สวัสดีเพื่อนๆทุกคนค่ะ
หลายครั้งเวลาเราอกหัก เรามักจะอยากไปทะเล แต่ครั้งนี้ไม่รู้ทำไม เรารู้สึกอยากหนีเข้าป่า อยากหนีไปในที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ที่ที่ไม่มีใครสามารถติดต่อเราได้ และลาวใต้ “ปากเซ" ก็คือคำตอบ แถมอยู่ใกล้ๆบ้านเราด้วย (เราเป็นคนอุบลนะ)
เราอยากไปหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ไปซักที ครั้งนี้คืออยากไปก็ไปเลย ว่างแค่เสาร์-อาทิตย์ก็ไป แบกเป้ 1 ใบกับกล้อง 1 ตัว ไปคนเดียวแบบไม่บอกใครด้วย (ไม่รู้อารมณ์ไหน)
ครั้งแรกของการเดินทางคนเดียว จะเป็นยังไงบ้าง ไปดูกันค่ะ


Day 1: วันที่ 4 มีนาคม 2560

เราขึ้นรถไป “ปากเซ"ที่สถานีขนส่งอุบลค่ะ ถ้าเพื่อนๆคนไหนมาจากสนามบินก็เรียกแท็กซี่ให้มาส่งที่สถานีขนส่งได้เลยค่ะ ค่าโดยสารประมาณ 100 บาท


ไปซื้อตั๋วกันค่ะ เราขึ้นรถบัสของบริษัทขนส่ง ราคาตั๋ว 200 บาทค่ะ


รถบัสไปปากเซจะมีวันละ 2 รอบนะคะ คือรอบเวลา 09.30 น. และ 15.30 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงค่ะหรือถ้าใครไม่อยากนั่งรถบัส เพราะมีรอบน้อย ก็มีรถตู้บริการนะคะ จะเป็นรถตู้อุบล-ช่องเม็ก ราคา 100 บาท (รถออกทุกชั่วโมงจนถึง 18.00 น.) แต่เค้าจะส่งเราถึงแค่ด่านช่องเม็กค่ะ จากนั้นเราก็ไปต่อรถตู้ฝั่งลาวที่ด่านวังเต่าเพื่อไปปากเซ ราคา 100 บาทค่ะ (ข้อดีคือเร็ว แต่ข้อเสียคือต้องรอให้คนเต็ม)


การไปปากเซควรมีพาสปอร์ตด้วยนะคะ แต่ถ้าไม่มีก็สามารถไปทำแบบชั่วคราวที่ด่านช่องเม็กได้ค่ะ แต่มันจะเสียเวลามากกกกกกกก (รอบที่เราไปมีคนไม่มีพาสปอร์ต เสียเวลารอเป็นชั่วโมง) ดังนั้นควรมีดีที่สุดค่ะ


Let's go ออกเดินทางกันค่ะ


ถึงด่านช่องเม็กแล้วลงไปตรวจพาสปอร์ตกันค่ะ เดินตามกันเข้าไปเลย เขียนใบขาเข้า-ขาออกให้เสร็จ จากนั้นก็ไปตรวจคนเข้าเมืองที่ด่านวังเต่าฝั่งลาว


ระหว่างทางไปด่านวังเต่ามีร้าน Duty free ด้วยนะ เผื่อใครอยากช็อปปิ้ง


มาถึงพิธีการตรวจคนเข้าเมืองค่ะ อันนี้เราอยากเล่ามาก คือจากที่เราหาข้อมูลมา เค้าบอกว่าจะเสียค่าธรรมเนียมผ่านด่าน 50 บาท แต่เราได้จ่าย 100 บาท (ขอลดก็ไม่ให้) เราก็คิดไปว่าหรืออาจจะเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์รึป่าว? เราก็ไม่รู้ แต่ก็ได้จ่ายไปแล้วแหละ ตรงด่านวังเต่านี้ก็จะแม่ค้าลาวมาถามแลกเงินกีบและเสนอขายซิมให้เรา (เราไม่ซื้อเพราะไม่อยากติดต่อใคร 555) รถมาจอดรอเราแล้วค่ะ


ถึงแล้ว ปากเซ “สะบายดี" (ไม่สบายก็ต้องบอกว่าสบายแหละงานนี้ 555)


รถบัสจะส่งเราลงที่สถานีหลักสองค่ะ จากนั้นก็จะมีบรรดาคนขับรถรับจ้างมารุมมาตุ้มเรา (อย่างกับเป็นดารา)


เรานั่งรถตุ๊กๆเข้าเมืองปากเซค่ะ อันนี้ก็ขอเม้าท์อีกหน่อย จากที่ศึกษาข้อมูลมาเค้าบอกว่าค่ารถเข้าเมืองแค่ 40 บาท แต่เราโดนไป 100 บาทอีกแล้ว ขอลดราคาก็ไม่ให้ ทั้งๆที่ในรถก็นั่งมาตั้งหลายคน ฝรั่งที่นั่งมากับเราก็บ่นว่าคิดราคาแพงไปนะ นี่แหละนะที่เค้าว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นก็ไม่เท่ามาสัมผัสเอง" 55555


เราบอกให้ตุ๊กๆมาส่งที่โรงแรมลานคำค่ะ ที่พักของเราในทริปนี้ ตั้งใจมาพักที่นี่เพราะอยากกิน “เฝอลานคำ" อันโด่งดังค่ะ อิอิ


แต่... มาถึงแล้วร้านปิดค่ะ เซ็งมาก!!! พนักงานที่โรงแรมบอกว่าถ้าวันไหนขายหมดเร็วก็ปิดเร็วค่ะ (ตอนนั้นมันก็บ่าย 2 กว่าๆแล้ว) งั้นเรารอกินพรุ่งนี้ก็ได้


ก่อนไปเช็คอิน เราก็ไปแลกเงินกีบค่ะ อยู่ติดกันกับโรงแรมลานคำลานค่ะ เราว่าที่นี่เค้าให้เรทดีนะ 1 บาท = 239 กีบ แม่ค้าที่ด่านวังเต่าให้เรทเรา 1 บาท = 235 กีบ แต่มันก็ไม่ได้ต่างกันมากอ่ะนะ อิอิ


ไปเช็คอินกันค่ะ เราไม่ได้จองมาล่วงนะ คิดว่าช่วงนี้ low season ห้องพักไม่น่าจะเต็ม และจากที่ศึกษามา(อีกแล้ว 5555) เค้าบอกว่าบางที่ walk-in จะถูกกว่าจองล่วงหน้า ถูกกว่าจริงๆด้วยนะ ห้องแอร์ 100,000 กีบ(400 กว่าบาท) ห้องพัดลม 60,000 กีบ (250 บาท) เราเลือกนอนห้องพัดลม ประหยัดดี นอนแค่คนเดียวและคืนเดียวด้วย


ห้องพักก็โอเคนะ เหมาะสมกับราคา


โรงแรมลานคำมี 4 ชั้น และห้องพัดลมอยู่ที่ชั้น 4 เท่านั้น (wifi ไม่ถึงเลยค่ะ) 55555 แต่วิวดีนะ เห็นเกือบทั้งเมืองเลย


เก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปหาของกินกันค่ะ แถวๆโรงแรมมีแต่ร้านอาหารตามสั่ง เราอยากกินอาหารพื้นเมือง เลยเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ ไปเจอร้านนี้ น่าจะขายแหนมเนืองนะ


เราถามเค้าว่าขายอะไรบ้าง เค้าเอาเมนูให้เราดู เราก็จิ้มเลยค่ะว่าเอาอันนี้ 55555


เมนูนี้มีชื่อว่า “บิ๋บุ๋ม" อารมณ์ประมาณขนมจีนน้ำยากะทิใส่หมู ใส่ปอเปี๊ยะทอด ใส่ผักเยอะๆ อร่อยดีค่ะ ได้เยอะมาก กินก็ไม่หมด


อันนี้คือเมนูอะไรก็ไม่รู้ค่ะ น่ากินมาก เห็นคนซื้อใส่กล่องเยอะดี เราเลยแอบถ่ายรูปมาค่ะ อิอิ


กินข้าวเสร็จ ก็ไปหากาแฟกินกันค่ะ ระหว่างกำลังเดินไปหาร้านกาแฟ เราเจอตลาดค่ะ มีของขายเยอะนะ แต่ค่อนข้างเงียบ (หรือมันเป็นช่วงที่คนไม่จ่ายตลาดกัน) อยู่ตรงข้ามตลาดน่าจะเป็นโรงพยาบาลด้วยอ่ะ เราเดาจากสัญลักษณ์นะ อิอิ


เจอแล้วค่ะร้านกาแฟของเรา ร้าน “Phidao cafe" น่านั่งดีนะ


แต่เดี๋ยวก่อน! เมื่อได้ชิมรสชาตินั้น... เหมือนกินน้ำเปล่า 555 เราสั่งลาเต้เย็น มันไม่อร่อยเลยอ่ะ เสียดายเงินมาก ตั้ง 18,000 กีบอ่ะ


หลังจากที่กาแฟทำเราเสียอารมณ์มาก เราก็ออกไปเดินเล่น ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เจอวัดด้วย “วัดหลวงปากเซ" สวยมากค่ะ


ออกจากวัดก็ไปถ่ายรูปเมืองกันค่ะ รถสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย ต่างจากบ้านเรามากค่ะ 555


พอเริ่มมืด แสงหมดแล้ว เราก็ไปเช่ารถมอเตอร์ไซค์ไว้สำหรับแว๊นไปน้ำตกพรุ่งนี้ค่ะ เราไปเช่ามอเตอร์ไซค์ที่อาลิสาเกตส์เฮ้าท์ (ลานคำไม่มีให้เช่า) อยู่ใกล้ๆกันกับลานคำเลยค่ะ


ตอนนี้กำลังมีฝรั่งถามเช่าอยู่ เราเลยไปศึกษาแผนที่รอค่ะ


เช่ารถเสร็จแล้ว กลับไปนอนเอาแรงค่ะ เพราะพรุ่งนี้เราจะออกเดินทางตั้งแต่เช้า ข้าวเย็นไม่กินนะ แต่กินนี่แทน เมาแล้วนอน 55555 (ช่วงอกหักมักจะเป็นแบบนี้)


Day 2: วันที่ 5 มีนาคม 2560

เราออกเดินทางตั้งแต่ 7 โมงเช้า (ไปเร็วกว่าไปทำงานอีก 555) สายๆเรากลัวร้อน แล้วก็กลัวกลับมาไม่ทันขึ้นรถกลับอุบลด้วย วันนี้เราจะไปกันที่ “น้ำตกตาดฟาน และ น้ำตกตาดเยื้อง" เราออกเดินทางตามแผนที่นี้เลย (เราเอาแผนที่มาจาก pantip นะ)


เราแว๊นรถไปชิวๆเรื่อยๆไปตามถนนเส้นหลักหมายเลย 13 ถึงทางแยกแล้วเค้าบอกให้ตรงไป เราก็ตรงไปเรื่อยๆจนมาเจอป้ายนี้ เราจำได้ว่าน้ำตกที่เราจะไป มันคนละทางกับคอนพะเพ็ง สงสัยมาผิดทางแล้วแหละ 555


เราเลี้ยวรถกลับมาที่แยกเดิม แล้วไปอีกทางนึง ตรงไปเรื่อยๆ จะเจอโรงงานกาแฟดาว คือคุณมาถูกทางแล้วค่ะ เย้ๆ


กิโลเมตรที่ 33 แล้วค่ะ ใกล้จะถึงแล้วววว ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือที่นี่ไม่มีหลักกิโลนะ อยากรู้ว่าถึงกิโลที่เท่าไหร่แล้วให้ดูจากป้ายวัด ป้ายโรงเรียน หรือป้ายรีสอร์ทที่อยู่ระหว่างทาง คือเค้าจะมีตัวเลขอยู่ท้ายชื่ออ่ะ


เส้นทางคือขรุขระและฝุ่นเยอะมาก ใครจะมาเที่ยวอย่าลืมเตรียมผ้าปิดปากมาด้วยนะ


ถึงแล้วค่ะ ทางเข้า “น้ำตกตาดเยื้อง" ตั้งอยู่กิโลเมตรที่ 40 เราเริ่มจากที่ไกลก่อนนะ


ดูทางเข้าสิคะทุกคน มันคือถนนลูกรังที่มีหินเยอะมากค่ะ ขับยากมากกกกกก


ระหว่างทางก็จะมีป้ายบอกตลอดนะคะ


มาถึงตรงนี้คือต้องจ่ายค่าเข้า 15,000 กีบ


จอดรถไว้ข้างๆ แต่ถ้าเป็นรถยนต์สามารถขับเข้าไปข้างในได้


มีร้านขายของฝาก ร้านกาแฟ และร้านอาหารให้บริการด้วยค่ะ


แต่ร่างกายต้องการกาแฟ กินกาแฟก่อนค่อยไปเที่ยวต่อค่ะ กาแฟแก้วละ 20,000 กีบ ขนมชิ้นละ 5,000 กีบ อร่อยนะ อร่อยกว่าร้านเมื่อวานเยอะเลย 555


ลงไปที่น้ำตกกันเถอะ


ระหว่างทางไปน้ำตกค่ะ บรรยากาศดีมากๆ


ลงไปดูน้ำตกข้างล่างกันค่ะ


และนี่คือทางลงไปน้ำตกจริงๆค่ะ ค่อนข้างลำบาก 55555


มาถึงข้างล่างก็ได้แต่ร้อง “อู้ววววว" คือมันดีมากอ่ะ ดีต่อใจ ดีต่อไส้ ดีต่อพุง 555 คุ้มกับที่แว๊นมาไกล


ลงไปเล่นข้างล่างก็ได้นะ


ตรงนี้เป็นจุดชมวิวน้ำตกค่ะ เอาขาตั้งกล้องออกมา แล้วไปถ่ายรูปกัน อิอิ


ถ่ายรูปเป็นที่พอใจแล้ว ก็ไปที่สถานีต่อไปค่ะ “น้ำตกตาดฟาน" อยู่กิโลเมตรที่ 38 ขับกลับมาทางปากเซนะคะ


เราว่าทางเข้าดีกว่าตาดเยื้องนะ 555 ขับเข้ามาก็จะเจอร้านขายของฝากมากมาย


จอดรถแล้วไปน้ำตกกันค่ะ เจอน้องคนลาว 2 คนกำลังเก็กท่าถ่ายรูปอยู่ น่ารักเชียว เราเลยแอบถ่ายมา 555


ทางเดินไปน้ำตกร่มรื่นมากค่ะ


นี่คือข้อดีของการไปเที่ยวช่วง low season ค่ะ คนน้อยดี ถ่ายรูปออกมาก็ได้ธรรมชาติมากกว่าคน 555


เดินเข้ามาก็จะมีร้านกาแฟอยู่ด้วย แต่เรากินไม่ไหวแล้ว แค่วันละแก้วก็พอ อิอิ


นี่คือ “น้ำตกตาดฟาน" น้ำค่อนข้างน้อยอ่ะ เราแอบได้ยินไกด์ที่มากับทัวร์บอกว่าถ้าไม่ใช่ช่วงฤดูฝน น้ำก็จะอยู่แค่นี้ทั้งปี


ตาดฟานลงไปเล่นน้ำข้างล่างเหมือนตาดเยื้องไม่ได้นะ มีแค่ทางลงไปจุดชมวิว


เราก็ไปถ่ายรูปกับป้ายสิคะ เดี๋ยวเค้าจะว่ามาไม่ถึง


นั่งพักแปปนึง ก่อนขับรถกลับเข้าเมืองปากเซ นั่งพักก็ส่องเฟสเค้าไปด้วย ส่องไปส่องมาก็ได้แต่ถอนหายใจ เฮ้อออออ ตรงนี้มันไม่น่ามี free wifi ให้ส่องได้เลย


กลับเข้าเมืองปากเซกันค่ะ ไปหาอะไรกินกัน และนี่คือ “เฝอ" ที่เราอยากกิน (เนื้อหมดเหลือแต่กระดูกหมู) ไม่เป็นไร อะไรก็ได้หมดถ้าสดชื่น อิอิ


กินเฝอเสร็จก็เอารถไปคืน แล้วนั่งชิวเล่น wifi อยู่หน้าโรงแรมซักพัก ค่อยเรียกรถตุ๊กๆไปส่งที่ขนส่งค่ะ ราคา 20,000 กีบ (ประมาณ 80 บาท) รอบนี้นั่งคนเดียวนะ ราคาถูกกว่าครั้งแรกที่มาอ่ะ


เราขึ้นรถรอบ 15.30 น. มาถึงอุบลประมาณ 18.30 น. เร็วกว่าขาไป เพราะทุกคนมีพาสปอร์ต แล้วก่อนกลับไทย อย่าลืมไปจ่ายค่าธรรมเนียมที่ด่านวังเต่าด้วยนะ ราคา 25,000 กีบ (เข้าก็เสีย ออกก็เสีย 555)


สรุปค่าใช้จ่าย

- ค่ารถอุบล-ปากเซ 400 บาท

- ค่าผ่านด่านวังเต่า 100 บาท

- ค่ารถตุ๊กๆไปโรงแรม 100 บาท

- ค่าที่พัก 60,000 กีบ = 250 บาท

- ค่าเช่ารถ 60,000 กีบ = 250 บาท

- ค่าน้ำมัน 35,000 กีบ = 140 บาท

- ค่าเข้าตาดเยื้อง+ตาดฟาน 30,000 กีบ = 125 บาท

- ค่ารถตุ๊กๆไปขนส่งหลักสอง 20,000 กีบ = 80 บาท

- ค่ากิน 91,000 กีบ = 380 บาท

- ค่าธรรมเนียมออกจากลาว 25,000 กีบ = 100 บาท

รวมทั้งหมด 1,925 บาท


การเดินทางครั้งนี้มันทำให้เรารู้ว่า “การเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม มันไม่ได้ทำให้ใจเราหายเศร้าเลย ถ้าอยากจะหายเศร้า ควรเปลี่ยนที่ใจเรามากกว่า" การเดินทางคนเดียวมันทำให้เรามีเวลาคิดทบทวนตัวเองมากขึ้น คิดว่าทำไมเค้าถึงทิ้งเราไป เราไม่ดีพอสำหรับเค้าใช่มั๊ย? หรือว่าเค้าไม่ชอบคนที่รักการท่องเที่ยว รักการผจญภัย รักการถ่ายรูปเหมือนเราใช่มั๊ย? คำถามที่ไม่เข้าใจมากมายอยู่ในใจ

แต่สุดท้ายเราก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ทุกคนล้วนมีเหตุผลของตัวเอง แต่เหตุผลคืออะไรนั้น เราก็ไม่อาจรู้ได้ ตอนนี้เรารู้แค่ว่าเราควรทำใจและก้าวเดินต่อไป



ขอบพระคุณเพื่อนๆทุกคนที่อ่านจนจบ

แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้าค่ะ

สามารถติดตามกันต่อได้ที่ https://www.instagram.com/plartwo

Plartwo

 วันพฤหัสที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 14.39 น.

ความคิดเห็น