.
.
ผมมาเที่ยวที่สมุย นับ ๆ ดูก็เกือบจะถึง 10 ครั้งแล้ว และครั้งล่าสุดคือเมื่อเดือน มี.ค. 2554 มาแต่ละครั้งก็เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง สมุยเปลี่ยนไปมาก ความเจริญเริ่มเข้ามาสู่เกาะเยอะมากๆ
จริง ๆ ทริปนี้ผมไม่มีแผนจะมาเที่ยวที่สมุยเลย แต่เนื่องจากผมได้ร่วมสนุกทาง FB กับเพจ The Sea Koh Samui แล้วโชคดีได้รับ Voucher ที่พักจาก THE SEA เกาะสมุย เลยทำให้โปรแกรมสมุยของผมผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อสำรองห้องพักได้เรียบร้อยแล้ว ผมเลยเริ่มวางแผนการเดินทาง ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ผมเลือกเดินทางโดยเครื่องบิน เนื่องจากไม่อยากหลังขดหลังแข็งนั่งรถข้ามวันข้ามคืน เดี๋ยวนี้มีตัวเลือกในการเดินทางมาสมุยหลายเส้นทาง ไม่ว่าจะบินตรงลงที่เกาะสมุยเลย แต่เนื่องจากเป็นการผูกขาดของสายการบิน ทำให้ราคาบัตรโดยสารสูงเอามาก ๆ หรือถ้าใครเบี้ยน้อยหอยน้อยแบบผม ก็ยังมีอีก 2 ตัวเลือกคือบินลงที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี หรือ นครศรีธรรมราช แล้วนั่งรถต่อมายังท่าเรือ แล้วนั่งเรือต่อมายังเกาะสมุย ก็จะได้ราคาถูกกว่าแบบบินตรงลงเกาะ ซี่งมีให้บริการ 2 สายการบิน คือ แอร์เอเซียและนกแอร์ครับ จากการเช็คราคาของสองสายการบินในช่วงที่ผมจองที่พักไว้ ปรากฎว่าแอร์เอเซียถูกที่สุด ราคาบินไป-กลับ พร้อมค่าเรือไป-กลับ อยู่ที่ประมาณสามพันกว่าบาทครับ ผมจองล่วงหน้าร่วม 3-4 เดือน
แล้ววันเดินทางก็มาถึง ผมจองไฟล์ทเช้าสุด คือไฟล์ท 06.50 น. (ดอนเมือง-นครศรีธรรมราช) ช่วงที่เครื่องกำลังจะขึ้น พระอาทิตย์ก็โผล่มาทักทาย ผมซึ่งได้ที่นั่งอยู่ริมทางเดินเริ่มกระสับกระส่าย อยากจะถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นเสียเหลือเกิน ก็อดควักกล้องออกจากเป้ไม่ได้ แต่ก็ถ่ายมาได้เท่าที่เห็นครับ
จากการที่ผมต้องตื่นตั้งแต่ 02.30 น. เพื่อเตรียมตัวเดินทางจากลพบุรีมายังสนามบินดอนเมือง ทำให้ระหว่างที่อยู่บนเครื่องกี่งหลับกึ่งตื่นมาโดยตลอด มาสะดุ้งตื่นอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงประกาศบนเครื่องบิน "เรากำลังจะทำการลดระดับการบินเพื่อลงจอดที่สนามบินนครศรีธรรมราชแล้วนะค๊ะ กรุณาเปิดม่านบังแดด ปรับพนักพิง...." เมื่อล้อเครื่องบินแตะรันเวย์ ก็ได้ยินเสียงประกาศอีกครั้ง "เรามีความยินดีที่จะแจ้งให้ผู้โดยสารทราบว่า เรามาถึงที่หมายก่อนเวลา 15 นาทีค๊ะ .... ขอขอบคุณที่ใช้บริการจากเรา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะได้...." ผมมองดูเวลา ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมงครับ
หลังจากเครื่องจอดสนิทแล้ว ก็เดินออกมาที่อาคารผู้โดยสาร ตรงทางออกนี่เองจะมีเจ้าหน้าที่ของราชาเฟอร์รี่มายืนประกาศเรียกผู้โดยสารที่จะเดินทางต่อไปยังเกาะสมุยและเกาะพะงัน ผมก็เข้าไปยืนยันตัวตน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะแปะสติ๊กเกอร์ และให้ผมไปรอรถด้านนอกอาคารผู้โดยสารครับ
ผมต้องนั่งรถต่อเพื่อไปยังท่าเรือดอนสัก ซึ่งอยู่ระหว่าง จ.นครศรีธรรมราช และ จ.สุราษฎร์ธานี ภายในรถเห็นจะมีคนไทยเพียง 4 คน (รวมผม) นอกนั้นเป็นชาวต่างชาติทั้งหมด ก่อนรถจะออก เจ้าหน้าที่ก็มาชี้แจงรายละเอียดหลังเรือเฟอรี่เทียบท่าที่สมุยให้กับผู้โดยสารรับทราบ สรุปใจความได้ว่า หลังจากเรือถึงท่าเรือลิปะน้อยบนฝั่งสมุยแล้ว ถ้าหากต้องการต่อรถไปยังรีสอร์ท สามารถซื้อตั๋วรถตู้ได้ที่เขาเลย โดยคิดค่าบริการคนละ 200 บาท/รอบ ใกล้ ไกล แค่ไหนราคาเดียวกันหมด ผมเองวางแผนการเดินทางมาบ้าง โดยตั้งใจว่าจะมาเช่ามอเตอร์ไซด์ที่หน้าทอน แต่การเดินทางจากท่าเรือไปยังหน้าทอนนั้น ผมโทรสอบถามเจ้าถิ่นมาได้ความว่า จากท่าเรือสามารถเดินมาที่ถนนใหญ่เพื่อมาต่อรถสองแถวได้ ผมเลยไม่สนใจในคำโฆษณาของเจ้าหน้าที่ครับ
08.30 น. ล้อหมุน ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึงท่าเรือดอนสักครับ
เมื่อมาถึงท่าเรือ ต้องไป Check in ที่ด้านในอาคารก่อนเพื่อรับตั๋วโดยสารครับ จากนั้นก็รอจนกว่าเรือจะออก ภายในอาคารจะมีร้านอาหารด้วย หากใครหิวสามารถทานอาหารช่วงระหว่างรอเรือออกได้ครับ แต่ผมเตรียมขนมปังไว้แล้ว ช่วงระหว่างรอเรือออกเลยเดินเก็บบรรยากาศรอบ ๆ ท่าเรือมาฝากครับ
สำหรับใครที่ไม่ได้ซื้อเป็นแพคเกจแบบผมมา ถ้าหากจะนั่งเรือไปเกาะสมุย จะเสียค่าเรือคนละ 150 บาท ถ้าจะเอารถยนต์ข้ามไปด้วย เสียค่าบริการคันละ 470 บาท โดยราคานี้รวมคนขับ 1 คน เรือจะออกทุก 1 ชั่วโมง รอบแรกคือ 06.30 น. ส่วนรอบสุดท้าย 20.30 น. ครับ
ตามตารางการเดินเรือ เรือผมจะออก 11.00 น.ครับ หลังถ่ายภาพเก็บรายละเอียดด้านล่างแล้ว ก็เตรียมเดินทางกันต่อครับ
ด้านบนเรือครับ จะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนนี้สำหรับคนที่ต้องการรับลมทะเลครับ
ติดกันก็จะเป็นส่วน VIP ซึ่งส่วนนี้จะติดแอร์ครับ ผู้โดยสารทุกคนที่ซื้อตั๋วขึ้นมา สามารถมาใช้บริการที่โซนนี้ได้ทุกคนนะครับ ไม่ต้องเสียค่า VIP ใด ๆ ครับ
โซน VIP นอกจากจะมีเก้าอี้เป็นแบบแถวแล้ว ยังมีเป็นแบบโต๊ะโซฟาให้อีกด้วย ผมเลยยึดตรงนี้เป็นที่นั่งผมครับ ด้านหลังที่ผมนั่งเป็นห้องสำหรับสูบบุหรี่ครับ
ที่ด้านท้ายเรือ ยังแบ่งพื้นที่เป็นร้านขายของเล็ก ๆ ที่มีของทานเล่น ทานจริง อาหารและเครื่องดื่มไว้บริการด้วย
ชั้นบนสุดของเรือจะมีอุปกรณ์ยามเกิดกรณีฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นสายดับเพลิง เสื้อชูชีพ ห่วงยาง เรือยาง แต่ผมดูจากลักษณะของเรือยางแล้ว ไม่มั่นใจเลยว่าหากเกิดกรณีฉุกเฉินขึ้นมาจริง ๆ มันจะสามารถใช้การได้หรือไม่ เพราะดูสภาพชำรุดมาก ๆ ครับ
นี่คือสติ๊กเกอร์ที่เจ้าหน้าที่ที่สนามบินแปะที่เสื้อช่วงผมไปแสดงตัวและสีชมพูคือตั๋วโดยสารเรือครับ
เรือออกช้ากว่ากำหนดไป 20 นาที ใช้เวลานั่งเรือประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งก็มาถึงท่าเรือลิปะน้อยครับ
เมื่อเรือเทียบท่า ผมรีบเดินมาหารถสองแถว เผื่อโชคดีจะมีรถสองแถวมาส่งผู้โดยสาร แต่ท้ายสุดก็ไม่เห็นวี่แวว รวมถึงมอเตอร์ไซด์รับจ้างก็ไม่มีเงาเลยครับ เดินออกมาผ่านวินรถตู้ คนขับก็ตะโกนถามว่าจะไปไหน ผมก็เลยบอกว่าจะไปหน้าทอน เขาบอกว่าแถวนี้ไม่มีรถสองแถวผ่าน ถ้าจะเดินไปขึ้นรถสองแถวก็ไกลมาก ให้ขึ้นรถตู้ไปจะดีกว่า คิด 200 บาทเอง ผมเห็นราคาแล้วไม่กล้าขึ้นครับ เลยลองเดินไปเรื่อย ๆ ดีกว่าเผื่อโชคดีมีรถสองแถวผ่านมาจะได้ประหยัดค่ารถ
เดินออกจากท่าเรือได้นิดหน่อย ผมเลยลองถามชาวบ้านแถวนั้นดู ก็ได้รู้ว่าถ้าจะเดินไปที่รถสองแถวนั้นไกลจริง ๆ คงเดินไม่ไหวแน่ ๆ ผมเลยต้องโทรเรียกให้เจ้าถิ่นออกมารับเพื่อไปยังหน้าทอนครับ จริง ๆ ก็ไม่อยากไปรบกวนเลย แต่พี่เขายื่นข้อเสนอมาให้ว่าให้ผมรออยู่ตรงนั้น แล้วเดี๋ยวพี่เขาจะมารับผมไปส่งที่หน้าทอนเอง จริง ๆ แล้วถ้าหากเพื่อนคนไหนมาถึงที่ท่าเรือแล้ว ลองดูว่าถ้ามีรถบัส สุราษฎร์ธานี-เกาะสมุย ขึ้นมาบนเรือด้วย สามารถติดต่อขอติดรถมาลงที่หน้าทอนได้นะครับ แต่เรือรอบที่ผมไปไม่มีครับ
เมื่อมาถึงหน้าทอน ผมก็จัดแจงเช่ารถมอเตอร์ไซด์เพื่อใช้เป็นพาหนะคู่ใจในการเดินทางไปไหนต่อไหนรอบเกาะสมุยครับ เพราะคำนวณดูแล้ว เช่ามอเตอร์ไซด์ขี่เองจะประหยัดเงินกว่านั่งรถสองแถวอย่างแน่นอน มอเตอร์ไซด์เช่าที่นี่ ราคาอยู่ที่ 150 บาท/วัน ครับ เติมน้ำมันแค่ 100 บาทก็เที่ยวได้รอบเกาะอย่างสบาย ๆ แต่ถ้าเหมารถสองแถวนี่ซิ จากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง ราคาอยู่ที่ประมาณ 50-80 บาทแล้ว แพงไม่ใช่เล่นเลยครับ
เมื่อได้มอเตอร์ไซด์เรียบร้อยแล้ว ผมแวะไปขอแผนที่ของเกาะสมุยที่ท่าเรือแถวหน้าทอน จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่ที่พัก "THE SEA"
THE SEA ตั้งอยู่ที่บางปอ ซึ่งอยู่ระหว่างหน้าทอนและแม่น้ำ ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีจากหน้าทอนครับ ผมว่าทำเลที่ตั้งใช้ได้เลย ไม่พลุกพล่าน จะเดินทางไปยังแหล่งชุมชนไม่ว่าจะเป็นหน้าทอน หรือแม่น้ำก็สะดวก ใกล้ๆ โรงแรมก็ยังมีมินิมาร์ทอีกด้วยครับ
นอกจาก THE SEA จะมีความหมายถึงทะเลแล้ว จริง ๆ THE SEA ยังมีความหมายลึกกว่านั้นอีก S คือ Smooth , E คือ Excellence และ A คือ Attentive เดิมทีเดียว THE SEA สร้างไว้เพื่อให้เช่าพัก แต่ปัจจุบันผันตัวเองมาเป็นโรงแรม จึงทำให้ห้องพักแต่ละห้องเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย เพียงแค่หิ้วเสื้อผ้าสัก 2-3 ชุดก็สามารถพักที่นี่ได้เป็นแรมเดือนครับ
ด้านหน้าและด้านข้างของโรงแรมมีพื้นที่สำหรับจอดรถค่อนข้างน้อย จอดได้รวมกันประมาณ 10 คัน แต่เนื่องจากรถผมเป็นมอเตอร์ไซด์จึงไม่เป็นปัญหาเรื่องที่จอด
เมื่อเข้ามาด้านในโรงแรม จะพบ Lobby สำหรับการ Check in ซึ่งที่นี่จะจัดพื้นที่ไว้ให้แขกได้นั่งพักระหว่างรอการ Check in ด้วยครับ การตกแต่งภายในเน้นสีขาวและสีครีม ทำให้ดูสะอาดและสบายตา
สำหรับ Voucher ที่ผมได้รับคือ 1 Bedroom Suite Sea View พร้อมอาหารเช้า และยังมี Dinner Set อาหารไทยริมชายหาดให้อีกด้วยครับ หลังจาก Check in เรียบร้อยแล้ว พนักงานก็พาไปส่งยังห้องพักครับ
กว่าจะถึงเวลาอาหารค่ำ ผมมีเวลาเหลือค่อนข้างเยอะ เลยขออนุญาตให้พนักงานพาชมห้องพักแต่ละประเภทครับ เลยเอาบรรยากาศห้องพักแต่ละประเภทมาให้เพื่อน ๆ ได้ชมกันครับ
เริ่มที่ห้องแรก เป็นห้องแบบ 2 Bedroom Suite Sea View ครับ
เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามา ผมถึงกับตาโตเลยครับ จุดแรกที่เตะตาผมคือความโอ่อ่าของพื้นที่เอนกประสงค์ ซึ่งใช้สำหรับเป็นพื้นที่นั่งดูโทรทัศน์ พร้อมยังมีพื้นที่สำหรับทานอาหาร ที่ชอบใจผมที่สุดเห็นจะเป็นอ่างอาบน้ำที่อยู่เบื้องหน้าผมนี่แหล่ะครับ
มุมพักผ่อนตรงนี้มีโซฟาขนาดใหญ่ให้แขกได้มานั่งเอนกาย พร้อมนั่งชมทีวี ซึ่งทางโรงแรมได้จัดเตรียมจอทีวี LCD ขนาดใหญ่ พร้อมเครื่องเล่น DVD ไว้คอยบริการด้วย
ถัดจากมุมนั่งเล่นออกมานิดเดียว เมื่อเปิดประตูบานเลื่อนก็จะพบกับมุมนั่งเล่นริมระเบียงมุมนี้ ที่สามารถชมวิวทะเลได้อย่างชัดเจน ผมชอบมานั่งเล่นที่มุมนี้ เพราะได้สูดอากาศริมทะเลได้อย่างเต็มปอดแถมนั่งเล่น Wifi อย่างเพลิดเพลินครับ ลืมบอกไปว่า ที่นี่ Free wifi ซึ่งสามารถใช้ได้ทั่วโรงแรมเลยครับ
วิวที่มองออกไปจากมุมนั่งพักผ่อนตรงระเบียงครับ ผมว่าที่นี่ร่มรื่นดีครับ สังเกตได้จากสีเขียวของต้นไม้ใหญ่น้อยที่ขึ้นอยู่ทั่วบริเวณโรงแรม ที่นี่มีทั้งไม้ต้นและไม้ดอก เช่นต้นหมาก ต้นลีลาวดีครับ
จากระเบียงหันหลังกลับมา จะพบมุมนี้ครับ ด้านหลังประตูบานเลื่อนไม้นั่นคือห้องนอนหลักครับ
ห้องนอนจะตั้งอยู่กลางห้องเลย หากมาพักเป็นหมู่คณะ เวลาจะนอนหากต้องการความเป็นส่วนตัวก็สามารถเลื่อนประตูเลื่อนนี้ปิดเป็นห้องนอนได้ครับ แต่ถ้าต้องการดื่มด่ำกับธรรมชาติก็สามารถเปิดประตูไว้ได้เหมือนกัน
ประตูเลื่อนสามารถเปิดได้ 2 ด้านครับ
มองจากในห้องนอน ออกไปด้านนอก เห็นวิวทะเลอย่างชัดเจน
ที่หัวเตียงมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายอย่างครับ ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟ โทรศัพท์ นาฬิกาปลุก วิทยุ และยังมีตู้เสื้อผ้าด้วย
มีหมอนใบใหญ่หนา นุ่ม ไว้ให้ถึง 4 ใบต่อคนครับ
มีป้าย THE SEA SAVE THE MOTHER EARTH เสียบไว้บนเซรามิครูปหอยด้วย แต่ละห้องเซรามิคจะไม่ซ้ำกันครับ
ห้องน้ำก็อยู่ข้าง ๆ กันนั่นเอง
ภายในแบ่งส่วนเปียกส่วนแห้งอย่างชัดเจนด้วยกระจกบานใหญ่ ภายในห้องมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ ที่ชั่งน้ำหนัก ไดร์เป่าผม น้ำยาล้างมือ น้ำมันหอมระเหย น้ำดื่ม ผ้าเช็ดตัวสำหรับใช้ที่สระว่ายน้ำ รองเท้าแตะ เครื่องอาบน้ำ VARA ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ Spa ของที่นี่ สายฉีดชำระ และยังมีฝักบัวให้เลือกถึง 2 แบบครับ สำหรับในห้องน้ำสิ่งที่โดนใจผมมากที่สุดคือกระจกเงาบานใหญ่ครับ ส่องหน้าตัวเองได้สะใจดีครับ
ไปดูห้องอื่นกันบ้างครับ เดินถัดออกมาจากห้องนอนหลักจะเป็นส่วนของห้องครัวครับ
ในส่วนพื้นที่เตรียมอาหาร ทางโรงแรมเตรียมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกไว้ให้หลายอย่างมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นชั้นวางจาน ชาม แก้วน้ำ กาน้ำร้อน ที่ชงกาแฟ เครื่องปิ้งขนมปัง อ่างล้างจาน เตาไฟฟ้า ตู้อบ ตู้เย็นจัมโบ้
เมื่อเลื่อนบานประตูไม้ออกมา ก็จะพบกับเครื่องซักผ้าและตู้อบผ้าอีกด้วยครับ สำหรับผงซักฟอกสามารถติดต่อขอที่ Lobby ได้ครับ
เดินถัดจากส่วนที่เป็นครัว ก็จะพบอีก 1 ห้องนอนครับ
บริเวณหัวเตียงก็จะมีโทรศัพท์ ไฟส่องสว่าง โต๊ะเขียนหนังสือไว้ให้ ที่ปลายเตียงยังมีที่นั่งสำหรับนั่งชมโทรทัศน์ให้ด้วย ห้องนี้เป็นห้องทึบ ไม่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้ครับ
ห้องนี้เป็นม้าน้ำ
ภายในห้องนอนนี้ก็มีห้องน้ำไว้ให้ด้วยเหมือนกันครับ
ภายในห้องน้ำแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนเปียก ส่วนแห้ง และอ่างอาบน้ำ ขนาดของห้องน้ำผมว่าใหญ่ใกล้เคียงกับห้องนอนเลยครับ
สำหรับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องน้ำเหมือนกันทุกห้องครับ
ผมชอบดีไซน์ของถุงผ้าที่ใส่น้ำดื่มจัง เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ดีครับ
อ่างอาบน้ำของทุกห้องเป็น Jacuzzi ทั้งหมดครับ
สาเหตุที่ห้องน้ำในห้องนอนหลักไม่มีอ่าง Jacuzzi นั้น เพราะทางโรงแรมได้ยกอ่าง Jacuzzi มาตั้งไว้ในพื้นที่เอนกประสงค์ด้านในสุดครับ
จึงทำให้เวลาแช่น้ำไปสามารถชมวิวทะเลไปด้วย ผมขอเตือนผู้ที่มาแช่น้ำในส่วนนี้นิดว่า อย่าแช่น้ำเพลินนะครับเดี๋ยวตัวจะเปื่อยเสียก่อน ด้านข้างของอ่างจะมีผลิตภัณฑ์จาก VARA สำหรับขัดผิวด้วย แต่ในส่วนนี้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มนะครับ
มาดูห้องอีกประเภทกันต่อครับ ห้องนี้เป็นแบบPresidential 3 Bedroom Pool Villa Garden ครับ
สามารถเดินเข้าออกได้ 2 ทางครับ
เมื่อเปิดประตูเข้าไป จะพบทางเดินยาวไปยังห้องพัก ระหว่างทางเดินจะมีทิวต้นไผ่ บ่งบอกความเป็น Garden ตามประเภทของห้องพักจริง ๆ ครับ
เมื่อเดินไปจนสุดทางเดิน จะพบห้องแรก ด้านขวามือเป็นพื้นที่สำหรับจัดเตรียมอาหาร มีทั้งเตาไมโครเวฟ ตู้เย็น เครื่องชงกาแฟ กาน้ำร้อนจัดเตรียมไว้ให้อย่างครบครัน
ส่วนด้านซ้ายมือมีทั้งตู้อบ เตาไฟฟ้า เครื่องดูดควันและอ่างล้างจานให้เสร็จสรรพเลยครับ
ขยับมาอีกหน่อยจะเป็นโต๊ะทานข้าวและมุมพักผ่อนสำหรับนั่งพักผ่อน ชมโทรทัศน์ครับ ด้านข้างจะมีประตูให้เดินออกไปยังพื้นที่พักผ่อนด้านนอกและไปยังอีกห้องหนึ่งครับ
มองย้อนกลับไปยังมุมเตรียมอาหาร พื้นที่โอ่โถงจริง ๆ ครับ โซฟาตัวใหญ่นั่งสบายมาก ๆ
ที่ด้านหลังของมุมเตรียมอาหาร จะเป็นห้องน้ำและห้องนอนครับ
ห้องนอนนี้เป็นห้องนอนเล็ก ๆ ครับ ไม่มีห้องน้ำในตัว แต่ห้องน้ำจะอยู่ด้านข้าง ๆ ของบริเวณพื้นที่เตรียมอาหารครับ
ห้องน้ำก็จะเป็นห้องขนาดเล็กครับ แยกส่วนเปียกส่วนแห้งด้วยตู้กระจก
มาดูอีกห้องนอนกันบ้างครับ ห้องนอนนี้อยู่บริเวณทางเดินที่จะเข้ามายังห้องนั่งเล่นครับ
พื้นที่ในห้องนอนนี้ใหญ่กว่าห้องนอนแรกนิดหน่อยครับ แต่ทางโรงแรมใช้กระจกเงาเข้ามาตกแต่งห้องเลยทำให้ห้องดูกว้างขึ้น ภายในห้องมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายอย่าง เช่น ตู้เสื้อผ้า โทรศัพท์ นาฬิกาปลุกครับ
ด้านข้างเตียงนอนจะเป็นห้องน้ำ ที่ผนังกั้นเป็นกระจกใส พื้นที่ในห้องน้ำใหญ่พอ ๆ กับบริเวณเตียงนอนเลยครับ
แบ่งพื้นที่เป็น 3 ส่วนคือส่วนเปียก ส่วนแห้ง และอ่าง Jacuzzi อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องน้ำก็เหมือนกับห้องน้ำห้องอื่น ๆ ครับ
ถ่ายออกมาจากห้องน้ำครับ เวลาปฏิบัติภารกิจส่วนตัว ถ้าไม่ต้องการให้คนอื่นเห็น สามารถรูดม่านปิดผนังกระจกได้นะครับ
มาดูอีกส่วนหนึ่งบ้างดีกว่าครับ เป็นพื้นที่นั่งพักผ่อนวิว Garden ครับ
ตรงบริเวณห้องนั่งเล่น จะมีประตูที่เชื่อมต่อพื้นที่ส่วนนอกที่เป็นสระน้ำและอาคารห้องพักอีกหลังครับ
มีสระน้ำและมีเตียงให้นั่งพักผ่อนกินลมชมวิวด้านนอกห้องพักครับ
อาคารอีกหลังที่เห็นนั้นคือห้องนอนหลักครับ
เดินขึ้นบันไดขึ้นมาก็จะพบระเบียงและเก้าอี้นั่งเล่นครับ
เปิดประตูเข้ามา จะพบห้องนอนเลยครับ ห้องค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว มีโต๊ะเขียนหนังสือให้ด้วย
บรรยากาศห้อง Garden ทั้งสงบ ทั้งร่มรื่นเลยครับ
ห้องน้ำก็จะอยู่ด้านข้างเลยครับ
ภายในห้องน้ำ ด้านซ้ายจะเป็นบริเวณอ่างล้างหน้าครับ
ถ้าหากหันหน้าเข้าอ่างล้างหน้า ด้านหลังของอ่างล้างหน้าด้านขวามือจะเป็นโถสุขภัณฑ์ ส่วนด้านซ้ายมือจะเป็นห้องอาบน้ำครับ
ด้านข้างของอ่างล้างหน้าจะเป็นตู้เสื้อผ้าและอ่าง Jacuzzi ครับ
ตรงอ่าง Jacuzzi ก็สามารถเปิดหน้าต่าง เพื่อชมวิวระหว่างแช่น้ำได้ครับ
มาต่อกันที่ห้องพักแบบ Presidential 3 Bedroom Pool Villa Sea View กันบ้างครับ ภายใน Villa นี้จะมีอาคาร 3 หลัง สองหลังจะเป็นห้องนอน อีกหนึ่งหลังจะเป็นห้องนั่งเล่นและครัว แถมมีสระว่ายน้ำส่วนตัวด้วยครับ
มีทางเข้าสองทางเหมือนกันครับ
มาดูอาคารหลังแรกซึ่งเป็นห้องแบบชั้นครึ่งครับ เข้ามาจะเป็นพื้นที่สำหรับนั่งเล่น ดูโทรทัศน์ และมีโต๊ะสำหรับทานอาหารด้วย
นอกจากนี้ยังมีไมโครเวฟ ตู้เย็น ไว้ให้ด้วยครับ
เดินขึ้นบันไดมา จะมองเห็นพื้นที่สำหรับนั่งเล่นที่สามารถชมพื้นที่สวนด้านนอกได้อีกด้วย
เปิดประตูห้องเข้าไป จะพบกับพื้นที่ส่วนที่เป็นเตียงนอนอยู่ด้านซ้ายครับ ที่หัวเตียงทำเป็นโต๊ะสำหรับนั่งทำงานได้ครับ
ด้านขวามือ จะเป็นห้องน้ำครับ ภายในห้องน้ำสามารถชมสวนด้านนอกได้ด้วย
มาดูในห้องน้ำกันบ้างครับ เข้ามาจะพบอ่างล้างมือ ส่วนฝั่งตรงข้ามของอ่างน้ำจะเปิดโล่ง ไม่มีผนังกั้นครับ แต่จะเป็นกำแพงของห้องพักอีกหลัง แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องจะมีคนแอบดูนะครับ เพราะทางโรงแรมได้ออกแบบไว้อย่างดี คนด้านนอกไม่สามารถมองเห็นได้ครับ
ถัดมาจากอ่างล้างหน้าจะเป็นโถสุขภัณฑ์ครับ
ฝั่งตรงข้ามโถสุขภัณฑ์จะเป็นห้องอาบน้ำ
บริเวณนี้คือฝั่งตรงข้ามของอ่างล้างหน้า ที่ผมเล่าว่าไม่มีผนัง จุดนี้จะเป็นอ่างน้ำท่ามกลางบรรยากาศสวนครับ
จากนั้นไปดูห้องอื่นกันบ้างครับ เมื่อเดินออกมาจากอาคารหลังแรกแล้ว จะพบพื้นที่สวน ซึ่งทางโรงแรมได้จัดเก้าอี้ไว้ให้แขกได้มานั่งพักผ่อนในบรรยากาศสวนหย่อมด้วยครับ
อาคารหลังที่สอง จะทำเป็นห้องนั่งพักผ่อน ดูโทรทัศน์ครับ
มองทะลุเข้าไป ด้านหลังจะเป็นครัวและโต๊ะทานอาหาร
มีอุปกรณ์ประกอบอาหารเตรียมไว้ให้อย่างครบครัน เหมือนพื้นที่ครัวของห้องพักอื่น ๆ ครับ
ไปดูอาคารหลังสุดท้ายกันบ้าง อาคารหลังนี้ทำเป็นห้องนอนครับ
อาคารหลังนี้เป็น 2 ชั้น ชั้นละ 1 ห้องนอนและ 1 ห้องน้ำ ชั้นล่างติดสระว่ายน้ำส่วนตัวครับ
ในส่วนของห้องน้ำชั้นล่าง
เพียงเปิดประตูที่อยู่ด้านข้างของเตียง ก็สามารถมานั่งเล่นริมสระว่ายน้ำส่วนตัวได้เลยครับ
มาดูห้องนอนบนชั้นสองกันบ้างครับ เปิดประตูมาก็จะพบพื้นที่สำหรับทำอาหารเล็ก ๆ มีไมโครเวฟ ตู้เย็นไว้ให้ด้วย
เดินเข้ามาหน่อยจะเป็นพื้นที่ในส่วนของเตียงนอน และห้องนั่งเล่นครับ
เตียงนอนขนาดใหญ่
ด้านข้างของเตียงนอนเป็นพื้นที่สำหรับนั่งพักผ่อน ชมโทรทัศน์ครับ
ในส่วนของห้องน้ำ เปิดประตูเข้ามาก็จะมาเจออ่าง Jacuzzi เลยครับ และห้องอาบน้ำ โถสุขภัณฑ์และอ่างล้างหน้าจะอยู่ด้านในสุด
คราวนี้มาดูการบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ทางโรงแรมได้เตรียมไว้ให้กับแขกที่มาพักกันบ้างครับ
VARA Spa ตั้งอยู่ด้านหน้าของโรงแรม ที่นี่บริการนวดน้ำมัน นวดไทย นวดเท้า นวดหน้า และอีกหลาย ๆ บริการ เปิดบริการตั้งแต่ 10.00 - 20.00 น.
เปิดประตูเข้ามาจะพบ Spa Reception และชุดโซฟาให้แขกได้นั่งพักผ่อน และรับฟังคำแนะนำจากพนักงานครับ
ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้ใน Spa ครับ
Essential Oils มี 6 กลิ่นครับ มี Coconut (น้ำมันมะพร้าว), Anti Cellulite (ส่วนผสมของดอกไม้และพริกไทย) , Asian Spice (ตะไคร้) , Body and Mint , Signature (ส่วนผสมของมะนาวและพริกไทย) และ Pacify (ส่วนผสมของมะนาวและดอกไม้)
เกลือ Scrub Sea Spa จาก Dead Sea ครับ
สมุนไพรไทยสำหรับทำ Body Shape ที่นี่เน้นใช้ Product สด ๆ ไม่ใช้แบบสำเร็จรูป โดยจะนำสมุนไพรทั้งหมดมาปั่นรวมกัน จากนั้นจะนำมาทาตัวและ Wrap และห่มด้วยผ้าห่มไฟฟ้า ช่วยลดไขมันและ Cellulite ครับ
มีมุมจำหน่ายผลิตภัณฑ์จาก VARA และสินค้าที่ระลึกด้วยครับ
ถัดจาก Spa Reception จะเป็นพื้นที่นั่งพักผ่อนของแขกอีกจุดครับ ห้อง Spa จะอยู่ทั้งชั้นล่างและชั้นบน
ภายในห้องนวดน้ำมัน เป็นห้องนวดส่วนตัวครับ
ห้องนวดไทย อยู่บนชั้นสอง ภายในห้องเพดานค่อนข้างต่ำ ดูอึดอัดนิดหน่อยครับ
ชั้นสองอีกฝั่งหนึ่งจะเป็นห้องนวดเท้าครับ
นอกจาก Spa แล้ว ที่นี่ยังมีห้อง Fitness ไว้บริการที่ชั้น 3 ของโรงแรมด้วยครับ เล่น Fitness ไปดูวิวทะเลไป สุขใจแท้ ๆ ครับ
มุมนี้เป็นมุมอ่านหนังสือ ยืมแผ่นหนัง DVD และฟรีโปสการ์ดครับ มุมนี้อยู่ตรง Lobby เลยครับ
มุมนี้เป็นมุมเอกสารเกี่ยวกับเกาะสมุย ไม่ว่าจะเป็นแผนที่ รายละเอียดทัวร์ต่าง ๆ อยู่ติดกับลิฟต์เลยครับ
มาดูบรรยากาศรอบ ๆ โรงแรมกันบ้างครับ
สระว่ายน้ำส่วนกลางของโรงแรมครับ
ด้านข้างของสระว่ายน้ำมีอีกหนึ่ง Villa ที่อยู่ติดชายหาดเลย
บรรยากาศริมชายหาดครับ
มื้อค่ำนี้ ทางโรงแรมจัด Dinner ให้ผมมุมนี้ครับ
เมนู Appertizer แรกเป็น Avocado Crab Meat Layers ครับ เมนูนี้ Chef จะนำมะเขือเทศและ Avocado มาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ และน้ำเนื้อปูสดมาวางไว้บนชั้นบนสุด เสิร์ฟพร้อมกับน้ำผึ้งผสมมัสตาร์ดครับ จานนี้ลิ้มรสได้ถึงความหวานของเนื้อปูสด บวกด้วยความมันของ Avocado และความหวานของมะเขือเทศด้วย ยิ่งทานคู่กับซอสด้วยแล้ว อร่อยมาก ๆ ครับ ปกติผมไม่ทานมะเขือเทศ ตอนแรกเห็นเมนูนี้แล้ว ผมกะจะไม่ทานแล้วครับ แต่เมื่อลองชิมดูแล้ว เกิดติดใจ เมื่อทานแล้วไม่รับรู้ความเป็นมะเขือเทศเลยครับ
เมนู Appertizer ที่สองคือ Ocean & Earth ครับ เมนูนี้ Chef จะนำกุ้ง King Prawn มาเผา จากนั้นจะนำผลไม้ ประกอบด้วย แอบเปิ้ลแดง แอปเปิ้ลเขียว แก้วมังกร มายำรวมกัน แล้วนำมาราดบนกุ้งครับ เมนูนี้รสชาติจัดจ้านของผลไม้และน้ำยำ ผสานความหวานของกุ้ง อร่อยมาก ๆ ครับ
มาถึง Main Dish กันบ้าง Chef นำเสนอ New Zealand Salmon Bearnaise ครับ Chef จะนำเนื้อแซลมอนจากนิวซีแลนด์มาหมักแล้วนำมาย่าง ทานร่วมกับซอสครับ เมนูนี้ได้ความหวานของเนื้อปลาแซลมอนและกลิ่นหอมจากการย่าง ทานคู่กับซอสหวาน ๆ และมันบด ผักนึ่ง อร่อยมากครับ
มาถึง Main Dish จานสุดท้ายครับ Chef นำเสนอ Surf and Turf เมนูนี้สัญชาติอเมริกันเชียวครับ เป็นการผสมผสานระหว่าง กุ้ง และเนื้อนำเข้าจากนิวซีแลนด์ นำมาย่าง โดยเนื้อจะราดด้วยซอสมะขาม ส่วนกุ้งจะราดด้วยซอสไวน์ครับ ผมว่าเมนูนี้ซอสมะขามชนะขาด เพราะรสชาติจัดจ้าน ถูกปากคนไทยอย่างแน่นอนครับ
ปิดท้าย Dinner ริมชายหาดด้วยข้าวเหนียวมะม่วงครับ ผมว่าข้าวเหนียวไม่ค่อยมัน และค่อนข้างเป็นก้อน ไม่เป็นเม็ดเหมือนที่ผมเคยทาน อาจจะเป็นเพราะพื้นบ้านเขาทานกันแบบนี้หรือเปล่าผมไม่แน่ใจครับ มะม่วงยังไม่หวานเท่าที่ควร อาจเพราะเป็นมะม่วงนอกฤดูกาล ส่วนน้ำกะทิ เอาใจคนชอบหวานแบบผมไปเต็ม ๆ น้ำกะทิไม่เหมือนที่ผมเคยทานตามแถวบ้าน กะทิที่นี่ค่อนข้างข้น หอม หวานมาก ๆ ครับ
เสียดายที่วันที่ผมไปคลื่นลมแรง พนักงานบอกว่า ช่วงก่อนและหลังวันพระจันทร์เต็มดวงนิดน่อย จะมีลมแรงแบบนี้เป็นประจำ ทำให้สิ่งที่โรงแรมจัดเตรียมไว้ให้ผมกลับทำได้ไม่เต็มที่ ตะเกียงไฟคบไฟ และไฟที่เตรียมจุดไว้ใต้ผืนทรายกับจุดไม่ติด แต่บรรยากาศเพียงแค่นี้ก็ทำให้ผมมีความสุขกับมื้อค่ำได้อย่างเต็มอิ่มเลยครับ
ผมได้นั่งลิ้มรสอาหารที่อร่อยทุกอย่าง พร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศริมทะเล ได้ฟังเสียงคลื่น ได้ตากลมทะเล ได้มองเห็นดาวเต็มท้องฟ้า แถมได้ชมพระจันทร์เต็มดวงที่ยามนี้เป็นสีแดงระเรื่อ ดูคล้ายช่วงพระอาทิตย์อัสดง ผมอยากจะหยุดเวลาไว้ ณ ตรงนี้เสียจริง ๆ แต่คงทำไม่ได้ ทำได้แค่เพียงกอบโกยช่วงเวลาตรงนี้ให้ได้มากที่สุดครับ
หลังมื้อค่ำ มาสำรวจห้องพักของผมกันต่อดีกว่าครับ ห้องพักผมคืนนี้เป็นแบบ 1 Bedroom Suite Sea View ครับ
เปิดประตูห้องพักเข้ามา จะพบในส่วนที่เป็นที่จะเตรียมอาหาร อุปกรณ์ที่มีในห้องเหมือนห้องครัวของห้องพักอื่น ๆ เพียงแต่ไม่มีที่ดูดควัน และเตาไฟฟ้ามีขนาดเล็กกว่าเท่านั้นเอง
ถัดจากส่วนห้องครัวจะแบ่งเป็น 2 ห้อง ห้องทางขวาจะเป็นห้องน้ำ ห้องทางซ้ายเป็นห้องโถง ภายในห้องโถงมีโซฟาสำหรับนั่งดูโทรทัศน์ และมีโต๊ะทานอาหารให้ด้วยครับ ด้านในสุดจะเป็นประตูบานเลื่อนเพื่อไปยังระเบียง สามารถนั่งกินลมชมวิวทะเลตรงนี้ได้ครับ
มองย้อนกลับมาจากระเบียงห้อง มองเห็นห้องนอนครับ
ภายในห้องนอนกว้างขวางดีครับ ด้านปลายเตียงมีโซฟาสำหรับนั่งดูวิวทะเลได้ด้วย ในส่วนของเตียง ผมติอยู่อย่างหนึ่งครับ อาจจะเป็นเพราะผมเป็นคนตัวสูง เวลานอนเลยมีปัญหานิดหน่อย คือเมื่อนอนขาตรง ๆ ขาจะไปชนกับพนักพิงของโซฟาที่อยู่ด้านปลายเตียง เลยต้องนอนขดตัวนิดหน่อยครับ
มีหมอนไว้ให้เยอะมากครับ
ห้องนี้เป็นหอยทาก น่ารักเชียวครับ
ภายในห้องนอนไม่มีห้องน้ำนะครับ แต่ห้องน้ำจะอยู่ติดกับห้องครัว ภายในห้องน้ำค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียว แยกส่วนเปียกส่วนแห้ง และอ่าง Jacuzzi ครับ
อ่าง Jacuzzi อยู่ด้านในสุดของห้องน้ำ แช่น้ำไปมองวิวทะเลไป สุด ๆ ไปเลยครับ
ระเบียงนอกห้อง สามารถมองเห็นบรรยากาศในห้องน้ำได้ด้วยครับ
Minibar ในตู้เย็นครับ
ที่นี่ไม่มี Welcome Fruit ครับ มีแต่ Welcome กาละแม ซึ่งกาละแมเป็นของฝากขึ้นชื่อของเกาะสมุยครับ
คืนนี้ขอเก็บแรงพักผ่อนเพื่อเตรียมออกเที่ยวในวันพรุ่งนี้ครับ
เช้าวันใหม่ มาดูบรรยากาศของห้องอาหารกันบ้างครับ ที่ Cafe Lebay
ด้านหน้าห้องอาหาร Cafe Lebay ตั้งอยู่เยื้อง ๆ กับ Lobby ครับ
บรรยากาศด้านใน Cafe Lebay ด้วยข้อจำกัดเรื่องขนาดของห้อง จึงทำให้ด้านในค่อนข้างแคบ แต่ทางโรงแรมได้จัดโต๊ะทานอาหารไว้ด้านนอกของห้องอาหารครับ
ส่วนใหญ่แล้วแขกจะมาทานอาหารเช้ากันที่มุมนี้มากกว่าครับ
เมื่อเดินเข้ามาใน Cafe Lebay จะมองเห็นครัว ที่ Chef กำลังทำอาหารกันใหม่ ๆ ครับ
ไลน์อาหารเช้าจะตั้งอยู่หลายจุดครับ จุดแรกอยู่ส่วนหน้าของครัว จะเน้นอาหารจานหลัก เป็นข้าว และกับข้าวครับ
เมนูเช้าวันแรกของผม
ฝั่งตรงข้ามยังมีมุม หมูแฮม ฮอทดอก ขนมปังชุบไข่ครับ
มุมนี้เป็นอีกมุมหนึ่งครับ เน้นเบเกอรี่ สลัด และผลไม้
มุมเบเกอรี่ครับ
มุมสลัดครับ ผักไม่ค่อยหลากหลายสักเท่าไร
มุมโยเกิตครับ
มุมน้ำผลไม้ มีทั้งน้ำส้ม น้ำฝรั่ง น้ำสับปะรด และนมสดครับ
นอกจากนี้ยังสามารถสั่งเมนูไข่ได้เพิ่มเติมครับ
รวมถึงโกโก้ร้อนด้วย
มื้อเบา ๆ ของผมครับ
หลังเติมพลังอาหารเช้าแล้ว ก่อนออกไปตะเวนเที่ยว เลยขอตะเวนเก็บภาพมุมเล็ก ๆ ในบรรยากาศของโรงแรมก่อนครับ
เดินเก็บบรรยากาศรอบโรงแรมจนหนำใจแล้ว ออกตะเวนขี่มอเตอร์ไซด์รอบเกาะกันบ้างดีกว่า ผมเริ่มวนไปทางแม่น้ำก่อน ไล่ไปจนถึงหาดเฉวง และละไม ระหว่างทางแวะพักที่จุดชมวิวลาดเกาะเป็นจุดแรกครับ
จุดชมวิวลาดเกาะ เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก จุดนี้สามารถมองเห็นน้ำทะเลสีฟ้าคราม รวมถึงชายหาดเฉวงได้ด้วยครับ บริเวณจุดชมวิวนี้มีโขดหินขนาดใหญ่อยู่มากมาย ช่วงที่ผมไปคลื่นค่อนข้างแรงครับ คลื่นกระทบกับโขดหินเสียงดังสนั่นเลยครับ
จุดหมายต่อไปถือว่าเป็นที่นิยมของสมุยมาก ๆ ใครมาสมุยแล้วไม่มาที่นี่เหมือนมาไม่ถึงสมุยครับ นั่นคือหินตาหินยาย ซึ่งอยู่ที่หาดละไม ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชม แต่ต้องเสียค่าฝากรถครับ มอเตอร์ไซด์คันละ 10 บาท จากลานจอดรถเดินต่อไปนิดหน่อยก็จะถึงที่ตั้งของหินตาและหินยายแล้ว ระหว่างทางเดินจะเต็มไปด้วยร้านขายของฝาก ทั้งสินค้าพื้นเมืองและสินค้าจากพื้นที่อื่น แต่ที่เด่นและอยากแนะนำให้ซื้อติดไม้ติดมือกลับไปคือกาละแมครับ ที่นี่ขายกิโลกรัมละ 130 บาท
หินตา มากี่ทีกี่ทีก็ตั้งตระหง่านอยู่อย่างนี้ตลอด เห็นแล้วแอบอิจฉา อิอิ
หินยายครับ วันนี้น้ำค่อนข้างสูง เขาเลยมีเชือกกั้นเพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินลงไป จริง ๆ ถ้าช่วงน้ำลง จะสามารถเดินลงไปข้างล่างได้อีกหน่อยและมองย้อนขึ้นมา ถึงจะเห็นที่มาที่ไปของหินยายครับ มุมนี้ดูไม่ออกว่าเป็นหินยายครับ
ด้านข้างของหินตาหินยาย จะมีจุดชมวิวหาดละไมมุมสูงครับ แต่ต้องเสียค่าชมวิวคนละ 10 บาท จุดชมวิวนี้ต้องเดินขึ้นเขานิดหน่อย แต่เขาทำเป็นบันไดปูนให้เดินได้สะดวกครับ
วิวมุมสูงของหาดละไมครับ
ขึ้นมาด้านบนทั้งที ถ่ายภาพเดียวเดี๋ยวไม่คุ้มกับ 10 บาท ผมเลยเก็บภาพหินตามุมสูงมาอีกภาพครับ
จากนั้นเดินทางกันต่อสู่วัดคุณารามครับ
วัดคุณารามเป็นวัดที่เก็บศพของหลวงพ่อแดง พระที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเกาะสมุย ซึ่งมรณะภาพไปแล้วกว่า 20 ปีในท่านั่งสมาธิ แต่ร่างกายกลับไม่เน่าเปื่อยครับ ผมอ่านประวัติที่ทางวัดเขียนไว้ ท่านรู้ถึงช่วงเวลาที่จะมรณะภาพด้วย
ไปกันต่อที่เจดีย์แหลมสอครับ
เจดีย์แหลมสออยู่ทางตอนใต้ของเกาะสมุย เป็นเจดีย์ที่ประดับด้วยกระเบื้องสีทองทั้งองค์ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุครับ
ใครจะไปเชื่อว่าบนเกาะกลางทะเลอ่าวไทยแบบนี้จะมีแหล่งน้ำจืดจากธรรมชาติด้วย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ เพราะที่สมุยมีน้ำตกขนาดใหญ่ ชื่อน้ำตกหน้าเมืองครับ มีทั้งหน้าเมือง 1 และหน้าเมือง 2 อีกต่างหาก
ผมเลือกเข้ามาชมที่น้ำตกหน้าเมือง 1 ครับ จากปากทางถนนใหญ่เข้าไปอีกเล็กน้อย ก็ถึงลานจอดรถแล้ว ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชม แต่เสียค่าจอดรถครับ มอเตอร์ไซด์คันละ 20 บาท จากจุดจอดรถเดินไปยังน้ำตกไม่ไกลครับ ช่วงที่ผมไป (เดือน มค) ยังถือว่ามีน้ำอยู่บ้างครับ น้ำตกหน้าเมือง 1 เป็นน้ำตกที่สายน้ำไหลตกลงมาจากหน้าผาสูง 15 เมตร สายน้ำทอดตัวลงแอ่งน้ำด้านล่าง เหมาะกับการว่ายน้ำเล่นเป็นอย่างยิ่งครับ
จุดหมายสุดท้ายของวันนี้อยู่ที่หน้าทอนครับ ผมต้องไปหาข้อมูลเกี่ยวกับรถที่จะพาผมไปยังท่าเรือลิปะน้อยในวันพรุ่งนี้ เพราะผมไม่อยากเสียเงินค่ารถตู้ 200 บาท เลยไปติดต่อที่ท่าเรือแถวหน้าทอน เลยได้ข้อมูลมาว่า จะมีรถทัวร์จากสมุยข้ามไปยังสุราษฎร์ธานี โดยผมสามารถขอติดรถไปลงที่ท่าเรือลิปะน้อยได้ สำหรับช่วงเวลาที่รถจะออกจากหน้าทอนมี 2 รอบ คือ 07.30 น. และรอบ 09.30 น.ครับ หลังจากหาข้อมูลแล้ว เลยเดินเล่นบริเวณท่าเรือ ก็เห็นแสงสวย ๆ แบบนี้ครับ
เดินเตร่ ๆ ที่ท่าเรือสักพักก็เดินทางกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมครับ
เมื่อมาถึงโรงแรม ก็มีเวลาพักผ่อนนิดหน่อย ก่อนที่จะมาเก็บบรรยากาศของโรงแรมช่วงหลังพระอาทิตย์ตกดินครับ
บรรยากาศด้านหน้าโรงแรมครับ
ทางเดินลงชายหาดครับ
ด้านหน้า Villa
ทางเดินไปยังสระว่ายน้ำส่วนกลางและชายหาด
ที่ล้างตัวก่อนและหลังจากว่ายน้ำที่สระส่วนกลางครับ
บริเวณสระว่ายน้ำส่วนกลางครับ
บริเวณริมชายหาดครับ
Villa ริมสระว่ายน้ำส่วนกลางครับ
ย้อนกลับมาดูด้านหน้าโรงแรมกันอีกครั้งครับ มุมด้านหน้าด้านซ้ายมือ ที่มีกอดอกหญ้าคือ Cafe Lebay ครับ
เดินเข้ามานิดหน่อยจะผ่านซุ้มประตูหินครับ
บริเวณ Lobby ครับ
มุมพักผ่อนบริเวณ Lobby ครับ
ช่วงเช้า บริเวณนี้เป็นที่ทานอาหารเช้า ช่วงค่ำ บริเวณนี้ก็แปรสภาพเป็นที่ทานอาหารค่ำ แต่ช่วงค่ำดูโรแมนติกดีครับ
จริง ๆ แล้วทุกๆ ค่ำของคืนวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 19.00-22.00 น.ทางโรงแรมจัดให้มี Saturday Beach BBQ Buffet กันที่ริมหาดครับ แต่เนื่องจากวันนั้นเหมือนจะมีฝน ทางโรงแรมเลยย้ายมาจัด BBQ ภายใน Villa ครับ ทำให้ผมเลยไม่ได้เก็บบรรยากาศริมทะเลเลย
พอย้ายสถานที่เลยดูเหมือนทำให้แขกมาใช้บริการน้อย ทางโรงแรมเลยจัดเตรียมอาหารน้อยตามไปด้วยครับ
เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว คืนนี้ขอตัวพักผ่อนก่อนครับ คืนนี้ทางโรงแรมจัดห้อง 2 Bedroom Suite Sea View ให้ผมเพิ่มอีก 1 คืนครับ มาชมห้องพักของผมคืนนี้กันดีกว่าครับ
เปิดประตูเข้าไป ก็เจอทางเดินเพื่อมุ่งหน้าสู่ห้องนอนหลัก ส่วนอีกห้องนอนอยู่ตรงประตูสีดำด้านซ้ายครับ
แปลนห้องเหมือนห้อง 2 Bedroom Suite Sea View ที่ผมพาไปชมตั้งแต่วันแรกครับ
เพียงแต่ห้องนอน สามารถเปิดประตูได้ทางเดียวเท่านั้น
ห้องน้ำกว้างขวางมากครับ แต่ห้องน้ำนี้ไม่มีอ่าง Jacuzzi เพราะอ่างอยู่ด้านนอกครับ
อ่าง Jacuzzi อยู่ด้านในสุดของห้องครับ มองเห็นวิวทะเลเช่นเคย
อีกหนึ่งห้องนอนครับ แต่ห้องนี้ไม่ทึบเพราะไม่มีหน้าต่างครับ
ห้องน้ำมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเหมือนกับทุก ๆ ห้องครับ
โปสการ์ดฟรีที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้กับแขกครับ
ตื่นเช้ามาพร้อมกับสายฝนพรำครับ ตลอด 3 วันที่ผมอยู่บนเกาะสมุยผมเจอฝนทุกวัน แต่ฝนที่สมุยดีอยู่อย่างหนึ่ง ตกแค่พรำ ๆ ไม่ถึง 5 นาทีก็หยุดแล้วครับ แต่วันนี้ดูเหมือนจะตกหนักที่สุดสำหรับทริปสมุยของผม
วิวที่มองจากห้องพัก เกาะที่เห็นผมคาดเดาว่าเป็นเกาะพะงันครับ เช้านี้หลังจากเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ก็ลงไปทางอาหารเช้าก่อนที่จะเดินทางไปยังหน้าทอนครับ
ไลน์อาหารเช้าหลากหลายกว่าวันแรกครับ
มุมผลไม้ครับ
ตลอด 3 วันผมได้รับการดูแลเรื่องอาหารเป็นอย่างดีจากคุณตั้มครับ
Concept การเข้าพักที่ THE SEA คือ Sleep Eat Play บอกให้รู้ถึงการได้กินอิ่ม นอนหลับ และมีกิจกรรมให้ทำ ตลอดระยะเวลาที่ผมพักอยู่ที่นี่ ขอบอกเลยว่า ผมได้รับการให้บริการทั้ง 3 อย่างจากทางโรงแรมเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นห้องพักที่หรูหราพร้อมเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน นอนแล้วไม่อยากจะตื่นเลย รวมถึงอาหารอร่อย ๆ กับบรรยากาศดี ๆ และกิจกรรมที่ให้ผมได้ทำ จริง ๆ แล้วยังมีกิจกรรมอีกหลายอย่างที่ทางโรงแรมได้เตรียมให้กับแขก ไม่ว่าจะเป็นให้แขกไปจ่ายตลาดแล้วมาเรียนทำอาหารด้วยตนเอง นึกแล้วก็น่าสนุกดีครับ
อย่างที่ผมเล่าไปในตอนแรกนะครับว่าเดิมทีเดียวที่นี่สร้างขึ้นเพื่อให้เช่าพัก แต่ปัจจุบันกลายมาเป็นโรงแรม ดังนั้นห้องพักแต่ละห้องจึงสร้างขึ้นเหมือนบ้านหลังหนึ่ง สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่หาไม่ได้ตามโรงแรม เช่น เตาไฟฟ้า ตู้อบ เตาไมโครเวฟ ที่ดูดควัน ตู้เย็นหลังใหญ่ เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ก็จะพบมาเจอที่นี่ เรียกได้ว่าถ้าแขกมีเสื้ออยู่ 2 ชุด ก็สามารถมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้นานนับเดือน ผมว่าสิ่งอำนวยความสะดวกบางอย่างเกินความจำเป็นสำหรับแขกที่มาเข้าพักเพียงคืนสองคืนเสียด้วยซ้ำ อย่างผมเองก็แทบจะไม่ได้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้เลย เรียกได้ว่า 100% ผมใช้ไม่ถึง 50% เสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้ผมว่าที่นี่ให้ความสำคัญของห้องนอนและห้องน้ำเป็นจุดสำคัญ ห้องน้ำใหญ่พอๆ กับห้องนอนเลยครับ ไม่เหมือนโรงแรมต่าง ๆ ที่บางครั้งห้องน้ำแคบมากๆ สำหรับเรื่องทำเลที่ตั้งผมว่าเหมาะสมมากที่จะมาพักผ่อน เพราะที่นี่สงบ เงียบมาก ๆ ชายหาดสะอาดเป็นส่วนตัวดี จะไปยังแหล่งชุมชนก็สะดวกครับ
สำหรับจุดที่ควรปรับปรุงในความคิดผมคือเรื่องที่จอดรถเพียงเรื่องเดียว เพราะมีค่อนข้างน้อย และมีอีกสองอย่างที่เกิดขึ้นกับผมคือ อย่างแรกเตียงนอนบางห้องที่มีชุดโซฟาอยู่ที่ปลายเตียง เวลาผมนอนแล้วขาผมจะไปดันกับพนักพิงหลังของชุดโซฟา ทำให้นอนไม่สบาย และรองเท้าแตะที่เป็นหูคีบในห้องน้ำ หูคีบค่อนข้างแข็ง เวลาเดินแล้วรู้สึกเจ็บเอาเรื่องทีเดียวครับ
ท้ายสุดนี้ต้องขอขอบคุณ THE SEA และ คุณยงยุทธ์ ที่ให้การต้อนรับและให้ผมได้เก็บบรรยากาศรอบ ๆ โรงแรมเพิ่มอีก 1 วัน ขอบคุณคุณออตโต้ , คุณตั้ม ที่ให้การดูแล และอำนวยความสะดวกให้กับผมอย่างดีตลอด 3 วัน 2 คืน รวมถึงน้องพนักงานจากลำปาง ที่พาผมเดินชมห้องต่าง ๆ รวมถึงพนักงานทุกคนที่ให้บริการผมที่ริมหาด รวมถึงในห้องอาหารด้วยครับ ประทับใจจริง ๆ ครับ
หลังอาหารเช้า ฝนหยุดตกพอดี ผมเลยรีบเอามอเตอร์ไซด์ไปคืนแล้วเดินไปที่ท่าเรือที่หน้าทอน เพื่อเตรียมรอขึ้นรถบัสไปยังท่าเรือลิปะน้อยครับ
ระหว่างรอรถบัสครับ เลยเก็บบรรยากาศแถว ๆ ท่าเรือมาฝาก ที่สมุยก็มีใบไม้เปลี่ยนสีนะครับ ใบหูกวางที่นี่กำลังเป็นเป็นสีแดง สวยงามเชียวครับ
รถบัสแบบนี้แหล่ะครับที่ผมจะแนะนำเพื่อน ๆ ที่ต้องการจะไปท่าเรือลิปะน้อยแต่ไม่มีรถเข้าไปยังท่าเรือ สามารถติดรถบัส เกาะสมุย-สุราษฎร์ธานีไปยังท่าเรือได้ โดยติดต่อที่คนขับรถได้เลย คิดค่าบริการคนละ 60 บาทเท่านั้นเองครับ
ประมาณ 20 นาที จากท่าเรือหน้าทอน ก็มาถึงท่าเรือลิปะน้อยแล้ว จริง ๆ ระยะทางห่างกันเพียง 7 กม.เท่านั้นแต่เนื่องจากเป็นรถบัสใหญ่และเส้นทางเข้าไปยังท่าเรือค่อนข้างแคบ เลยทำให้เสียเวลาในการเดินทางนิดหน่อยครับ เมื่อเข้ามาถึงท่าเรือก็เข้ามา Check in ที่เคาเตอร์ของ Air Asia ได้เลย แล้วเขาจะให้สติ๊กเกอร์พร้อมตั๋วเรือ และตั๋วรถมาในครั้งเดียวกันครับ
สติ๊กเกอร์สำหรับแยกประเภทผู้โดยสารครับ โดยสีเหลืองจะไปขึ้นเครื่องที่สนามบินสุราษฎร์ธานี ส่วนสีน้ำเงินจะไปขึ้นเครื่องที่สนามบินนครศรีธรรมราช ซึ่งขากลับผมจองตั๋วขึ้นที่สนามบินสุราฎร์ธานีครับ สำหรับใบเสร็จสีขาวนั้นเป็นตั๋วรถ ต้องเก็บไว้ให้ดี ๆ เพื่อเอาไปยื่นตอนขึ้นรถบัสครับ
สำหรับเรือที่จะออกไปยังท่าเรือดอนสักนั้นเริ่มตั้งแต่เวลา 05.00 - 18.00 น. เรือออกทุก 1 ชั่วโมงครับ ระหว่างรอเรือออกรอบ 11.00 น. ผมก็เลยเดินเล่นเก็บบรรยากาศรอบ ๆ ท่าเรือครับ
เรือผมวันนี้เป็นลายปลาหมึกด้วยครับ น่ารักเชียว
ด้านบนเรือวันนี้ ดูแปลกตากว่าวันแรกที่ผมมาครับ ลำนี้ดูทันสมัยกว่าเยอะเลยครับ
บรรยากาศที่ท่าเรือด้านซ้าย ขวา จากมุมบนเรือครับ
ใช้เวลานั่ง ๆ นอน ๆ บนเรือประมาณชั่วโมงครึ่งก็มาถึงฝั่งท่าเรือดอนสักแล้วครับ เมื่อขึ้นจากเรือมาแล้วจะมีเจ้าหน้าที่ของราชาเฟอรี่มาคอยดูแลผู้โดยสารของแอร์เอเซีย โดยจะแบ่งผู้โดยสารตามสีของสติ๊กเกอร์ เพื่อจัดให้ขึ้นรถบัสให้ถูกคัน รถบัสจะออกจากท่าเรือประมาณ 13.00 น. หากเรือมาถึงเร็ว ผมขอแนะนำว่าให้หาซื้อเสบียงจากท่าเรือไว้ทานบนรถ หรือถ้ามีเวลาเหลือพอที่จะทานข้าวได้ให้ทานที่ท่าเรือเลยนะครับ เพราะรถบัสจะไปส่งที่สนามบินเพียงจุดเดียวเลย ผมเองไม่ได้เตรียมตัวตุนเสบียงไป เลยต้องไปอาศัยข้าวราดแกงที่สนามบินแทน เจอข้าวราดแกง 2 อย่าง 100 บาทก็คงต้องจำใจทานครับ แต่รสชาติก็อร่อยใช้ได้เหมือนกัน
วันนี้คาราบาวแดงจะนำผมกลับไปยังกรุงเทพครับ เครื่องออก 16.05 น. ใช้เวลาบินประมาณชั่วโมงนิด ๆ ก็ถึง กทม.โดยสวัสดิภาพครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.34 น.