 17.00 น.
อันนี้ขับไปเรื่อยๆเหนื่อยก็พัก สำหรับเราแล้วเราว่าทางสบายขับไม่ยากเลย แต่ก้ต้องคนที่ขับรถแข็งพอควร
เดินทางไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะถึงปาย เราก็แวะที่
อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ตอนนั้นก็เวลาบ่ายแล้ว ไม่มีหมอกให้ดูแล้ว มีแต่วิวให้ชื่นชมยามบ่ายๆๆ


นี้คือร้านกาแฟระหว่างทางที่เราจะไป ปางอุ๋ง

ร้านกาแฟค่อนข้างเยอะมาก

กาแฟนี่ล่ะคือตัวช่วยชั้นดีของเรา ในการขับรถ

ถ้าไม่มีกาแฟเราคงขับไม่ไหวๆแน่ๆ

บางคนบอก M 150 ก็ตัวช่วยชั้นดี

แต่เราเลือกที่จะกินกาแฟเพราะมันเยอะจริงๆๆ


เรามาถึงปางอุ๋งแล้ว

และมีเจ้าบ้านมาต้อนรับเป็นอย่างดี

แต่เราต้องตกใจอย่างนึ่ง

และเรารู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้

หลายคนบอกว่า

ไปปางอุ๋งต้องเจอกับหงส์คู่

ที่พระองค์ท่านในหลวงของเราประทานไว้

แต่กลับกลายเป็นว่า เราเจอแค่ตัวเดียว

ทำให้รู้สึกไม่สบายใจว่าอีกตัวนั้นไปไหน

ถามใครก็ไม่มีใครรู้ เราได้แต่นึกว่า อีกตัวมันคงยังไม่ออกมาให้ใครเจอ

เรารอแล้วรอเล่าอีกตัวก็ไปออกมาเหมือนเดิม

เราบอกกับตัวเองว่า พรุ่งนี้เราต้องเจอทั้งสองตัว

ตะวันลาลับขอบฟ้าไปแล้ว

อากาศเย็นๆก็เริ่มเข้ามาแทนที่

เหมือนกับว่าอากาศหนาวมันทำให้เราเหงามากยิ่งขึ้น

ด้วยความที่ไม่ได้จองที่พักมา

มาถึงมันก้เต็มหมดแล้ว เราเดินหาที่พักไปเรื่อยๆ

ถ้าจะขับลงไปพักในหมู่บ้านก็คงไม่ไหวแล้ว

เพราะมันมืดและหนาวมาก

ในความโชคร้ายยังมีความโชดดีอยู่

เราได้เต็นของชาวบ้าน ให้เราได้หลับนอนในค่ำคืนนี้

ก่อนจะจากไปของคืนนี้

เราพบเพื่อนเต็นท์ข้างๆที่แกมากับแฟน

เราพูดคุยกันไปเรื่อยๆจิบเบียร์เย็นๆเพื่อคลายความหนาวในกาย

เราสอบถามว่ามาปางอุ๋งยังไงแกบอกว่า แว๊นต์บิ๊กไบค์มา

แต่แว๊นมาทางโหดกว่าเราอีก

เราแว๊นเชียงใหม่ปายปางอุ๋ง

แต่พี่เขาแว๊นเชียงใหม่แม่แจ่มปางอุ๋งทางนี้ค่อนข้างโหดมาก

นับถือในตัวพี่เขาเลย สุดท้ายคุยไปคุยมาคนบ้านเดียวกันเฉยเลย

จากลาคืนนี้ด้วยความเหนื่อยล้า แล้วหลับฝันดี เพื่อบอกตัวเองว่า พรุ่งนี้เราต้องแว๊นอีกยาวไกล

ทันใดนั้นได้ยินแต่เสียง กรนแล้วก้เงียบหายไปทันดี


หลังจากที่หลับไหลไปแล้ว ที่เดินทางอันแสนเพลีย

พอตื่นมาเราก็ยังเห้นหงส์ตัวเดียวเหมือนเดิม เราไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

เพราะทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องเจอหงส์คู่ แต่เรากลับเจอตัวเดียวเหมือนเดิม

อยู่ในหัวเราได้แต่สงสัย

บรรยากาศโดยรอบแบบมันดีมาก ฟินเลย



ล่องแพเพื่อชมความสวยงาม
หมอกบางๆลอยอยู่เหนือผิวน้ำ
สลับกับแสงแดดที่สาดส่องลงมา
ฟินแบบบอกไม่ถูก
แพลำละ 150 / 2 ท่าน


ตื่นๆๆมีเรื่องแล้ว ใครยังไม่ตื่นก็ตื่นช่ะ อาบน้ำแปรงฟัน ไปหาสาดมาท่าเลย(ไปหาเสื่อมาปูรอ) งงอะดิว่าเราจะไปไหนต่อ

คิดๆๆๆทายๆมาว่าเราจะไปไหน ไม่ถามเดี๋ยวตอบเองกะได้ (เสียไต) เอาเป็นว่าจะพาไปเยี่ยมชม

....หมูบ้านรักไทย (รักลาวไม่ได้เท่ารักไทยเท่านั้น) มุกเตี้ยไรเมิงวะเนี้ย

บ้านรักไทยอยู่ไม่ไกลจากปางอุ๋ง ใช้เวลาในการแว๊นไม่นาน แต่เราไปถึงบ้านรักไทยก็สายแล้ว แดดก็ร้อนนิดๆๆ ที่จริงเราสามารถนอนบ้านรักไทยได้ แต่เราเลือกที่จะไม่นอน (หยิ่งไง)

หมู่บ้านรักไทยเป็นชุมชนจีนยูนานขนาดใหญ่ มีหนองน้ำขนาดใหญ่อยู่กลางหมู่บ้าน และในช่วงเช้าๆก็ดูทะเลหมอกลอยเหนือผิวน้ำแบบปางอุ๋งแต่เรามาถึงก็สายแล้วเลยไม่เจออะไร เราเลยเข้าไปเยี่ยมชมไร่ชาของรีไวท์รักไทย

ปล.สามารถเข้าชมไร่ชาได้ตั้งแต่ 09.30 น. ไม่เสียค่าบริการเด้อ

***** ถ้ามีเวลาเยอะๆก็ขอให้นอนบ้านรักไทยสักวัน




ตามมาเร็ว ว่าเราจะไปไหนต่อ คิดไม่ถึงอ่ะดิว่าเราจะไปปาย เพราะคงคิดว่าทำไมแว๊นต์กลับไปกลับมา อย่างที่บอกแหล่ะ

เรายังวัยรุ่นอยู่ก็อยากไปเค้าดาวที่ปายอ่ะเนอะเพราะอยู่เงียบๆๆมาคืนหนึ่งแล้ว อยากไปสนุกมั่ง กระโดดขึ้นรถเลย

เสียงมอไซต์ดังขึ้น กับระหว่าง 70++ กิโล ที่แว๊นจากบ้านรักไทยไปปาย คิดอ่ะดิว่าเราไปปายแล้วจะไปพักที่ไหน เพราะที่พัก เยอะฉิบ

เราขอเลือกบ้านกะทิสด

ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมเราเลือกที่นี่

ตามมาดูสิ

บ้านกะทิสด อยู่ไม่ไกลจากถนนคนเดินปาย

บ้านกะทิสด เป็นที่พักเล็กๆ เหมือนอยู่บ้านตัวเอง การเข้าไปพักในนี่ เราได้พบความแตกต่างจากการพักที่อื่นอย่างสิ้นเชิง

พี่ทิเป็นคนที่ใจดีมากๆ ดูแลเป็นอย่างดี ที่เราชอบที่นี่อย่างนึ่งคือ การมีกองไฟให้เราได้ผิงยามหนาว และได้นั่งพูดคุยกับคนอื่นที่มาพักในนี่ เราว่ามันโอเคจนบอกไม่ถูก เราได้มิตรภาพ เราได้พูดคุยเราพูดในเรื่องเที่ยว เราพูดในสิ่งที่เราชอบเหมือนกัน เล่าสู่กันฟัง ไม่มีที่ไหนแน่นอนที่เป็นแบบนี้ สำหรับคนที่ชอบเปิดโลกกว้าง ไม่ต้องการความส่วนตัวมาก


หลังจากที่เข้าเชคอิน เก็บกระเป๋าแล้ว แว๊นต์มาเหนื่อยๆอยากหาที่ผ่อนคลาย เนี้ยไปที่นี่เลย โป่งน้ำร้อนท่าปาย

หนาวๆไปแช่น้ำร้อนคงสบายไม่น้อย ระหว่างทางไปน้ำร้อนท่าปาย เราก็เจอ เราก็เจอ เราก็เจอ

ทุ่งปอเทย เอ้ยทุ่งปอเทือง ถูกแล้ว


เนี้ยโป่งน้ำร้อนท่าปาย

ต้มไข่ยางมะตูมด้วย

มีไข่ไว้บริการ (ซื้อน่ะไม่ใช่ให้ฟรี 55)

น้ำอุณหภูมิสูงมากเกือบเท่าอุณหภูมิร่างกาย คิดว่ากล้าลงป่าวล่ะ กล้าสิ

แต่ลงแช่ได้ไม่นานนะ มันเหนื่อย แบบหายใจไม่ออกเลย



ผ่อนคลายเสร็จแล้ว ไปเดินถนนคนเดินปายกัน ถนนคนเดินปาย ค่อนข้างใหญ่มากๆ มีของกินเยอะมาก มีของให้เลือกเยอะมาก เราเป็นคนที่ไม่ชอบเดิน แวะเอารูปมาให้ดูแค่นี้เนอะ 55


เคยมั้ยเวลาไปเที่ยว ฝนตกมั่งล่ะ ฟ้าปิดมั่งล่ะ ใครไม่เคยตรูนี้ล่ะเคย ทุกครั้งด้วย ชั่งมันเที่ยวใต้ฟ้าจะกลัวฝนทำไมน่ะ

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ตีห้า (คิดว่ากุจะตื่นมั้ย) คิดถูกแล้ว ตรูไม่ตื่นหรอก นอนต่อสิ 5555 รู้ตัวอีกที่ ก็ หกโมงครึ่งแล้ว

อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ แว๊นสิแว๊น อากาศหนาวๆแบบนี้ล่ะคิดว่าหนาวมั้ย ก็หนาวสิ เช้าๆมองไม่เห็นทาง กุหลงตัวจ้า

วิ่งวนไปวนมา คนให้ถามก็ไม่มี แมพ ก็มั่ว พากุหลง สุดท้าย หาทางออกเจอ เราจะไปทะเลหมอกหยุนไหล

ทะเลหมอกหยุนไหล เลยหมู่บ้านสันติสุขไป

ค่าเข้าชม คนล่ะ 20 บาท

มีโจ๊ก น้ำร้อนให้กิน

พูดเยอะล่ะ ไปดูทะเลหมอกกัน

ทะเลหมอกหรอ ไม่มีหรอก

พระอาทิตย์หรอ ไม่มีหรอก

ฟ้าปิดจ้า

กลับไปนอนต่อสิ รออะไร


ฟ้าแบบนี้ คิดว่าจะทำอะไรหล่ะ กลับห้องไปนอนต่อสิ นอนได้ไม่นานหรอก เขาจะไล่ออกล่ะ มันก้จะเที่ยงแล้ว

คิดว่าจะไปไหนต่อล่ะ ไปกองแลน หรือปายแคนยอน

ไปเดินเล่นชิลๆๆ

ไปถ่ายรูปโง่ๆ

ไปทำตัวเกร๋ๆ

สะพานบุญ โขกู้โส่

เป็นสะพานที่เกิดจากพลังความสามัคคีความศรัทธาของชาวบ้านที่ร่วมมือกันทำ เพื่อเป็นทางให้พระภิกษุสงฆ์เดิน

เพื่อที่จะไม่ได้เหยียบที่นาของชาวบ้าน และเป็นสะพานที่ไปมาหาสู่กันของชาวบ้านแต่การมาครั้งนี้เรามาผิดฤดู

เรากลับไม่เห้นอะไรเลย มีแต่สะพานไม้ที่สองข้างทางแห้งไปหมดแล้วถ้าจะมา ณ ที่แห่งนี้แนะนำให้มาช่วงหน้าฝน

หน้าของการทำนาเพราะสองข้างทางของสะพานจะเต็มไปด้วยความเขียวขจี อากาศสดชื่นไปอีกแล้ว

ไม่คิดล่ะสิว่าเราจะแว๊นกลับไปยัง ปางมะผ้า อย่างที่บอกแหล่ะ อยากไปเค้าดาวปายไง เลยต้องวนกลับไปกลับมา

เสียเวลาเนอะ 555 วันๆไม่ได้ทำไรหรอก มีแต่แว๊นต์กับแว๊นต์นี้ล่ะ ถามว่าเหนื่อยมั้ย ตอบเลยว่ามาก

หลังจากที่แว๊นต์มาเหนื่อยๆ เรามาพักที่ little edent ที่ปางมะผ้า

ที่พักคืนล่ะ 350 บาทเอง คุ้นเกินราคา วันนี้ขอนอนโง่ๆในห้องล่ะกัน ไม่ใช่ขี้เกียจไปเที่ยวน่ะ แต่ไม่รู้จะไปเที่ยวไหน

เพราะปางมะผ้ามันแค่ทางผ่าน ที่จะไปบ้านจ่าโบ่ วันนี้ขอเก็บเอาแรง ตื่นเช้าล่ะกัน สำหรับที่พักที่นี่

มีสระว่ายน้ำเล็กๆให้ว่าย มีสระข้ามลำคลองไปในป่า

มีมุมน่ารักให้อ่านหนังสือ


ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น เรารีบอาบน้ำแต่ตัวเพื่อจะไปดูทะเลหมอก เราขับรถไปบ้านจ่าโบ่ ทางมืดแต่ไม่อันตราย

การขับรถในยามเช้ามันชั่งทรมานชะเหลือเกิน แบบมันหนาวและเย็นมากๆจนแบบบิดไม่ขึ้น ไปถึงบ้านจ่าโบ่ มันก็เช้าจนเกินไป ร้านก็ยังไม่เปิด แต่เราอยากไปดูทะเลหมอกที่ผาหมอก แถวๆบ้านจ่าโบ่ จึงได้สอบถามเจ้าบ้านเพื่อให้ชาวบ้านนำทาง

ผาหมอกอยู่ไม่ไกลจากบ้านจ่าโบ่
แต่ต้องมีคนนำทาง เพราะเราไม่รู้จุดที่จะขึ้น

และทางขึ้นค่อนข้างชัน

ชาวบ้านนำทางคิดคนละ 150บาท

ใช้เวลาเดินประมาณ 20นาทีได้


เนี้ยเราเฝ้าแต่ภาวนาให้ฟ้าเปิดบ้าง

แดดไม่มีทีท่าว่าจะให้เห็นเอาเสียเลย

อย่างว่า หนุ่มหน้ามนคนฟ้าปิด 555

โบกมือลาเมืองแม่ฮ่องสอน

ถ้ามีโอกาศเราจะกลับมาพบกันอีก

เมืองปายเป็นเมืองที่ค่อนข้างน่าอยู่สำหรับเรา

ไม่เป็นเมืองจนเกินไป และมีธรรมชาติอยู่โดยรอบ

สำหรับการมาแม่ฮ่องสอนครั้งนี้

เราไปไม่ถึงแม่ฮ่องสอนเลย

อาจด้วยที่เราอยากมาเค้าดาวที่ปาย

ทำให้แว๊นต์กลับไปกลับมา จนเสียเวลา

แต่เราขอขอบคุณมิตรภาพระหว่างทางทุกคน

ความคิดเห็น