"อุทัยธานี เมืองพระชนกจักรี ปลาแรดรสดี ประเพณีเทโว ส้มโอบ้านน้ำตก มรดกโลกห้วยขาแข้ง แหล่งต้นน้ำสะแกกรัง ตลาดนัดดังโคกระบือ" - คำขวัญประจำจังหวัดอุทัยธานี

อุทัยธานี เป็นจังหวัดในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง จังหวัดที่มักจะถูกมองว่าเป็นแค่ทางผ่านไปยังภาคเหนือตอนบนหรือลงมายังภาคกลาง จังหวัดที่ใครหลายคนเลือกไว้เป็น Dream Destination อันดับท้ายๆ เพราะคิดว่าจังหวัดนี้ไม่ค่อยมีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรน่าสนใจ แต่พวกเราไม่ปักใจเชื่อแบบนั้น จึงขอออกไปพิสูจน์ ออกไปสัมผัสให้รู้ด้วยตัวของเราเอง ส่วนจะเป็นอย่างไรและดีต่อใจแค่ไหนนั้น ตามมาๆ

พวกเราเริ่มต้นออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง โดยที่ไม่ได้นั่งเครื่องบิน เพราะจังหวัดอุทัยธานียังไม่มีสนามบิน แค่มารับรถยนต์เช่าของบริษัท Thai Rent A Car ที่จองเอาไว้ล่วงหน้า ผ่านทางเว็บไซด์หรือ Call Center ก็ได้สะดวกมากๆ โดยเคาร์เตอร์ให้บริการรับรถจะอยู่ที่ชั้น 1 ของอาคารผู้โดยสารขาเข้าภายในประเทศ (Terminal 2) บริเวณประตูทางออก

จากนั้นก็แจ้งชื่อการจอง พร้อมยื่นใบขับขี่และบัตรเคดิตให้กับพนักงาน พนักงานจะนำเอกสารการจองมาให้ตรวจสอบข้อมูลและล็อควงเงินในบัตรเคดิตเอาไว้ชั่วคราว เพื่อเป็นวงเงินประกันในการเช่าและคืนกลับให้หลังจากคืนรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็พาพวกเราเดินไปที่รถเพื่อตรวจสอบร่องรอยขีดข่วนรอบรถร่วมกัน เพื่อพิสูจน์ว่ารอยนั้นมีมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงค่อยเซ็นต์รับรถ ใช้เวลาไม่ถึง 15 นาทีก็เสร็จเรียบร้อย

จังหวัดอุทัยธานีอยู่ห่างจากกรุงเทพประมาณ 200 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง สามารถเดินทางไปได้ด้วยรถสาธารณะหรือรถยนต์ส่วนตัวเท่านั้น สำหรับคนที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวและอยากแวะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆอย่างอิสระ แนะนำให้เช่ารถจะสะดวกที่สุด ซึ่งตอนนี้ Thai Rent A Car เองก็มีโปรโมชั่นในราคาเริ่มต้นเพียง 550 บาทต่อวัน จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2560 และสามารถรับรถได้ทุกสาขาทั่วประเทศ

เมื่อพร้อมแล้วจึงเริ่มออกเดินทาง ระหว่างทางมีฝนตกสลับแดดออก โดยแวะทานอาหารเที่ยงกันแถวๆจังหวัดอยุธยา เป็นเมนูง่ายๆอย่างก๋วยเตี๋ยวเรือและขนมถ้วย

ขับตรงยาวมาตามป้ายบอกทางบนถนนสายเอเซีย จากนั้นก็เลี้ยวซ้ายเข้ามายังตัวเมืองอุทัยธานี โดยแวะเข้าไปเช็คอินท์และเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าที่บ้านอิงน้ำ รีสอร์ท ที่พักของพวกเราในคืนนี้

รีสอร์ทตั้งอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง มีห้องพักให้เลือก 2 แบบ คือ ห้องเรือนแพ และห้องพักแบบปกติบนบก ราคาเริ่มต้นที่ 800 บาท

สำหรับห้องเรือนแพจะมีแค่ 2 ห้องเท่านั้น ห้องด้านซ้ายจะมีแอร์ ราคา 1,200 บาท ส่วนห้องด้านขวาจะเป็นพัดลม ราคา 800 บาท

สิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องจะมีทีวีและตู้เย็นให้ แต่ไม่มี WiFi

มีห้องน้ำภายในตัวที่ค่อนข้างกว้าง ประกอบด้วยอ่างล้างหน้า โถส้วม และฝักบัวอาบน้ำ (ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น)

หลังจากเช็คอินท์และพักผ่อนสักพักจนหายเมื่อย ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังหุบป่าตาด อ.ลานสัก ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองอุทัยธานีออกไปประมาณ 50 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง

ถ้ำหุบป่าตาดค้นพบโดยพระครูสันติธรรมโกศล (หลวงพ่อทองหยด) เจ้าอาวาสวัดถ้ำทอง เมื่อปี พ.ศ. 2522 โดยการปีนลงไปด้านในของหุบเขา

และได้มีการระเบิดเจาะอุโมงค์เพื่อเป็นทางเข้าไปสู่หุบป่าตาดในปี พ.ศ. 2527 เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว

เส้นทางที่ถูกเจาะเพื่อทะลุเข้าไปด้านในหุบยาวประมาณ 100 เมตร พื้นขรุขระและมืดมาก ต้องใช้ไฟฉายที่ได้รับมาตอนซื้อตั๋วเข้าชม ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางทะลุมิติไปยังดินแดนลึกลับ โดยมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์คอยให้การต้อนรับ

เมื่อทะลุออกมาแล้วก็จะพบกับหุบขนาดใหญ่เต็มไปด้วยต้นไม้หลากหลายชนิดอยู่ท่ามกลางเขาหินปูนที่สูงชัน

จากนั้นจะต้องเดินตามบันไดปูนที่มีราวจับ เพื่อลงไปยังด้านล่างของหุบ ที่มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ

บริเวณด้านในร่มรื่นและค่อนข้างชื้น มีก้อนหินน้อยใหญ่เรียงรายอยู่ตลอดทาง ต้นไม้ส่วนใหญ่ในหุบนี้คือ ต้นตาด ซึ่งจัดเป็นไม้ตระกูลเดียวกับปาล์ม

บริเวณตรงกลางของหุบมีถ้ำเล็กๆที่มีหินงอกหินย้อยสวยงาม และสามารถเดินทะลุไปอีกฝั่งของหุบได้

บรรยากาศเหมือนกำลังเดินอยู่ในป่าดึกดำบรรพ์ที่มีไดโนเสาร์กำลังแอบมองอยู่ตามพุ่มไม้

มีการค้นพบกิ้งกือมังกรสีชมพู ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่และพบได้แห่งเดียวในโลก โดยจะออกมาให้เห็นแค่ช่วงเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน หรือในช่วงฤดูฝนของทุกปี

นอกจากกิ้งกือมังกรสีชมพูแล้ว ยังมีสัตว์หายากอีก 2 ชนิดที่อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งนี้ นั่นก็คือ เลียงผาและเต่าเหลือง เลียงผาจะพบเห็นตัวเป็นๆได้ยากมาก สามารถพบเห็นได้แค่รอยเท้าที่ทิ้งเอาไว้บนพื้นดิน ส่วนเต่าเหลืองยังพอที่จะพบเจอได้บ้าง

อย่างเจ้ามินเนี่ยน (ชื่อที่เราตั้งให้) เต่าเหลืองที่กระดองไม่ค่อยเหลืองตัวนี้ ที่เจออยู่ข้างทางเดิน เป็นเต่าบกที่หากินอยู่ภายในหุบแห่งนี้

พวกเราเดินวนชมธรรมชาติจนครบ 1 รอบ จึงกลับออกมาด้านนอก หุบป่าตาดเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น. ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวหุบป่าตาดคือ 11:00-13:00 น. ค่าเข้าชม ชาวไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท

และสามารถขอมัคคุเทศน์น้อยให้ช่วยนำทางและอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับหุบแห่งนี้ได้ ค่าจ้างแล้วแต่จะให้ โดยนำเงินมาใส่ในกล่องส่วนกลาง พอสิ้นวันจะนำเงินมารวมกันและหารด้วยจำนวนของมัคคุเทศน์น้อยที่มาช่วยงานในวันนั้น เพื่อเป็นทุนการศึกษา

นอกจากหุบป่าตาด ยังมีอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าสนใจซึ่งอยู่ใกล้กัน นั่นก็คือ เขาปลาร้า ที่มีภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์อายุประมาณ 3,000 ปี เป็นลายเส้นสีแดงและสีดำตลอดแนวยาว 9 เมตร ประมาณ 40 ภาพ แสดงให้เห็นถึงสภาพชีวิตการรวมกลุ่มเป็นสังคมของมนุษย์ยุคโบราณ โดยใช้เวลาเดินขึ้นเขาไปกลับประมาณ 4 - 5 ชั่วโมง หากสนใจแนะนำให้เผื่อเวลาสักครึ่งวัน (รูปด้านล่างเป็นตัวอย่างภาพที่จัดแสดงอยู่หน้าทางเข้าหุบป่าตาด)

จากหุบป่าตาดพวกเราขับกลับมายังตัวเมืองอุทัยธานี เพื่อขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดินบนเขาสะแกกรัง โดยสามารถขึ้นได้สองวิธี คือ ขับรถขึ้นไป กับเดินขึ้นบันไดจำนวน 449 ขั้นของวัดสังกัสรัตนคีรี ซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดงานประเพณีตักบาตรเทโว

พวกเราขับรถขึ้นมาทางด้านข้างของสนามกีฬาจังหวัด มาถึงข้างบนประมาณ 6 โมงเย็น วันนี้มีเมฆค่อนข้างมากมาบดบังพระอาทิตย์เลยได้เห็นแค่แสงสีส้มอมชมพูกระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า

ด้านทิศตะวันตกของเขาสะแกกรังจะเป็นวิวพระอาทิตย์ตกดิน ส่วนด้านทิศตะวันออกจะเป็นวิวตัวเมืองอุทัยธานี

ด้านบนมีศาสนสถานสำคัญหลายแห่งให้ได้เข้าไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประดิษสถานอยู่ภายใน

อาทิเช่น รอยพระพุทธบาทจำลองที่ประดิษฐานอยู่ใน มณฑปสิริมหามายากุฎาคาร ซึ่งจำลองให้เป็นสถานที่ประทับของพระนางสิริมหามายาเมื่อไปบังเกิดบนเทวโลก

และพระราชานุสาวรีย์พระชนกจักรี พระชนกาธิบดีในรัชกาลที่ 1

ประดิษฐานในพลับพลาจัตุรมุข

จากนั้นก็ขับกลับลงมาจากเขาสะแกกรัง เพื่อไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินตรอกโรงยาหรือเซ็กเกี๋ยกั้ง ย่านชุมชนชาวจีนเก่าแก่ของจังหวัดอุทัยธานี

ถนนคนเดินของที่นี่มีทุกเย็นวันเสาร์ ตั้งแต่บ่าย 3 โมง จนถึง 3 ทุ่ม

พวกเราไปถึงได้ไม่นาน ก็มีฝนโปรยปรายลงมาเบาๆ พ่อค้าแม่ค้าจึงเริ่มทยอยเก็บร้าน เราจึงแวะเข้าไปหลบฝนและเยี่ยมชมด้านในของบ้านนกเขา

บ้านที่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้สมัยก่อนที่เก็บสะสมมาตั้งแต่อดีต ให้ผู้ที่สนใจเข้ามาเยี่ยมชมและถ่ายรูปได้ฟรี ของชิ้นไหนที่ไม่รู้จักก็สามารถสอบถามกับคุณลุงและคุณป้าเจ้าของบ้านได้ ใจดีมากๆ

นอกจากข้าวของเครื่องใช้ก็ยังมีรูปภาพเก่าๆบอกเล่าเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีตของเมืองอุทัยธานีให้ได้ชม

ไม่นานนักฝนก็เริ่มตกหนักขึ้น พวกเราเองก็หิวหนักมาก จึงวิ่งข้ามถนนมาที่ร้านหน่อยข้าวต้มกุ๊ย ฝั่งตรงข้ามกับบ้านนกเขา

มีเมนูให้เลือกมากมาย แถมราคาไม่แพง

พวกเราสั่งกับข้าวมาสามอย่าง มีปลาช่อนลวกจิ้ม ผัดผักบุ้งไฟแดง ยำกุนเชียง และข้าวต้มคนละถ้วย

กับข้าวอร่อยทุกอย่าง กินกับข้าวต้มร้อนๆตอนฝนกำลังตก ได้บรรยากาศมาก

พอใกล้จะอิ่มฝนก็หยุดตก จึงพากันเดินมาที่ร้านครูออฟ ผ้าไทย ใกล้กับถนนคนเดิน ร้านที่ตากลมหมายตาเอาไว้ตั้งแต่มาถึงที่นี่ เพราะเธอเป็นคนที่ชอบผ้าไทยมาก โดยเฉพาะผ้านุ่งท้องถิ่นลวดลายต่างๆ

พ่อค้าร้านนี้ใจดีและเป็นกันเองมาก หยิบเสื้อและผ้านุ่งแบบต่างๆมาให้เลือกให้ลองหลายผืนมาก บางผืนราคาหลักหมื่นก็ยังหยิบออกมาให้ลอง เหมือนพี่กับน้องกำลังแอบเอาเสื้อผ้าของแม่มาลองใส่เล่น สนุกกันใหญ่ทั้งพ่อค้าและลูกค้า สุดท้ายตากลมก็อดใจไม่ไหว ได้ผ้านุ่งมา 3 ผืน และเสื้ออีก 1 ตัว

หลังจากช๊อปปิ้งจนตัวเบา พวกเราขับรถไปแวะชมวิวตอนกลางคืนริมแม่น้ำสะแกกรัง ตรงข้ามกับวัดอุโปสถาราม

ใกล้ๆกันมีร้านลูกชิ้นและไส้กรอกปิ้งร้อนๆดูน่ากิน เลยจัดมาคนละไม้สองไม้รองท้องก่อนนอน น้ำจิ้มเด็ดมาก

เช้าวันรุ่งขึ้นเราขอยืมจักยานจากที่พัก เพื่อปั่นมาชมวิถีชีวิตยามเช้าของชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนเรือนแพ และชมบรรยากาศของตลาดเช้าริมแม่น้ำสะแกกรัง ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักเพียงแค่ 1 กิโลเมตรเท่านั้น

ชุมชนเรือนแพริมแม่น้ำสะแกกรัง ถือว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของจังหวัดอุทัยธานี ที่อยู่คู่กับแม่น้ำสายนี้มาอย่างยาวนาน

แต่นับวันเรือนแพเหล่านี้จะค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ เพราะค่าวัสดุที่ใช้ในการซ่อมแซมค่อนข้างแพงและยากต่อการดูแลรักษา ชาวบ้านจึงเริ่มย้ายกันขึ้นมาอยู่บนฝั่งแทน

ลักษณะของเรือนแพจะมีให้เห็นทั้งแบบเรือนไม้ธรรมดาที่ไม่ได้ตกแต่งประดับประดาอะไรมากมาย

และแบบเรือนไทยที่มีหน้าจั่วแหลมทรงมะลิลาหรือทรงปั้นหยา สร้างคร่อมบนแพลูกบวบไม้ไผ่ มีการทำพื้น ตั้งเสา ทำคาน คล้ายๆกับบ้านปกติที่อยู่บนบก

ชาวเรือนแพส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพประมงน้ำจืด โดยใช้อุปกรณ์ดักปลารูปแบบต่างๆ และมีการเลี้ยงปลาในกระชัง เพื่อนำมารับประทานในครัวเรือนและส่งขายในตลาด

บรรยากาศยามเช้าริมแม่น้ำสะแกกรังดำเนินไปอย่างช้าๆ ตามจังหวะการไหลของสายน้ำและสายลม

ตลาดเช้าริมแม่น้ำสะแกกรังเริ่มคึกคักมาตั้งแต่หัวรุ่ง

มีทั้งของสดและอาหารสำเร็จรูปให้เลือกซื้อเลือกทานมากมาย

พอเริ่มสาย มีแสงแดดส่องลงมา ตลาดก็เริ่มวาย

เราซื้อขนมจากตลาดติดมือมาสองสามอย่าง และปั่นกลับมากินอาหารเช้าที่โรงแรม

กินเสร็จก็มานั่งเล่นตากลมชมวิวริมแพอย่างชิลๆ

เมื่อเธอทุกข์ใจ ให้ลองเอาเท้าจุ่มน้ำ - Jeep วัชราวลี

หลังจากเอาเท้าจุ่มน้ำจนสบายใจ ก็เก็บข้าวของและเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม และแวะไปถ่ายรูปที่ทุ่งนาผืนใหญ่ไม่ไกลจากที่พัก

ทุ่งนาผืนใหญ่สีเขียวอมเหลือง แซมด้วยต้นตาล มีถนนสายเล็กๆอยู่ตรงกลาง ท่ามกลางท้องฟ้าใส มุมโปรดของเราเลย

หากอยากไปตามรอย พิกัดตามนี้เลย : https://goo.gl/q0vCSD

จากทุ่งนาขับย้อนกลับมาที่ วัดอุโปสถาราม ซึ่งเดิมชื่อ "วัดโบสถ์มโนรมย์" แต่ชาวบ้านจะเรียกสั้นๆว่า "วัดโบสถ์" เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปีพุทธศักราช 2324 ตั้งอยู่บนเกาะเทโพ ริมฝั่งแม่น้ำสะแกกรัง

ด้านหน้ามีมณฑปแปดเหลี่ยม เป็นอาคารแปดเหลี่ยมสองชั้น มีบันไดวนอยู่ด้านนอกอาคาร ซุ้มหน้าต่างเป็นวงโค้งแบบอาคารในยุคอาณานิคม ลายปูนปั้นบนผนังด้านนอกเป็นภาพพระพุทธรูปปางถวายเนตร อยู่ท่ามกลางหงส์และนกกระสา

สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2442 โดยหลวงพิทักษ์ภาษา (บุญเรือง พิทักษ์อรรณนพ) เพื่อถวายแด่พระสุนทรมุนี (จัน) หรือพระครูอุไททิศธรรม ซึ่งเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดและเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานีในสมัยรัชกาลที่ 5

ด้านหลังของพระอุโบสถและวิหาร มีเจดีย์ 3 องค์ องค์แรกทางทิศเหนือเป็นเจดีย์หกเหลี่ยมทรงอยุธยา องค์กลางเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองทรงรัตนโกสินทร์มีเจดีย์เล็ก 5 ยอด องค์ด้านทิศใต้เป็นเจดีย์ลอมฟางทรงสุโขทัย

พระอุโบสถ (หลังซ้ายมือของรูปด้านบน) ด้านหน้ามีเจดีย์ทรงเหลี่ยมขนาดเล็กๆ อยู่ 4 องค์ ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปะสุโขทัยเป็นพระประธานอยู่ท่ามกลางพระพุทธรูปอีก 4 องค์บนฐานชุกชีเดียวกัน

ผนังด้านในทั้งสี่ด้านของพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังบอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ ซึ่งมีความพิเศษ คือ ภาพกองทัพเหล่าพญามารที่มาขัดขวางการบำเพ็ญเพียรของพระพุทธเจ้า และแม่พระธรณีที่ผุดขึ้นมาแสดงปาฏิหาริย์ให้พญามารได้เห็นบุญบารมีของพระพุทธองค์ที่ทรงสั่งสมมาจนพญามารต้องยอมแพ้

ด้านซ้ายของพระอุโบสถคือ วิหาร ภายในประดิษฐานพระประธานปางห้ามญาติ ด้านซ้ายและขวาของพระประธานประดิษฐานพระพุทธรูปยืนทำด้วยไม้แก่นจันทร์ ซึ่งมีฉัตรห้าชั้นประดับอยู่เหนือเศียร ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นภาพพระพุทธเจ้าเสด็จโปรดเทพยดาบนสรวงสวรรค์ พิธีอสุภกรรมฐาน และภาพชุมนุมพระสงฆ์สาวกสลับพัดยศลายต่างๆ

ด้านหน้าวิหารเป็นภาพพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้า และภาพวิถีชีวิตของชาวบ้านที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา

หลังจากเยี่ยมชมศาสนสถานของวัดอุโปสถารามเสร็จแล้ว ก็ขับไปกินมื้อเที่ยงที่ร้านบะหมี่ฮ่องเต้ ต้นตำหรับบะหมี่ไข่ทำเอง

จุดเด่นของร้านนี้ก็คือ เส้นบะหมี่ไข่ทำเอง สูตรพิเศษแบบดั้งเดิมจากมณฑลเสฉวนที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นยาวนานมากว่า 100 ปี

เส้นบะหมี่สดที่ผ่านกระบวนการผลิตและลวกอย่างพิถีพิถัน ทำให้เส้นบะหมี่ของที่นี่เหนียวและนุ่มเป็นพิเศษ

ทานคู่กับหมูแดงสูตรดั้งเดิม หรือหมูย่างสูตรพิเศษ และน้ำซุปรสชาติเข้มข้น อร่อยจนต้องเอ่ยปากบอกว่า "ขอเบิ้ลอีกชาม"

พอท้องอิ่ม ก็ไปหาเครื่องดื่มเย็นๆกินกันต่อที่ร้านกาแฟ บ้านจงรัก ริมถนนศรีอุทัย (เส้นศาลากลางจังหวัด)

ร้านกาแฟสดที่ตกแต่งด้วยข้าวของเครื่องใช้และของสะสม อย่างโมเดลตัวละครจากการ์ตูนยอดนิยมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีในตู้กระจกหลังใหญ่

ด้านบนของร้านเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์บ้านคุณตาหลวงเพชรสงคราม ยกกระบัตรเมืองอุทัยธานี สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นทวดของแม่ของลุงตุ้มเจ้าของบ้าน จึงมีการตั้งชื่อเพื่อเป็นที่ระลึกถึงท่าน

จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวและรูปภาพเก่าๆ ที่เก็บสะสมมาตั้งแต่รุ่นทวด

ถัดจากห้องโถงจะเป็นห้องนอน โดยมีเครื่องเรือนตั้งแต่สมัยที่พ่อกับแม่ของลุงตุ้มแต่งงานกัน เมื่อปีพ.ศ 2494 จัดเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี และยังคงสภาพเหมือนใหม่อยู่เสมอ

ภายในห้องมีโต๊ะเครื่องแป้งบานหูช้าง ถ้ายืนตรงกลางจะสามารถมองเห็นทรงผมทั้งซ้าย ขวา และหลังได้ ออกแบบได้เจ๋งมาก

ด้านหลังของบ้านมีทางเชื่อมไปยังบ้านทรงเรือนไทย เป็นเรือนที่ทวดยกให้ยายของลุงตุ้มตอนออกเรือนแต่งงาน ซึ่งมีอายุร้อยกว่าปี

ด้านในจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้และรูปภาพเก่า ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางย้อนเวลากลับไปในอดีตอีกครั้ง

เครื่องครัวถูกจัดวางอย่างถูกที่ถูกทาง เหมือนกับว่ายังคงมีการใช้งานอยู่เป็นประจำทุกวัน สิ่งของหลายอย่างเราเองก็เคยใช้เมื่อตอนเด็กๆ พอได้เห็นอีกครั้งก็ทำให้ภาพแห่งความทรงจำย้อนกลับคืนมา

ลุงตุ้มบอกว่าผูกพันธ์กับบ้านหลังนี้มาก เพราะเกิดและโตมากับบ้านหลังนี้ จึงเป็นคนดูแลรักษาบ้านหลังนี้มาจนถึงปัจจุบัน

ที่นี่เปิดเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ จันทร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 07.30 น. - 17.00 น. และหากลุงตุ้มว่างก็จะเป็นคนพาขึ้นมาเยี่ยมชมด้านบน พร้อมกับเล่าเรื่องราวและประวัติความเป็นมาของรูปภาพและข้าวของต่างๆของบ้านหลังนี้ด้วยตนเอง คุณลุงใจดีและเป็นกันเองมากๆ

เสร็จจากการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์และชิมเครื่องดื่มเย็นๆของบ้านจงรัก พวกเราไปเยี่ยมชมแปลงผักไฮโดรโปนิกส์ปลอดสารพิษที่ สุขโข ไฮโดรฟาร์ม เป็นที่สุดท้ายของทริปนี้ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับร้านกาแฟบ้านจงรัก

แปลงผักไฮโดรโปนิกส์ที่ปลูกและดูแลอย่างพิถีพิถัน ภายในโรงเรือนที่ควบคุมความเข้มของแสงและป้องกันแมลงรบกวน

ทำให้ผักของที่นี่ดูสด สะอาด และน่ารับประทานมาก สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายอย่าง เช่น ทานคู่กับน้ำสลัด

หากสนใจเข้ามาเยี่ยมชมหรือซื้อกลับไปเป็นของฝาก สามารถติดต่อสอบถามได้โดยตรงที่เฟสบุ็คของ สุขโข ไฮโดรฟาร์ม

จากนั้นก็ขับรถมุ่งหน้าตรงยาวเข้ากรุงเทพ เพื่อเอารถกลับไปคืนที่สนามบินดอนเมือง เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางของทริปพาแฟนไปแอ่วอุทัยธานี เพราะมันดีต่อใจ ด้วยระยะเวลา 2 วัน 1 คืน ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ของพวกเราทั้งสองคนที่ใช้ได้ไปอย่างคุ้มค่ามากกับสถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนของจังหวัดอุทัยธานี จังหวัดที่มักจะถูกมองว่าเป็นแค่ทางผ่าน

แต่ครั้งนี้พวกเราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าจังหวัดอุทัยธานีเป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ครบทุกรสชาติของการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ วิถีชีวิต และวัฒนธรรม ผู้คนมีอัธยาศัยดีและเป็นกันเอง เป็นจังหวัดที่ไม่ควรปล่อยให้เป็นเพียงแค่ทางผ่านอีกต่อไป เพราะมันดีต่อใจมาก ดังนั้น ถ้าหากพอมีเวลาว่างสักสองสามวัน อยากให้ลองมาสัมผัสกับจังหวัดอุทัยธานีให้เพิ่มมากขึ้นด้วยตัวคุณเอง

สรุปรายละเอียดการเดินทาง ดังนี้

DAY 1

1. ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง ด้วยรถยนต์เช่าของ Thai Rent A Car

ข้อมูลการติดต่อ Website : https://www.thairentacar.com / Call Center : 1647

2. แวะทานก๋วยเตี๋ยวเรือและขนมถ้วยแถวจังหวัดอยุธยา

3. เช็คอินท์เข้าที่พักที่ บ้านอิงน้ำ รีสอร์ท ติดแม่น้ำสะแกกรัง

ข้อมูลการติดต่อ Website : http://www.บ้านอิงน้ำ.com / Tel. : 056-980199, 080-8399499

4. เที่ยวชมหุบป่าตาด ป่าดึกดำบรรพ์กลางหุบเขาหินปูน

5. เที่ยวชมภาพเขียนโบราณ เขาปลาร้า (แนะนำเพิ่มเติม หากมีเวลาเหลือประมาณครึ่งวัน)

6. สักการะรอยพระพุทธบาทจำลองและพระราชานุสาวรีย์พระชนกจักรี ชมวิวเมืองอุทัยธานีและพระอาทิตย์ตกดิน บนยอดเขาสะแกกรัง

7. เดินเล่นถนนคนเดินตรอกโรงยาหรือเซ็กเกี๋ยกั้ง (เปิดทุกวันเสาร์) แวะถ่ายรูปที่บ้านนกเขา กินข้าวต้มกุ๊ยที่ร้านหน่อย และเลือกซื้อผ้าไทยที่ร้านครูออฟผ้าไทย

DAY 2

1. ปั่นจักยานชมวิถีชีวิตยามเช้าของชาวเรือนแพ และแวะเดินเล่นตลาดเช้าริมแม่น้ำสะแกกรัง

2. เช็คเอาท์ออกจากที่พัก และแวะถ่ายรูปที่ทุ่งนาผืนใหญ่กลางเกาะเทโพ

3. แวะเที่ยวชมวัดอุโปสถาราม วัดเก่าแก่ของจังหวัดอุทัยธานี

4. ทานมื้อเที่ยงที่ร้านบะหมี่ฮ่องเต้ บะหมี่ไข่ทำเองสูตรพิเศษ

5. จิบเครื่องดื่มเย็นๆที่ร้านกาแฟบ้านจงรัก และเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บ้านคุณตาหลวงเพชรสงคราม

เปิดเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ จันทร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 07.30 น. - 17.00 น.

Facebook : https://www.facebook.com/banjongrakuthai/

6. เยี่ยมชมแปลงผักไฮโดรโปนิกส์ปลอดสารพิษที่ สุขโข ไฮโดรฟาร์ม

Facebook : https://www.facebook.com/sukkhohydrofarm

7. แวะสักการะพระพุทธชินราช และหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ในวิหารแก้ว วัดจันทราราม (วัดท่าซุง) วิหารปิด 5 โมงเย็น (แนะนำเพิ่มเติม)

8. เดินทางกลับกรุงเทพฯ และคืนรถที่สนามบินดอนเมือง


สรุปรายละเอียดค่าใช้จ่าย ดังนี้

1. ค่าเช่ารถยนต์วันละ 550 บาท (ราคาโปรโมชั่น) จำนวน 2 วัน รวม 1,100 บาท

2. ค่าน้ำมันไปกลับ (ก่อนเช่ามีให้เต็มถัง ก่อนคืนเติมคืนเต็มถัง) 1,000 บาท

3. ค่าห้องพักบ้านอิงน้ำ รีสอร์ท 1 คืน 1,200 บาท (รวมอาหารเช้า)

4. ค่าเข้าชมหุบป่าตาด คนละ 20 บาท สองคน 40 บาท

5. ค่ากินและช๊อปปิ้ง : ตามอัธยาศัย

รวมค่าใช้จ่าย 2 วัน 1 คืน ทั้งหมด 3,340 บาท ตกคนละ 1,670 บาท


คิ้วหนา & ตากลม
Love is a journey | เพราะความรัก คือ การเดินทาง...

ติดตามการเดินทางของพวกเราได้ที่ : LOVE IS A JOURNEY

LOVE & LIFE IS A JOURNEY

 วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 12.28 น.

ความคิดเห็น