เมื่อเวลามีค่าดั่งเฟอเรโร่ รอชเชอร์ วันนี้ผมจึงขอมาแชร์ทริปสั้นๆ สำหรับผู้ที่อยากไปเที่ยวใกล้ๆ ในเวลาอันจำกัดจำเขี่ย(ไม่ใช่ไก่!)

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆนั้นมีอยู่มากมาย แต่ที่นิยมเป็นอันดับต้นๆ และเหมาะเจาะกับเวลา 2 วัน 1 คืน มากที่สุด เห็นจะหนีไม่พ้น จังหวัดชลบุรี ทริปนี้ ผมเล็งเป้าหมายที่พักไปที่หาดจอมเทียน ซึ่งสงบสุขกว่าพัทยามาก และอยากได้วิวที่มองเห็นทะเลแบบเต็มๆ ทริปนี้จึงมาลงตัวที่ ดี วารี จอมเทียนบีช พัทยา




ก่อนจะเกิดทริปนี้ ผมเกิดอาการเบื่อสังคมมนุษย์ เพราะชีวิตแค่โดนทำร้าย จึงอยากให้เวลาสั้นๆกับตัวเองเพื่อไปพักใจ(แน๊ะ!มีดราม่า) อยากจะหนีผู้คนไปหาเหล่าบรรดาสัตว์ เผื่อจะคุยกันรู้เรื่อง โดยขาไปวางไว้ว่าจะแวะเที่ยวสวนสัตว์เปิดเขาเขียวเพียงจุดเดียว เพื่อจะได้มีเวลาพักผ่อนที่หาดจอมเทียนให้มากที่สุด ส่วนวันที่สอง ก็จะแวะเที่ยวระหว่างทางกลับเข้ามอเตอร์เวย์ นั่นก็คือ ฟาร์มผึ้งบิ๊กบี และฟาร์มแกะพัทยา หากเรามีเวลาน้อย ก็อย่าฝืนอัดโปรแกรมไปมากมายเลยครับ เที่ยวให้สบายดีกว่า อย่าลืมว่าเรามาพักผ่อนนะครับ ไม่ได้มาเก็บ RC (หือ?)



ดหมายแรกในทริปนี้ก็คือสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จากมอเตอร์เวย์ เมื่อมาถึงบางพระ ให้ใช้เลี้ยวซ้ายออกทางวัดบ้านห้วยกรุ ขับตามทางไปประมาณ 6.5 กม. คุณก็จะมาถึงสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 150 เด็ก 30 บาท และผมเลือกใช้การขับรถเข้าไปตระเวนชมสัตว์ตามจุดต่างๆ ก็จะเสียค่านำรถยนต์เข้าอีกคันละ 80 บาทครับ




อาจจะไม่ได้ภาพสักเท่าไหร่ วันนี้อากาศร้อนมากครับ แม้แต่น้องราฟของเรายังต้องนั่งพัก หลังจากที่ยืนโชว์ตัวมาหลายชั่วโมง



นี่คือวัวป่าวิลเดอบีสต์ นักอพยพผู้เกรียงไกร ที่เราเคยเห็นมันข้ามน้ำ หนีคมเขี้ยวของจระเข้ในหนังสารคดี บัดนี้มันได้หยุดเดินทาง นอนนิ่งอยู่ใต้ชายคา ยอมจำนนต่อแสงแดดเมืองไทยอย่างราบคาบ

เมื่อน้องราฟนั่ง พี่วัวก็เกทับด้วยการนอนมันซะเลย



ส่วนเจ้าเมียร์แคตนี่ มาในแนวกึ่งนั่งกึ่งยืน ธรรมชาติของเจ้าภรรยาแมว มันมักจะชอบยืนชะเง้อคอ เพื่อระแวดระวังภัยอยู่ปากรัง เรียกว่าปักหลักไม่ได้ขรี้ไม่ได้เยี่ยวกันลยทีเดียว



แม้จะมีง่วงบ้างอะไรบ้าง แต่มันยังคงยืนหยัดทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม



เห็นสภาพเจ้าหมีขอ คงไม่ต้องบรรยายอะไรกันมาก ฝันหวานมุ่งสู่นิพพานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ว่าเค้าขี้เกียจหรอกนะครับ แต่ธรรมชาติของเจ้านี่คือ สัตว์ที่หากินยามค่ำคืน



และจุดหมายต่อไปของเราก็คือ ดี วารี จอมเทียนบีช ซึ่งเป็นที่พักในค่ำคืนอันดูดดื่มนี้ ตัวตึกของโรงแรมตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมหาดจอมเทียน ตัวล็อบบี้จะอยู่ด้านหลังนะครับ เราต้องเข้าไปในซอยจอมเทียนซอย 14 เพื่อเช็คอินกัน



จากปากซอยมาถึงล็อบบี้โรงแรมก็มืดพอดี ไม่ใช่!!!(ชงเองตบเอง) พอดีผมถ่ายรูปมาแบบไม่ได้เรียงลำดับเวลา เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง อาจจะงงกันนิสนึงนะครับ ตัวโรงแรมดูโอ่โถงมาก ลานจอดรถมีเยอะพอสมควร



เมื่อเข้ามาในล็อบบี้ ความรู้สึกประหนึ่งพี่หมื่นได้มาเยือนพระราชวังแวร์ซาย



โซฟาใหญ่ เหมือนไปเที่ยวบ้านยักษ์ที่ดรีมเวิลด์ แต่ต่อให้ใหญ่แค่ไหน ก็มิอาจต้านท้านน้ำหนักของออเจ้าได้ งานนี้มียุบ



มาดูห้องพักกันดีกว่าครับ รีเควสชั้นสูงไว้ สรุปว่าได้ชั้นที่ 20 เป็นห้อง Superior Ocean View ราคาคืนละ 1,440 บาท พร้อมอาหารเช้า หมายเหตุ** ราคานี้จองในช่วงโปรนะครับ ถูกกว่าปกตินิดหน่อย

ตัวห้องไม่ได้มีอะไรหวือหว การปูเตียงดูแปลกๆ แต่ที่ดึงความสนใจได้ก็เห็นจะเป็นวิวด้านนอกครับ เดี๋ยวเราออกไปดูกัน



วิวทะเลจอมเทียนแบบเต็ม ไม่ตึกรามบ้านช่องมาขวางให้รกหูรกตา แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับวันพักผ่อนหลังจากที่เจอวิวผนังตึกและคอมฯแอร์มาตลอดสัปดาห์



มองมาทางซ้ายจะอึดอัดนิดหน่อย เพราะมีตึกขวางอยู่ แอบส่องดูๆห้องกว้างมาก เป็นคอนโดให้เช่าทั้งแบบรายวันและรายเดือน เดี๋ยวต้องมาลอง



ส่วนวิวทางด้านขวานี่โล่งเลยครับ มองเห็นเกาะล้านอยู่ไกลๆ



มองลงไปเบื้องล่าง จะเห็นสระว่ายน้ำสองสระอยู่คนละชั้นกัน ดูสระชั้นบนจะเงียบสงบกว่า เหมาะแก่การกินก๋วยเตี๋ยวเรือกัน



กลับเข้ามาดูภาพรวมภายในห้องกันต่อครับ ขนาดห้องไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่เล็กจนอึดอัด



หัวเตียง มุมมหาชน ไม่รู้ทำไมต้องถ่าย แต่ก็ถ่ายไว้เพื่อเสริมดวง ให้คนรักคนหลง เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต



เข้าประตูมาด้านขวาจะเป็นแพนทรีเตรียมอาหาร ชอบที่มีเตาแม่เหล็กด้วย ชอบ..แต่ไม่ได้ใช้ "....."



เข้ามาดูห้องน้ำกันบ้าง ข้าวของเครื่องใช้มีพอสมควร ผ้าขนหนูมาแขวนอยู่ในห้องน้ำ เป็นผ้าขนหนูธรรมดา ไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์แปลงกายเป็นสัตว์ต่างๆได้



ห้องน้ำมีสุขภัณฑ์ครบครัน แต่อ่างอาบน้ำค่อนข้างเล็ก อาบหลายคนคงอึดอัดแย่ หุหุหุ



ผมไม่ค่อยซีเรียสเรื่องห้องน้ำครับ ขอให้สะอาด และมีอุปกรณ์ทรงคุณค่าแก่ชีวิตคนไทย แค่นั้นก็ถือว่าผ่านแล้ว



สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆก็มีตู้เซฟ ไดร์เป่าผม โต๊ะเครื่องแป้ง และ TV

เปิดไปช่องไหนก็เหมือนกันหมด น่าเบื่อ ปิดดีกว่า 6 โมงเย็น ช่วงประหยัดไฟ



เสพความสวยงามของธรรมชาติกันให้เต็มที่ ก่อนจะต้องกลับไปสู้ชีวิตกันต่อไป




ยามเย็น ฟ้าและน้ำจะเป็นสีทองอร่าม อยากให้คุณได้ลองมาสัมผัส ลองปล่อยลมหายใจยาวๆ มันสุขใจอย่างบอกไม่ถูก



ความสวยงามที่มองเห็นได้ข้างๆเตียง นี่เป็นช่วงเวลาต่อเนื่องจากภาพที่แล้วนะครับ ช่วงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า สีด้านนอกระเบียงจะกลายเป็นสีฟ้าสด ทั้งที่เมื่อครู่ยังเป็นสีทองอยู่เลย เป็นแบบนี้อยู่พักใหญ่ก่อนอาทิตย์จะลับขอบฟ้า



เมื่อฟ้ามืดสนิทก็เป็นเวลาที่หมู่มารออกหากิน ไม่ต้องไปกินไกลครับ เพราะชั้น 38 มีผับที่ชื่อว่า DIB ตั้งอยู่บนดาดฟ้าของโรงแรม



ทีนี่เป็นจุดชมแสงสียามค่ำคืนของเมืองพัทยาที่สวยงามมาก เพราะเป็นวิวแบบ 360 องศาเซลเซียส



ถ้าต้องการทานอาหารหนักจะมีภัตตาคารอยู่ชั้นล่างของโรงแรม แต่บน DIB นี้จะมีแต่อาหารเบาๆเป็นกับแกล้ม ประเภทปลาดิบหรือพล่าต่างๆ สั่งค็อกเทลมาจิบให้มึนๆเล่น จะได้นอนหลับฝันดี



เช้าวันที่สอง ตื่นมาหัวปลอดโปร่งโล่งสบาย สูดอากาศให้เต็มปอด แล้วลงไปทานอาหารเช้ากันครับ



ห้องอาหารจะอยู่ด้านข้างสระน้ำที่เรามองลงมาจากห้องเมื่อวานนี้ครับ มีทั้งแบบเอาท์ดอร์ให้นั่งรับลมทะเลและแบบอินดอร์แอร์เย็นสบาย เลือกกันได้สุดแล้วแต่ชอบขอรับเจ้านาย



โซนด้านนอกจะเป็นซุ้มอาหารที่ก่อให้เกิดกลิ่นและควัน มี ABF สดๆให้ทาน สามารถสั่งระดับความสุกได้ตามใจฉัน



มาดูไลน์ด้านในบ้าง เริ่มจากอาหารเบาๆ คอนเฟลก, สลัด และขนมปังชนิดต่างๆ



อาหารไทยมีอยู่ประมาณ 10 อย่าง พร้อมทั้งซุป และข้าวต้มร้อนๆ

อาหารฝรั่งนอกจาก ABF แล้วก็มีพวกพาสต้า มันฝรั่งอบ ตบท้ายด้วยผลไม้ครับ



ใครเดินผ่านโต๊ะเราคงนึกว่าชูชกกลับชาติมาเกิด กินให้ตายกันไปข้างก่อนกลับบ้าน



ผมเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม 11 โมงกว่าๆ วิ่งเลียบสุขุมวิทไปจนถึงแยกกระทิงลาย กลับรถใต้สะพานแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นที่จะตัดออกมอเตอร์เวย์ แยกกระทิงลายสังเกตง่ายๆ จะมีสะพานข้ามแยก วิ่งมาสักพักจะเจอสวนผึ้งบิ๊กบีอยู่ด้านซ้ายมือ เป็นอาคารทรงไทยโดดเด่นสังเกตง่าย



ที่สวนผึ้งบิ๊กบี จะเป็นแหล่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากผึ้ง รวมไปถึงคลินิกแผนไทยประยุกต์โดยใช้ผึ้งรักษา ผึ้งจะรักษาโรคได้อย่างไรเดี๋ยวไปติดตามดูกันครับ



นอกจากนี้ ที่นี่ยังจัดส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งไว้เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับผึ้ง มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาชมกันอย่างไม่ขาดสายเลยทีเดียว เปิดให้เข้าชมฟรีนะครับ



เราเข้ามาเที่ยวในส่วนจัดแสดงกันครับ เริ่มจากผึ้งจิ๋ว ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ถ่ายภาพออกมาแล้วอาจจะดูใหญ่ แต่ความจริงขนาดของมันเล็กพอๆกับมดดำเลยครับ จิ๋วมาก



ต่อมาเป็นผึ้งโพรงไทย เป็นลักษณะการเลี้ยงผึ้งของคนไทยสมัยก่อน เขาจะเลี้ยงกันในโพรงไม้แบบนี้ครับ ซึ่งการเก็บผลผลิตค่อนข้างลำบาก ปัจจุบันเมืองไทยจึงหันมานิยมเลี้ยงผึ้งแบบโพรงฝรั่งแทน



นี่ไงครับ ผึ้งโพรงฝรั่ง เป็นลักษณะการเลี้ยงในลังไม้ มีทั้งแบบชั้นเดียว สองชั้น และแบบคอนโดฯ ซึ่งปัจจุบันเกษตรกรไทยจะนิยมเลี้ยงในลังไม้แบบชั้นเดียวกัน



เจ้าหน้าที่เปิดฝาให้เราดู ข้างในลังจะมีเฟรมไม้ที่เรียกกันว่าคอน ให้ผึ้งได้เกาะสร้างรวง หนึ่งลังจะมีอยู่ 5-6 คอน ไม่ต้องกลัวนะครับ ถ้าผึ้งไม่รู้สึกว่าถูกคุกคาม เค้าจะไม่ทำร้ายเรา ถ้ามีผึ้งบินมาเกาะตัวเรา อย่าเอามือปัดป้องนะครับ เค้าจะนึกว่าเราทำร้ายเค้า และจะต่อสู้ทันที วิธีคือให้เรายืนอยู่เฉยๆนะครับ พอเค้าต่อยเราเสร็จเค้าก็จะบินไปเอง เอ๊ย!! ไม่ใช่ ยืนเฉยๆเดี๋ยวก็ไปเอง

ข้อควรระวังอีกอย่างคือน้ำหอมครับ ผึ้งไวต่อกลิ่นมาก ถ้าใส่น้ำหอมกลิ่นแรงๆเค้าก็จะนึกว่าเป็นกลิ่นของศัตรู



ผึ้งที่เลี้ยงที่นี่ ไม่ได้เลื้ยงเพราะนำมาทำผลิตภัณฑ์ เค้าจะมีแหล่งผลิตใหญ่อยู่ทางภาคเหนือ เพื่อเกสรดอกไม้ของที่นั่นมีรสชาติดี แต่ผึ้งที่นี่ส่วนใหญ่จะเอาไว้โชว์ และใช้บำบัดโรค หรือพิษเทอราพี เป็นการใช้พิษต้านพิษ ใช้รักษาอาการปวดต่างๆ เช่น ปวดข้อปวดเข่าเค้าก็จะใช้ผึ้งต่อยไปตามจุดต่างๆเหมือนฝังเข็ม หรือเป็นไมเกรน เค้าก็ดึงเหล็กในของผึ้งมาจิ้มที่ขมับ ถ้าดึงเหล็กในออกมาพิษจะเหลือแค่ 10% การรักษาจะต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยควบคุมปริมาณพิษด้วย อย่าลองทำกันเองนะครับ อันตรายมากหากคุณแพ้



ผมก็เพิ่งเห็นนางพญาผึ้งตัวเป็นๆครั้งแรก นางพญาได้รับการดูแลอย่างดี จึงทำให้ตัวใหญ่ที่สุดในรัง มีหน้าที่ให้กำเนิดผึ้ง วางไข่ทีนึงถึง 1,500 ฟอง โดยจะถูกห้อมล้อมไปด้วยผึ้งตัวผู้ที่มีสีเข้ม ในหนึ่งรังจะมีผึ้งตัวเมียมากถึง 97% เป็นผึ้งงานคอยหาอาหารและป้องกันอาณาจักร ส่วนตัวผู้จะมีแค่ 3 % มีหน้าทีคอยผสมพันธุ์อย่างเดียว ไม่ต้องหาอาหารหรือต่อสู้

ขออภัยที่หยาบคาย แต่คำว่า “กิน ขี้ ปรี้ นอน” ดูจะเป็นนิยามที่เหมาะที่สุดครับ ชาติหน้าฉันใดขอเกิดเป็นผึ้งตัวผู้ เพี้ยง!!

แต่..คุณผู้ชายอย่าเพิ่งย่ามใจ เพราะถ้าคุณเกิดเป็นผึ้งตัวผู้แต่ไม่มีน้ำยา ผสมพันธุ์ไม่ได้ ตัวเมียก็จะไม่เลี้ยงคุณ ปล่อยให้อดอาหารและตายในที่สุด อันอิสตรีช่างโหดร้ายนัก



หลังจากที่ผสมพันธุ์กันเรียบร้อย นางพญาจะวางไข่ไว้ตามช่อง แล้วก็เป็นหน้าที่ของผึ้งงาน ที่จะต้องกลั่นนมผึ้งออกมาเลี้ยงน้องของเค้าโดยใส่ไว้ตามช่อง เมื่อเริ่มกลายเป็นตัวอ่อนก็ผึ้งงานอีกนั่นแหละครับ ที่ใช้ไขผึ้งปิดรูเพื่อบ่มตัวให้กลายเป็นผึ้งที่สมบูรณ์ ลิปสติกที่คุณสาวๆใช้กันอยู่ก็ทำมาจากเจ้าไขผึ้งนี้แหละครับ



นอกจากนี้ยังมีเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆในการเลี้ยงผึ้ง มาจัดแสดงให้ชมกันอีกด้วย นี่คือเครื่องแยกน้ำผึ้งครับ แวะมาไม่ถึง 2 ช.ม. ได้ความรู้เพียบ บ้านไหนมีน้องๆหนูๆลองพาเขามาดูนะครับ ได้สัมผัสประสบการณ์จริง ได้อะไรมากกว่าดูทางอินเตอร์เน็ตหลายเท่านัก



สมควรแก่เวลา เราเดินทางต่อไปยังจุดหมายต่อไป จากสวนผึ้งบิ๊กบี มีทางลัดเข้าไปที่ฟาร์มแกะพัทยาได้เลย โดยไม่ต้องออกถนนใหญ่ครับ



Pattaya Sheep Farm หรือ ฟาร์มแกะพัทยา



กวาดสายตาหาแกะ ถึงกับต๊กกะใจมดเรย เมื่อได้มาเจอกับแกะ 6 ขา!!!!



หางบัตรผ่านประตู เราสามารถนำมาแลกหญ้าได้ 1 กำ เพื่อนำไปป้อนแกะ เห็นคนรถือหญ้ามาไม่ได้ เหล่าบรรดาแกะทั้งหลายก็จะวิ่งกรูกันเข้ามาหาทันที ตัวไหนไว ยึดทำเลดีๆได้ ก็จะได้กินเยอะ ใครช้าก็น้อยหน่อย เรียกว่า ลิ้นใครยาวสาวได้สาวเอาครับ



นอกจากหญ้า ซึ่งเป็นอาหารหลักแล้ว ในบางครั้ง เจ้าพวกแกะน้อยยังมีโอกาสได้กินอาหารฝรั่งอีกด้วย ไฮโซจริงๆ



ดาวเด่นของที่นี่ คงหนีไม่พ้นเจ้าแกะน้อยสองตัวนี้ครับ ทั้งคู่ได้รับวีซ่าถาวร ให้ออกมาวิ่งเล่นนอกรั้วได้



ซนเอาเรื่องทั้งคู่เลยละครับ เจ้าตัวสีน้ำตาลออกแนวเจ้าชู้ไก่แจ้ เห็นสาวๆเป็นไม่ได้ ทั้งมุดทั้งดมกันพัลวันส่วนเจ้าตัวสีขาวก็วิ่งขอนมจากคนโน่นคนนี้ที่ ขี้อ้อนขนาดนี้เล่นเอาหมดไปหลายขวดเลยครับ



หมดฤทธิ์ซะแล้ว กินนมเสร็จหลับคาตักเลย เห็นแล้วอยากจะขโมยกลับไปเลี้ยงที่บ้านจริงๆ



ถึงเวลาแห่งการลาจากแล้ว ตัวข้างในคงเป็นแม่ของมัน เพราะเหมือนกันหยั่งกะแกะ



แม้เวลาจะจำกัด แต่คุณก็สามารถพักผ่อนอย่างเต็มที่ได้ ไม่ต้องเที่ยวเยอะ แต่เที่ยวให้สบาย ชาร์ตแบ็ตให้เต็ม แล้วกลับไปสู้ชีวิตกันต่อไปครับ สู้เค้า ทาเคชิ




สุดท้ายนี้..ฝากเพจท่องเที่ยวน้อยๆ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะครับ https://www.facebook.com/travelerpoint

ความคิดเห็น