ตอนที่ 3 วิหารเซ็นต์ไอแซค(St.Isaac's Cathedral) วังฤดูหนาว (Hermitage Museum)
สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาเล่าต่อนะคะ จากตอนที่ 2 เราได้แวะชมมาแล้ว 2แห่ง คือ ป้อมปีเตอร์แอนด์ปอล(Perter and Paul Fortress) และวิหารแห่งหยดเลือด(Church of Christ's Resurrection) ยังเป็นการเดินทางในวันแรกอยู่นะคะ เรามาต่อกันที่ วิหารเซ็นต์ไอแซค(St.Isaac's Cathedral) ซึ่งเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งของเมืองเซ็นต์ปีเตอร์เบิร์กที่นักท่องเที่ยวจะต้องแวะไปชมและไม่ควรพลาด ระหว่างทางที่นั่งรถ แม้เราจะไม่รู้ว่าเมืองนี้กว้างใหญ่แค่ไหน แต่เมื่อมองจากในรถก็พอทำให้คาดเดาได้ว่า รถแล่นวนไปวนมาสถานที่สำคัญๆต่างๆก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลกันมากนัก สำหรับท่านใดที่อยากมาเที่ยวเองก็ไม่น่าจะยากอะไรเตรียมข้อมูลดีๆก็สามารถเที่ยวได้ครบ วันนี้อากาศค่อนข้างดี ท้องฟ้ามีสีฟ้า ความหนาวยังคงอยู่
มารู้จักที่นี่กันซักหน่อยนะคะ จะได้เที่ยวได้อย่างมีคุณค่า อุตสาห์ข้ามนำ้ ข้ามทะเล เหิรฟ้ามาตั้งไกล จะได้มีความหมายดีๆสำหรับการท่องเที่ยวกลับไปบันทึกไว้ในความทรงจำ วิหารเซ็นต์ไอแซค(St.Isaac's Cathedral) ดูรูปลักษณ์ภายนอกที่เห็น เป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีขนาดใหญ่ ออกไปในแนวโบสถ์หรือการสื่อความหมายในทางศาสนา หลังคาด้านบนเป็นรูปโดมสีเหลืองทองอร่ามและบนโดมก็มีส่วนต่อเป็นสีเงินๆขึ้นไปอีก มีโดมเล็กๆทั้ง2 ด้าน ด้านหน้ามีเสาค้ำยันสูงใหญ่และบนหน้าจั่วมีรูปแกะสลักจากข้อมูลบอกว่ายอดโดมสีเหลืองทองนั้นฉาบด้วยทองคำแท้ ประมาณ100 กิโลกรัม และฉาบทับด้วยปรอทเพื่อความคงทน แต่ก็ทำให้ช่างเสียชีวิตไปจำนวนมากเพราะพิษของปรอท ต้นไม้บริเวณรอบๆ แม้ยามนี้จะดูแห้งแล้งไปบ้างก็คงเป็นไปตามฤดูกาล
รูปภาพโดยภายนอกวิหาร
จากประวัติ บอกว่า วิหารแห่งนี้มีการบูรณะซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 เพราะบางส่วนถูกทำลายไปเมื่อตอนสงครามโลกครั้งที่1 ก่อนหน้านั้นที่นี่เคยใช้เป็นที่ประกอบพิธีอภิเษกสมรสของกษัตริย์ปีเตอร์มหาราชกับพระนาง แคทเธอริน ว่ากันว่า ใช้เวลากก่อสร้างนานถึง 40
(เกร็ดความรู้) เพราะความเชื่อของผู้สร้าง หรือเป็นเคล็ดลับว่า..ถ้าสร้างเสร็จที่นี่เสร็จแล้วจะต้องเสียชีวิตลง จึงใช้วิธีใช้เวลาสร้างไปนานๆประมาณนั้น ชื่อนี้ตั้งตามชื่อของนักบุญ ไอแซค แห่งดาเมเชีย ผู้เป็นนักบุญอุปถัมภ์ของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช วัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้าง เช่น ใช้เสาเข็ม 5 หมื่นต้น วัสดุการสร้างนำมาจากฟิวแลนด์ ตัดหินมาทั้งต้น แล้วขนย้านมาทางน้ำ ในการนำมาประกอบตัวอาคาร เช่นการตั้งเสาแต่ละตั้นใช้วิธีทำนั่งร้านแล้วเอาวัสดุมัดดึงเสาให้ตั้งตรงโดยใช้แรงคนภูมิปัญญาแบบโบราณ จำนวนเสารวมกันทั้งต้นเล็ก ต้นใหญ่ 112 ต้น
รูปปั้นบ้านบนบริเวณด้านหน้าของวิหารเป็นรูปหล่อของนักบุญ ไอแซค กำลังพระทานพรแก่จักรพรรดิ ธีโอโดเซียสและพระมเหสีแฟลคซิลลา
บางข้อมูลบอกว่า สามารถเดินขึ้นไปด้านบนของวิหารได้ ด้วยบันไดเล็กๆ เพื่อไปชมวิว...แต่เรามิได้ขึ้นไป
ประตูทางเข้าบานใหญ่ และประตูถัดไปทำด้วยไม้โอ๊กและสัมฤทธิ์ มีรูปหล่อของนักบุญประดับประดา แกะสลักได้อย่างสวยงามออกแนวที่เกี่ยวข้องกับทางศาสนา หัวเสา เพดานก็ตกแต่งลายอย่างวิจิตรบรรจง ฝาผนังเป็นหินอ่อน
ต้นไม้บริเวณด้านหน้าวิหารคงอยู่เคียงคู่วิหารมาเป็นเวลานาน
ความใหญ่โตของเสาแต่ละต้น
บานประตูบริเวณทางเข้า(ช่องนี้ปิด)เปิดให้เข้าประตูใหญ่
ลวดลายและรูปปั้นด้านบนของเพดาน
การเข้าชมภายในของวิหารต้องซื้อบัตร เมื่อเข้ามาแล้วจะประมาณอารมณ์นี้ ความสวยสดงดงามและความอลังการ
ภายในมีแบบจำลองโครงสร้างการก่อสร้างให้ชม
รูปปั้นของสถาปนิกผู้ออกแบบ เป็นชาวฝรั่งเศสชื่อ Auguste de Montferrand
อันนี้เป็นภาพตัวอย่าง โดยนำภาพนักบุญเซ้นต์ไอแซคมาแสดงรายละเอียดให้ดูว่าการทำภาพโมเสทมีวิธีทำอย่างไร
การตกแต่งมีหินอ่อน หลายสี การแกะสลัก และจิตกรรมวาดภาพบนเพดาน รูปปั้นทองเหลือง วัสดุสีทอง ประดับด้วยโมเสด กระจกสี เด่นด้วยเสาสีเขียว ภาพพระเยซู และภาพที่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆซึ่งผู้เข้าไปเยี่ยมชมอย่างเราอาจไม่เข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง คงจะเพียงเก็บเกี่ยวความงดงามของศิลปะ ชื่นชมฝีมือผู้สร้างสรรค์ผลงาน และผู้ออกแบบที่ต้องใช้จินตาการอย่างลึกล้ำแล้วนำมาทำได้จริงจนสำเร็จ ฝากฝีมือไว้ให้คนรุ่นเราได้เห็น
เมื่อมองผ่านประตูศักดิ์สิทธิ์นี้...เหมือนไปสู่พระผู้เป็นเจ้า
บานประตูสีทองมีภาพวาดประดับ
หลังคารูปโค้งและประดับด้วยโคมไฟระย้าช่อใหญ่ ที่ยึดโยงมาจากด้านบนของเพดาน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าโคม..นี้คงมีน้ำหนักมากโขอยู่ จะสังเกตุเห็นเส้นวัสดุอีกข้างละ 2 เส้นช่วยยึดประคองไว้ทั้ง 2 ด้าน
กระจกสีออกฟ้าๆคล้ายหน้าต่างด้านบนใต้โดมสวยงามมาก
นกพิราบตัวนี้อยู่บนเพดานเหนือหลังคาโดมยอดสูงสุด สื่อความหมายถึงความบริสุทธ์และสันติภาพ
เรามีเวลาอยู่ในนั้นกันนานพอสมควร ออกมาด้านหน้า จะมีอนุเสาวรีย์ของกษัตร์ย์นิโคลัสที่ 1 ทรงม้าอยู่บริเวณด้านหน้าแสดงสัญญลักษณ์ที่รบชนะเหนือสวีเดน
ตึกอาคารบริเวณรอบๆวิหาร
วิหารเซ็นต์ไอแซค ถือเป็นสถานที่ที่สำคัญที่หนึ่งของเซ็นต์ปีเตอร์เบิร์กเป็นความยิ่งใหญ่ที่เมื่อได้เห็น และเที่ยวชมแล้วก็อดไม่ได้ที่จะต้องกับมาทำความรู้จักหรือหาข้อมูลเพิ่มเติมมากขึ้น ว่าเขามีที่มาที่ไปอย่างไรก็ทำให้การท่องเที่ยวของเรามีคุณค่ามากขึ้น วันนี้อากาศและท้องฟ้าค่อนข้างแจ่มใส แต่หนาวนะคะ
เราออกจากที่ได้เพื่อไปทานมื้อกลางวัน
ชมภาพรอบๆเมืองไปด้วยกันค่ะอาคารสภาพแวดล้อมรอบเมืองตึกรามบ้านช่องดูรูปทรงออกแนวแข็งๆ ดูเคร่งครึมไร้อารมณ์ แต่โทนสีก็ออกแนววินเทจ ช่วยย้อมจิตใจให้ออ่นนุ่มลงมาบ้าง
แม่น้ำสายนี้มีบริการล่องเรือเที่ยวชมเมือง
ตอนบ่ายเราไปกันที่พระราชวังฤดูหนาว
ภาพอาคารวังฤดูหนาวที่มองจากบริเวณภายนอกในมุมต่างๆเมื่อรถแล่นผ่านซึ่งตัวอาคารจะทาสีฟ้าและตัดขอบหน้าต่างและเสาด้วยสีขาว(เมื่อกลับมาดูภาพภายหลัง) เราจะสับสนกับวังแคทเธอรีนที่ทาสีฟ้าคล้ายกัน
อาคารพระราชวังฤดูหนาว เป็นอาคาร1 ใน 5 อาคาร ของกลุ่มอาคาร Hermitage Museum เป็นอาคาร 3 ชั้น ภายในประกอบด้วยห้องต่างๆ มากว่า 1000 ห้อง ที่นี่เคยใช้รับเสร็จรัชกาลที่ 5 ของไทยเราเมื่อครั้งเสด็จเยือนรัสเซีย สร้างขึ้นในสมัยพระนาง อลิซาเบธ เพื่อเป็นที่ประทับ แต่ทรงสิ้นพระชนม์ก่อน ต่อมาใช้เป็นที่ประทับของพระนางแคทเธอรินที่ 2 ด้วยทรงชอบสะสม สมบัติและของมีค่ามากมายจนไม่มีที่เก็บจึงขยายอาคารออกไปเรื่อยๆ
ภาพนี้จะเดินออกมาจากในอาคารเมื่อเราชมด้านในเสร็จแล้ว เมื่อออกประตูไปจะเป็นบริเวณเสาหินแกรนิตอเล็กซานเดอร์ หรือจตุรัสพาเลช ที่มีลักษณะเป็นลานกว้าง ล้อมรอบด้วยอาคารสำคัญๆ เช่นอาคารเสนาธิการทหาร ตึกบัญชาการกองทัพเรือ และพระราชวังฤดูหนาวหรือ อาคารHermitage Museum หลังนี้
ตอนบ่ายเราเจอฝน
การเข้าชมภายใน ต้องซื้อบัตร มีระเบียบการเข้าชมที่เข้มงวด คือ ต้องผ่านเครื่องสแกน ต้องฝากเสื้อกันหนาว ตรวจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิก กล้อง มือถือ อย่างละเอียด
รับฝากเสื้อกันหนาว เสื้อโค๊ด
หลังจากเราชมด้านในของพิพิธภัณฑ์หรือวังฤดูหนาวแล้วประตูทางออกจะอยู่ด้านหลัง เมื่อเดินออกจากจากประตู ก็จะมาสู่บริเวณลานกว้างที่เรียกว่า จตุรัสพาเลส " Palace Square" และเสาหินแกรนิตอล็กซานเตอร์ แต่วันนั้นเราได้เห็นพิธีการทางทหารของรัสเซียด้วย คงเป็นวันสำคัญอะไรซักอย่างของรัสเซีย จึงมีพิธีคล้ายการสวนสนามของทหาร
บริเวณรอบๆจะเห็นมีรถม้าด้วย
บทส่งท้าย
สำหรับวันนี้เราได้ไปสถานที่สำคัญๆหลายที่ แต่ละที่มีความสวยสดงดงามแตกต่างกันไป ก็ที่คล้ายกัน คงเป็นความยิ่งใหญ่อลังการ ที่ถูกสร้างสรรค์ชิ้นงานนั้นๆด้วยงานฝีมือชั้นเลิศของผู้สร้างที่มีความเชียวชาญหรือชำนาญในสาขาศิลปะแขนงต่างๆให้เกิดผลงานเหล่านี้และยังยืนยงคงอยู่ให้คนรุ่นเราๆหรือผู้คนทั่วโลกได้ไปชม
วันนี้ช่วงเย็นฝนตกค่อนข้างหนัก
ขอจบตอนที่ 3 ไว้แต่เพียงเท่านี้นะคะ หวังว่าจะติดตามตอนต่อไป
สวัสดีค่ะ
enjoyinglife
วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 11.26 น.