เดิมทีผมตั้งใจว่าจะไปเที่ยวไอซ์แลนด์ช่วง Summer เพราะอยากเห็นบรรยากาศเขียวชอุ่มกับทุ่งดอกไม้ แต่เพื่อนๆ ที่จะมาร่วมทริป (หรือจะเรียกว่าหุ้นส่วนในการหารค่าทริปก็ได้) อยากไปดูแสงเหนือซึ่งไม่มีให้เห็นในช่วง หน้าร้อน ผมเลยตัดสินใจเลือกช่วงปลายฤดูหนาวระหว่าง 25 มีนา – 7 เมษา 60 เพราะยังมีโอกาสเห็นแสงเหนือและพื้นที่บางส่วนก็เริ่มมีสีเขียวบ้างไม่โดนหิมะปกคลุมทั้งหมดเหมือนช่วงหน้าหนาว
สำหรับรีวิวนี้เป็นบรรยากาศการเดินทางในทริป ใครยังไม่มีแผนจะไปไอซ์แลนด์ก็ชมภาพกระตุ้นต่อมเดินทางกันไปพลางๆ ก่อน อีกส่วนคือข้อมูลเพื่อเตรียมเดินทางไม่ว่าจะเป็นที่พัก, รถเช่า, อาหารการกิน, รวมถึงงบประมาณ (ใบ้ให้ว่าแค่หลักหมื่นสำหรับ 14 วัน ) ขอยกไว้ตอนถัดๆ ไปนะครับ … ในส่วนของแผนการเดินทางผมขับรถแบบทวนเข็มเริ่มที่สนามบินเมือง Rejakvik ลงใต้แล้ววนไปตามเส้นทางถนนสายหลักจนกลับมาปิดท้ายที่ Rejakvik อีกครั้งตามภาพด้านล่างเลย
ใครอยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือติดตามเรื่องเที่ยวๆ และถ่ายภาพตามแบบฉบับของ “นายมด” ก็ไปโม้กันต่อได้ที่เพจ “นายมด” (https://www.facebook.com/9MotPhotography/) ครับ รับรองว่าท่านจะโดนป้ายยา หาเรื่องไปเที่ยวไม่เว้นแต่ละวัน อิอิ
ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวกัน ใครที่ยังสับสนว่าไอซ์แลนด์กับไอร์แลนด์คือประเทศเดียวกัน หรือนึกไม่ออกเลยว่ามีอะไรน่าสนใจในไอซ์แลนด์ อาจลองไปอ่านรีวิว Iceland ฉบับย่อที่ผมเขียนไว้ก่อนหน้านี้ก็ได้ครับเอาล่ะได้เวลาออกเดินทางกันซะที ไป Iceland ครั้งนี้ผมต้องนั่งเครื่องบิน 3 ต่อกันเลยทีเดียว เพราะตัวเองอยู่ภูเก็ตเลยต้องมากรุงเทพฯ ก่อน แล้วนั่งการบินไทยไป Oslo ประเทศ Norway ก่อนจะต่อ Iceland air ไปยัง Rejakvik เมืองหลวงของประเทศ Iceland … Flight ของ TGมาถึงสนามบินที่ Oslo แต่เช้าเลยนั่งรถไฟเข้าไปเดินเล่นในเมือง Oslo กัน (ค่าตั๋วขาละ 93 Nok ใช้เวลาราว 30 นาที
สนามบิน Oslo ตกแต่งด้วยโครงไม้สนสวยงามทีเดียว
แนะนำให้นั่งทางฝั่งขวา จะมีโอกาสเห็นวิวของทางตะวันออกและด้านใต้ของ Iceland
หลังจากรับรถก็มุ่งหน้าสู่ที่พักคืนแรกที่เมือง Selfoss ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 2 ชั่วโมงเศษ … วิวสองข้างทางเป็นลานกว้างสลับเนินเขาที่ส่วนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ สภาพอากาศวันนี้ลมแรงมาก อากาศหนาวพอสมควรเลย แม้ฟ้าจะปิดแต่วิวริมทางก็ทำให้ตื่นเต้นไม่น้อยเลยที่พักคืนแรกเป็นอพาทร์เม้นต์ 3 ห้องนอน เจ้าของบ้านใจดีเคยมาเที่ยวเมืองไทยด้วย ตั้งอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ระหว่างเส้นทางลงไปด้านใต้ของไอซ์แลนด์ …หลังอาหารมื้อค่ำที่ทำกินกันเอง ผมเดินออกมาดูสภาพอากาศแล้วไม่มีวี่แววว่าฟ้าจะเปิดจึงกลับเข้าไปนอน
ถ่ายภาพบ้านพักคืนแรกไว้เป็นที่ระลึกก่อนออกเดินทางวันรุ่งขึ้น ชั้นล่างปล่อยให้เช่า ชั้นบนเจ้าของบ้านอาศัยอยู่ครับเช้าวันต่อมาอากาศยังไม่ดีขึ้น ทั้งลมทั้งฝนมาพร้อมกัน … เรามีแผนเดินทางไปยังเมือง Vik ซึ่งอยู่ทางใต้สุดของ Iceland โดยแวะเที่ยวน้ำตกชื่อดัง Seljalandsfoss และ Skógafoss ที่อยู่ระหว่างทาง
จากที่พักขับรถราวชั่วโมงนึงก็มาถึง Seljalandsfoss ที่มองเห็นแต่ไกล … อันที่จริงมุมถ่ายภาพจากถนนก็สวยงามอยู่ไม่น้อย แต่พอเปิดประตูก็เจอลมกับฝนถล่มจนต้องล่าถอยหนีเข้ารถเพราะทั้งหนาวทั้งเปียกจนถ่ายภาพแทบไม่ได้ … ถึงตอนนี้รู้เลยว่าทำไมประกันรถเช่าของ Iceland จึงไม่รวมความเสียหายของประตูรถที่เกิดจากลม
จากถนนใหญ่ขับรถเข้าไปนิดเดียวก็ถึงที่จอดรถของน้ำตก Seljalandsfoss แผนที่วางไว้ว่าจะบรรจงถ่ายภาพน้ำตกให้เป็นสายสวยงาม หามุมหลบคนและการเดินไปถ่ายภาพที่ Gljúfrabúi อีกน้ำตกใกล้กัน เป็นอันต้องพับไป แค่เช็ดละอองน้ำฝนก็แทบจะไม่ทันแล้ว งานนี้เลยต้องทำใจครับ ได้ภาพมาเท่านี้เอง
เราแวะทานข้าวเที่ยงกันที่ร้านอาหารใกล้น้ำตกครับ สลัดบ้าง, เบอร์เกอร์บ้างแซนวิซบ้าง คนละจาน ค่าอาหารปาเข้าไป 5 พันกว่าบาทไทย ทำเอาเราต้องลงมติว่าคงต้องทำอาหารทานกันเองเป็นหลักแล้ว ไม่งั้นงบประมาณบานตะไทแน่ๆ
แต่ละจานก็ประมาณนี้ครับ 5-6 ร้อยบาท … แพงหูฉี่เลย
ช่วงเย็นเราเดินทางมาถึงเมือง VIK โดยแวะชมวิวที่จุดชมวิวใกล้ Dyrhólaey Arch ตอนไปถึงฟ้ายังปิด พอ 5 โมงเย็นฟ้าก็เปิดให้ตามพยากรณ์อากาศ แต่ลมยังไม่ลดความแรง แถมหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ ไม่สามารถยืนนิ่งๆ ได้เลยทีเดียว ขาตั้งผมก็ถูกพัดเกือบปลิวตกหน้าผาก็ที่นี่แหละ ยังดีไม่ได้ติดกล้องอยู่ไม่งั้นน้ำตาตกแน่ๆ
ขับรถขึ้นไปเก็บแสงยามค่ำที่โบสถ์ประจำเมือง
จากนั้นเราเดินทางย้อนไปยังหาดทรายดำ Reynisdrangar วิวระหว่างทางสวยจนอดไม่ได้ที่จะเก็บภาพไว้ … บรรยากาศแบบนี้สามารถเห็นได้เฉพาะก็ช่วงปลายฤดูหนาวนี่แหละครับ ภูเขารอบตัวเหมือนคาราเมลราดไอซ์ซิ่งเลย
เสียดายที่ช่วงบ่ายผมมีนัดต้องไปเข้าชม Ice cave ซึ่งอยู่ห่างไปกว่า 2 ชั่วโมง จึงต้องจำใจโบกมือลาเมือง Vik ไปทั้งๆ ที่อยากอยู่ให้นานกว่านี้ระหว่างทางจาก Vik ไปยังสำนักงานของบริษัททัวร์ Ice cave ใกล้เมือง hof ทางตอนใต้ของ Iceland เป็นเส้นทางเลียบทะเลโดยอีกด้านเป็นแนวหน้าผาและภูเขาสูง วิวริมทางนั้นเปลี่ยนไปทุกครึ่งชั่วโมงก็ว่าได้ ตั้งแต่กลุ่มก้อนหินตะปุ่มตะป่ำปกคลุมด้วยมอส, ทุ่งหญ้าสีเหลืองทอง, หน้าผากับสายน้ำตก, ภูเขาสูงกับทรายสีดำสนิท แต่พีคสุดเห็นจะเป็นการขับรถเลียบธารน้ำแข็งนี่แหละครับ อยากจะจอดรถเดินไปดูใกล้ๆ ใจจะขาดแต่เวลามันไม่อำนวย
ให้ชมภาพที่ถ่ายผ่านกระจกรถกันไปยาวๆ ครับ
ค่าเข้าชมถ้ำน้ำแข็งนั้นถือว่าแพงมากราว 6 พันบาทต่อคน … จากออฟฟิซของบริษัท เราต้องนั่งรถ 4WD คันเบ้อเริ่มไปยังตัวถ้ำที่อยู่ใต้ธารน้ำแข็งลึกเข้าไปจากถนนใหญ่พอสมควร จะว่าไปบรรยากาศตอนนั่งรถก็adventure ดีครับ ต้องผ่านเส้นทางทุระกันดารเขย่าลำไส้น่าดู
พอถึงปากทางเข้าถ้ำน้ำแข็ง ไกด์ก็แจกอุปกรณ์รัดรองเท้ากันลื่น พร้อมหมวกนิรภัย … และก็เป็นไปตามที่ไกด์พยายามบอกให้ทราบล่วงหน้า ในปัจจุบันมีหลายทัวร์นำเที่ยวถ้ำน้ำแข็ง ดังนั้นนักท่องเที่ยวจึงเยอะมาก แต่ผมก็ยังหวังว่าจะมีมุมสวยๆ สำหรับถ่ายภาพด้านใน
ที่จริงคืนนี้มีพยากรณ์ว่าแสงเหนือจะมีกำลังแรง KP5 แต่โชคไม่ดี จุดที่เราอยู่เมฆหนาเลยหมดโอกาสที่จะเห็นแสงเหนือ ผมตื่นออกมานั่งรอดูท้องฟ้าตั้งแต่ตี 2 ถึงตี 3 แต่ฟ้าปิดมาก จึงพลาดโอกาสเห็นแสงเหนือในคืนนั้น
ที่นี่ถือเป็นที่พักเพียงไม่กี่แห่งใกล้ Glacier Lagoon ราคาไม่สูงนัก แต่ห้องพักไม่มีอุปกรณ์ครัวเหมือนที่อื่นๆ ที่ผมจอง
วันนี้ฟ้ายังคงหมองหม่น มีฝนตกบ้างแต่ไม่มากนัก ทำให้ยังพอเก็บภาพก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ในทะเลสาบได้ เสียดายที่สีสันอาจจะไม่เปร่งประกายนักเพราะไม่มีแดดเลย
จาก Glacier Lagoon เราเดินทางไปยังเมือง hofn ที่เป็นอีกหนึ่งเมืองคึกคักของไอซ์แลนด์ เราเติมน้ำมันเต็มถังแล้วหาร้านสำหรับมื้อเที่ยงวันนี้ เพราะอ่านมาว่าพลาดไม่ได้ที่จะต้องชิมเนื้อ lobster สดของที่นี่ .. หลังจากวนรถจดๆ จ้องๆ อยู่หลายร้านก็มาจอดที่ Z Bristo เพราะดูรีวิวกับราคาแล้วน่าจะคุ้มสุด
เราลองสั่งเมนู Lobster มาสองจาน และเมนูอื่นๆ อีก 3 จานรวมเป็น 5 สำหรับพวกเรา 7 คน … ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่ารสชาติอาหารผ่านทุกจาน portion ใหญ่เพียงพอสำหรับเราทานจนอิ่ม ในส่วนของ Lobster ประจำถิ่นของที่นี่นั้นจะไม่ใช่กุ้งมังกรตัวใหญ่เหมือนบ้านเรานะครับ และเนื้อจะแกะมาเป็นชิ้นๆ แล้ว จะว่าไปผมก็ไม่ได้ถึงกับประทับใจส่วนของ เนื้อ Lobster เท่าไหร่ รู้สึกว่ากุ้งแชบ๊วยบ้านเราหวานกว่า
เมือง Hofn เป็นเมืองท่าที่สามารถมองเห็น Glacier ได้จากตัวเมือง ดูยิ่งใหญ่มาก
อันที่จริงใกล้ๆ Hofn มีจุดท่องเที่ยวที่ชื่อ Vesturhorn … ซึ่งผมขับรถเขาไปแล้วแต่อากาศไม่ดีเอามากๆ จึงเปลี่ยนใจเดินทางต่อไปยังที่พักของเราคืนนี้
ทางเข้า Vesturhorn ถนนยังเป็นลูกรังอยู่ เสียดายที่วันนั้นฟ้าปิดมาก ผมจึงไม่ได้ลงไปถ่ายภาพ
สำหรับตอนแรกขอจบไว้ที่ Hofn ก่อนนะครับ หลังจากนี้จะเป็นเส้นทางที่เริ่มเข้าสู่ฟยอร์ดทางฝั่งตะวันออก … คอยชมได้ในรีวิวตอนต่อไปครับ
ชอบท่องเที่ยวถ่ายภาพก็แวะไปทักทายกันได้ที่ เพจนายมด (https://www.facebook.com/9MotPhotography) ได้นะครับ
นายมด
วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 13.49 น.










