ขึ้นชื่อว่า"โมโกจู' เชื่อว่านักเดินป่าต่างรู้ว่ามันเดินยาก แต่ที่ยากกว่านั้นคือการจองโควต้าให้ได้ ฮร่าาาาาาา (อันนี้เอาฮานะคะ)
แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้ "โมโกจู" คือชื่อยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ซึ่งสูง 1,964 เมตรจากระดับน้ำทะเล ติดอันดับ Top Ten ยอดเขาสูงในไทยอันดับที่ 8 ส่วนคำว่า "โมโกจู" เป็นภาษากะเหรี่ยงแปลว่า"เหมือนฝนกำลังจะตก" ซึ่งที่เรียกอย่างนั้นน่าจะมาจากสภาพอากาศบนโน้นที่เต็มไปด้วยเมฆหมอกละมัง
ส่วนที่ว่าไปยากเนื่องจากเมื่อก่อนถ้าอยากไปพิชิตยอดเขาโมโกจูนี้ต้องเดินเท้าเข้าไปใช้เวลา 5 วัน 4 คืน แต่ตอนนี้ทางอุทยานได้มีการจัดการใหม่ร่นระยะเวลาให้เหลือแค่ 3 วัน 2 คืน ซึ่งถูกใจมนุษย์เงินเดือนอย่างเรานักละ^^
แต่ก็อย่างละนะคนเรา "ยิ่งเข้าถึงยาก ก็ยิ่งอยากไป" งั้นอย่ารอช้า ตามมาเลยจร้าาาาหลังจากที่รวบรวมสมาชิกได้แล้วตามเงื่อนไขที่ทางอุทยานกำหนด เราก็รอวันเปิดจองจร้า ซึ่งความหวังทั้งหมดฝากไว้ที่หัวหน้าทริป ส่วนพวกเราที่เหลืออีก 11 ชีวิตทำได้แค่ลุ้นอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ก็ฟิตซ้อมร่างกายรอตามประสา รอประกาศรายชื่อจากทางอุทยานว่าเราจะได้ไปรึป่าว และแล้วกลุ่มเราก็ได้ไปเป็นทริปที่ 4 กลุ่มแรกคร่า เชิ๊บ เชิ๊บ
แปะภาพระเบียบการของ อช.ไว้ให้ดูคร่าวๆ นะคะ
กลุ่มเรามีทั้งหมด 12 ค่ะ เช่ารถตู้คันนึงกับเอารถไปเองคันนึง ส่วนเรื่องเสบียงส่วนใหญ่จะเป็นอาหารแห้งค่ะ พวกปลาทอด หมูทอด เนื้อแดดเดียวและน้ำพริกกะปิตำใส่ขวดพลาสติกไปค่ะ (ที่พูดมาเนี่ยเพื่อนทำทั้งนั้นค่ะ ไม่ใช่เรานะ 555) เน้นอาหารที่ทำง่ายพกง่าย ใช้เวลาน้อย เพราะทั้ง 2 คืนที่อยู่ในป่าเราต้องออกแต่เช้า และห่อข้าวกลางวันพกไปกินระหว่างทางค่ะ
พอถึงวันเดินทาง หลังจากจัดหาเสบียงที่เป็นของสดเรียบร้อยแล้ว เราออกจากบางกอกประมาณ 3 ทุ่ม ถึงอุทยานประมาณตี 2 ค่ะ ก็หาที่หลับที่นอนพักผ่อนเอาแรงสำหรับวันพรุ่งนี้ ซึ่งกลุ่มเราก็ยึดพื้นที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวนั่นแหละคร่า^^
ด้านนอกบ้าง
ด้านในบ้าง
ช่วงเช้าหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว ก่อนเดินทางเราจะมีการจัดการสัมภาระเพื่อชั่งน้ำหนักก่อนที่จะแยกให้ลูกหาบค่ะ
ลูกหาบ 500/คน/วัน 3 วันก็ตกคนละ 1500 บาทค่ะ ซึ่งลูกหาบ 1 คนจะรับสัมภาระหนักประมาณคนละ 20 โล
ของกลุ่มเราใช้ลูกหาบ 4 คน แยกให้แบกเฉพาะของกองกลาง ส่วนของใช้ส่วนตัวพวกเราแบกเองค่ะ
นี่สำหรับลูกหาบค่ะ
ลูกหาบที่นี่หน้าตาน่ารัก น่าชังดีนะฮะ^^
ส่วนอันนี้ของเราเองค่ะ เป้ 10 โลนิดๆ กับถุงกันน้ำใส่กล้องอีก 3 โล (ที่ยังยิ้มได้เพราะยังไม่รู้ชะตากรรมตัวเองจร้า --")
ปล. ถ้าเพื่อนๆ ที่กำลังจะไปแนะนำให้เอาไปเฉพาะที่จำเป็นนะคะ อย่าเอาเราเป็นเยี่ยงอย่าง ฮร่าาาาา
ก่อนออกเดินทางขอเก็บภาพกับป้ายก่อนน๊าาาา
หลังจากทานข้าวเช้าของทางอุทยานเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางค่ะ เราจะนั่งรถที่ทางอุทยานจัดเตรียมไว้ ไปแคมป์แม่กระสาตามที่แจ้งในเอกสารด้านบน (รถ + เจ้าหน้าที่นำทาง 2 คน 12,000 บาท) ระยะทางประมาณ 16 ก.ม. ใช้เวลานั่งรถประมาณ 3 ชม. (ถ้าเป็นเมื่อก่อน 16 กม.นี้เดินนะจร้าาาาา)
รถที่จะพาเราไปแคมป์แม่กระสาคร่าาาา
ส่วนนี่คือโฉมหน้าเพื่อนร่วมทริปเราเอง ในรถแต่ละคันก็จะบรรทุกสิ่งของ เสบียง และลูกหาบของกลุ่มใครกลุ่มมันค่ะ เสื้อเหลืองเนี่ยหัวหน้าทริปเราเองค่ะ ต้องให้เครดิตนางที่ไฝว้โควต้ามาสำเร็จ^^
สมาชิกอีก 2 คนนั่งด้านหน้า กับพี่เจ้าหน้าที่นำทางอีก 2 นาย ทริปเราพี่ที่ดูแลชื่อพี่แอ๊น กับพี่อี๋คร่า^^
ออกจาก อช. ประมาณ 9 โมง ซักประมาณเที่ยงๆ ก็ถึงแล้วค่ะ แคมป์แม่กระสา
มีห้องน้ำไว้คอยบริการด้วยนะคะ แต่เราต้องตักน้ำที่ลำธารมาเอง ก็สะดวกดีน๊อออออ
เราพักทานข้าวกลางวันกันที่นี่ก่อนออกเดินทางค่ะ กับข้าวกลางวันก็สั่งข้าวห่อจากร้านที่ อช. คะ
หลังจากทานข้าวเรียบร้อยแล้วก็เริ่มออกเดินทางกันเลย เป้าหมายของเราวันนี้อยู่ที่แคมป์แม่เราวา ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปประมาณ 4 กม.ค่ะ
ข้ามคลองแม่กระสากันค่ะ จากตรงนี้เราเห็นมีผักกูดขึ้นก็เลยช่วยพี่อี๋เก็บไปทำเมนูสำหรับเย็นนี้ ผัดผักกูดน้ำมันหอยค่ะ
หน้าตายังชื่นมื่นกันอยู่คร่า (เพิ่งเริ่มเดินนิ)
เส้นทางที่เดิน 4 กิโลนี้จะเดินไปตามป่าไผ่ค่ะ ก็เลยไม่ค่อยร้อนกันเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เป็นทางราบด้วย เลยค่อนข้างชิล
เดินไปสักประมาณชั่วโมงนึงเราก็จะเจอคลองอะรูมิไร้ค่ะ 555++(ลืมถามเจ้าหน้าที่ว่าคลองอะไร จำได้แค่ว่าอยู่ระหว่างทางไปแคมป์แม่เรวาค่ะ)
เอารูปตอนข้ามสะพานขอนไม้ ณ จุดนี้แต่เป็นขากลับมาลงแทนละกันน้อออ อยากให้เห็นภาพธรรมชาติรังสรรค์ ^^
สายน้ำในป่า เย็นชื่นใจดีค่ะ ยิ่งเดินมาร้อนๆ นะคะคู้นนนนน ได้ล้างหน้าล้างตาซักหน่อยสดชื่นเชียวคร่า
อีกซักรูปนึงนะคะ เพราะวันนี้เดินแค่ 4 โลมีเวลาถ่ายรูปชิลฮะ^^
หลังจากนั้นก็เดินต่อไปตามป่าไผ่ค่ะ ชอบจริงๆ สีเขียวๆ เนี่ย
จากแคมป์แม่กระสา ถึงแคมป์แม่เรวา เราใช้เวลากันประมาณชั่วโมงครึ่งก็ถึงละค่ะ ก็ช่วยกันกางฟลายชีท กราวชีท จับจองพื้นที่กัน
กลุ่มเราส่วนใหญ่เลือกที่จะนอนปลาทู สำหรับคนที่ยังไม่รู้ก็คือนอนเรียงกันค่ะ ไม่ใช้เต๊นท์สะดวกในการจัดเก็บ แต่ก็มีคนนอนเปล นอนเต้นท์อันนี้ก็แล้วแต่ค่ะ รับผิดชอบตัวเอง แบกเอง ส่วนคนขี้เกียจแบบเรา ขอเอาแบบง่ายๆ ดีกว่า ฮร่าาาาา
นี่ไงหน้าตาแคมป์เรา เพื่อนสาวถ่ายไว้ แอบขอเอามาทำรีวิว ส่วนเรานอนแอ้งแม้งไม่สบายอยู่ในภาพคร่า
เราก็หุงข้าว ทำกับข้าว นอนอยู่ในนั้นละ
จริงๆ ที่นี่มีน้ำตกแม่รีวาด้วยนะคะ เดินไปกลับจากแคมป์ประมาณ 3 ชั่วโมง แต่กลุ่มเราไม่ได้ไปจ๊ะ แอบเสียดายเหมือนกัน
ถ้าเพื่อนๆ ไปโมโกจู อย่าพลาดแบบเราน๊าาา>< ส่วนเราขอเก็บภาพแค่ที่หน้าแคมป์ก่อนละกัน แอบถ่ายหนุ่ม^^
ตกเย็นพวกเราก็ช่วยกันทำกับข้าว เราก็เป็นลูกมือตามระเบียบ มีประโยชน์สุดๆ แล้วในทริปนี้ 555++
จำได้ว่าเมนูวันนี้มีน้ำพริกกะปิ ปลาทอด ผัดผักกูดที่เก็บมาจากคลองแม่กระสา แล้วก็แกงจืด แหม่ เสียดาย ไม่ได้ถ่ายรูปไว้
ปล.เราต้องอาหารเตรียมอาหารเผื่อลูกหาบด้วยนะคะ ส่วนใหญ่พี่ๆ เจ้าหน้าที่ก็จะเตรียมมาเอง แต่เราเตรียมเผื่อพี่เค้าด้วยก็ดีนะคะ เพราะพี่ๆ เค้าจะดูแลเราดีมากๆ^^
ที่แคมป์นี้เราอาบน้ำแปรงฟันในแม่น้ำแม่เรวาค่ะ แต่ถ้าจะเข้าห้องน้ำที่นี่ก็มีห้องน้ำให้ 3 ห้องสำหรับธุระหนัก-เบา เหมือนเดิมคือต้องไปตักน้ำจากแม่น้ำเอง
ช่วงกลางคืนอากาศค่อนข้างเย็นค่ะ เพื่อนๆ ก็จับกลุ่มตั้งวงแก้หนาวกันไป หลังจากทานข้าวเสร็จ ส่วนเราอัพยาเสร็จนอนโลด ไปเที่ยวทั้งที่ไม่สบายไม่สนุกเลยน้อออออออ (--")วันรุ่งขึ้น พวกเรารีบจัดการเรื่องอาหารทานข้าว แล้วก็ห่อไปสำหรับมื้อกลางวัน เพื่ออกเดินทางแต่เช้า เป้าหมายของเราวันนี้คือไปค้างที่แคมป์ตีนดอย แล้วก็ไปให้ทันดูตะวันตกดินบนยอดค่ะ ระยะทางจากแคมป์แม่เรวาไปแคมป์ตีนดอยประมาณ 8 กม. แต่ขอโทษนะขึ้นเขาตลอด และทางชันมาก มากแบบมว๊ากกกกๆ อ่ะค่ะเดินขึ้นเขาตลอด เราต้องเตรียมน้ำไปประมาณคนละ 2-3 ขวดเพราะจากจุดนี้ กว่าจะถึงจุดที่มีน้ำอีกทีค่อนข้างไกลค่ะ (จำได้ว่าเราออกเดินทางกันประมาณ 7-8 โมง ถึงจุดคลองหนึ่งที่เราจะเติมน้ำได้ก็ประมาณเกือบๆ บ่ายค่ะ)
ส่วนน้ำเราก็กรอกกันจากแม่เรวาเนี่ยละค่ะ ปกติก็กรอกเลย แต่หนนี้โชคดีมีพี่ที่ไปด้วยกันเค้าพกที่กรองน้ำไปด้วย เราเลยพลอยได้อานิสงไปด้วย^^
สโลแกนของพี่เค้าคือ กรองใสแต่ไม่กรองโรคค่ะ 5555+++ แต่อย่างน้อยก็ใสละเนอะ เพื่อนๆ อย่าลืมหาซื้อติดตัวไว้นะคะ อุ่นใจดีค่ะ
เริ่มเดินละคร่าาาา ตัวเราเดินกับพี่เจ้าหน้าที่ ชื่อพี่แอ๊นค่ะ จะอยู่กันกลุ่มหน้า เพราะเวลาเดินจะมีเจ้าหน้าที่นำหน้าและปิดท้าย ก็เรามันผู้หญิงแถวหน้านี่น๊อออ ฮร่าาาาา
จริงๆ เวลาเดินป่าเราชอบเดินไปกับเจ้าหน้าที่ค่ะ จะได้ถามโน่นถามนี่ได้ ระหว่างทางก็พอมีร่องรอยสัตว์ป่าให้ได้เห็นอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นรอยเท้าหมูป่า กระทิง เราเองก็ดูไม่ออกหรอก พี่เค้าว่าไงก็ว่างั้นละคร่าาาาา เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปไว้ (อารมณ์แบบว่าเดินทางชัน ร้อนเหนื่อย กล้องเนี่ยอย่าว่าแต่จะถ่ายรูปเลยคร่า แทบอยากจะปาทิ้ง)
เดินไปเดินมาก็มาทันนางแบบ^^
ชันจริงๆ นะ ><
เจอเจ้าตัวนี้ระหว่างทาง น่ารักเชียว เนี่ยจะเริ่มเข้าโหมดเบี้ยใบ้รายทางละนะคะ
อ่อ ระหว่างทางที่เดินจะมีทากบ้างค่ะ แต่ไม่เยอะ ส่วนใหญ่จะมีบริเวณลำธาร จะเป็นเห็บซะมากกว่า ตัวเล็กๆ แต่กัดคัน เห็นมีคนเค้าแนะนำให้เอาแป้งโรยน้องหมาไปทา เห็นว่าช่วยได้ แต่ของเราจะเป็นโลชั่นกันแมลงทั่วไปค่ะ กลิ่นตะไคร้ทาเองมึนเอง
พี่แอ๊นเล่นถลกขากางเกงสู้เลยค่ะ แกบอกว่าเวลาอะไรกัดจะได้มองเห็น เออเนอะ เราก็ปิดซะมิดเชียว^^"
เดินไปพักไปค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะพักกันเป็นกลุ่ม กระจายความเสี่ยง เผื่อมีคุ่นมีเห็บมามันจะได้เลือกกินได้ตามอัธยาศัย ฮร่าาา
เราถึงคลองหนึ่งกันประมาณเกือบๆ บ่ายก้นั่งทานข้าวกลางวันกันที่นี่ค่ะ
ก่อนจะเดินต่อ หัวหน้าทริปขอหล่อซะหน่อยฮะ ลูกทริปล่ะเพลีย --"
ทานข้าวกลางวันเสร็จแล้วก็เดินทางต่อค่ะ ระหว่างทางแวะตุนน้ำแป่บนึง แต่คราวนี้ไม่มีอะไรกรองละเดินไม่ทันพี่เค้า
เดินไป เกาะต้นไม้ไป เห็นเจ้านี้เงิบไปเลยค่ะ ><
แต่ในป่าก็มีอะไรสวยๆ เยอะนะ อย่างเจ้านี่เป็นต้น
ต้นอะรูมิไร้ ^^
ถ่ายใบไม้ ใบหญ้าไปเรื่อย
อันนี้ลูกอะไรไม่รู้ค่ะสีหวานมากเลย
เดินไปเรื่อยๆ เมื่อยก็หยุดค่ะ เป้าหมายเห็นอยู่ไกลลิบๆ น้ำตาจิไหล" หินเรือใบ" T^T ไกลคัก (ที่เห็นเล็กๆ ตรงกลางภาพนั่นแหละคร่าหินเรือใบ เป้าหมายของเรา)
สักประมาณบ่าย 3 กว่าๆ เราก็มาถึงคลอง 2 ค่ะ ซึ่งจะเป็นห้วยสุดท้ายก่อนที่จะถึงแคมป์ตีนดอย จากจุดนี้ น้องๆ พี่ๆ เพื่อนๆ ผู้ชายต้องช่วยกันกรอกน้ำใส่ขวดแบบ 5 ลิตร แบกขึ้นไปเพื่อไปใช้ทำกับข้าว กุลสตรีอย่างเราก็ได้แต่เอาใจช่วย เพราะลำพังสังขารตอนนี้จะยกขาตัวเองก็แทบไม่ไหวค่ะ ตรงนี้เราว่ามันน่าจะชันชัก 60 -70 องศาได้นะ พอถึงแคมป์หลังจากที่ช่วยกันตั้งแคมป์เสร็จแล้วพวกเราก็ขึ้นไปยอดกันต่อจร้า จากแคมป์ตีนดอยก็น่าจะเดินประมาณ 1 กิโลได้ค่ะ
เหมือนเราจะขึ้นมาช้าไปนิด แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าสวยมากๆ ค่ะ ไม่รู้เรามัวทำอะไร ไม่ได้ถ่ายภาพวิวเลยเฮ้ยยยย --"
หินเรือใบยามเย็นค่ะ
อย่างน้อยฟ้าก็เป็นใจ เปิดให้เราเห็นความงามของทิวทัศน์ด้านบนบ้าง ส่วนตัวแล้วชอบโมเม้นพระอาทิตย์ตกดินมากกว่านะคะ โอลิมปิกดี ฮร่าาาาาาส่วนเช้าวันเสาร์กลุ่มเราขึ้นไปสายหน่อยค่ะ ไม่ได้ไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้น หนาววววววอ่า ><
เราขอเรียกช่วงเช้าว่าศึกประลองท่าโพสละกันนะคะ
เริ่มที่หัวหน้าทริปก่อนละกัน
ผมนี่ถึงกับยืนขึ้นเลย^^
เพื่อนสาวกับชุดฟินเนเร่ของนาง แม่ครัวประจำทริป
Version กลัวความสูง ^^
รูปนี้แอบขโมยเจ้าของภาพมาค่ะ (อย่าบอกใครนะ)
บนนี้ไม่ได้มีดีแต่หินเรือใบนะคะ วันที่เราไปมีทะเลหมอกด้วย ที่เห็นขาวๆ ไกลๆ อ่ะค่ะ
ยืนเว่อร์อยู่นั่นอ่ะตัวเราเองค่ะ ฮร่าาาาา
เฉพาะเช้านี้ เราก็เปลี่ยนไป 3 ชุดล่ะค่ะ ไม่ค่อยจะเยอะเท่าไหร่เลยน๊อออออ เป้ที่หนักเนี่ย สารภาพเลยว่าหนักพร๊อพคร่า
ถ้าจะมีใครบอกว่านางเยอะ ก็ไม่เถียงนะคะ ฮร่าาาาาาา
ต้องขอขอบคุณเจ้าของภาพสำหรับรูปสวยๆ ของเราคร่า ^^
เราเตรียมธงชาติ กับธงเหลืองขึ้นไปด้วยค่ะ ตั้งใจจะเอาไปชูอยู่บนโน้นถ่ายรูป แต่ตอนนี้พี่เจ้าหน้าที่เอาไปปักสวยคู่อยู่บนยอดดอยละนะคะ ปลื้มปริ่มเชียวแระ^^
ปิดท้ายด้วยรูปหมู่ชองชาวเราคร่าาาาาาา (เสียดายไม่ครบทุกคน) ปล.แอบขโมยหัวหน้าทริปมาค่ะ^^
หินเรือใบอย่างเดียวม่างเห๊อะ ^^
วิว
มองผ่านสายตาคนอื่นจะสวยสักแค่ไหนกันเชียว ว่ามะ เราถึงต้องมาดูให้ได้ด้วยตัวเอง^^
รูปเซ็ทสุดท้าย บนหินเรือใบที่เราตั้งใจมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่เราแห้วจองไม่ได้ ปีนี้ได้ทำละฮะ ขออวดหน่อยน๊าาาาาา
แค่อยากให้โลกรู้ว่า เราไม่เอาเขื่อนแม่วงก์^^
ดูปากณัชชาอีกครั้งนะคะ "ไม่ เอา เขื่อน แม่ วงก์"
ถ่ายรูปเสร็จ ลงมาทานข้าวเก็บแคมป์อย่างรวดเร็วเลยจร้า ประมาณ 9 โมงครึ่งเห็นจะได้ที่พวกเราเริ่มเดินลงมา วันนี้เราต้องเดินกลับหน่วยแม่กระสา ระยะทางประมาณ 12 กม. ซึ่งเป็นทางลงอย่างเดียว คุณเอ้ยยยยย ขาแทบจะหลุด ขนาดเราใส่ถุงเท้า 3 คู่ซ้อนกัน แถมมีถุงกันทากอีกชั้นนึง ยังปวดปลายเล็บแบบน้ำตาแทบไหล เพื่อนๆ แต่ละคนที่มีเทคนิคแตกต่างกันไป บางทีก็สไลด์ข้างลงบ้าง เดินหันหลังลงบ้าง ฮาดี
คนนี้เดินอึดมาก เราขอซูฮกให้เธอเลยค่ะ
แม่ครัวของเราก็ใช่ย่อย เหนื่อยแค่ไหนเจอกล้องยิ้มตลอด^^
ระหว่างนั่งพัก ขอแชะซักภาพน๊าาาาา ไม่ค่อยได้มีรูปตัวเองเลย
คนนี้พี่เค้าเดินป่าครั้งแรก เล่นประเดิมที่โมโกจูเลยคร่าาาา
[
ส่วนเด็กๆ ในกลุ่มเราเดินกันเร็วมากค่ะ ไม่รอป้าๆ เลยวุ้ย
ทีมบ๊วยของกลุ่มเราคร่า แต่ที่บ๊วยสุด ณ ตอนนี้น่าจะเป้นตากล้องนะ 555+
กลุ่มเราลงไปถึงแคมป์แม่กระสาประมาณ 5 โมงค่ะ เจอหัวหน้าทริปนั่งรถรออยู่ก่อนละ
ประมาณ 5 โมงครึ่งกลุ่มเราเดินทางออกจากแคมป์แม่กระสาค่ะ แต่ระหว่างทางรถที่บรรทุกเรามาเกิดเสีย ต้องลากกันหลายตลบ และอยุ่ในจุดที่อับสัญญาณไม่สามารถวิทยุติดต่อรถอีกคันหรือหน่วยได้ น่าสงสารพี่เจ้าหน้าที่ๆ จะต้องเดินหาสัญญาณประมาณ 2 โลได้มั้ง กว่าจะติดต่อหาหน่วยให้ส่งรถมารับเราได้ก้รอประมาณชั่วโมงกว่า แต่พวกเราก็ยังสนุกสนานกันดีค่ะ ทริปนี้พวกเราได้กำไรตรงที่ได้มีเวลาอยู่ในป่าแม่วงก์นานขึ้น มีโฟว์วิลไปรับด้วยนะเออ กว่าจะกลับถึงหน่วยก็ประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง หัวหน้า อช.น่ารักมาก จัดเตรียมกับข้าวไว้รอด้วย ขอกราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ^^
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณเพื่อนร่วมทริปทุกคนสำหรับน้ำใจ และมิตรภาพที่หยิบยื่นให้กัน เป็นทริปที่สนุกสนานเฮฮามาก มาก ขอบคุณสำหรับรูปสวยๆ ขอบคุณทุกคนที่ดูแลคนป่วยอย่างเรา สัญญาว่าทริปหน้าจะฟิตร่างกายให้ดีกว่านี้ มีทริปที่ไหนก็อย่าลืมชวนกันมั่งน๊าาาาาาาา^^ดีใจจังที่เพื่อนๆ ชอบ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเราโม้นะคร้า^^พวกเราเองก็มีกันไม่กี่คนค่ะ ที่เหลือโพสชวนตามเพจต่างๆ ให้ครบจำนวนคน ลองเปิดใจไปกับเพื่อนกลุ่มใหม่ๆ ดูน๊าาาา รับรองว่าได้มิตรภาพดีๆ กลับมาแน่นอนจร้าาาาเหมือนปีนี้เจ้าหน้าที่ลองจัดการแบบใหม่ดู แล้วดูฟีดแบคว่าปีหน้าจะยังไงต่อสำหรับนักท่องเที่ยว ไม่แน่ิาจมีรถเข้าไปแค่ปีเดียว อีกอย่างเพราะตอนนี้มีการก่อสร้างหน่วยที่แม่กระสา การใช้รถอาจง่ายต่อการขนเสบียงและกำลังพลไปหน่วย ส่วนตัวแล้วเดินก็ได้ มีก็ดีค่ะ เพราะลางานค่อนข้างยาก^^
Justsmile
วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 17.44 น.