บรัสเซล เป็นเมืองหลวงของประเทศเบลเยี่ยม และเป็นศูนย์กลางหรือเมืองหลวอย่างไม่เป็นทางการของ สหภาพยุโรบ (อียู) เขตเทศบาลนครบรัสเซล มีประชากรประมาณ 140,000 คน คิดเป็นสัดส่วนความหนาแน่นของประชากรได้ถึง 4,400 คน ต่อ ตารางกิโลเมตร( แออัดไม่เบาเลยทีเดียว แต่เขตนครหลวงบรัสเซลส์นั้นมีประชากรรวมประมาณเกือบ 2 ล้านคน ถือเป็นเมืองใหญเมืองนึงเลยที่เดียว

บรัสเซลส์ เป็นเมืองหลวงที่เหมาะแก่การพักผ่อน และเรียนรูและสัมผัสกับอารยธรรมตะวันตกและความงดงามของสถาปัตยกรรมของชาวยุโรปอย่างแท้จริง และมีสถานที่ตั้งติดกัยประเทศเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศษ เยอรมันี และลักแซมเบิร์ก จึงเป็นที่ตั้งขององค์กรระหว่างประเทศที่สำคัญหลายแห่ง หน่วยงานสำคัญของสหภาพยุโรป 2 หน่วยงาน คือคือEuropean Commission) และ Council of the European Unionที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงบรัสเซลส์ นอกจากนี้บรัสเซลส์ยังเป็นที่ตั้งของ NATO)อีกด้วย ทำให้หลายประเทศมีสถานฑูต ในบรัสเซลส์ถึง 3 แห่ง คือ สถานทูตปกติของแต่ละประเทศ สถานทูตประจำสหภาพยุโรป และสถานทูตประจำนาโต (ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว) และภาษาที่ใช้มีสามภาษา คือ ภาษาดัชด์ ภาษาฝรั่งเศษ และภาษาเยอรมัน ส่วนที่บรัสเซล ประชาชนส่วนใหญ่ใช้ภาษาฝรั่งเศษ ที่ที่ผมเดินทางมาก็ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัง ก็เห็นเขาก็พูดได้กันทุกคน เลยไม่มีปัญหา

ผมออกเดินจากเมืองบรูจจ์ ไป บรัสเซล โดยทางรถยนต์ โดยระยะทางประมาณเกือบๆ100กิโล ซึ่งมีหลงบ้าง แวะบ้าง ไปแบบชิวๆ ผมตรงไปที่แรกที่เป็นไฮไลท์ของเมืองนี้ก่อนเลย เพื่อไม่เสียเวลา นั้นคือ อะโตเมี่ยม และมันคืออะไรล่ะ อะตอม หรือป่าว ใกล้เคียงครับ อะโตเมี่ยม คือสิ่งปลูกสร้าง ที่ชาวเบลเยี่ยมภาคภูมืใจมากที่สุดสิ่งหนึ่ง ที่หวักจะให้เป็น land mark ของประเทศ เสมือนกับว่า paris มีหอไอเฟล ที่เบลเยี่ยมก็มี อะโตเมี่ยม อะไรทำนองนั้น

อะโตเมี่ยม เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นเมื่อปี1958 ,มีลักษณะเป็นโครงสร้งโลหะทรงกลมยึดเหนี่ยวกันในลักษณะโมเลกุล 9 ลูก มีความสูงทั้งหมด108เมตร และแต่ละลูกมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 18เมตร ห่อหุ้มด้วยอลูมิเนียม ภายในแต่ละลูกจะมีรางเลื่อเชื่อมต่อถึงกัน และยังมีลิฟท์ที่มีความเร็วสูงที่สุดมนโลกด้วยน๊า นั่นคือมีความเร็ว 5เมตร ต่อ วินาที ซึ่งนี่ก็คือหนึ่งในความภาคภูมิใจของปรัเทศเบลเยี่ยมเช่นกัน ด้านในจะเป็นห้องจัดนิทรรศการทางวิทยาศาสตร์ ร้านอาหาร ห้องแสดงงานศิลปะ และจุดชมวิวจากมุมสูง อะโตเมียม เป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายในเชิงคุณค่าของการก้าวกระโดด สู่ยุคเทคโนโลยีใหม่หลังสงครามโลกของประเทศเบลเยียม


เขาว่ากันว่ามาเบลเยี่ยม สิ่งที่อร่อยมากๆก็คือวัฟเฟิ่ล ซึ่งเป็นต้นตำรับที่นี่ ก็เลยต้องลองเสียหน่อยเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว จากที่สักเกตุเหตุวัฟเฟิ่ล ที่นี่ก็มีหน้าตาและขนาดไม่แตกต่างจากบ้านเรา แต่ทีสังเกตเห็นความแตกต่างคือตัวแป้งที่ใช้ทำ มันเหมือนกับมีใส่เป็นครีมข้นๆอยู่ข้างในเรียบร้อยแล้ง และนำมาวางบนเตา หนีบให้มันสุก หอม วัฟเฟิ่ลแบบธรรมดา ไม่ใส่topping ก็กรอบ หอมหวาน นุ่มด้านใน หร่อยจริงๆสมคำร่ำลือ ชิ้นนึ้งประมาณ2.5ยูโร คิดเป็นเงินไทย ก็แพงอยู่นะ แต่รสชาด อร่อยเหาะ คุ้มค่าลอง แต่ถ้าเพิ่มtopping ก็จะอยู่ที่ราคา3.5 ยูโร แต่ที่ลองชิมดู วัฟเฟิ่ลราดวิปครีป อร่อยสุด ไปเมืองไหนก็จะลองเมนูนี้

วัฟเฟิ่ลวิป ครีม อร่อยสุด กลับเมืองไทยต้องไปลองซื้อวัฟเฟิ่ลมาทานกับวิปครีมดูซะแล้ว เผื่อจะอร่อยเท่า

รองท้องด้วยวัฟเฟิ่ลเสร็จ ขับรถต่อไปยังประตูชัย หรือ The Triumphal Arch สร้างขึ้นเมื่อปี 1880 เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปีที่ได้รับเอกราช ซึ่งเป็นอีกสภานที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยว โดยสร้างอยู่ในสวย จูบิลี่ ที่มีความสวยงามและมีพื้นที่ขนาดใหญ่ถึง74เอเคอร์กลางกรุงบรัสเซล ด่านล่างเป็นอุโมงค์ ให้รถวิ่งผ่าน ปีกทั้งสองข้างของประตูชัยเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ และพิพิธพัณฑ์การทหาร ของเบลเยี่ยม ซึ่งเก็นรักษายุทโธปกรณ์ทางด้านการรบ การสงคราม อย่างเช่น รถยนต์ทหาร และเครื่องบินรบในสมัยโบราณ

สำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์จากอะโตเมี่ยม ไปยัง ประตูชัย ไม่ยากเลยครับ ส่วนไปทางไหนนะเหรอครับ GOOGLE นำทางครับง่ายมากขับตามgoogle เลยครับถึงแน่นอน

แต่ความงดงามของประตูชัยก็ถูกบดบังไปด้วยรถยนต์จำนวนมาก เนื่องจากเปิดให้สามารถจอดรถได้ครับ

เนื่องจากที่พักอยู่ใจกลางเมืองบรัสเซลห่างจากสถานที่เที่ยวสำคัญๆไม่กี่ร้อยเมตร สามรถเดินเที่ยวได้อย่างสบาย เราเลยขับรถหาที่จอดรถใกล้ๆที่พัก แล้วเดินเที่ยวกันก่อนเข้าที่พัก สถานที่แรกที่เราจะมุ่งหน้าไปคือ Grand palaces หรือ Grand place de Bruxelles และ Grote Markt หรือที่เรียกภาษาไทยว่าจตุรัส กรองด์ ปลาซ กลางกรุงบรัซเซล หนึ่งในจตุรัสที่สวยงามที่สุดในยุโรป เป็นกลุ่มอาคารที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมทั้งบาโร้ค โกธิค นีโอ-โกธิค และเป็นสถานที่ซึ่งยูเนสโก้ ยกย่องให้เป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี ค.ศ.1983 ขณะที่เดินเล่นไปตามจัตุรัสอันโอ่อ่าสวยงาม โอ่โถง อลังการนั้นทำให้รู้สึกราวกับว่าได้ย้อนเวลาไปในประวัติศาสตร์ยุโรปยุคกลาง สิ่งก่อสร้างเด่นชิ้นหนึ่งในนั้นคือ St. Jacques-sur-Coudenberg โบสถ์ยุคศตวรรษที่ 18 และหอระฆังอันแสนงดงามตระการตา ทำให้ทึ่งถึงความสามรถของคนสมัยก่อน ว่าสามารถทำได้อย่างไร และที่จตุรัสแห่นี้ทุกๆ 2 ปีจะมีการจัดเทศกาลที่มีชื่อเสียง ไปทั่วโลกอย่างเช่น เทศกาลพรมดอกไม้ (Flower Carpet) ที่น่าตื่นตาตื่นใจ

จตุรัสแห่งนี้ยังเคยถูกทหารฝรั่งเศษยิงระเบิดเข้าทำลายในค.ศ.1995 เพื่อเป็นการแก้แค้นที่ฝรั่งเศษแพ้สงคราในเบลเยี่ยมตอนใต้ แต่ทุกคนทั้งภาครัฐและเอกชน ก็ร่วมแรงร่วมใจกันบูรณะให้กลับมาสวยงามกังเดิม แต่ระหว่างทางเดินที่จะไปถึง Grand palace นั้ง เราต้องฝ่าเด่าน ร้านchocolate หลายร้านมาก อดใจไใาได้ที่จะแวะเข้าไปชมชิม เนื่องจาก chocolate ที่เบลเยี่ยมขึ้นชื่อว่าอร่อยที่สุดในโลก มาถึงที่ขนาดนี้ไม่แวะ ไม่ชิม ก็ดูจะเสียเที่ยวเสียกระไร แวะซะหน่อย

ร้านนี้อยู่ปากซอยที่เดินทะลุไปยังแกรนด์พาเลซพอดี


หลังจากชิมchocolate เรียบร้อบแล้ว ซื้อติดมือมาคนละถุงสองถุงใหญ่ เนื่องจากชิมแล้วอร่อยทุกก้อนเลยต้องจัดกันชุดใหญ่ไฟกระพริบ หยิบใส่เป๋า จ่ายตังค์ แล้วไปต่อกันที่ แกรนด์ พาเลซ หรือ กรองด์ ปลาซ มาชมความงดงามกันครับ

และในบริเวณเดียวกันยังเป็นที่ตั้งของศาลาว่าการเมืองหรือ city hall อีกด้วย ซึ่งเป็นที่ทำการของเมือง และปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์เมือง ใช้รวบรวมเรื่องราวของกรุงบรัสเซลในอดีตเอาไว้ และเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้

CITY HALL

เดินชม เดินถ่ายรูป แกรนด์พาเลซ และ city hall บริเวณจตุรัส กันอิ่มหนำแล้ว อีกจุดนึง ที่ทุกคนต้องไปแวะถ่ายรูป และเป็นแลนด์มาร์ค อีกจุดนึงก็คือ แมนเนเก้นท์ พิส Manneken pis เป็นอนุสรน์รูปปั้นเด็กผู้ชายยืนฉี่ อยู่บริเวณริมหัวมุมสี่แยกถนนเลทุฟ ตัดกันถนนแชน หลังแกรนด์ พาเลซ นี่เอง ห่างไปไม่กี่ร้อยเมตร เดินไปทางซอยด้านข้างแกรนด์พาเลซด้านซ้ายมือ บังเอิญมีรถม้าอยู่ มันจึงทำให้ยรรยากาศ ยุโรปตอนกลางปรากฏเด่นชัดขึ้นเลยไม่พลาดที่จะกดภาพมาฝากกัน

เราเดินตรงไปทางหลังรถม้าเพื่อจะไปหา แมนเนเกน พิส ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนเส้นนี้หละครับ บังเอิญอีกแล้ว ระหว่างทางเจอภาพวาดฝาผนังที่เรากำลังมองหาอยู่เช่นกัน

มันคืออัลราย สมัยนานมาแล้ว ตอนเราเด็กๆ เอ้ย ตอนผมเด็กๆ ทุกท่านจำได้ไหม มีการ์ตูนเรื่องนึงที่โด่งดังมากๆ คือเรื่องตินตินผจญภัย เด็นรุ่นใหม่อาจจะไม่คุ้น

ตินตินผจญภัย เป็นหนังสือการ์ตูน แต่งโดยนักวาดการ์ตูนชาวเบลเยี่ยม ชื่อ จอร์จ เรมี ในปี ค.ศ.1926 โดยใช้ นามปากกาว่า แอร์เช่ หนังสือการ์ตูนชุดนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงในทวีปยุโรปช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้รับการแปลมากกว่า 80 ภาษา และยอดจำหน่ายกว่า 350 ล้านเล่มทั่วโลก นอกจากนี้ สตีเฟน สปีนเบิร์ก และปีเตอร์ แจ็คสัน กำลังสร้างเป็นภาพยนต์ แอนนิเมชั่น ไตรภาคอีกด้วย แหม เท่ห์ไม่เบา จริงๆแล้วภาพวาดฝาผนังการ์ตูนตินติน มีอยูหลายจุดในกรุงบรัสเซล และมีร้านขายสินค้าตินติน ในย่านนี้อีกด้วย ไปชมกัน

และแล้วเราก็เดินมาถึงแมนเนเกนท์ พิส เสียที แมนเนกเนท์ พิส เป็นรูปปั้นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ เล็กจริงๆ แทบมองไม่เห็น ซึ่งยืนเปลือยกายฉี่ อยู่ริมสี่แยก ซึ่งบางเทศกาลก็จะมีการแต่งกายให้กับรูปปั้นนี้ด้วย ส่วนแต่งกายแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับเทศกาล ซึ่งพอไปถึงก็จะเห็นคนจำนวนมากรุมกันถ่ายรูปชนิดที่ว่าเบียดเสียดแออัดกันเลยทีเดียว กลุ่มกรุ๊ปทัวร์เดินตามธงของไกด์ เป็นหางยาวเป็นขบวน อะไรจะสำคัญขนาดนั้น แน่นอน ที่ผู้คนให้ความสำคัญย่อมมีความเป็นมาที่น่าสนใจแน่ เรื่องก็คือ ว่ากันว่าในสมัยก่อนที่มีการทำสงครามกับฝรั่งเศษ และประเทศเบลเยี่ยมกำลังจะถูกระเบิด ในขณะนั้นหนูน้อยเด็กชายผู้นี้ก็เดินมาเห็นสายชนวนระเบิดกำลังติดไฟอยู่ เด็กน้อยคนนี้ก็ยืนฉี่รดสายชนวนระเบิด ทำให้ไฟดับลงไป ส่งผลให้ประเทศรอดพ้นจากการระเบิดครั้งนี้ แหมๆๆ อยากเห็นไอ้คนจุดฉนวนระเบิดจริงๆเชียว ว่ามันจุดเสร็จแล้วมันหายไปไหน และเหตุการณ์นี้ก็ส่งผลให้หนูน้อยคนนี้เป็นhero ของเมืองไป ทุกคนเลยยกย่องจนถึงปัจจุบัน และบ้างก็เล่าว่าเมื่อครางฝรั่งเศษทำการสู้รบกับเบลเยี่ยม ทหารฝรั่งเศษได้ทำการวางเพลิง แต่หนู้น้อยคนนี้ได้ทำการปัสสาวะรดกองเพลิงดับไฟที่ทหารฝรั่งเศษได้ทำการวางเพลิงเอาไว้ จึงทำให้รอดพ้นจากไฟไหม้เมือง ทางกษัตริย์จึงให้สร้างรูปปั้นขึ้นมาเป็นอนุสรน์แทนความกล้าหาญของหนูน้อยคนนี้ เรื่องมันก็นเป็นอย่างนี่

แมนเนเกนท์ พิส

แหมแมนเนเกนท์ พิส ชั่งตัวเล็กจริงๆ ไม่รู้ว่าคุ้มไหม๊ที่เดินหากัน

เรากลับที่พัก เพื่ิที่จะย้อยกลับมาที่แกรนด์พาเลซ และCITY HALL อีกครั้งในตอนค่ำ เพื่อจะมาถ่ายภาพตอนกลางคืน ซึ่งจะมือสนิทเวลาประมาณ22.00น เราเริ่มออกจากที่พักอีกทีเวลา21.45น .ระยะทางประมาณ200เมตรจากที่พัก รอไม่นานก็ได้ภาพ Grand palace และ city hall รวมถึงบริเวณรอบจตุรัส ซึ่งถือว่าคุ้มค่ากับการออกมาในยามวิกาล เพราะมันสวยงามยิ่งนัก

ภาพ จตุรัส ยามวิกาล

ขอได้รับความขอบคุณจาก

นายโรตี หนีเที่ยว







ความคิดเห็น