Lost in Laos

เชื่อพี่เพราะทริปนี้ ทุกอย่างแก้ไขได้


ไปลาวครั้งนี้ รู้สึกเหงา เราก็แก้ไขได้

ทริปเด๋อๆของเพื่อนสนิท 3+1 ที่ตั้งใจจะไปเที่ยวกัน แบบนัดหมายและวางแผน แบบเละๆเทะๆ ขอเพียงแค่ที่นอนดีๆ(ที่ดูรูปจากรีวิวที่หลอกหลวงอีกที)

การเดินทางที่เผื่อเวลา(ให้เดินเล่นเซนทรัลได้ 5 ชม.ก่อนขึ้นเครื่อง)

และปัญหาทุกปัญหา แก้ไขได้ (เขียนใบเข้าประเทศผิด ก็แก้ไขได้)

4 วัน 3 คืน ในกรุงเทพ อุดร เวียงจันทน์ วังเวียน ที่เต็มไปด้วย ความเด๋อด๋า และปัญหาที่แก้ไขได้




Day 1

ปัญหาที่ได้รับการแก้ไข และการเดินทางไกลที่ไม่ได้นัดหมาย (ไหนพี่บอกเดินได้?!?)

05.00 น. กรุงเทพ

พร้อมหน้าพร้อมตากันบนรถพ่อเพื่อนที่ใจดี พาไปส่งถึงสนามบิน หน้ายับๆ ตื่นบ้างหลับบ้าง แวะซื้อข้าวเช้ากันในเซเว่นทางบนทางด่วน

รถจอดที่สนามบิน 6 โมงเป๊ะ!

เชคอินให้เรียบร้อย พร้อมที่นั่งริมหน้าต่าง ด้วยการจองล่วงหน้าจากสายการบินหางแดง แบบราคาประทับใจ

เครื่องดีเลย์นิดหน่อย แต่ยังพอแก้ไขได้



09.30 น. อุดรธานี


ถึงสนามบินอุดร พร้อมกับคำถามที่ว่า แล้วจะไปบขส. อย่างไร ?

ทันใดนั้น ลุงแท็กซี่ก็เขามาบอกเบาๆว่า ไป บขส. 120 บาท ครับ หาร 4 ก็คุ้มมากแล้วครับ

ก็ได้ครับ ไปก็ได้ครับ

10.00 น. บขส

เนื่องจากวางแผนไว้แล้ว เอาให้สบายไม่ต้องตกรถตกรากัน ถ้าเกิดมีความผิดพลาดทางเทคนิค ของการนั่งเครื่องมา เราเลยเลือกที่จะนั่งรถ อุดร-เวียงจันทร์ เพราะเลือกได้ มีหลายรอบ พอให้ไม่รู้สึกพังเวลามาไม่ทันรถเที่ยวสุดท้าย

ยื่นพาสปอร์ตพร้อมเงินไทย เราก็ได้ตั๋วที่มีชื่อภาษาอังกฤษ





ด้วยการเดินทางเที่ยวนี้ ใช้เวลานาน(ตามที่เขารีวิวกัน) เราควรกินข้าวเที่ยงไปเลย ไม่ต้องมาหิวโหย

ถามไปถามมา เจอป้าหน้าตายิ้มแย้ม บอกให้เราลองร้านอาหารตามสั่งที่อยู่ข้างๆบขส.

ร้านหน้าตาธรรมดา แต่ว่าอุ่นใจ ราคา 35-40 บาท




ตั๋วรถทัวร์พร้อม ท้องอิ่มก็ได้เวลาไปขึ้นรถ


ทริปนี้ นอกจากขนคนแล้ว เขายังขนของด้วย โดยเฉพาะผักสด ใต้เท้าคือถุงผัก บนหัวก็ผัก ข้างๆก็ผัก ดูได้สัมผัสถึงโคโรฟิลมากๆ ถ้าตากแดดก็คือสังเคราะห์แสงได้ทันที


นั่งรถไม่นาน คุณลุงคนขับก็ให้เขียนใบขาออก

ด้วยความเคยชิน เขียนชื่อก่อนนามสกุล เลยจะไปขอใบใหม่ ลุงบอก ไม่เป็นไรๆ ทุกอย่างแก้ไขได้ ด้วยการใส่ลูกศร ขึ้นลง?

จริงๆ ใส่ลูกศรขึ้นลงระหว่างบรรทัด

เอาไปยื่นก็คือผ่านเลย ได้ตราปั๊ม ง่ายดาย ไม่ถามสักคำ

เราก็ข้ามมาด่านฝั่งลาว สามารถแลกเงินที่นี่ได้เลยค่ะ ราคาไม่ต่างกันมาก ขาดทุนสักบาทสองบาท

ข้ามจากด่านมาอีกครึ่งทาง



รถเราก็มาจอดที่(คิดว่า) ท่ารถ เวียงจันทน์

ความน่ากลัวคือ บรรดาสามล้อเครื่อง และพนง.รถที่จะไปเมืองอื่นๆ จะพุ่งเข้ามาชาร์ตเราที่ประตูทางลงทันที


กฏอย่างเดียวที่วางแผนคือ อย่าได้พูดอะไรกัน ทำหน้าตาให้รู้ทางเข้าไว้ เดินออกมาตั้งหลักไกลๆ ตั้งสติว่า

เอ้อ จะไปโรงแรมกันอย่างไร ?

เน็ตมือถือคือไม่มี ชีวิตมีแค่ใบจองโรงแรม ที่บอกชื่อโรงแรม และอยู่ริมโขง

จะเสี่ยงเดินก็น่าจะไม่ไหว อาจจะไกล และกระเป๋าก็หนัก

เลยลองตัดสินใจ ไว้ใจสามล้อ ส่งหน่วยกล้าตาย ผู้ชายที่มาด้วยไปเจรจา คุยไปคุยมา ก็เหมือนกับว่า นางก็ไม่รู้ แต่เรียกราคามาแล้วนะ

ดูไม่ปลอดภัย จะพาไปปล่อยไว้ไหนรึเปล่า แถมราคาแพงนะ (รู้ดีได้ไง ยังไม่เคยไปเลย)

ตัดสินใจเดินไปก่อน ขอให้รอดจากตรงนี้ก่อน

เดินไปเรื่อยๆเริ่มเมื่อยหน่อยๆ แวะชมบ้านชมเมือง อ่านป้านโน้นป้ายนี้


เจอคนลาว หน้าตาเป็นมิตร เลยคิดว่าน่าจะช่วยเหลือได้ ถามทางไปโรงแรมซะเลย

ถามไปถามมา เอ้า นี่คนขับสามล้อเครื่อง

เสนอราคา 100 บาทไทย พาไปโรงแรม

ราคาถูกกว่าที่ท่ารถ ก็เลยลองวัดดวงดู นี่จะพาตูไปถึงแน่ไหมเนี้ยย

ขับไปเริ่มชะลอ ขอดูแผนที่อีกที (อ้าวลุง ยังไงงง)

รู้สึกไม่น่ารอด ลุงเลยโทรหาโรงแรมซะเลย

คุยเสร็จสรรพ หันมาบอก นี่มันต้องเพิ่มไงนะ (อ้าวววว ลุงงงง)

ต้อง 120 บาทแล้ว (ลุง ตะกี้ลุงไม่ได้บอกแบบนี้)

ให้ชายฉกรรณ์ ไปเจรจา 120 ก็ 120 แค่ก็คือต้องส่งหน้าโรงแรม

ระหว่างลุงขับรถไป เราก็มองน่ากัน เลิกลัก รอดไหมๆ จะถึงรึเปล่า

ยัง ยังไม่จบ ลุงยังคงเล่นกล บอกให้ลงตรงนี้แล้วเดินไป (อีลุงงงง)

ชายฉกรรณ์ก็เจรจาว่า หน้าโรงแรม เท่านั้นครับ

ลุงก็บ่น วนยาก ทางแคบ แต่ก็ขับไป

(หน้าโรงแรมก็คือหน้าโรงแรม อย่ามาทิ้งไว้แบบนี้ ขับวนไปค่ะ! )

และแล้ว ก็ถึงหน้าโรงแรมค่ะ (ลุงก็จอดให้ลงข้างโรงแรมอีก บอก ถึงละ)

จ่ายจบ ครบ 120 ลุงบิดสามล้อใส่หน้า แล้วจากไปเลย



คืนนี้ในเวียงจันทน์ เราเลือกนอนที่ โรงแรม ไหมลาว(ชื่อลาว) หรือ new laos silk



ยัง ความพังยังไม่จบ กำลังเข้าเชคอิน

"ห้องยังไม่เสร็จครับ ลูกค้าเยอะ ยังไม่ได้ทำความสะอาดให้ครับ"

(เอ๊อะ!!!!!)

ไม่ได้ไงคะ ก็คือ นั่งรอ จบไหม เข้าใจนะ

อะๆไม่เป็นไร รอก็รอ งั้ขอไวไฟเล่นหน่อย บอกที่ไทยว่าปลอดภัย ไม่โดนใครปาดคอ

"ไวไฟเสียครับ ระบบมีปัญหา กำลังซ่อมอยู่"

(เอ้อะ!!!!!!!!!!!!)



ห้องยังไม่เสร็จ เน็ตก็ไม่มี แต่อย่าเพิ่งใช้คำหยาบกับสถานะการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะ

"ตอนนี้เข้าพักได้ 1 ห้องครับ และผมอัพเกรดให้เป็นห้องใหญ่กว่าเดิม เดี๋ยวลูกค้าขึ้นได้เลยครับ"

ฟ้า ยังมีตา รู้ว่าวันนี้โหดเกินกว่าที่จะให้เราต้องนั่งรอห้องอีกสองชม.

รับกุญแจ แล้วเดิน (เดินไง ไม่มีลิฟ) ขึ้นชั้น 4 ห้องแรกข้างบันได ไขกุญแจ เปิดเข้าไป

จะพบว่า...

นี่ห้องใหญ่? ใหญ่หรอ อัพแล้ว

ทางเดินกว้างขวางขนาด 1 คนเดิน

สี่คนเดินอยู่ในห้องนี้คือ เดินหลบกัน

เอาว่ะ คิดว่ารูปที่เขาถ่าย เขาใช้เลนส์วายแล้วกัน

นี่ก็คิดว่า ห้องที่ไม่ได้อัพเกรดที่จะเล็กขนาดไหน

(ไม่ใช่คนเรื่องมากหรอก แต่ว่าวันนี้เหนื่อยมาก อยากเจออะไรดีๆบ้าง ความจริงก็ไม่แย่ค่ะ ห้องน้ำสะอาด ดูดี มีทีวี มีน้ำดื่ม มีระเบียง เตียงดี หมอนนิ้ม แอร์เย็น และกว่าจะได้อีกห้องก็เกือบ 4 โมง )



จงลืมเรื่องพังๆ ของครึ่งวันเช้า แล้วมาจอยกับครึ่งวันบ่าย ที่ต้องมาเอาตัวรอดกันต่อ

เนื่องจากมีเวลาที่เวียงจันทน์แค่วันเดียว (เหลือครึ่งวันแล้วด้วย) ไปเที่ยวได้ไม่มาก

แผนที่วางไว้ คือไปประตูชัย (แค่นั้น ไร้การวางแผนต่อจากนั้นด้วย)

การเดินทางเลยต้องขอความรู้จาก รีเซฟชั่น

ได้แผนที่มา 1เล่ม พร้อมกาให้ว่า โรงแรมอยู่นี่ (ถ้าหลง จะได้กลับถูก)

จะให้เรียกสามล้อไปก็ไม่ไว้ใจแล้ว ทางที่ดีที่สุด คือ เดิน

มันจะไม่เดินหรอกตอนแรก

ถ้าพี่เขาไม่บอกว่า "ย่างไปก็ถึง"


แต่ก่อนอื่น การไม่มีเน็ตในพื้นที่ ที่ไม่คุ้นเคย ไม่ใช่เรื่องดี ควรมีไว้ ให้อุ่นใจ เราจึงต้องเริ่มด้วยการซื้อซิมเน็ต แต่ซื้อซิมเดียวก็พอ และแชร์กันได้

(ประหยัดหลายเด้อ)

เดินเลี้ยวมาเจอร้านสะดวกซื้อหน้าตาดูดี น่าจะมีซิมขาย รูปแบบร้านเหมือนสะดวกซื้อบ้านเรา ประตูเลื่อนได้ มีเสียงติ๊งหน่อง

ของที่วางขายๆอยู่ เกือบทั้งหมดมาจากไทย

และแผงหนังสือมีความน่าสนใจ เหมือนอ่านหญิงไทยฉบับที่สาวๆลาวอ่านกัน

ส่วนตู่แช่ก็เป็นยี่ห้อที่คุ้นเคย ในฉลากประเทศลาว

อาหารเวฟก็มี แถมจัดโปรด้วย


มีดู้ป๊อปคอนด้วยยย ว่าไม่ได้นะ (แต่เหนียวนะ เพราะซื้อมากิน)


แต่ไม่มีซิมขาย มีแต่บัตรเติมเงิน

อยากซื้อต้องเดินไปร้านชำ….

ร้านชำก็ร้านชำ หน้าตาเหมือนบ้านเราเป๊ะ เก่าๆ รกๆ ขายทั้งส่งและปลีก มาม่า ผงซักฟอก น้ำหวาน มีครบ ทั้งหมดฉลากไทย


ร้านดูไม่มีอะไร แต่มีซิมทุกขนาด(ตัดให้ได้หมด) แถมรับแลกเงินอีก เรทก็ไม่แพง

จัดการเปิดซิม และเติมเงิน ให้เรียบร้อย ในราคา บาท

มีซิมครบ อุ่นใจ พร้อมไปเดินทางต่อ


เราจะเดินจากแถวโรงแรม ไปประตูชัย เพราะระยะทางไม่น่าจะไกลมาก เดินได้


แวะพิพิธภัณฑ์ ราคา 20 บาทไทย ที่เก็บพระแก้วมรกตไว้ แต่ถ่ายรูปด้านในไม่ได้นะคะ



เห็นวัดอีกวัด ฝั่งตรงข้าม ข้างในน่าจะสวย แต่เสียค่าเข้าอีก ไม่เอา เราไปประตูชัยดีกว่า

ได้แต่แอบถ่ายข้างนอก



เดินไปเรื่อยๆ เราจะมาถึงบ้านหรือที่ทำงานปธ.ลาวก็ไม่แน่ใจ มองตรงไป จะเห็นประตูชัยเด่นอยู่กลางถนน คาดว่าน่าจะอีกไม่ไกล เราจะได้พบประตูชัยแล้ว


เดินไป ดูโน้น แวะนี่ 20 นาทีที่ผ่านไป ทำไมระยะห่างจากประตูชัยยังเท่าเดิม ?!


ความเหนื่อยล้าได้หายไป เพราะเราเจอห้าง! (ประตูชัยยังไม่ถึงขอเดินเข้าประตูห้างก็แล้วกัน)

หน้าห้างมีร้าน มิโซโน่ ที่โลโก้คล้ายร้านเสื้อจากญี่ปุ่น ขายของคล้ายร้านราคาเดียวจากญุ่ปุ่นเช่นกัน

เอาเป็นว่า ใครจะหนีรักมาพักใจ บินมาแบบไม่ได้เตรียมอะไรมา ร้านนี้ก็มีให้ครบครันยันกางเกงในแน่นอน

แวะห้างก็แล้ว เราก็ยังเห็นประตูชัยไกลลิบๆ

นี่มันประตูลวงตาไหม ไหนพูดดดดด

ก่อนใกล้จะถึงประตูชัย ที่เริ่มใกล้ขึ้นมา เราผ่านโรงเรียนของเด็กน้อยชาวลาว ที่กำลังเลิกเรียก แบบที่ริมถนนมีแต่ชุดนักเรียน นุ่งซิ่น นุ่งผ้ากัน ยืนรอพ่อรอแม่ขับรถมารับกลับบ้านกันทั้งนั้น และเป็นรถยนต์ทั้งหมดตลอดเวลาที่สังเกต หรือวัยรุ่นก็ขับกันมาเองเลยก็มี ถ้าจะให้เปรียบตอนนี้ก็เหมือนอยู่หน้าสตรีวิตฯ ตอนเลิกเรียน และรถเยอะมากกก


เดินไปเดินไป อ้าวถึงแล้วเฮ้ย ประตูชัย ข้ามถนนไปก็ถึงแล้วเด้อ

(ที่นี่ก็ข้ามถนนยากท้ายทายล้อรถมาก รีบมากก)


ถึงแล้วไง ประตูชัย นี่นะหรอ วัฒนธรรมที่ฝรั่งเศษมาฝังไว้ที่นี่ ถ่ายรูปกันสักแชะ สองแชะ



แต่ยังไม่หมด และเรารู้มาว่า ประตูชัย มันขึ้นไปดูวิวเมืองเวียงจันทน์ได้เด้อ ด้วยมูลค่า 20 บาทไทย แต่ต้องเดินขึ้นเองนะ ไม่มีลิฟ

มาถึงแล้ว เราจะยืนมึนไม่ขึ้นได้อย่างไร



เดินวนไปค่ะ 7 ชั้น

แต่ละชั้นจะมีซุ้มขายของ ที่ดูพนักงานไม่อยากจะขายกันเท่าไหร่ (ก็ดีแล้ว)

วิวด้านบนมีหลายชั้น ใครไหวก็เดินขึ้นไปได้อีก



แต่ว่าด้วยระยะทางอันยาวไกล และต้องเดินวนมาถึงชั้น 7



อีก 10 นาที จะปิดแล้วค่ะ เชิญเดินวนลงค่ะ


ลงปุ๊ป ปิดประตูปั๊บ งั้นมานั่งพักข้างล่างแปป

มองดูคนเดินไปเดินมาพร้อมตาลมเย็นๆ พักให้พอหายเหนื่อย



ได้เวลาอันดี ที่ควรจะเดินกลับโรงแรมก่อนที่ฟ้าจะมืด (ยังจะเดิน เพราะสืบราคารถสามล้อ แล้วจ่ายไม่ลง)

และการเดิน ทำให้รู้ว่า ยังมีทางเท้าที่แย่กว่าบ้านเราอีก บ้างต้องเดินถนน เพราะพ้นบ้านก็ถนนเลย


เดินวนๆ งงๆ เจอรถลูกชิ้นทอด จอดอยู่หน้าโรงเรียน ไหนลองหน่อยซิ

ราคาอยู่ที่ 5000-15000กีบ ก็ 5 บาท 10 บาท

หน้าตาลูกชิ้น ไส้กรอกไม่ต่าง แต่ว่าต่างที่น้ำจิ้ม และการเสิรฟ

ไม่ว่าจะสั่งกี่ไม้ก็แล้วแต่ จะเสิรฟด้วยความเท่าเทียมกัน

ใส่โฟมที่ปูด้วยถุงพลาสติดอีกชั้น ยัดกะกล่ำให่แน่นๆ แล้วเอาของทอดขึ้นวางราดด้วยน้ำจิ้มหวาน ใครจะเอาเผ็ด ก็มีพริกตำใส่เพิ่ม แล้วโรยด้วยถั่วทุบ ปักไม้พร้อมทานทันที

ลูกชิ้นทอดแบบเวียงจันทน์สไตล์


เอาเป็นว่าบ้านเมืองที่เดินมาขากลับนี่ไม่ได้ต่างจากไทยมาก บ้างมุมก็สร้างสำหรับนักท่องเที่ยว หรือกลุ่มลาวสาวลาวมานั่งชิคๆกินกาแฟ ขนมปัง หรือจะกินพิซซ่า หรือพาแฟนมาสเวนเซ่น ก็มีเด้อ



บางมุมก็แบบโล่งๆ แบบตึกการไฟฟ้า มีเคหะสำหรับพนักงาน ยิ่งใกล้ถึงที่พักก็ยิ่งเหมือนอยู่ข้าวสารเรื่อยๆ

ฝรั่ง คนเอเชีย ร้านเหล้า โรงแรม ร้านอาหารฝรั่ง

แต่ก่อนจะถึงที่พัก เราผ่านร้านหนังสือร้านนึง คล้ายๆ ร้านขายหนังสือจากเมืองนอก ชอบร้านหนังสือพอดี นี่ขอแวะหน่อย

ถึงที่พัก พร้อมอีกห้องที่ทำความสะอาดเสร็จแล้ว

เป็นห้องท่ไม่มีหน้าต่าง และทีวีมีช่องจากเมืองไทย

รีบมาก เพราะหิวมาก เลยไม่ได้ถ่ายรูปห้องเลย

รีบออกไปเดินถนนคนเดินริมโขงอย่างไว ตามที่พนักงานแนะนำ

และพบว่า มันมีขายแต่เสื้อผ้า ตลาดยาวมาก มีแต่เสื้อผ้าล้วนๆ


ต้องมานั่งพักใจอยู่ในคาเฟ่อเมซอน ราคาก็แพงกว่าไทย อย่างโกโก้แก้วนี้ก็ 90 บาท แต่ที่เหมือนกันคือไม่อร่อยพอๆกัน

หลังจากพักใจดูลาดเลา เราก็พบว่า

มันก็มีแต่ร้านรถพวง ขายพวกเบอร์เกอร์ เคบับ หมึกย่าง

และมีร้านอาหารที่ดูแล้วไม่อยากลอง

เลยหลบไปซบร้านข้างๆโรงแรม ที่เปิดแผนที่ดูแล้วมีคนไทยเคยกิน แต่ไม่เป็นไร ราคาน่ารัก

ก่อนจะไป เพื่อนกำลังสั่งปลาหมึกย่าง ที่อยู่ข้างๆ ร้านเบอร์เกอร์ ที่ไส้เป็นไก่สะแต๊ะ เสียบแท่งๆคล้ายเคบับ

เห็นคนมุงๆ เลยลองสั่งมาซิ เอาชิ้นเล็กพอ ดูปลอดภัย


จนกระทั่ง เพื่อนหยิบขึ้นมากิน แล้วดูหน้ามัน

กัดไม่ขาด ต้องใช้เวลาในการต่อสู้อยู่นาน เพราะขนมปังเหนียวมาก แถมขูดเพดานแรง

ทุกคนก็กินคนละคำ แล้วยัดมันไว้ในถุงเหมือนเดิม ถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น

แล้วรีบตรงไปร้านข้างโรงแรมทันที

ถึงร้าน สั่งเมนูเซฟสุด คือ ข้าวผัด ไก่ย่าง และเฝ่อพิเศษ แบบกินสองคนไม่หมด


ถึงโรงแรม ก่อนจะขึ้นห้อง เราก็แวะซื้อตั๋วรถmini bus ที่จะนั่งไปวังเวียง ในราคา 55000 กีบ

เขาจะรับถึงหน้าโรงแรง ตอนเช้า ราคาแพงกว่าที่หาข้อมูลมา แต่ว่าซื้อความสะดวกสบาย

และทำให้ไม่ต้องไปเจอสถานะการณ์แบบเมื่อตอนสาย ก็โอเค

จัดการทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จ ก็ขึ้นห้อง อาบน้ำ เปิดดูละครช่องสามดู แต่ก็ยังไม่มีไวไฟใช้อยู่ดีนะคะ




Day 2

เมื่อไหร่จะถึง กับ ที่พักริมน้ำซอง(หรอ)


เช้าอันแสนสดใส กับอาหารเช้าที่โรงแรมเตรียมให้ ที่ดูน่าจะเป็นมื้อที่ดูดีที่สุดในเวียงจันทน์


ก่อนที่รถตู้มารับ แวะเดินเล่นริมโขงตอนเช้าๆแปปนึง

รถตู้มารับที่โรงแรมเร็วกว่าเวลานิดหน่อย ขึ้นรถนั่งไปไม่เท่าไหร่ พนักงานบอกให้ลงจากรถพร้อมขนกระเป๋าลง ???

อะไรอีกกก !! สักพัก นางบอกให้เราขึ้นรถอีกคัน ที่ดูท่าแล้ว ไม่น่านั่งสบาย

แถมข้างๆเราก็เป็นเบาะเสริมอีก


นั่งงงๆ เด๋อๆ ไม่นาน ก็มี คนจีน คนญี่ปุ่น คนฝรั่ง มานั่งรวมชะตากรรมกับเราด้วย

นั่งไปโยกไป หลับบ้าง ตื่นบ้าง จะอ้วกบ้าง ถ่ายรูปบ้าง

รถก็แวะจุดพักรถ ให้เข้าห้องน้ำกับหาอะไรกิน ที่ราคาเตรียมฟันนักท่องเที่ยวหัวแบะ

เราเลือกเข้าห้องน้ำสภาพกังๆ ราคา 5 บาท


แต่นอกจากเพื่อนจะเข้าห้องน้ำ นางก็เดินไปลองข้าวเหนียวหมูปิ้งกับกล้วยปิ้งไร้น้ำเชื่อม


เมื่ออาการเมื่อยก้นรู้สึกดีขึ้น รถก็พร้อมออกเดินทาง

เราก็ต้องขึ้นไปนั่งโยกซ้าย โยกขวากันอีกกับทางลูกรัง ดินแดง ฝุ่นตลบ

ยกไปโยกมา รถก็พาเรามาถึง วังเวียง ใช้เวลาเกือบ 5 ชั่วโมง

ลงมาก็สภาพนี้เลย


ลงรถแล้วก็ควรเดินหาที่พักที่จองไว้ ถือโอกาสเดินชมเมืองวังเวียงไปในตัว

ดูเหมือนต่างจังหวัดของเมืองไทย ที่ความเจริญแบบบ้านๆที่เกิดตามที่ท่องเที่ยวฮิตๆ

ถนนเป็นลูกรังดินแดงๆ แบบฝุ่นตลบ เต็มไปด้วยร้านขายทัวร์เล่นเอคเวเจอร์ zipline คายัค

บาร์เบียร์ มินิมาร์ท

มีร้านชายสี่เวอร์ชั่นลาวด้วย


เป็นที่พักที่มีชื่อเสียง เดินตรงมาเราก็เห็นป้ายบอกทางมา

เดินไปก็พูดไปว่า นี่ทางเข้าที่พักที่เดินได้จริงๆหรอ ไม่ใช่บ้านใครที่ไหนใช่ไหม ?



เราก็ปราถนาว่า จะได้เห็นวิวริมน้ำซองตามรูปที่ลงไว้ในเว็บ

แล้วก็พบว่า ที่พักเรา ก็คือริมน้ำซอง แต่บ้านเราหันหลังให้แม่น้ำซอง

แต่ให้หน้าให้แอ่งน้ำซองเล็กๆ 555 มีวิวเป็นบ้านที่กำลังสร้างและเต็มไปด้วยคนงานลาว


ข้างในก็ตามภาพนะคะ พอนอนกันได้ ไม่อันตรายเท่าไหร่



สบายใจเรื่องที่หลับที่นอน ก็ต้องไปหาอะไรใส่ท้องกัน

คราวนี้หวยก็มาออกที่ร้านอาหารตามสั่งริมถนนใหญ่ ร้านเล็กๆ

ที่เราจะสั่งอะไรไปก็ไม่มี เลยต้องมากิน ข้าวไข่เจียวหมูสับ

แต่เพื่อนสั่งผัดไทกรอบ คือมี แต่รอนาน แต่อร่อยนะ ว่าไม่ได้

(ที่เจ็บใจ คือ ผัดไทกรอบกับข้าวไข่เจียวหมูสับ ราคา เท่ากัน 20000 กีบ แต่ความอลังการ ต่างกันโดยสิ้นเชิง)

อิ่มอร่อย กับอาหารไทยต่างถิ่นที่พอกินได้ เวลาเหลืออีกมากมาย ไหนลองเดินไปเที่ยวอะไรใกล้แบบไม่ต้องเช่ารถ สรุป แผนที่บอกเราว่า เดินไปสะพานน้ำซอง ใช้เวลาไม่นาน ไม่น่าจะทรมานเท่าเดินไปประตูชัย

ระหว่างเดินไป ก็เดินหาร้านทัวร์ ไปด้วย แต่ราคาก็โหดกันไปแล้วแต่ทัวร์ ไม่โดนใจสักที เดินผ่านร้านโรตีพอดี

ไหนลองโรตีลาวซิ อร่อยแค่ไหนกัน

โรตีใส่ไข่ กล้วย และเนทูล่า แผ่นใหญ่ ราคา 10000 กีบ แถมมีที่นั่งให้พร้อม




เดินไปอีกครึ่งทางก็ถึงสะพานน้ำซอง ค่าเข้า ราคา 4000 กีบ ทั้งไปและกลับ แถมต้องถ่ายรูปไปหลบรถไปตลอดทาง




(สกิลการหลบรถ)


เหมือนว่ามาถ่ายพรีเวดดิ้งให้เพื่อนอีก

เดินไปไหนก็ถ่ายไปเรื่อยๆ


เดินลุยทุ่งนา


จนพระอาทิตย์กำลังจะตก

ขากลับ เรานั่งรถอีแต๊ก ขนไม้กลับมาในตัวเมือง

จังหวะดีมาก วันนี้เขามีงานคล้ายๆตลาดงานวัดบ้านเรา มีร้านขายของกางเกง รองเท้า เครื่องสำอางราคาถูก (มีลิปจูบไม่หลุดด้วย) เดินไปเดินมา อ้าววว มีสวนสนุกขนาดพกพา ทั้งรถไฟเหาะเด็กน้อย ม้าหมุน ปาโป่ง(ลูกดอกก็ทื่อๆแบบบ้านเรา) ได้โค้กมา 1 ขวดน้อยๆ รถบั้มมหาสนุก ราคา อยู่ที่ 20 บาท เล่นได้ 2 รอบ น่าจะเกือบ 15 นาที ชนกันคอแทบหัก

มีความสุขมากกจนลืมถ่ายรูป



แต่ว่าหิวข้าวแล้ว ต้องเลือกร้านที่ไว้ใจได้ สุดท้ายก็จบที่ชายสี่บะหมี่เกี๊ยวที่ลาว

แต่ที่ไทยอร่อยกว่านะ จำไว้

หายหิวก็ต้องไปหาทัวร์ต่อ ได้พิกัดจากเพื่อนว่า หน้า Sakura bar มีทัวร์ราคาดี

ซึ่งก็คือดีจริง ราคาน่าคบหาได้มาทั้ง zipline คายัค บูลลากูน ถ้ำ ต่อไปต่อมา ได้ราคา 21000 กีบ/คน (ราคานี้ได้เพราะมา 4 คน) โดยพี่ขายทัวร์บอกว่า ห้ามบอกราคานี้กับใคร โดยเฉพาะคนเกาหลี (แสดงว่าก็ฟันเละอยู่) พรุ่งนี้ 8 โมง ก็มาเจอกันหน้าทัวร์

แต่ไฮไลท์เด็ด ที่เพื่อนบอกก็คือ ต้องลองมา Sakura bar แต่ว่า วันนี้ ปิด ไม่มีมีป้ายบอกว่าปิดกี่วัน จะเปิดวันไหน ไม่มีเลย

ทุกคนเลยหันไปซบอก Irish bar มีโปรก่อน 3 ทุ่ม ซื้อ 2 แถม 1 เลยจัดไป 3 แก้ว


ร้านมี 2 ชั้น บรรยากาศชิวๆ ใครชอบเฮฮา นั่งบาร์ ก็นั่งด้านล่าง ใครมีกันหลายคน อยากนั่งคุยชิวๆ มีโต๊ะปิงปอง ก็นั่งชั้น2 เห็นวิว Sakura bar เต็มตา ดูคนเดินมายืนงงอยู่หน้าร้านแล้ว ปิดหรอ แล้วก็เดินเข้า Irish bar


นั่งเมาธ์เรื่องราวเก่าๆสมัยเรียนกันระหว่างนั้นฝนก็ตกปรอยๆ จนถึง 5 ทุ่ม คิดว่ายังไงฝนก็น่าจะหยุด แต่เราก็ต้องรีบนอน เลยเดินลุยฝนกลับที่พัก

จำทางที่เรามาได้ใช่ไหมคะ กลางวันยังพอเดินได้ แต่กลางคืน มืดสนิท เหมือนไม่ใช่ที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว เราเลยเดินจะเดินกลับอีกทาง แต่ใครจะรู้ ว่าประตูใหญ่ มันจะปิด ฝนก็ตก มืดก็มืด บ้านก็อยู่ห่างแค่ประตูกั้น เราจะทำอะไรได้ นอกจาก ปีนรั้วข้ามไป ลังเลอยู่ไม่นาน ฝนก็ทำท่าว่าจะตกหนักขึ้น ถ้าลีลาอย่างนี้ พรุ่งนี้ก็ไม่ได้นอน ดูหนทางการปีนเข้าที่พักตัวเองเสร็จสรรพ เพื่อนคนแรกก็จัดการกระโดดข้ามไปได้อย่างทุลักทุเล และคิวต่อไปก็เป็นคนกลัวความสูงอย่างเรา รั้วดูสูงไม่มาก ไม่น่าเกิน 3 เมตร ตอนปีนไปไม่เท่าไหร่ แต่ตอนจะลง รู้สึกใจมันสั่น คิดต่างๆนานา ว่าถ้าลงแล้ว ลื่นล้ม หน้าต้องแหกแน่ แต่ตอนนี้เพื่อนก็ยืนด่าอยู่เหมือนกัน กั้นใจโดดลงไป เออ ไม่เห็นเป็นอะไร แล้วที่เหลือก็โดดกันมาตามๆกัน สรุปยืนหัวเปียกร่วม 30 นาที

เรื่องเล่ามันรวดเร็ว แต่ในเวลานั้นช่างยาวนานเหลือเกิน



Day 3

ตื่นมากับเช้าวันใหม่ รีบลงมากินข้าวเช้าที่เขาเตรียมให้ ชุดอาหารเช้าพร้อมขนมปังฝรั่งเศษ

อิ่มท้องตามปริมาณที่เขาบังคับให้อิ่ม (ถ้าไม่อิ่มก็เติมไม่ได้) ก็ทำเรื่อง check out คืนกุญแจ



เดินแบกกระเป๋าและรองเท้าไปฝากไว้กับที่พักใหม่ และ check in ล่วงหน้า เป็นนิมิตหมายอันดี ที่แอบได้ดูห้องที่จะพัก หน้าตาดูดี ห้องน้ำโอเค แถมแอร์เย็น รวมไปถึงพนักงานต้อนรับที่ดูเป็นมิตรกับเรามากๆ

เรื่องที่พักเรียบร้อย เราก็เดินไปรอรถที่หน้าร้านขายทัวร์ได้เลย โดยมีเราเป็นกลุ่มแรกๆ แล้วรถก็ตระเวนรับคนตามที่พักมาเรื่อยๆ ประมาณ 4 กลุ่ม เต็มคันพอดี ทั้งไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น


ที่แรกที่เราจะไป คือ พายเรือคายัค สอนกันตรงนั้น ด้วยความเป็นสาวสาวสาว และ 1 หนุ่ม เราจึงต้องแยกเป็น 3 ลำ โดยเพื่อนสาวกับแฟนหนุ่มก็ไปด้วยกัน ส่วนเราและเพื่อนสาวอีกคนได้เจ้าหน้าที่มาคอยพายให้สวยๆ ไม่เมื่อยแขน


อากาศดี มีลมเย็นสบาย แดดไม่แรง


จุดมุ่งหมายของการพายเรือ ครึ่งแรกคือการไปเล่น zipline ระยะทางปานกลาง ความสวยก็ปานกลาง

ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะให้เล่น ก็มีการให้เซนเอกสาร และทดลองให้เล่น 1 รอบ ไม่ไหวก็ถอนตัวได้ แต่ใจสู้เล่นกันทั้งกลุ่ม


วิวสวย สนุกมาก ไม่น่ากลัวเลย มีทั้งผ่านป่าและแม่น้ำซอง

เสียดายที่เอากล้องใหญ่มาไม่ได้

เล่น zipline เสร็จ ทางทัวร์ก็เตรียมข้าวผัดห่อใบตองพร้อมขนมปังฝรั่งเศษ (อีกแล้วว่ะ) กับแตงโม ฉ่ำๆและกล้วยให้กินกัน


อิ่มอร่อยก็ได้เวลาไปเข้าถ้ำแต่ในถ้ำมืดมาก เลยไม่มีรูปดีๆออกมาให้เห็น แต่ภาพจำที่เพื่อนลื่นล้มก็ยังคงไม่จางหาย

เสร็จสิ้นกับฐานนี้ ก็พายคายัคกันต่อ ตามแม่น้ำซอง ผ่านที่ๆเราไปพักซะด้วยยย จนมาสุดทาง ลงเรือขึ้นรถไป bluelagoon แต่ว่าแรงหมด ขอนั่งพักชิวๆแต่ก่อนกลับก็ยังไม่พลาด ไปโดดน้ำบนต้นไม้ให้เสียวไส้กันเล่นๆ



รถมาส่งเราถึงหน้าที่พัก รีบเข้าห้องอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัว แล้วรีบดิ่งไปหาร้านข้าวกิน ก่อนไปก็แวะไปทักทายร้านที่เราซื้อทัวร์ เห็นว่ามีบริการรถตู้ไปเวียงจันทน์ ราคาถูกกว่าด้วย เลยเป็นลูกค้าซื้อตั๋วขากลับอีก 4 ใบ (และพบว่ามันคุ้มค่ามากๆ)

ที่สำคัญที่สุด คือร้านทัวร์นี้อยู่หน้า ซากุระ บาร์ ที่เมื่อวานปิด แต่วันนี้ ร้านเปิดจ้าา

เย็นนี้อยากได้อะไรดีๆ เป็นมื้อสุดท้ายในวังเวียง เลยแวะหาหมูกระทะ เดชะบุญ เจอร้านที่หน้าตาเป็นมิตร ที่ขายสุกี้และปิ้งย่าง จำไม่ได้ว่ามีหมูไหม เพราะไม่ได้สั่งเอง มัวแต่ดูรูป ตอนมาเสริฟ ก็เห็นไก่เนื้อบางๆอยู่บนจานเปล พร้อมผักมากมาย และตามด้วยเตาหมูกระทะหน้าตาคุ้นเคย ก่อนเด็กเสริฟจะเดินจากไป ก็หันมาถามเป็นภาษาไทยแบบลาวๆ "กินเป็นบ่"


กำลังกินอย่างเมามันส์ เจอพี่ๆคนไทยที่ไปทัวร์กับเรา เดินมาทักทาย แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือต้องบอกว่า วันนี้ซากุระบาร์ เปิดแล้วเด้อ เลยชวนไปเจอกันหลังกินหมูกระทะเสร็จ

มื้อนี้หนักหนา โดนกันไปเกือบ 174000 กีบ

กินเสร็จก็ไปเจอกันที่ ซากุระ บาร์ แต่ว่าฮาร์ดคอร์กว่าเมื่อวาน มีเวที มีเกมส์ มีบาร์ เสียงดัง กรี๊ดกร๊าด แสงสี สนุกสนาน

เที่ยงคืนกว่าก็ลากลับเพราะพรุ่งนี้ต้องรีบตื่นเช้ามานั่งรถกลับบ้านกัน





Day 4


เช้านี้ตื่นมาเก็บของ กินอาหารเช้าที่โรงแรม ที่หน้าตาดูดี มีนม ชา กาแฟ ผลไม้ให้ตักเองด้วย

แถมแยมกับขนมปังก็อร่อยด้วย และ check out คืนกุญแจ


เช้านี้เพื่อนอยากไปร้าน Luang Prabang Bakery แต่มาเปิดที่วังเวียง เลยเดินกันไป 2 คน ขนมก็มีให้เลือกหลากหลาย มีเค้กด้วย โดนัทอีก เพื่อนดูมีความสุขมาก ซื้อไม่หยุด และที่สำคัญ คืออร่อยจริงๆ และเป็นร้าน(แรก) ที่แนะนำให้ลอง


จะจบทริป เพิ่งจะนึกได้ว่าจะส่งโปสการ์ด สรุปก็ไปซื้อโปสการ์ด แถมเจอค่าส่งไป 50 บาท จนทำให้ขึ้นตู้สาย เขาวนหาทั่วเลย

ขึ้นรถปุ๊บ รู้สึกได้ถึงความแตกต่างจากขามาที่นั่งสบายมาก คนน้อย ด้วย แถมขับดี

มีจุดแวะพักโอเค ห้องน้ำสะอาดที่ไม่ต้องเสียเงิน

และเพิ่มอีก 20 บาทก็พาไปส่งที่ท่ารถ
(ใครมาวังเวียงก็แนะนำซื้อทัวร์ซื้อตั๋วรถจากร้านนี้เลยละกัน บริการดี ราคาไม่แรง และคุยง่าย พูดได้หลายภาษา)

ถึงท่ารถ รีบซื้อตั๋ว และพบว่าต้องนั่งรถลาวกลับอีกแล้ว (ไม่ได้นั่งรถไทยเลย) แต่ที่ดีกว่าเดิมก็ไม่มีผักจากตลาดแล้ว

ก่อนขึ้นรถก็แวะเข้าห้องน้ำและเดินเล่นรอบๆขนส่งน้อยๆ ที่ไม่น่าไว้ใจที่จะซื้อข้าวกันเลย


ขับมาเรื่อยๆก็ถึงด่านข้ามกลับไทยแล้วจ้า ทำเรื่องเข้าประเทศไทย และรู็สึกปลอดภัยทันที


ด้วยความรอบครอบ ที่รีบออกจากลาวไวมาก เลยถึงอุดร ตอน14.00 น

และ กลัวรถทัวร์กลับไทยมีปัญหา เลยจองตั๋วเครื่องบินไฟล์ทุกท้ายของวัน (ไฟล์เกือบ 5 ทุ่ม ที่ดีเลย์อีก 15 นาที )

สิ่งที่ทำได้คือเดินเล่นในเซนทรัลอุดร และแวะกินฮอตพอทบุฟเฟ่ แถมเล่นเกมส์เต้นไปอีกหลายเกมส์



ได้เวลาที่เราควรไปสนามบิน เดินมาหน้าเซนทรัลอุดร มีแต่รถ 3 ล้อเครื่อง ที่รูปทรงเหมือน 3 ล้อถีบ ดูท่าว่าจะไปไม่หมดแน่ แต่ลุงที่เดินมา บอกว่าหมด ทั้งคนทั้งกระเป๋า แต่ก็เบียดนิดหน่อย

15นาทีต่อมา

ลุงหน้าเซนทรัลก็พาเรามาส่งถึงหน้าสนามบินอุดร ด้วยรถสามล้อคันเล็กๆ ที่บอกว่าขึ้นได้หมด ทั้งคนและกระเป๋า

เชคอิน รอขึ้นเครื่อง นั่งดูรูปจากทริป


และปิดทริปโดย ที่ได้คุณ นิ้ง กุลสตรี มาเป็นแอร์ต้อนรับหน้าประตู ไฟล์สุดท้าย อุดร-กรุงเทพ


Lost in Laos เชื่อพี่เพราะทริปนี้ ทุกอย่างแก้ไขได้

ปล. ทริปนี้จำค่าใช้จ่ายจำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ไม่เกินคนละ 7000 บาท รวมทุกสิ่งอย่าง


Lee Leelawadee

 วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.54 น.

ความคิดเห็น