สวัสดีครับ ตอนสมัยเรียนหนังสือ ผมได้มีความฝันว่าเรียนจบ ถ้ามีงานทำแล้วอยากไปเที่ยวต่างประเทศสักครั้ง ซึ่งตอนนั้นคิดไว้ว่าจะไปประเทศลาว ซึ่งตอนนี้ความฝันที่จะไปเที่ยวต่างประเทศก็เป็นจริงครับ แต่ว่า...ไม่ใช่ลาว แต่กลับเป็นประเทศสิงคโปร์ เพราะหลายๆปัจจัยนะครับ สำหรับการเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกนี้เป็นการเที่ยวเอง ไม่ได้ไปกับทัวร์นะครับ

วัตถุประสงค์การไปสิงคโปร์ในครั้งนี้หลักๆคือ เที่ยวเปิดหูเปิดตา และถ่ายรูปวิวเมือง

การรีวิวจะขอเล่าเป็นแบบลำดับเหตุการณ์เลยนะครับ เที่ยวไปหลงไปครับ อย่าเบื่อกันก่อนนะครับ


คำเตือน โปรดเชื่อมต่อไวไฟก่อนเริ่มอ่านรีวิว ซึ่งจะมีภาพและเนื้อหาในปริมาณมาก อาจทำให้ Data ของท่านหมดได้ โดยทางผู้เขียนจะไม่รับผิดชอบใดๆ หาก Data ของท่านหมด


การเดินทาง

ในการไปเที่ยวครั้งนี้มีผู้ร่วมชะตากรรมด้วยอีก 3 คนครับ เป็นเพื่อนสมัยเรียนที่มีความฝันเดียวกันกับครอบครัวของเพื่อนครับ โดยก่อนไปเที่ยวนั้นผมได้ศึกษาข้อมูลและวางแผนทำเป็นคู่มือเที่ยวเลยครับ มีทั้งข้อมูลเที่ยว แผนที่ ข้อมูลควรรู้ ฯลฯ โดยเราจะไปกัน 4 วัน 3 คืน ตั้งแต่ วันที่ 13 - 16 เมษายน 2560 เนื่องจากเป็นวันหยุดไงครับ 55555+ (สงกรานต์ต่างแดนกันเลยทีเดียว)

....แต่ว่าแผนที่วางไว้นั้นหลุดแผนหมดเลยครับ ช่างมันเถอะ 5555+

การใช้งานอินเทอร์เน็ตขณะอยู่ที่สิงคโปร์

ตอนแรกกะว่าจะไปซื้อซิมเอาที่นู้นครับ แต่พอดีเพื่อนร่วมทริปบอกมา แล้วหาข้อมูลดูแล้วราคาก็เท่าๆ กันกับซิมที่สิงคโปร์ โดยหลักๆจะเอาไว้เล่นเน็ต เปิด Google Map, Facebook, Line เลยได้ซิมนี้มาครับ AIS SIM 2 FLY ราคา 399 บาท โดยใช้เล่นเน็ตได้ 4GB (ได้อัพเกรตเพิ่มอีก 1GB) ใช้งานได้ 8 วัน หากต้องการโทรกลับไทยก็เติมเงินไว้ครับ ซื้อได้ที่ AIS Shop ครับ พอไปถึงที่นู้นไม่ต้องทำอะไรเลยเปิดเครื่องใช้ได้เลยจริงๆครับ เน็ตแรงมากๆๆๆๆๆ (ก็ขึ้นอยู่กับเครือข่ายที่นู้น) ซึ่ง Rooming กับ Singtel นะครับ และรู้สึกตอนนี้มีของ True ออกมาด้วยครับราคาเท่ากันเลย สนใจลองหาข้อมูลดูครับ

จะไปยังไง ???

นั่งเรือบินไปสิครับ :D :D :D

หลังจากเฝ้าดูเช็คราคามาหลายเดือน ตอนแรกเล็งของสายการบินพี่เสือ Tigerair ไว้เพราะเห็นว่าตั๋วถูก แต่เอ่อ ค่าตัดบัตรโหดมากกกกกกกกก มีอยู่คืนหนึ่ง (24 กุมภาพันธ์ 2560) เข้าจังหวะประจบเหมาะ ตั๋วโปรรรรรรรร ไทยแอร์เอเชีย ซะด้วย รวมค่าตั๋วไปกลับ 3,438 บาท รวมโหลดกระเป๋าขากลับ 20 กิโล จ่ายเงินที่เคาเตอร์เซอร์วิส ขึ้นเครื่องที่ภูเก็ต โอ้ววววววว รีบจองอย่างเร็วเลยครับ

ระดับสกิลภาษาอังกฤษ ???

พอดีไม่ค่อยได้ใช้งานเลยคืนครูไปหมดแล้ว (แหะๆ)

ออกเดินทางกันเลยมั้ย ???

Day 1 | วันที่ 13 เมษายน 2560

Let's go.....เช้าวันที่ 13 เมษายน 2560 เวลา 05:20 ผมและผู้ร่วมชะตากรรมก็ได้เดินทางมาถึง ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต (HKT) เอ่อ เรียกซะเต็มยศเลย คือเท่าที่ศึกษาข้อมูล การที่เดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกให้เผื่อเวลาไว้เยอะๆครับ อันนี้เชื่อฟังมาก มาก่อนซะหลายชั่วโมงเลย

เค้าเตอร์ยังไม่เปิดครับ 555+

หาอะไรรองร้องครับ ของในเซเว่นสนามบินภูเก็ตแพงกว่าข้างนอกนิดหน่อยครับ แต่ไม่ได้แพงเหมือนสนามบินดอน***

โผล่มาแล้วครับ Flight ที่จะไปกัน

ระหว่างรอก็ไปห้องน้ำมาครับ โดยอาคารสนามบินภูเก็ตในส่วนขยายนี้ยังทำไม่เสร็จสมบูรณ์ 100% นะครับ ยังมีเหลือเก็บงานนู้นี่นั่น ด้านข้างๆยังมีงานก่อสร้างอยู่เลย

หน้าห้องน้ำจะมีเครื่องกดน้ำบริการด้วยครับ มีทั้งน้ำร้อนน้ำเย็นบริการ สามารถดื่มน้ำปัสสาวะได้ตามสะดวกครับ

ถ่ายในอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ

เค้าเตอร์เปิดแล้วครับ ไปเช็คอินก่อนครับ


แต่แล้วไม่ได้เช็คอินที่เค้าเตอร์ครับ ไม่มีกระเป๋าโหลดพนักงานเค้าเลยพาไปเช็คอินที่ตู้เช็คอินแทน ก็สะดวกดีครับ แล้วพนักงานคนนั้นก็เดินไปหยิบใบ ตม.ขาออกมาให้ครับ ให้มาเขียนให้เรียบร้อย

น้ำตาจะไหล สุ่มที่นั่งได้ Hot Seat !!!

วิธีเขียนใบ ตม.จะมีตัวอย่างอยู่หน้าทางเข้า ตม.ครับ เขียนให้เรียบร้อย พร้อมแล้วก็เดินเข้าไปเลยครับ (ห้ามถ่ายภาพ)

Skip>>>

หลังจากผ่าน ตม. เอ็กเรย์กระเป๋า ตรวจของเหลวขึ้นเครื่อง ตรวจร่างกาย ตามระเบียบของสนามบินเรียบร้อยแล้ว ก็มารอที่ Gate แล้วครับ

เป็น Bus Gate ครับ จะมีรถบัสของสายการบินมารับเราไปขึ้นเครื่องที่จอดอยู่ไกลโพ้น

นั่งรอเรียกขึ้นรถครับ

รถมารับมาละครับ เนื่องจากได้อัพเป็น Hot Seat เลยได้ขึ้นเครื่องก่อนด้วย ส่วนเพื่อนผมเป็นที่นั่งธรรมดา อยู่แถวหลังๆ แต่ได้นั่งติดกัน

ออกรถได้ !

มาถึงเครื่องปุ๊ป ฝนตกปั๊บ ฤกษ์ดีซะจริงๆ 55555+

รู้สึกหายใจ จะออกจากดินแดนสยามแล้ว

แต่ว่า.....ไม่ได้อยู่ริมหน้าต่างอะครับ T_T

เครื่องลำเล็ก Airbus A320-XXX จำไม่ได้ครับ 555+

เครื่องขึ้นไปสักพักแอร์ก็จะเอาใบผ่าน ตม.มาให้กรอกครับ ถ้าไม่เก่งภาษาอังกฤษอย่าลืมเซฟหรือปริ้นตัวอย่างไปด้วยนะครับ ผมนี้มีตัวอย่างแต่ลืมดันเขียนชื่อก่อนนามสกุล เลยต้องขอใหม่ แหะๆ

ทันใดนั้นสายตาอันร้ายกาจหันไปเห็นที่นั่งด้านหน้าว่าง 3 ที่เลย ติดหน้าต่างด้วย ฮิฮิฮิฮิ เลยขอแอร์ไปนั่งตรงนั้นที่ติดหน้าต่าง แอร์ใจดี ด้ายคร่าาา ดีใจมากครับ 5555+

ไม่รู้เป็นอะไร ก็นั่งเครื่องมาหลายครั้งแล้วครับ แต่ชอบถ่ายรูปจากหน้าต่างเครื่องบินครับ คือไม่หลับ นั่งดูได้ตลอดเลย

ถึงไหนแล้ว

จะถึงแล้วครับ นี่น่าจะเป็นหมู่เกาะที่อินโดนีเซีย เครื่องบินกำลังตีวง ตอนเครื่องเลี้ยวผมนี่ชอบมาก

ถึงแล้วครับ ท่าอากาศยานนานาชาติชางงี สิงคโปร์ เช่นเดิม ได้ลงเครื่องก่อนใคร ฮึฮึฮึฮึ

เดินตามทางไปเรื่อยๆครับ เดี๋ยวค่อยไปรอเพื่อนที่ปากทางออกแล้วกัน


บรรยากาศภายนอกสนามบินที่ได้รับการจัดอันดับว่าดีที่สุดในโลก

อาคารผู้โดยสารขาเข้าครับ รอเพื่อนอยู่ที่นี่

เพื่อนมาแล้วก็ออกเดินทางไป ตม.เลยครับ เดินตามป้ายอะไรวะ (Arrival) ไปเรื่อยๆครับ


เวรกรรม เทอร์มินอล 1 เหมือนเดิมครับเดินตามป้ายอะไรวะหรือไม่ก็ Immigration ครับ

อะไรวะ !!!

คือผมลืมครับว่าหยุดภ่ายภาพไปตอนไหน เพราะตรง ตม.ห้ามถ่ายภาพโดยเด็ดขาดเลยนะครับ ผมมาถ่ายอีกทีตอนออกจาก ตม. ตรง ด้านหน้าตม. จะมีชั้นวางแผ่นพับท่องเที่ยวอย่าลืมหยิบมาด้วยนะครับ เผื่อฉุกเฉิน แบตหมดยังได้ดูจากแผ่นพับได้

หลังจากผ่าน ตม.ก็เดินตามป้ายที่ชี้ไป Skytrain to T2 โดยเราจะนั่ง Monorail ฟรีไปขึ้นรถไฟฟ้าเข้าเมือง ซึ่งสถานีรถไฟฟ้าอยู่ที่ Terminal 2 ครับ ใครที่นั่งเครื่องมาลงที่ Terminal 2 ก็เข้าเมืองได้เลย


ภาพเบลอขอโทษด้วยครับ เพราะเดินไปถ่ายไป ไม่ได้หยุดยืนถ่ายครับ

เดินตามป้ายไปครับ

ตรงบันไดเลื่อนซ้ายมือจะมีประติมากรรม หรืออะไรซักอย่างนั่นแหละ แต่ตอนนี้เค้ายังไม่เปิดครับ ถ้าเปิดแล้วมันจะเคลื่อนไหวเป็นรูปร่างต่างๆ ลองหาชมในยูทูปดูครับ (ขากลับเปิดโชว์แต่ดันลืมถ่ายมา)

ถึงละครับ รอ Skytrain สักพักก็มา

รายละเอียด Skytrain ครับ

ออกจาก Skytrain ได้ทีนี้ก็เดินตามป้าย Train to City ครับ

ระหว่างทางแวะเติมน้ำครับ

เหล่าผู้ร่วมชะตากรรมครับ เติมน้ำครับ ฟรีๆๆๆ

ลงไปเลยยยยย ด่านล่างคือสถานีรถไฟฟ้าครับ

เดินไปซื้อบัตร EZ-Link ที่เค้าเตอร์ครับ

ราคาก็ตามนี้ ราคารวม $12 ค่าบัตร $5 ไม่ได้คืน ใช้ได้จริง $4 อีก $3 เป็นเงินติดบัตรครับ คือยอดเงินในบัตรห้ามเหลือน้อยกว่า $3 มิฉะนั้นจะติดเข้าตอนขึ้น MRT ไม่ได้ครับ

ผมและเพื่อนๆเลยเติมเงินเพิ่มอีกคนละ $10 ตามคำแนะนำหลายๆคนครับ 555+

เก็บคลิปวิธีการเดิมเงินมาฝากครับ

จากนั้นก็รอรถไฟฟ้ามาครับ จะมีหน้าจอบอกเวลาที่รถไฟฟ้าจะมาถึงด้วย


นั่งหรือยืนไปโดยเราจะต้องไปเปลี่ยนสายที่สถานี Tanah Merah (ทานาเมร่า) เป็นสายสีเขียวเหมือนเดิม แต่ต้องลงให้ถูกฝั่งนะครับ โดยประตูจะเปิดทั้ง 2 ด้านเลยโดยหากต้องการเข้าเมืองให้ลงฝั่งซ้ายมือ Platform B มุ่งหน้าไป Joo Koon ครับ

ภายในรถไฟฟ้าเค้าไม่มีป้ายห้ามถ่ายรูปเหมือนบ้านเรานะครับ อิอิ โดยที่พักอยู่ที่ย่าน Chinatown จึงต้องไปเปลี่ยนเป็นสายสีน้ำเงินที่สถานี Bugis อีกรอบครับ

ถึงสถานี Chinatown แต่ตอนนี้ตามแผนจะต้องไปซื้อตั๋วที่ร้าน Sea Wheel Travel บนชั้น 3 ของห้าง People's Park Centre

ก็หลังจากออกจากรถไฟฟ้าแล้วก็เดินตามป้าย ออกทางออก D People's Park Centre ย้ำ ทางออก D People's Park Centre ไม่ใช่ People's Park Complex

พอออกไปด้านนอกก็อยู่หน้าห้างเลยครับ เดินเข้าไปในห้างขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้น 3 เลยครับ (ลืมถ่ายรูปมาอีกแล้ว) ไปซื้อตั๋วเข้าสถานที่มาครับ เข้าโดมที่ Gardens By The Bay กับขึ้นไปชมวิวบน Sands SkyPark ครับ ราคาคนละ $18 ถูกกว่าไปซื้อเอาหน้างานเยอะเลยครับ อิอิ ที่สำคัญ พนักงานที่ Sea Wheel Travel พูดไทยได้ด้วย ชัดแจ๋ว เหมือนเป็นคนไทยเลย

ออกมาจากห้างข้ามถนนมาอีกฝั่ง นึกขึ้นได้ว่าลืมถ่ายรูป 555+ นี่แหละครับ People's Park Centre ประตูทางเข้าสถานีรถไฟฟ้าอยู่ข้างๆเลย

ได้เวลาเช็คอินเอาของไปเก็บที่พักครับ โดยผมและเพื่อนๆ ได้พักที่ 5footway.inn Project Chinatown 2

เดินเก็บภาพบรรยากาศบ้านเมืองในสิงคโปร์เรื่อยๆครับ ชอบมาก มีแต่ตึกแต่รู้สึกว่าเป็นระเบียบ บ้านเมืองเค้าสะอาดมากครับ มีถังขยะอยู่ข้างถนนเยอะมาก ยังกับของตกแต่งเลย แต่ยอมรับเลยถังขยะเค้ายังสะอาด 555+

เลี้ยวเข้าถนน South Bridge ก็จะถึงแล้วครับ

ลืมถ่ายด้านหน้าโรงแรม (ขอเรียกว่าโรงแรมนะครับ ง่ายดีถึงแม้จะเป็นโฮสเตล)

หลังจากเช็คอินและจ่ายตังค์เรียบร้อยแล้วจะได้คีย์การ์ดสำหรับเปิดประตูทางเข้าด้านล่างและเปิดห้อง โดยจะมีค่ามัดจำคีย์การ์ด $20 จะได้คืนวันเช็คเอ้าท์

เรื่องราคาที่พัก 3 คืน เป็นห้องพักรวม 4 คน มีผ้าขนหนูให้ฟรี ทั้งหมด $395.46 รวมค่าบริการและภาษี โดยเค้าจะให้ใบเสร็จมาด้วยครับโดยจากที่ดูแต่ละคืนราคาจะไม่เท่ากันครับ แต่เฉลี่ยแล้ว 4 คน 3 คืน เฉลี่ยนคนละ $98.86 หรือ 2,447 (฿24.75:$1) บาท ตกคืนละ 815 บาท ถือว่าถูกอยู่ครับ เพราะจองล่วงหน้าไว้นานพอควรครับ ผมลองเช็คราคาดูทีหลังราคาขึ้นค่อนข้างเยอะเลยครับ

ภาพนี้จะเป็นทางขึ้นครับ บันไดสูงนะครับ


ทางเดินไปห้อง อยู่ซ้ายมือในสุดเลยครับ

ภายในห้องครับ ได้ถ่ายมา 2 รูปเพราะเปิดห้องปุ๊ปก็รกเลย 5555+

เป็นเตียงเดี๋ยว 1 เตียง เตียง 2 ชั้น 1 ชุด และข้างบนอีก 1 ครับ แต่ผมเสียสละให้สาวๆเค้าปีนไปนอนข้างบน ตัวเองนอนเตียงเดี๋ยว แมนมากกกก 55555+

เดี๋ยววันกลับเอารูปครัวกับล็อบบี้มาให้ดูนะครับ 5555+

หลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้ว กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ไปเลยใกล้ๆ แถวๆนี้แหละครับ ศูนย์อาหาร Maxwell นั่นเอง

ออ ลืมบอก โรงแรมที่พักจะอยู่ตรงข้ามกับปากซอยทางไปสถานี Chinatown ทางออก A พอดีเลยครับ โดยอยู่เยื้องๆกับวัดศรีมาริอัมมัน (Sri Mariamman)

ออกจากที่พักเลี้ยวซ้าย ซัดตรงไปเลยครับ

จะผ่านแลนด์มาร์คของ Chinatown แต่เรายังไม่แวะครับ

เนื่องจากเค้ากำลังมีงานก่อสร้างรถไฟฟ้า เราเลยต้องเลี้ยวเข้าถนน Erskine แทนครับจะมีป้ายบอกตลอดทางครับ แล้วก็เดินเลียบด้านข้างศูนย์อาหารเลย

ภายในศูนย์อาหาร

เข้ามาในศูนย์อาหารผมนี่มุ่งตรงมาที่นี่เลย มาแล้วต้องกินนั่นคือข้าวมันไก่เทียน 2 เล่ม

คนรับออเดอร์พูดไทยได้ด้วย เจ๋งมาก ผมยังไม่ทันสั่งเลยพูดไทยใส่มาแล้ว ผมนี่ไปต่อไม่ถูกเลยพูดไทยใส่กลับไปบ้าง ก็เป็นร้านที่คนไทยชอบมากินนี่หน่า 55555+

สั่งทางด้านขวามือแล้วก็มายืนรอตรงฝั่งซ้ายที่เค้ากำลังสับๆๆๆๆ

ได้มาแล้วครับ ข้าวมันไก่ในตำนานจานละ $5

อิตาดาคิมัสสสสสส เดี๋ยวๆผิดประเทศ กินคำแรกร้องอื้อหือกันเลยทีเดียวครับ อร่อยสมคำร่ำลือจริมๆ เพื่อนๆมาแล้วต้องลองนะครับ

ผมไม่มีขวดเปล่ามาเลยต้องไปซื้อน้ำก่อนครับ จากนั้นค่อยไปขโมยน้ำที่โรงแรม ขวดนี้ ราคา $1 ก็ 25 บาท แพงงงงงงงง.....

เอ่อออออ ต่อจากนี้ตอนซื้ออะไรเราจะไม่พูดเป็นเงินไทยนะครับ 5555+

อิ่มแล้ว....

ตามแผนเราจะไปขึ้นตึก Marina Bay Sands กันครับ ไปเลย

ออกทางด้านหลังครับกะว่าจะเดินเล่นไปเรื่อยไปขึ้น MRT ที่สถานี Telok Ayer

แต่ว่า...ครึ้มฝนมากครับเลยเปลี่ยนแผนกลางทางเลี้ยวกลับไปเดินเล่นแถว Chinatown กันครับ แผนที่วางไว้เลยรวนต้องแต่บัดนี้เป็นต้นไป



ที่สิงคโปร์เดินไม่ยากเลยครับ ถนนเค้าเดินง่าย เปิด Google Map คู่กันไป นั่นๆๆ เห็นขอบตึกโรงแรมครับ

เดี๋ยวจะให้ดูบรรยากาศของย่าน Chinatown นะครับ มีร้านอาหารบ้างครับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นร้านขายของฝาก เสื้อผ้า เครื่องสำอาง น้ำหอม เป็นต้น ดูยาวๆไปเลยครับ

เอ่อ....ไม่ยาวครับ เปลี่ยนแผนอีกแล้ว ตอนนี้รู้สึกสับสนกับชีวิตมาก เพื่อนร่วมชะตากรรมบอกถึงไหนถึงกัน เลยกะว่าจะไปดูโชว์ไฟ Supertree ที่ Gardens By The Bay กันก่อนครับ งั้นไปเลย

ขอไม่อธิบายการเดินทางนะครับ นั่งรถไฟฟ้าไปครับ ออกจากรถไฟฟ้าก็เดินกันมั่วไปหมดครับ มีความหลงทาง แต่ก็มาถึงจนได้

ตึกเรือ ต่อไปถ้าผมบอกว่าตึกเรือขอให้เข้าใจว่าคือ Marina Bay Sands นะครับ

แวะถ่ายรูป แหะๆ ไม่ค่อยกล้าโชว์รูปเพราะหุ่นไม่ดี ขี้ก้างมาก แต่ก็ซักหน่อยครับ ตรงนี้เค้าเรียกว่า The Future Of Us Exhibition ซึ่งตอนนี้รู้สึกว่ายังทำไม่เสร็จนะครับ ขนาดยังไม่เสร็จคนยังมายืนถ่ายรูปกันเต็มเลย

และแล้ว.....กลับดีกว่า บอกตรงๆเหนื่อยมากครับ ฝนตกปรอยๆ แถมปวดขามาก เลยตัดสินใจกลับไปพักเอาแรงดีกว่าครับ

อันนี้ทางไปรถไฟฟ้า จำไม่ได้ว่าตรงไหนครับ แต่สวยดี

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ได้เข้าที่พักครับ เดินเล่น Chinatown ต่อ เชิญชมภาพไปเรื่อยๆนะครับ

ด้านที่ติดถนนใหญ่ ออกมาชะโงกแล้วหันหลังกลับ 5555+

วอเตอร์ฟาวเวอร์แมลงโก้ อิมปอดฟอมไตย์แลนด์ 4 หนวย 250 บาท (เอาฮาครับอย่ามาม่านะ อิอิ)

เดินเล่นเรื่อยๆครับ โดยซอย Smith จะเป็น Food Street ครับ จะเป็นเหมือนศูนย์อาหารมีหลังคา ขายอาหารราคาย่อมเยา

คนค่อนข้างแยะเลยครับ

หลังจากนั้นก็ได้กลับที่พัก อาบน้ำนอนเอาแรงละครับ

คิดในใจเที่ยวสิงคโปร์วันแรกไม่ได้ออกไปถ่ายภาพเลยหรือ ?

ตัดสินใจบอกเพื่อนไปว่าจะออกไปข้างนอก เพื่อนถามไปไหน.. ผมบอกว่าจะไปถ่ายรูปเล่น เพื่อนเลยไปด้วย 5555+ ไปก็ไป จะไปถ่ายรูปเล่นแถวๆสะพาน Helix ครับ

รถไฟฟ้าสิงคโปร์ไม่มีคนขับนะครับ คือไม่มีคนอยู่ตรงหัวรถไฟ เราสามารถยืนดูได้เลย แต่ห้ามพิงนะครับเพราะเป็นทางออกฉุกเฉิน

เหมือนเดิมครับ เดินหลงไปหลงมา ออกคนละฝั่งเฉยเลย น้ำตาจิไหล จัดสินใจเดินไปเรื่อยๆ เพราะรู้ว่าจะมีทางลอดอยู่ใต้สะพานครับ

ยังไงก็มาผิดฝั่งถนนเลยเดินขึ้นไปฝั่ง Singapore Flyer นิดนึงครับ ได้รูปนี้มา

เดินย้อนกลับไปทางสะพาน Helix แชะๆๆๆมา ถึงฟ้ามืดแล้วก็ถ่ายมากครับ เพราะคิดว่าวันอื่นคงไม่ได้มาตรงนี้แล้ว

คือ...คนไทยทั้งนั้นเลยครับ คนไทยมาเที่ยวกันแยะมาก ได้ยินพูดไทยมาไกลๆ เดินมาเป็นทีม ใช่เลย 555+ ก็น่าจะเพราะเป็นวันหยุดนาวด้วยเนอะครับ

เริ่มเดินขึ้นไปบนสะพานครับ เพราะต้องรักษาเวลา มิฉะนั้นแล้วอาจจะต้องเดินกลับเพราะรถไฟฟ้าหมด ตอนนี้เวลาประมาณ 22.30 ครับ MRT หมดเที่ยงคืนครับ

ขึ้นไปบนสะพาน Helix ครับ สวยมาก

บนสะพานจะมีจุดให้ออกไปถ่ายรูปได้ครับ


หลังจากนั้นประมาณ 5 ทุ่มกว่าๆ ก็เดินทางกลับที่พักครับ จบทริปวันแรกไว้เท่านี้ครับ เหนื่อยมาก


Day 2 | วันที่ 14 เมษายน 2560

เช้าวันแรกที่สิงคโปร์ ตั้งใจว่าจะตื่นไปถ่ายรูปแถวๆเมอร์ไลออนก่อนอาทิตย์ขึ้น แต่ว่า....นาฬิกาไม่ปลุก ซึ่งทราบภายหลังจากเพื่อนว่า นาฬิกาปลุกไม่รู้กี่รอบแต่แกไม่ได้ยินเอง T_T น้ำตาจิไหล รู้สึกตัวตื่นมาก็ 6 โมงแล้วครับ อาทิตย์ขึ้นประมาณ 7 โมง ซึ่งควรไปก่อนพระอาทิตย์ขั้นอน่างน้อย 1 ชั่วโมง

จัดแจงอาบน้ำแปรงฟันแล้วรีบไปเลยครับ ซึ่งเช้านี้ผมไปคนเดียวครับ ทิ้งเพื่อนให้นอนต่อไว้ที่ห้องนั้นแหละ การเดินทางเนื่องจากเช้าเกินไม่มีรถไฟฟ้า เลยต้องเดินไปครับ ถ้าใครมีตังค์ก็โบกแท็กซี่เอาแล้วกันครับ

กว่าจะถึงริมอ่าว Marina Bay ก็เกือบจะ 7 โมงแล้วเลยตัดสินใจถ่ายเท่าที่ได้ ตรงนี้แหละ ค่อยไปที่ Merlion พรุ่งนี้ ตรงนี้ก็มีคนมาถ่ายรูปเหมือนกันครับ 2 คน 5555+

ภาพที่ได้ก็ประมาณนี้ครับ

ก็ได้มุมแปลกตาดีครับ ไม่ค่อยได้เห็นที่ไหน

ตึกหวีกล้วย

ประมาณ 8 โมงก็กลับไปที่พักครับ รอบนี้ผมจะนั่งรถไฟฟ้าจากสถานี Downtown ไปลง Telok Ayer สถานีเดียว แล้วก็เดินต่อครับ เพราะคิดดูแล้วระยะทางการเดินก็เหมือนกับนั่งไปลงที่ Chinatown แล้วเดินไปที่พักครับ

ภายในรถไฟฟ้า จะมีที่นั่งพิเศษสำหรับคนชรา คนพิการ คนท้อง ประมาณนี้ครับ

แอบเข้าทางลัดครับ โดยยังไม่รู้ว่าไปออกตรงไหน รู้แต่ว่าที่พักอยู่บนถนน South Bridge

เฮ้ยค้นพบทางลัด 55555+

ตอนแรกก็ยอมรับว่าเดินเลยครับ เพราะไม่รู้ว่านี่คือที่พัก 5555+ ตรงห้องที่ประตูเป็นกระจกนั่งคือห้องครัวครับ เข้าไปกินอาหารเช้ากันเลย

เช้านี้ก็กินเท่านี้แหละครับ ขอบอกสังขยากับแยมสตอร์เบอร์รี่อร่อยมากๆๆๆๆๆๆ

เมื่อกินเสร็จก็เติมน้ำใส่ขวดให้พร้อม แล้วออกผจญภัยกันเลย

ที่ต่อไปที่เราจะไปกันนั่งก็คือแลนด์มาร์คของย่านนี้เลย นั่นคือวัดพระเขี้ยวแก้วครับ อยู่บนถนน South Bridge เส้นเดียวกับที่พักนี่แหละครับ

ออกจากที่พักก็จะเจอกับวัดศรีมาริอัมมัน (Sri Mariamman) ซึ่งเป็นวัดฮินดูเลยครับ แต่ไม่ได้เข้าชมนะครับ

เดินต่อไปเรื่อยๆจะมีทางม้าลายพร้อมสัญญาณไฟข้ามถนน ให้ข้ามตรงนี้นะครับ อย่าข้ามถนนที่สิงคโปร์มั่วๆ ระวังโดนจับนะครับ จะมีป้ายบอกว่าตรงไหนห้ามข้ามครับ

เดินต่อไปจะมองเห็นงานก่อสร้าง

ด้านขวามือก็จะเป็นวัดพระเขี้ยวแก้วครับ อยู่ตรงปากซอย Sago พอดี


งดงามมากครับ

ด้านในของชั้นล่างครับ หลังจากไหว้ขอพรเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทะลุไปด้านหลังได้ครับ

นี่ด้านหลังของวัด ตอนเย็นน่าจะสวยมากครับ

จากนั้นผมก็เดินหาทางขึ้นไปชั้นบน หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอครับ จนมาเจอแมวตัวนี้เลยลองถามดูว่าจะขึ้นชั้นบนไปยังไง ได้คำตอบมาครับ .... เมี้ยว

หลังจากเดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบครับ ถามเจ้าหน้าที่ที่เป็นแม่บ้าน ก็ฟังไม่รู้เรื่อง เลยเดินวนมาด้านหน้าครับ พบทางเข้าแล้ว อยู่ทางด้านขวามือของวัดครับ

ขึ้นลิฟท์ไปครับ

สำหรับผู้หญิงที่ใส่กระโปรงหรือกางเกงขาสั้นมาเค้ามีผ้าถุงอยู่ที่ด้านหน้าทางเข้าไว้บริการนะครับ จัดการให้เรียบร้อย

ขึ้นมาบนชั้น 2 จะเป็นพิพิธพันธ์ครับครับ

ชั้นนี้ถ่ายรูปได้ แต่ให้ถอดรองเท้าไว้ด้านหน้าครับ

สิ่งของจัดแสดงทุกอย่าง ไม่ควรไปแตะต้องนะครับ ห้ามจับ ดูด้วยตาก็พอ ห้ามเปิดแฟลชครับ เป็นของเก่าแก่ทั้งนั้น

เดินชมตามทางเดินไปเรื่อยๆครับ

เฮ้ย นั่นตราลัญจกร ลืมแล้วว่าเนื่องในโอกาสอะไรนะครับ แต่น่าจะเกี่ยวกับราชภัฏ

ที่จากไทยแน่นอนครับ 5555+

Gifts From Around The World ฟังดูยิ่งใหญ่มาก ของขวัญจากทั่วโลก

ด้านหน้าชั้น 2 ครับ

ขึ้นมาชั้น 3 ครับ ชั้นนี้จะมีป้ายเตือนอยู่ด้านหน้าว่าห้ามใช้แฟลชนะครับ


จากนั้นก็ขึ้นไปชั้น 4 ครับ เป็นชั้นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว ขั้นนี้ห้ามถ่ายรูปครับ และเข้าไปในห้องด้วยความสำรวม ห้ามส่งเสียงดัง ขอบอกว่าสวยมากครับ คือสวยทั้งห้องเลย

จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไปขั้นดาดฟ้าครับ เพื่อไปหมุนกงล้อขอพรกัน

แอบส่องวิวด้านนอก


ย้ำ นี่คือชั้นดาดฟ้านะครับ ตกแต่งได้ร่มรื่นมากๆเลยครับ

ให้อธิฐานแล้วจับเดินหมุนขวา 3 รอบครับ แต่ละรอบจะมีเสียง ติ๊ง เชื่อกันว่าอธิฐานแล้วจะเป็นจริงครับ สังเกตที่บนกำแพงเป็นพระพุทธรูปองค์เล็กๆทั้งหมดเลยครับ อลังมาก


ออกมาด้านนอกก็เดินดูให้ทั่วครับ


บนกำแพงด้านนอกก็มีแต่พระครับ เยอะมาก แต่ละองค์จะมีตัวเลข/ชื่อ กำกับไว้ด้วย น่าจะเป็นชื่อคนทำบุญมั้งครับ


เดินทั่วแล้วก็ลงมาด้านล่างครับ ตรงทางเข้าจะมีหนังสือธรรมะให้หยิบฟรีด้วยครับ น้ำตาจิไหล อ่านไม่รู้เรื่อง

ออกจากวัด สาวๆก็เซลฟี่กันอีกรอบ ผมก็เก็บภาพมาอีกรอบ ถ้ามีโอกาสได้มาเที่ยวสิงคโปร์อีกจะมาใหม่นะครับ

เป้าหมายต่อไปเราจะไปชมผังเมืองที่ Singapore City Gallery ที่อยู่หลังศูนย์อาหาร Maxwell ครับ

เดินถ่ายไปเรื่อยๆ บ้านเมืองเค้าน่าดู น่าชมมากครับ ทางเดินแถวนี้สวนใหญ่จะเป็นเนินครับ เหนื่อยขาพอสมควร


ถึงแล้วครับ เป็นตึกสูงๆ หลังศูนย์อาหาร

แต่ว่า... อีเว้นท์อีกแล้ว เค้าปิดปรับปรุงครับ T_T เฮ้อ ชีวิต

เล่นข้ามไปครับแผนต่อไป วัดเทียนฮอกเก็ง (Thian Hock Keng Temple) โดยเดินไปครับให้อาจารย์ Google Map นำทางไป

เดินผ่านสวนข้างๆวัดครับ

ภายในวัดครับ ได้ถ่ายมาไม่กี่ภาพ เพราะมีอยู่จุดนึงเค้าห้ามถ่ายภาพแต่ผมเข้าทางด้านหลังเลยไม่เห็นป้ายที่อยู่ด้านหน้าครับ โดยผมหาข้อมูลมาก็ค่อนข้างเยอะ เห็นคนอื่นที่เค้าทำรีวิวก็ไม่ได้บอกว่าห้ามถ่าย บอกตรงๆตอนนั้นเสียเซลฟ์มากครับ รีบขอโทษเค้าแล้วเดินออกมาเลย ภาพที่ถ่ายๆมาก็ลบออกเกือบหมดเลยครับ T_T

เสียใจ ไปดีกว่า

ต่อไปเราจะไปเที่ยวเกาะเซ็นโตซ่าครับ เที่ยวเฉยๆ ไม่ได้เข้า USS นะครับ เหมือนมาไม่ถึงเลย แหะๆ

การเดินทางจะนั่ง MRT ไปครับ โดยขึ้นสายสีน้ำเงินไปเปลี่ยนเป็นสายสีม่วงที่ Chinatown แล้วนั่งไปลงที่สถานี HarbourFront

ออกจากสถานีก็มองหาป้าย Vivo City,Sentosa Boardwalk อะไรประมาณนี้ครับ หากป้ายหายก็เดินตรงไปเรื่อยๆ หลงเพื่อเป็นประสบการณ์ครับ 5555+

เดินผ่านร้าน Mr.Bean ที่เคยเห็นทางพี่ๆทีมงาน iLove To Go ซื้อกินกัน เห็นว่าอร่อยเลยลองบ้างครับ อิอิ

ไส้ถั่วแดงอร่อยจริงๆครับ ผมซื้อมา 2 ชั้น ถั่วแดงกับทูน่า และน้ำเฉาก๊วย ราคารวม $3.9 ถั่วแดงอร่อยกว่าครับ ส่วนน้ำเฉาก๊วยคือไม่ทราบเลยสั่งเป็น Low Sugar เล่นมาซะจืดเลย 5555+ ไม่เหมือนบ้านเราสั่งหวานน้อย ยังมาหวานเจี๊ยบ

เดินหาทางออก

เจอป้ายแล้ว งานนี้เราจะเดินข้ามเกาะครับผ่าน Sentosa Boardwalk

ออกมาด้านนอกก็จะเห็นทะเล หรือแม่น้ำหว่า ตรงข้ามนู้นก็คือเกาะ Sentosa สวรรค์ของทุกคน

นั่งพักขาได้สักพักนึง มีเพลงให้ฟังด้วย ก็เดินต่อครับ

เดินไปหยุดถ่ายรูปไปครับ 555+

มีทางเลือนครับ แต่ทางเลื่อนบางจุดก็หยุดซ่อมครับ

ที่เห็นนั่งคือนกเครนแดนซ์ครับ ตอนนี้หลับอยู่

ตามป้ายครับ ตอนนี้ค่าผ่านทางฟรีครับ จากปกติต้องจ่าย $1

เซ็นโตซ่าาาาาาาาาาา ถึงแล้ว

จากนั้นก็เดินเลียบริมแม่น้ำไปเรื่อยๆครับ แล้วเลี้ยวซ้ายก็จะเจอกับ ลานลูกโลก

มาได้เท่านี้แหละครับ 5555+ ไม่มีแผนเข้า Universal มาให้รู้จักครับ

คือคนไทยเยอะมากครับ


จากลูกโลกเดินไปทางขวาเรื่อยๆจะเจอลานน้ำพุ มีเด็กๆเข้าไปเล่นด้วยครับ ก็อากาศร้อนๆ คงชื่นใจ

แวะเข้ามาซื้อของฝากครับ ของฝากของตัวเอง ได้ช็อคโกเล็ตเหล้ามา 2 ถุง ถุงละ $7.5 ลองกินดูแล้วอร่อยมาก


มาถึงสิงคโปร์แล้วจะไม่เห็นเมอร์ไลอ้อนทั้ง 3 ตัวก็กะไรอยู่ เข้ามาในเซ็นโตซ่าแล้วการเดินทางทุกอย่างฟรีหมดครับ เลยนั่งรถไฟฟ้า Monorail ไปลงที่สถานี Imbiah Station

ออกจากสถานีก็เห็นเลยครับ เมอร์ไลอ้อนยักษ์ ตัวใหญ่มาก

ถึงแม้จะร้อนมาก คนก็เยอะมาก


ตอนนี้เมื่อดูตามแผนที่วางไว้ เวลาเลทไปมากๆครับ ตอนแรกจะไปเที่ยวสะพาน Henderson Waves แต่ต้องตัดออก และเปลี่ยนเป็นเข้าโดมโดมที่ Gardens By The Bay ซึ่งไม่มีอยู่ในแผน

ออกจาก Monorail ที่ห้าง Vivo City เดินตามทางไปเรื่อยๆครับ

ออกจากทางเดินก็จะเจอกับ Food republic เลยครับ ถ้าใครหิวก็แวะเข้าไปได้เลยแต่ตอนนั้นถ้าแวะกินไรก่อนคงจะอดเข้าโดม (ตอนนี้ 13:30 แล้วครับ)

ออกจากห้าง Vivo City ทีนี้จะลองนั่งรถเมล์บ้างครับ โดยจะต้องข้ามถนนไปอีกฝั่ง เดินอ้อมไปพอสมควรเพราะออกประตูผิด โดยปกติแล้วจะมีทางออกใต้ดินที่ข้ามไปยังถนนอีกฝั่งครับ หลังจากถ่ายภาพนี้เสร็จฝนก็ปรอยๆ ผมและเพื่อนๆเลยรีบเดินเพื่อจะไปข้ามถนน แต่ว่าตอนกำลังข้ามถนนนั้นฝนเทเลยครับ ตกหนักมาก เลยต้องวิ่งหลบฝนกัน

ตัดมาตอนนี้อยู่บนรถเมล์แล้วครับ ขึ้นสาย 97 ตรงไปลงที่ Marina Bay Sands เลยครับ มาได้ยังไง (ตอนนั้นจำได้ว่าต้องมุดดินลงไปที่สถานีรถไฟฟ้าอีกครั้ง แล้วเดินลอดถนนมาออกทางออกอีกฝั่งถนน)

เดินตามที่ Google Map นำทางก็มาถึง Gardens By The Bay อีกครั้งครับ


เนื่องจากจะเป็นการรีวิวเที่ยวที่ยาวนานมาก เลยจะแบ่งเป็นรีวิวย่อยออกมาครับ ซึ่งเป็นการเข้าสถานีที่ที่ต้องเสียเงิน

อ่านต่อ คลิกเลยครับ >>> พาชมสวนพฤกษศาสตร์กลางเมือง @ Gardens by the Bay


หลังจากเข้าชม Flower Dome และ Cloud Forest ที่ Gardens By The Bay เรียบร้อยแล้ว เห็นว่าวันนี้ฟ้าจะสวย และฝนคงไม่ตกแล้วเลยตัดสินใจขึ้นตึกไปชมวิวบน Sands SkyPark วันนี้ด้วยเลยครับ

อ่านต่อ คลิกเลยครับ >>> กินลมชมวิว SkyPark @ Marina Bay Sands


หลังจากกลับจากชมวิวบน SkyPark แล้วก็เดินทางกลับที่พักครับ เพราะไม่ไหวแล้ว เหนื่อยมาก ถ้าเหนื่อนกว่านี้ กลัวว่าพรุ่งนี้จะตื่นไม่ไหวอีก กลับถึงย่าน Chinatown ก็เกือบ 5 ทุ่มแล้วครับ หิวมาก เลยแวะกินข้าวที่ Food Street ก่อน สั่งก๋วยเตี๋ยวกินครับ ตอนแรกจะกินหลักซา แต่พ่อค้าตอบเอายักหงาย "หลักซาไม่มีแล้ว" 55555+ พ่อค้าพูดไทยได้ด้วย ถามไปถามมาพ่อค้ามีเมียเป็นคนไทย จบข่าว

ชามนี้ราคา $5 ครับ น้ำซุปเป็นเหมือนน้ำซุปหัวกุ้ง,มันกุ้ง อะไรซักอย่าง แต่มันคือกลิ่นกุ้งเลย ใครชอบกุ้งคงชอบ รสชาติก๋วยเตี๋ยวผมว่าของบ้านเราอร่อยกว่า แต่ก็กินกันตายครับ

จบ Day 2 แบบโหดมาก แต่ก็มีความสุขละครับ ได้ภาพมาเยอะ 5555+


Day 3 | วันที่ 15 เมษายน 2560

เริ่มต้นเช้าวันที่ 3 ด้วยจิตแจ่มใสเพราะตื่นทันครับ 555+ ไปกันเลย เช้านี้ผมไปคนเดียวก่อนครับ แล้วเพื่อนค่อยตามมาทีหลัง วิธีการเดินทางเหมือนเดิมครับ เดิน ออกจากที่พักก็เกือบ 6 โมงแล้วครับ แต่รถไฟฟ้าก็ยังไม่เปิด

ภาพนี้ถ่ายตอนตี 5:56 เห็นได้ว่ายังมืดอยู่เลย คือที่นี้มืดช้า สว่างช้าครับ ตาม App อาทิตย์ขึ้นตอนประมาณ 7 โมงครับ ยังมีเวลา

เดินไปเรื่อยๆครับ รถน้อย

เส้นทางการเดินประมาณนี้ครับ หาทางเดินริมน้ำให้พบแล้วก็ยาวไปเลยครับ

ทางม้าไม่ลายที่สิงคโปร์ครับ เค้าประหยัดสี 5555+

ก่อนข้ามถนนก็ทำตามกฏระเบียบเค้าจะดีที่สุดนะครับ รอไฟเขียวให้คนข้าม โดยกดปุ่มที่ติดอยู่บนเสาไฟครับ ถ้าไม่มีปุ่มก็ต้องรอครับ


ป้ายรถเมล์อันแสนเงียบเหงา

ตามป้าย Merlion Park ครัช มาถูกทางแล้ว

ชอบมุมนี้มากครับ แต่เสียดายลืมกางขาตั้งกล้อง ภาพเลยสั่น+ มีน๊อยส์เยอะมาก

เลี้ยวเข้าเป็นทางเดินริมน้ำ สวยมาก ผมนี้รีบหยิบขาตั้งออกจากกระเป๋าแล้วจัดการเลยครับ เดินไปถ่ายไป

แต่ลืมเวลาต้องรีบเดินมาที่เมอร์ไลอ้อน

ชมภาพยาวๆไปเลยนะครับ

เริ่มสว่างแล้วครับตอนนี้ 7 โมงเช้าแล้ว


เห็นมีคนไทยมาถ่ายรูปด้วยครับ มีความอุ่นใจ 5555+

สิงโตปล่องแสง

กล้วยหวีโตๆ

เช้าแล้ว คนเริ่มเยอะ เยอะขึ้นเรื่อยๆ และทัวร์จีนก็เริ่มมา 5555+

น้ำที่นี่แพง แอบรองน้ำใส่ขวด

เมื่อเช้ารีบ ไม่ได้สระผม

8 โมงแล้วเตรียมตัวย้ายกองครับ

แล้วจะมาใหม่นะ น่ารักน่าเอ็นดู

ก่อนกลับแวะทักทายเมอร์ไลออนตัวที่ 3 เมอร์ไลออนตัวเล็กไม่ค่อยมีคนสนใจเลย น่าสงสารมาก (ดราม่าหนัก)

ผมต้องกลับไปที่พักก่อนครับ ยังไม่ได้กินอะไรเลย สาวๆจัดการมาเรียบร้อยแล้ว เหอะๆ ขากลับใช้เส้นทางริมน้ำครับชมวิวริมน้ำย่าน Boat Quay บ้าง ลอดถนน แล้วข้ามสะพาน Anderson Bridge

ถ่านจากบนสะพานยิงไปฝั่งตึกทุเรียน

ข้ามสะพานก็จะพบกับ Victoria Theatre & Concert Hall หรือโรงละครวิคตอเรีย ด้านหน้าจะมีรูปปั้นของ Sir Stamford Raffles (สำริด) ผู้บุกเบิกสิงคโปร์ ส่วนรูปปั้นอีกจุดจะเป็นสีขาว อยู่ฝั่งริมแม่น้ำ ลืมไปดูครับ

จะมีสถาปัตยกรรมอยู่ริมแม่น้ำเยอะมากครับ


สถาปัตยกรรมคนกระโดดน้ำ (เรียกตามลักษณะ 5555+)

เกี่ยวกับการค้าขาย

สถาปัตกรรมไก่กุ๊กๆ (ความจริงมันมีชื่อหมดแหละครับแต่ไม่ได้จดมา)

เสียดายที่ไม่ได้มาตอนกลางคืนน่าจะสวยมาก

ชอบภาพนี้ฝุดๆ

เลี้ยวกลับเข้าสู่เมืองอีกครั้ง ผ่านเซเว่น เซเว่นที่นี้เล็กๆทั้งนั้นเลยครับ คือส่วนใหญ่เป็นของที่ใช้ยังชีพ 5555+

แวะซื้อน้ำ เป็นน้ำอัดลมกลิ่นอะไรสักอย่าง แต่อร่อยมากครับ ราคาจำไม่ได้ครับ

เป็นตึกที่สวยมาก สวยจริงๆ ถึงเมืองเค้าจะมีตึกเยอะ แต่ก็มีต้นไม้เยอะเหมือนกันครับ

หลังจาผมได้กลับที่พักเพื่อไปกินอาหารเช้าฟรีเรียบร้อยแล้ว ตามแผนที่ตั้งไว้วันนี้คือวันแห่งการช็อปปิ้งครับ แต่ก่อนอื่นเราจะไปเที่ยวสถานที่หนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนไปกันครับ นั่นคือ Underground Crossing ที่ Fort Canning Park วิธีการเดินทางจะนั่ง MRT สายสีม่วงจากสถานี Chinatown ไปลงที่สถานี Dhoby Ghaut ครับ โดยให้เดินตามป้ายที่ชี้ไป Fort Canning Park ซึ่งตอนที่ผมไปนั้นเหมือนกับลังจะมีการก่อสร้างอะไรบางอย่างครับ จะมีกำแพงกั้นไว้ แต่จะมีป้ายชี้ไปตลอดทางเลยครับ ดีมากเลย

เป็นช่องทางเดินเล็กๆ มีหลังคาด้วยครับ ฝนตกไม่เปียกแน่นอน

พอถึงอุโมงค์ของรถก็จะมีทางเลี้ยวเข้าเป็นอุโมงค์ทางเดินเลยครับ เป้าหมายเราอยู่ปลายอุโมงค์นั่น

ที่ยืนอยู่นั่นเป็นคนไทยที่มาก่อนหน้าผมครับ


ถึงแล้วครับ มันคือปล่องทางลงอุโมงค์ที่มีต้นไม้อยู่ข้างบน และมีหญ้าคลุมอยู่ที่ปากอุโมงค์ครับ แต่ว่าสวยมากเหมาะแก่การมาถ่ายรูปมากๆครับ แต่ผมขี้เกียจกางขาตั้งเลยไม่ได้ถ่ายรูปตัวเองมาครับ ได้แค่เซลฟี่มารูปสองรูป

ลองเดินขึ้นไปด้านบนครับ

ด้านบนครับ อยู่ติดกับถนนใหญ่เลย

สักพักก็มีคนไทยอีกกลุ่มนึงมาอีกครับ 555+ เป็นสถานที่โด่งดังของคนไทยเลย

เลี้ยวไปทางขวาจะเป็นทางลาด มีกำแพงสูงๆเพื่อเดินขึ้นไปด้านบน Fort Canning Park


ด้านบนจะมีทางเดินครับ เป็นเหมือนสวนสาธารณะ และมีพวกโรงแรมด้วยครับ แต่รอบนี้เรามาเท่านี้ครับ ไม่มีเวลาไปเดินเล่น


ได้เวลากลับ ผมก็เดินกลับไปทางเดิมเหมือนตอนขามาครับ เพื่อจะไปซื้อของที่ห้าง Plaza Singapura แถวๆ สถานี Dhoby Ghaut

บริเวณด้านหน้าครับ ใหญ่พอควร



ตามแผนเราจะไปเดินเล่นแล้วขึ้นไปชมวิวบนห้าง ION Orchard ชั้น 55 ตามหาไอติมในตำนาน แล้วมาหาอะไรกินที่ตลาด Tekka แต่ผมวางแผนไว้ตึงเกินไปครับ เวลาเลยไม่พอเลยข้ามไปหมดเลยครับ ข้ามไปซื้อของฝาก ของใช้ที่ห้างดังย่าน Little India คงรู้กันแล้วว่าคือที่ไหน มุตตาฟานั่นเองครับ ไม่ขออธิบายการเดินทางแล้วนะครับ บอกได้ว่านั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี Farrer Park ด้านในห้างห้ามถ่ายภาพครับ ก่อนเข้าใครมีกระเป๋าต้องเอาไปรัดเคเบิ้ลไทน์ที่ด้านหน้าก่อนครับ เป็นห้างที่คนไทยชอบมาซื้อของฝากจริงๆครับ คนไทยเยอะมาก โดยเฉพาะในโซนน้ำหอม ผมก็ได้กลับมา 3 ขวด ถูกมากๆๆ ฮิฮิ

ในการซื้อของที่มุตตาฟานี้หากซื้อของรวมกัน 3 ใบเสร็จเกิน $100 สามารถทำ Tax Refund หรือที่นี่เค้าเรียก GST Refund ได้ด้วยครับ โดยเราเอาใบเสร็จหลังจากซื้อของเรียบร้อยแล้วลงไปชั้น B1 หรือ B2 ผมลืมแล้วขออภัย ลองดูป้ายบอกทางนะครับ แล้วเดินหาเค้าเตอร์ GST Refund Counter ยื่นใบเสร็จทั้งหมดให้พร้อมกับพาสปอร์ตครับ เค้าจะถามว่าเราจะกลับเมื่อไหร่ แล้วก็ขอเบอร์โทรศัพท์ในประเทศไทยครับ หลังจากนั้นเค้าจะให้ใบ eTRS มาและบอกว่าให้เราไปทำเรื่องขอคืนเงินที่สนามบินอีกครั้งในวันกลับ

หลังจากเอาของไปเก็บที่ที่พักและไปหาอะไรกินที่ศูนย์อาหารบน Chinatown Complex เสร็จก็ประมาณ 5 โมงเย็นแล้วครับ โดยตามแผนที่ผมวางไว้จะไปที่น้ำพุแห่งความมั่งคั่งที่ Suntec City, เดินเล่น CityLink Mall ชมรูปปั้นช้างที่ ร.5 ได้มอบไว้ที่ The Art Gallery แล้วเดินกลับมาชมโชว์เลเซอร์ที่แถวๆเมอร์ไลออน

แต่ว่าแผนทั้งหมดถูกยกเลิกหมดเลย เพราะเวลาไม่ทันครับ เลยตัดสินใจแยกทางกับเพื่อน โดยตัวผมเองจะไปถ่ายรูปที่แถวๆกล่องหลุยส์ ริมแม่น้ำ และดูโชว์น้ำพุต่อ ส่วนเพื่อนไปดูโชว์ Supertree ที่ Gardens By The Bay

หลังจากออกจากรถไฟฟ้าก็แยกทางกันครับ ผมเดินออกมาทางฝั่งริมน้ำ เพื่อจะเตรียมถ่ายรูป แต่ดันเจออีเว้นท์สังเกตเห็นว่าโชว์น้ำพุน่าจะปิดปรับปรุง

นั่นไงสายไฟหรืออะไรบางอย่างกองอยู่ คิดแล้วถ้าถ่ายไปก็คงไม่สวยเลยตัดสินใจตามเพื่อนไปดูโชว์ Supertree ด้วยครับ

เดินผ่าน Silver Garden มาครับ หาทางเข้าเพื่อขึ้นไปทางเดินด้านบนไม่ถูก (หลงอีกแล้ว) เดินทะลุริมน้ำเลย 555+

ถึงแล้วครับ คนเยอะมาก

ยิ่งมืดยิ่งสวยครับ ชมภาพไปเรื่อยๆเลยนะครับ

ถ่ายคลิปวีดีโอโชว์ Supertree มาฝากด้วยครับ ขออภัยที่บางช่วงคลิปขาดๆหายๆไปด้วยครับ

หลังจากโชว์จบตอนแรกกะว่าจะกลับที่พักแล้ว แต่คิดไปคิดมายังไม่ได้ไปน้ำพุแห่งความมั่งคั่งเลย เลยตัดสินใจไปดูน้ำพุก่อน เห็นว่าเปิดไฟจะสวยงาม ระหว่างทางเดินคนเยอะมากครับ ต่างคนต่างกลับ

นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี Promenate ตอนขาตี๊ดบัตรออกก็เกิดอีเว้นท์อีกแล้วครับ พอดีเพื่อนติ๊ดแล้วแต่ที่กั้นปิดลงก่อนจะออกไป ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลายครั้งมาก แต่สถานีอื่นจะมีเจ้าหน้าที่อยู่แถวๆนั้น แต่สถานีนี้ไม่มีใครยืนอยู่เลย ทำให้เพื่อนติดอยู่ในนั้นครับ ออกไม่ได้ พอดีมี 2 ลุงป้าคนไทยเดินเลยไปแล้ว แต่ก็เดินกลับมาถามเพื่อจะช่วย ซึ่งต้องยอมรับว่าภาษาอังกฤษพวกเราก็ไม่แข็งแรง ป้ากับลุงจึงเดินไปที่เค้าเตอร์เพื่อคุยให้ เจ้าหน้าที่เค้าถามว่ามาจากสถานีอะไร ผมก็บอกไปว่า Bayfront เค้าก็ไปกดๆ แล้วก็ยื่นบัตรคืนให้ไปติ๊ดออก ผมและเพื่อนๆ ซาบซึ้งมาก ผมกับเพื่อนๆก็ขอบคุณป้ากับลุง 2 คนนั้นหลายครั้งมาก ลุงแกบอกไม่เป็นไร คนไทยเราต้องช่วยกัน น้ำตาคลอเลย คุงเค้าถามว่าจะไปไหนกัน ก็บอกว่าจะไปน้ำพุ แกก็เลยแนะนำทางออกให้ด้วย

ครับหลังจากก็เดินตามป้ายมาเรื่อยๆ ตรงน้ำพุจะเป็นเหมือนวงเวียนนะครับ วิธีไปที่น้ำพุให้ลงไปชั้นล่างของตึก Suntec City ครับ แล้วจะมีทางขึ้นมาที่น้ำพุ ในบางช่วงเวลาเค้าจะเปิดให้เข้าไปสัมผัสน้ำพุตรงกลางเพื่อขอพรได้ด้วยครับ ควรจะมาช่วงกลางวัน

หลังจากนั้นก็ซัดตรงกลับที่พักเลยครับ

จบ Day 3 ไว้ที่ภาพนี้ครับเป็นโฮสเตลที่ผมพักนั่นเอง ได้ถ่ายเอาคืนสุดท้าย 555+


Day 4 | วันที่ 16 เมษายน 2560

วันสุดท้ายของทริปครับ แต่ความจริงวันนี้ไม่ได้เที่ยวหรอกครับ อยากจะกลับรอบดึก แต่ว่าแอร์เอเชียร์บินไปภูเก็ตมีรอบบ่ายรอบเดียว ถ้าได้กับรอบดึกอาจจะได้เที่ยวอีกสักครึ่งวันเลย

เริ่มกันเลย วันนี้ไม่มีอะไรมากครับเป็นการเดินทางกลับ ตื่นเช้ามานาฬิกาปลุกตอนตี 5 เหมือนเดิม แต่เฮ้อขี้เกียจตื่นมากเลยคิดว่าพอแล้วไม่ไปถ่ายแล้ว เพราะเมื่อวานก็ได้รูปที่ชอบมาแล้วครับ เลยตัดสินใจนอนยาวตื่น 6 โมง 6 โมงครึ่งไม่แน่ใจ หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็ลงมากินมื้อเช้าที่ครัวด้านล่าง

นี่เป็นบรรยากาศภายในห้องครัว ขนาดไม่ใหญ่มาก ติดแอร์ เครื่องใช้ทุกอย่างมีครบ มีตู้เย็น ไมโครเวฟ เครื่องชงกาแฟ ตอนนี้ลงมากินยังไม่มีคนครับ เกิดถ้าคนเต็มห้องอาจจะต้องยืนกิน 555+ หากใครใช้จาน ชาม แก้วน้ำ ใช้เสร็จให้ล้างเก็บเข้าที่ครับ

สาวๆดีใจ จะได้กลับบ้านแล้ว


เตาปิ้งขนมปัง ของผม 2 แผ่น

มื้อเช้าในทุกๆวันก็จะมี ขนมปัง (นุ่มมาก) แยมสตอเบอร์รี่ สังขยาใบเตย สองอย่างนี้อร่อยมากๆ ที่ไม่ได้กินคือ เนยถั่ว ซึ่งเพื่อนบอกเหมือนถั่วลิสงบด 55+ แล้วก็มีเนยเค็ม คอนเฟลกไว้กินกับนมสด ผลไม้ก็มีแอปเปิ้ลครับ ทั้งเขียวและแดง

ชอบมาก


ปกติผมไม่กินนม เพราะรู้สึกว่าคาว เลยไปกดโอวัลตินมาจากเครื่องครับ อร่อย

หลังจากขึ้นไปเก็บกระเป๋าแล้วก็ลงมาเพื่อเช็คเอ้าท์แล้วออกเดินทางไปสนามินเลยครับ เพราะตอนนี้สายแล้ว เลทไปจากแผนเกือบชั่วโมงเลย โดยตามแผนจะต้องไปถึงสนามบินตอนประมาณ 10 โมงครึ่ง เพราะเครื่องออกตอนบ่ายโมง 15

ภายในล็อปบี้ครับ

มี Mac ให้ใช้ด้วยครับ น่าจะฟรีแหละ แต่ในช่วงระหว่างเข้าพัก 3 วันที่ผ่านมาหลังจากเช็คอินแล้วก็ไม่มีใครเหยียบเข้ามาในล็อปบี้นี้อีกเลย จนกระทั่งวันนี้ 555+

เป็นโฮสเตลที่ไม่ใหญ่มาก แต่แต่งดูดีครับ ชอบเลย

จากนั้นก็รีบเดินทางไปสนามบินครับ และภาวนาอย่าให้มีอีเว้นท์อะไร และแล้วก็เกิดขึ้นกับผมเอง บัตร EZ-Link ตังค์หมด โดยของเพื่อนผ่านไปได้หมดเลย เพราะว่าผมขึ้นรถไฟฟ้าเยอะกว่าเพื่อนอยู่รอบนึงในเช้าวันแรกอะครับ เพื่อความรวดเร็วและไม่อยากเติมบัตรแล้ว เพราะขั้นต่ำ $10 ขี้เกียจไปแลกคืนครับ เลยซื้อบัตรธรรมดามา ราคาค่าโดยสารจะแพงกว่าจ่ายด้วยบัตร EZ-Link ครับ โดยจะมีค่าบัตรอยู่ $0.10 จะได้คืนเมื่อใช้ครบ 3 ครั้ง แต่นี้ผมใช้รอบสุดท้ายแล้วครับ เก็บไว้เป็นที่ระลึกแล้วกัน

ก่อนเช็คอินเราจะต้องไปที่เค้าเตอร์ GST Refund ก่อนเพื่อขอทำเรื่องคืนเงินครับ จะมีป้ายบอกอยู่ครับ โดยของผมไปทำผ่านตู้อัตโนมัติครับ มีภาษาไทยด้วยสะดวกมาก เตรียมของที่เราซื้อไว้ด้วยนะครับ เผื่อถ้าไม่ผ่านเราต้องไปที่เค้าเตอร์และอาจต้องแสดงของที่ซื้อมาให้เค้าดู ถ้าหากผ่านบนสลิปจะบอกว่า Approved

หลังจากได้สลิปมาแล้วก็สามารถเช็คอินและผ่านขั้นตอนผ่านคนเข้าเมือง (ตม.) ไปได้เลย จากนั้นหลังจากผ่าน ตม.เรียบร้อยแล้วก็ไปรับเงินที่ Refund คืนเค้าเตอร์หาง่ายมากหลังจากออกจาก ตม.ก็มีป้ายบอกเลยครับ เดินไปไม่ไกลก็จะเจอเลย

ผ่านตม.ขาเข้า ลืมหยิบลูกอม ผ่านตม.ขาออกลูกอมหมด โชคดีที่ตรง GST Refund มีเหมือนกัน แบบเดียวกับที่ ตม.เลยครับ อิอิ ขอเค้าแล้วหยิบมาได้เลย

เดินไป Gate แล้วครับ สมแล้วที่สนามบินชางงีแห่งนี้ได้เป็นสนามบินที่ดีที่สุดในโลก รู้สึกว่าเป็นสนามบินที่สะดวก ง่าย ถึงไม่ได้หรูหรา แต่ทุกอย่างมันเป็นระบบ ขั้นตอนหมดเลย รู้สึกถ้าผ่าน ตม.มาแล้วจะไม่ค่อยมีอะไรกินนะครับ

ภายใน Gate ครับ โดยจะตรวจกระเป๋าก่อนเข้า Gate พนักงานดีมาก ยิ้มแย้ม พูดไทยได้บางคำด้วย สวัสดีค่ะ ขอบคุงค่า จากนั้นก็เดินผ่านมาที่เค้าเตอร์จะคอยตรวจ Boarding Pass แล้วก็ฉีกเลยครับ พอตอนขึ้นเครื่องก็ไปได้เลยไม่ต้องเสียเวลาตรวจ Boarding Pass อีก ตรงนี้ดีมาก

ส่องออกไปข้างนอก ตอนนี้ก็รอขึ้นเครื่องแล้วครับ

การบินไทย ลำใหญ่มาก

มาแล้วครับ เราจะบินกลับไทยด้วยลำนี้ Airbus A320-XXX

ต่องวงเรียบร้อย สักพักก็เรียกขึ้นเครื่องครับ

รอบนี้ผมเลือกที่นั่งเองครับ เพราะรวมอยู่ในแพ็กเกจโหลดกระเป๋าแล้ว ผมนั่งแถว 25F ครับ ติดริมหน้าต่าง อิอิ

เก็บคลิปตอนเครื่อง Taxi ไป Runway มาฝากครับ สนามบินเค้าใหญ่มาก

เครื่องขึ้นได้สักพักก็ได้รับการแจกหนม ตอนนี้ทุกอย่างอร่อยหมดเพราะหิวครับ


วันนี้ฟ้าสวยครับ

แล้วพบกันใหม่ "สิงคโปร์"

และสวัสดีอีกครั้ง " ประเทศไทย"

จบแล้วครับ สำหรับทริปเที่ยวสิงคโปร์สุดโหด 4 วัน 3 คืน ต้องขออภัยในการใช้ภาษาเขียนนะครับ ซึ่งผมทำรีวิวเที่ยวจะใช้เหมือนภาษาพูดมากกว่า แค่นี้ก็เขียนอยู่หลายวันเลยครับ

ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ


ต่อไปเรามาดูค่าใช้จ่ายกันดีกว่า ไม่รวมค่าของฝากครับ

ค่าใช้จ่ายหลัก
ค่าตั๋วเครื่องบิน+โหลดกระเป๋าขากลับ ฿ 3,438.00
ค่าซิมโทรศัพท์ AIS Sim2Fly ฿ 399.00
ค่าที่พัก 3 คืน $98 (98x24.75=2,425) ฿ 2,425.00
รวม ฿ 6,262.00
วันที่ รายการ จำนวนเงิน
13/04/2560 ค่าบัตร EZ-Link $ 12.00
เติมเงินบัตร EZ-Link $ 10.00
บัตรเข้า Sands Sky Park $ 18.00
บัตรเข้า Garden Bay The Bay $ 18.00
ข้าวมันไก่ $ 5.00
น้ำเปล่า $ 1.00
กินโออิชิ $ 1.90
รวมค่าใช้จ่ายวันที่ 1 $ 65.90
14/04/2560 ซื้อขนม Mr.Bean + เฉาก๊วย $ 3.90

กินสะเต๊ะ Stay By The Bay
$ 7.00
กินโค๊ก 1 กระป๋อง
$ 1.27
กินก๋วยเตี๋ยวซอย Smith
$ 5.00


รวมค่าใช้จ่ายวันที่ 2
$ 17.17
15/04/2560 กินน้ำอัดลม อะไรซักอย่าง $ 1.00
กินข้าว ผัดเปรี้ยวหวาน $ 4.50
น้ำแข็งไส Ke Jelly $ 2.00
ขนมไส้ทุเรียน $ 1.90
รวมค่าใช้จ่ายวันที่ 3
$ 9.40
15/04/2560 บัตร MRT เพิ่มเนื่องจากเงินหมด $ 2.50
รวมค่าใช้จ่ายวันที่ 4
$ 2.50
รวมทั้งหมด ฿ 8,612.51
หมายเหตุ ค่าเงินวันที่แลก 1 SGD = 24.75 บาท


สรุปค่าใช้จ่ายทั้งทริปในครั้งนี้ รวมค่าเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าซิมโทรศัพท์ ค่าอาหาร ค่าเข้าสถานีที่และค่าเดินทางในสิงคโปร์หมดไป 8,612 บาทครับ

ก่อนจบรีวิวฝากถึงเพื่อนๆทุกท่าน เมื่อเราทำงานเองได้แล้วก็รู้จักให้ของขวัญกับตัวเองบ้างครับ ด้วยการซื้ออะไรให้ตัวเอง หรือไปเที่ยวตามสถานที่ในฝัน เพื่อที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้ขยันทำงาน เก็บเงินและจะได้ไปเที่ยวอีก 5555+

ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบครับ หากมีข้อสงสัย อยากถามเชิญคอมเม้นกันได้ที่ใต้รีวิวนี้เลยครับ ตอบได้จะตอบให้ครับ

แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า สวัสดีครับ

#สิงคโปร์ #Singapore

M Anuwat

 วันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 14.45 น.

ความคิดเห็น