การเดินทางครั้งนี้มันเริ่มต้นจากที่ผมอยากไปเที่ยวสงขลา และหาดใหญ่
และงานเทศกาลบอลลูนนานาชาติหาดใหญ่ และสถานที่จังหวัดใกล้เคียง ตามความอยาก
..
แต่ความที่ตั้งใจไว้ไม่เป็นไปตามอย่างที่วางไว้..!!!
สืบเนื่องจากผมมัวแต่เตร็ดเตร่อยู่ที่อยุธยาชิวจนเกินไป
คิดว่ารถไฟไทยจะมาตรงเวลาเหมือนที่ญี่ปุ่น และมันก็เป็นเช่นนั้น
แต่คิดว่าน่าจะทันขึ้นเครื่อง แต่ดันรถหัวจักรมันจะหมดแรง วิ่งช้ากว่าปกติ
ทำให้มาไม่ทันเที่ยวบินที่จองไว้กับแอร์เอเชีย
..

งานนี้ก็ต้องโทษตัวเอง ยอมรับไปเต็มๆ จะมาช้า 1 นาที หรือ 5 นาที
มาไม่ทันก็คือมาไม่ทัน คือช้านั้นเอง เพราะว่าเขาบินตรงเวลา
ต้องเผื่อเชคอินล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ชั่วโมงเพื่อความชัวร์
ณเดช มาช้านิดเดียวยังไม่ได้ขึ้นเครื่องเลย. นับประสาอะไรกับเรา 555555

....

ทริปนี้สะพายเป้ไปพร้อมกับกล้อง Nikon D750 ที่ได้มาแทนตัวเดิมตัวเก่าที่ปลดระวางไป
เลนส์ 35 mm f/1.4G และ 14-24 f/2.8
พร้อมกับโดรนของ DJI P4 ใส่เป้แบกติดมาก่อนยังไม่รู้จะได้บินหรือเปล่า

แค่อุปกรณ์ถ่ายภาพขนาดนี้ เสื้อผ้าก็ต้องลดจำนวนลงเพื่อพื้นที่จัดเก็บ
รวมไปถึง ขาตั้งกล้อง ที่ตัดสินใจทิ้งไว้ที่บ้าน
อย่างน้อยเจ้า D750 ดัน ISO ขึ้นสูงหน่อย ก็น่าจะไม่ทำให้ผิดหวังในการถ่ายภาพกลางคืน หรือที่แสงน้อย

.......


และอีกหนึ้งการเดินทางของผม สามารถเข้าไปติดตามชอได้ที่เพจ สะพายเป้ เท่ทั่วไทย
https://www.facebook.com/saphipae

ตกเครื่องแล้วไง ??
ฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟก็มีเดินข้ามสะพานลอยไปไม่กี่ก้าว
เรามันนักเดินทางสายชิว
....

สถานีรถไฟ : หาดใหญ่เต็มแล้วครับ
เต็มแล้วไง.??? ก็สายใต้ซิครับ รออะไร
จากดอนเมืองไปสายใต้ใหม่ก็ไม่ไกล แค่อยู่คนละฝั่ง กทม. เอง
.....
ได้แท๊คซี่คันเก่า โดยไม่ได้ใช้บริการผ่านแอพใดๆ กับลุงโชว์เฟอร์คนแก่
พร้อมกับบทเพลงสายัญ สัญญา มาเป็นอัลบั้ม ขับกล่อมตลอดการเดินทางสู่สายใต้ใหม่
ทำให้บรรยากาศรถติด ดูจะชิวๆเหลือเกิน ปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลง
..
หลังจากฝ่าวิกฤตรถติดกว่าจะถึงสายใต้ใหม่ พร้อมแบงค์ร้อย 3 ใบปลิวไปตั้งแต่เริ่มต้น
ก็ปาเข้าไป 1 ทุ่ม ผมก็มุ่งตรงไปยังที่ขายตั๋ว มองหายจุดหมายปลายทางสำหรับตั๋วไปหาดใหญ่

จุดขายตั๋ว : หาดใหญ่ ... เต็ม เต็ม เต็ม !! ๆๆ
ได้ยินเสียงจากตู้ถัดไปไม่ไกล : สะเดา 1 ที่จร้า ๆๆ .. ใครมันมาสั่งน้ำปาหวานสะเดาแถวนี้ 55
..จัดซิครับ : สะเดา 1 ชุด น้ำปลาหวานไม่ต้อง
ถึงสะเดาแล้วไปไหนละทีนี้ จากแผนแรกจะเที่ยวหาดใหญ่ ก็ต้องเปลี่ยนใหม่
ใกล้ชายแดนเช่นนั้นก็ข้ามฝั่งไปมาเลซิ
ข้ามแล้วไปไหน ค่อยว่ากันอีกที
.
นี่แหละนักเดินทางสายชิว เปลี่ยนแผนได้ตลอด
ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะหมดสนุกตั้งแต่ตกเครื่องแล้วก็ได้
บางคนวางแผน จองที่พัก จองรถ จองอะไรต่างๆไว้ ตกเครื่องครั้งเดียวแทบร้องไห้
บางคนถึงกับทริปล่มก็เคยมี ส่วนผมไม่ใช่ปัญหา กับการเดินทางไม่มีแผนอะไรอยู่แล้ว ..แล้วเจอกันที่มาเลเซีย

.....
จุดขายตั๋ว : หาดใหญ่ ... เต็ม เต็ม เต็ม !! ๆๆ
ได้ยินเสียงจากตู้ถัดไปไม่ไกล : สะเดา 1 ที่จร้า ๆๆ .. ใครมันมาสั่งน้ำปาหวานสะเดาแถวนี้ 55
..จัดซิครับ : สะเดา 1 ชุด น้ำปลาหวานไม่ต้อง
ถึงสะเดาแล้วไปไหนละทีนี้ จากแผนแรกจะเที่ยวหาดใหญ่ ก็ต้องเปลียนใหม่
ดูจากแผนที่ ใกล้ชายแดนเช่นนั้นก็ข้ามฝั่งไปมาเลซิ
ข้ามแล้วไปไหน ค่อยว่ากันอีกที
.
นี่แหละนักเดินทางสายชิว เปลี่ยนแผนได้ตลอด
จุดหมายเปลี่ยน ใจเปลี่ยน. สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนคือเดินหน้าเดินทางต่อไป
เมื่อพิกัดเปลี่ยน หัวใจมันไปมาเล สถานที่ท่องเที่ยวดี๋ยวค่อยว่ากันวันต่อวัน ไอเดียมันจะเกิดมาเอง

ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะหมดสนุกตั้งแต่ตกเครื่องแล้วก็ได้
บางคนวางแผน จองที่พัก จองรถ จองอะไรต่างๆไว้ ตกเครื่องครั้งเดียวแทบร้องไห้
บางคนถึงกับทริปล่มก็เคยมี ส่วนผมไม่ใช่ปัญหา กับการเดินทางไม่มีแผนอะไรอยู่แล้ว



"มาเล..อะไรพาใจให้เซมา"
..
.
สิบโมงรถมาถึงหาดใหญ่
ห๊ะ!!!! .. อะไรนะ!! หาดใหญ่ คุ้นๆมั้ยละครับ
ไหนบอกว่าหาดใหญ่เต็ม แล้วทำไมมีตั๋วไปสะเดา ทั้งๆที่รถแวะจอดที่หาดใหญ่

ปัดโธ่.โดนคนไทยหลอกคนไทยกันเอง ขายตั๋วให้ราคาแพงกว่า
แต่ไม่เป็นไรตัดสินใจไปลงที่สะเดาแล้ว ต้องนั่งให้คุ้มค่าตั๋ว
อีกอย่างเป่าหมาย ใจมันเปลี่ยนไปที่มาเลเซียแล้ว ต้องไม่เปลี่ยนใจกลับไปกลับมา
มุ่งหน้าสะพายเป้เดินทางต่อไป
..

โดยรถบัสโดยสารจอดส่งผมตรงแยก อ.สะเดา
เป้าหมายการเดินทางใหม่ใหม่คือข้ามไปประเทศมาเลเซียที่ด่านปาดังเบซา
จากสะเดาไป 11 กม. โดยรถสองแถวประจำทางในราคา 20 บาท

และจุดหมายปลายทางวันนี้คือ “อิโปห์”
ที่จุดหมายแรกของการเดินทางครั้งนี้แบบไม่ได้ตั้งใจมา



รถสองแถวาจอดส่งที่สถานีรถไฟปาดังเบซา(ฝั่งไทย)
ต่อจากนี้จะต้องซื้อตั๋วรถไฟไปปาดังเบซา(ฝั่งมาเล)
ในราคา45 บาท เป็นรถด่วนพิเศษที่มาจากหาดใหญ่ ถ้านั่งมาจากหาดใหญ่ราคาตั๋ว 80 บาท
ถึงสถานีปาดังเบซา(ฝั่งไทย) เวลา 13.55 น. และจากสถานีนี้ใช้เวลาเดินทางเพียงไม่เกิน 5นาที
ในการข้ามชายแดนไปยังสถานีปาดังเบซา(ฝั่งมาเลเซีย)
เพื่อทำเรื่องผ่านแดนและต่อขบวนรถไฟไปยัง "อิโปห์"


.



รถไฟมาแล้ว ... ตอนนี้เรายังอยู่ในประเทศไทย ก็ต้องนั่งรถไฟไทยไปก่อน

แค่สถานีเดียวเอง แป๊บเดียวก็จะได้ออกนอกประเทศแล้ว



บรรยากาศบนขบวนรถแบบไทยๆ ของบ้านเราที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี


5 นาทีในการเดินทางจากปาดังเบซาฝั่งไทย มาถึง สถานีปาดังเบซา(ฝั่งมาเล)
ลงรถไฟมาก็จะเจอบรรยากาศแบบนี้



..

Padang besar ---> Ipoh
เราจะนั่งรถไฟฟ้า ETS จาก Padang besar ไป Ipoh


ผ่านการทำเรื่องผ่านแดน ที่ใช้เวลาไม่นาน

ตอนนี้ขอนำเสนอรถไฟจากปะดังเบซามาที่ "อิโป" กันก่อน กับรถไฟฟ้า
ในราคา 66 ริงกิต ที่ดูเหมือนมีแค่รางรถไฟกั้นระหว่างคำว่าดูดี
ที่ต่างจากขบวนเมื่อกี้ที่ขึ้นมาจากฝั่งไทยมาก

ตั๋วรถไฟจะสามารถจองตัวออนไลน์จากในเว็บ สั่งจ่ายผ่านบัตรเครดิตได้เลย
จองตั๋ว ETS จาก http://www.ktmb.com.my/

หรือจะมาซื้อที่สถานีเหมือนผมก็ได้ ถ้าจองมาก่อนได้ก็ดีสำหรับคนที่มีการวางแผนการเดินทาง
*** อย่าลืม +1 ชม.ตามเวลามาเลเซีย ด้วยนะครับ ***



ผมเดินทางมาถึง "อิโป"
ประมาณสองทุ่ม เวลาที่นี่เร็วกว่าเมืองไทย 1ชั่วโมง
เมืองอิโปตอนสองทุ่มกว่าๆ เริ่มที่จะเงียบสงบแล้ว
ร้านค้าต่างๆเริ่มทยอยปิด มีร้านอาหารที่ยังเปิดสำหรับคนกลางคืนอยู่ไม่มาก
.
หนุ่มต่างแดนที่พึ่งจรมาถึงก็ต้องหาที่พักก่อน
ยังไม่มีโอกาสได้เดินเที่ยวเท่าไหร่
เอาไว้รุ่งอรุณเช้าค่อยสะพายเป้เตร็ดตร่ ..
มีเพียงบรรยากาศเล็กน้อยระหว่างเดินหาที่พักมาให้ชม ในยามค่ำคืนที่ถือว่าดึกสำหรับที่นี่.

และเป็นความผิดพลาดอีกอย่างที่ไม่ยอมติดขาตั้งกล้องมาด้วย
ทำให้พึ่งความสามารถของ D750 ในการดัน ISO ขึ้นสูงๆ


.

กว่าจะหาที่นอนได้ก็เล่นเอาซะเกือบทั่วเมือง
มาได้จริงๆก็โฮทเทลคืนละไม่กี่บาท เดินออกจากสถานีรถไฟมาไม่ไกล
และยังมีที่พักอื่นๆให้เลือกอีกหลายที่

แต่ที่พักโฮทเทลที่ได้คืนนี้ดันเป็นห้องรวม ช/ญ ซะงั้น (เข้าทาง) 5555
แต่ว่าภายในห้องมีแต่กลุ่มสาวๆ มีเพียงชายหนุ่มไทยคนเดียวภายในห้อง
ที่ดูจะเขินๆเล็กน้อย ทำอะไรไม่ได้นอกจากออกไปหาอะไรกิน และเดินเล่นต่อ
.
ไปชมบรรยากาศกันต่อดีกว่า



หากเอ่ยถึงศิลปะข้างกำแพง หลายคนคงนึกถึง "ปีนัง"
ที่คนไทยนิยมรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่ที่ "อิโปห์" รัฐเปรัก
ที่นี่ศิลปะข้างกำแพงก็ดูจะเสน่ห์ไม่ต่างจากที่อื่น
และมีเสน่ห์ของตัวมันเองอย่างลงตัว
.
อิโปห์นั้นตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองปีนัง กับกัวลาลัมเปอร์
ที่มีภูเขาล้อมรอบ ทำให้อากาศที่นี่ค่อนข้างเย็น
การเดินทางมาที่นี้ได้หลายรูปแบบ หลายเส้นทาง
อยู่ที่โปรแกรมการเดินทางของแต่ละคน
ครั้งนี้ผมเริ่มจาก ปาดังเบซาห์ อ.สะเดา จ.สงขลา
ใช้เวลาเดินทางโดยรถไฟไม่นานก็มาถึง
ทำให้ผมรู้จักอิโปห์เป็นครั้งแรกในการเดินทางครั้งนี้
.



ตัดบรรยากาศมาตอนเช้า หลังจากเมื่อคืนนอนท่ามกลางสาวๆเต็มห้อง
และใช้แรงไปเยอะ(เดินเที่ยว)
เช้าวันนี้เรามาดูอิโปห์ในบรรยากาศตอนกลางวันกันบ้าง
...
..

พูดถึงสิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเมืองอิโปห์คือกราฟิตี้ที่ปรากฏอยู่บนตึกอาคารเก่า
แบบสถาปัตยกรรมตะวันตก ที่สร้างสรรค์โดย Ernest Zacharevic ศิลปินหนุ่มชาวลิทัวเนีย
แบบเดียวกับที่ปรากฎในปีนัง
.
นอกจากภาพวาดบนฝาผนังแล้วก็ยังมี
วัด Sam Poh Tong หรือวัดถ้ำ และ
ปราสาท Kelly’s หรือปราสาทผีสิงแห่งเมืองอิโปห์
ซึ่ง 2 สถานที่นี้ผมไม่ได้ไป เอาไว้จะกลับมาแก้มือ
เพราะพึ่งจะมารู้เอาทีหลัง
..
ไปดูบรรยากาศกันยาวๆ



เดินจนเหงื่อตก พระอาทิตย์เริ่มทำงานของมัน
บ่งบอกว่าสายแล้ว ได้เวลาเดินทางต่อ ไปไหนละ...??
..
ไปไร่ชาที่คาเมรอนไฮแลนด์ ซิครับ เมื่อคืนดูข้อมูลแล้วไปไม่ไกลและไม่ยากจากที่นี่
อีกอยากที่คาเมรอนไฮแลนด์ผมเคยไปมาแล้วครั้งหนึ่ง
ครั้งนี้อยากจะลองไปเก็บภาพมุมสูง ดูว่าจะสวยกว่าที่เคยเห็นจากครั้งที่แล้วหรือเปล่า
...
.

จาก"อิโปห์" สะพายเป้ต่อไปยัง "คาเมรอนไฮแลนด์"
เมืองตากอากาศที่มีอาการเย็นตลอดทั้งปี และเต็มไปด้วยไร่ชาที่ขึ้นชื่อ
ผมเคยมาที่คาเมรอนเมื่อ 2ปีที่แล้ว แต่เป็นการเดินทางมาจาก KL
ครั้งนี้เป็นการเดินทางจาก "อิโปห์"
.
จากอิโปห์ นั่งรถเมล์สาย 30a
จาก Terminal Bus IPOH (ฝั่ง Oldtown)
ราคา 1.8 RM ไปยังสถานีขนส่ง AmanJaya
เพื่อต่อรถบัส ไปยัง Cameron Highlands
ในราคา 20 RM (1 RM. ประมาณ 8 บาท)


.



สถานีขนส่ง AmanJaya


รถบัส ไปยัง Cameron Highlands


..

..



ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง กับระยะทาง 84 กม.
ก็มาถึงเมือง Tanah Rataก่อนจะหาที่พัก
แล้วตระเวนออกตะลุยชิมชา. โดยที่นี่จะมีไร่ชา
หลักๆ สวยๆอยู่ 2 ที่ด้วยกัน คือ
ไร่ BOH และไร่ Bharat Tea Plantations
สามารถซื้อทัวร์ หรือเช่ามอเตอร์ไซค์
แต่ถ้ามาหลายคน ก็เหมาแท๊คซี่ที่ดูจะประหยัด



มาถึงช่วงบ่ายก็อย่าให้เสียเวลา จับแทคซี่ตรงไปยัง ไร่ Bharat Tea Plantations ก่อน
พรุ่งนี้เช้าค่อยไปที่ไร่ BOH.



เชคอินเข้าที่พักเรียบร้อยก็ได้เวลาปาก เวลาท้อง
ที่นี่มีร้านอาหารไทยด้วยนะ ถ้าใครเบื่ออาหารมาเลเซีย เป็นคนไทยมาเปิดกิจการร้านอาหารที่นี่
พูดไทยได้ แต่ว่ามาถึงแล้วก็น่าจะต้องลองหาอาหารท้องถิ่นกินกันหน่อย หรืออะไรก็ได้ที่เขานิยมกินกัน



..

ขอบอกว่าถ้ามาคาเมร่อนไฮแลนแล้ว ไม่สั่งเมนูนี้ (ถือว่าผิด)
แต่ต้องขออภัยที่จำชื่อเมนูไม่ได้ แต่คล้ายๆกับจิ้มจุ่มบ้านเรา เรียกดูดีหน่อยก็ชาบูนั่นเอง
ส่วนเรื่องรสชาติบอกได้เลยว่าอร่อยกว่าร้านขึ้นชื่อตามห้างดังของบ้านเราครับ



เช้าวันนี้ผมเหมารถแทคซี่เพื่อไปยังไร่ชา BOH เพราะจะได้สะดวกในการถ่ายภาพ คุมเวลาเราเองได้
ตรงไหนสวยก็จอดถ่าย ชอบมุมไหนก็อยู่นานหน่อย แทคซี่ ชม.ละ 25 RM ขั้นต่ำ 3 ชม.
ถ้าซื้อแพคเกจทัวร์ ก็จะพาไปตามที่หลักๆ จะช้าก็ไม่ได้ เพราะมีนักท่องเที่ยวคนอื่นมาด้วย
มีหลายเจ้าหลายราคาตามโปรแกรม
.....
...

เช้าวันแรกที่ไร่ชา BOH


เดินถ่ายภาพจนเหนื่อยก็มานั่งพักจิบชา ทานของว่างได้ที่ไร่ BOH
ที่นี่มีร้านขายของที่ระลึก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นชา และมีโรงงานแปรรูปชาด้วย
สามารถติดต่อเข้าเยี่ยมชมได้



จากคาเมรอนไฮแลนด์ ดินแดนแห่งไร่ชา "มะละกา" คือจุดหมายต่อไป
..
.
ทีแรกตั้งใจจะไป "ปีนัง" แต่คิดว่าอารมณ์มันคงจะไม่ต่างจาก "อิโปห์"
เลยหาพิกัดใหม่ และได้รับข้อความอินบ๊อกจากแฟนเพจเข้ามาว่า ให้ยาวไปถึง "มะละกา" เลย

มะละกา ได้ยินชื่อมานาน ยังไม่เคยไป ไม่มีข้อมูลอะไร กลัวอะไรละ
เพราะที่มาถึงตรงนี้ก็ไม่ได้ว่าจะมีข้อมูลอะไรเลย. มือถือ สัญญาณเน็ตมีก็หาข้อมูลเอาซิ จะไปยากอะไร
...
การเดินทางจากคาเมรอนไฮแลนด์ไปยัง "มะละกา" ดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เพียงแค่ซื้อตั๋วรถไปยัง "กัวลาลัมเปอร์" แล้วหารถต่อไปมะละกา
แต่ว่าตอนนี้จะมีตั๋วมั้ย !!!!!



พักเที่ยงก่อนนะครับ แล้วจะมาหารถไป KL ต่อ

"To Day Bus Full"
..
แหมๆๆ. เล่นทำเอาให้ตื่นเต้น บริษัทนี้เต็ม ก็ไปดูช่วงขายตั๋วอื่นซิครับ
รถเข้า KL มีเยอะแยะไป โชคดีเหลือที่สุดท้ายพอดีสำหรับโหลดกระเป๋า และคน
เกือบจะต้องชิวที่คาเมร่อนอีกหนึ่งคืน และมาได้เที่ยวรถ 11. โมงเช้า
ซึ่งจากคาเมร่อน ต้องใช้เวลาประมาณ 6. ชั่วโมง
ไปยังจุดหมายสถานีขนส่ง TBS ที่กัวลาลัมเปอร์ เพื่อต่อรถไปยังมะละกา
ก็เล่นนั่งกันยาวๆไปเลย



..

.



6 ชั่วโมงเต็มกับบการนั่งรถมาถึงสถานีขนส่ง TBS. สิ่งที่เห็นก็ตามรูปเลยครับ
ไม่รู้ว่าวันที่เดินทางมาวันนี้เป็นช่วงวันหยุดของชาวมาเล หรือเทศกาลอะไรหรือเปล่า
ที่ดูผู้คนจะต่อแถวยาวทุกช่องขายตั๋ว

ดูเวลาแล้วก็ล่วงเลยเกือบจะ 5 โมงเย็น เอาไงต่อละทีนี้
จะลุยต่อ หรือหยุดพักเท้า พักเหนื่อย หยุดชัตเตอร์ให้กล้องได้พัก


..



สายชิวอยู่แล้วนี้ ตั๋วก็ไม่ได้จองล่วงหน้ามาอยู่แล้ว ห้องพักที่มะละกาก็ไม่ได้จองไว้
ก็เปลี่ยนแผนซิครับ หยุดให้ชัตเตอร์กล้องได้พักบ้าง วันนี้เลยจะหาที่พักใน KL ก่อนสักคืน
เดินเล่นในตัวเมืองแห่งนี้ แล้วค่อยว่ากันต่อในวันรุ่งเช้า


..



โทรศัพท์ห่วยๆซื้อราคามือสองมาในราคา 300บาทเริ่มทำงานอีกครั้ง ค้นหาที่พัก
และแผนที่นำทางที่ดูเหมือนจะพาหลงซะส่วนใหญ่ แต่ก็ยังจำใจทนใช้มันไป


หลังจากเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เดินหน้า กลับหลัง
ไปตาม GPS มันบอก ก็มาถึงจนได้สำหรับที่พักคืนนี้
เป็นห้องพักแบบ "โฮสเทล"
ที่ดูจะเหมาะกับเรา คืนละ 260 บาท (ราคาน่าคบหา)
ติดรถไฟฟ้า สถานี KL Sentral Station
สะดวกสบายทั้งมินิมาร์ท ร้านอาหาร และแหล่งช๊อปปิ่ง
ที่ pods backpackers



เปิดหน้าต่างมาก็เจอสถานีรถไฟฟ้า ที่พาไปได้ทั่ว KL


มาถึง KL แล้ว ถ้าไม่ไปถ่ายรูปตึกแฝด เดี๋ยวเขาหาว่ามาไม่ถึง
ภารกิจตามหาตึกแฝดก็เกิดขึ้น จะไปรถไฟฟ้า เดินไป วิ่งไป
ก็แล้วแต่ความชอบ แต่ถ้าจะสะดวกสุดก็ต้องมุดใต้ดินไป
เพราะจะพาไปโผล่ใต้ตึกเลยนะ



หมดเวลาจากกัวลาลัมเปอร์ ที่เป้ สะเหร่อ ออกมาตามหาเธอที่มาเลเซีย
มาเล มาเล มาเล ๆๆๆๆๆ. (ในเพลงพี่เป้เคยเล่าไว้)
..
จับเป้ขึ้นสะพายมุ่งหน้าสู่กรุงลงกา. เฮ้ย!!! "มะละกา"
..
จากรถไฟฟ้า สถานี KL Sentral Station
ในกรุงกัวลาลัมเปอร์นั่งไปอีกหนึ่งสถานีที่สถานีขนส่ง TBS
กับค่าตั๋ว 6.5 RM ที่ดูใหญ่โต ผู้คนเดินทางมากมาย
กระจายไปตามภูมิภาคต่างๆของมาเลเซีย
แต่การหาตั๋วไป "มะละกา" ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

.

ผมได้ตั๋วในราคา 11 RM. เที่ยวเวลา 10.30 น.

เดินทางสองชั่วโมงก็มาถึงมะละกาที่สถานี Melaka Santral Torminal



จากนี้ไปนั่งรถเมล์เข้าเมืองเพื่อไปหาที่พัก โดยจับรถเมล์สาย 17

ในราคา 2 RM. ไปลงที่ Dutch Square ศูนย์กลางเมืองมะละกา

หาที่พักได้ไม่ยาก มีให้เลือกหลายที่หลายแบบ

จัดไปเบาๆคืนละ43 RM.หรือประมาณ 350 บาท. เท่านั้นเอง

.



มะละกา เมืองเล็กๆ ที่อดีตเคยเป็นเมืองท่าสำคัญของมาเลเซีย
ประวัติความเป็นมาก็หาดูข้อมูลกันได้ไม่ยาก
..
เมืองเล็กๆมีเสน่ห์ จะเดินเที่ยว หรือนั่งสามล้อก็ดูเท่ห์ไม่เบา
ครั้งนี้ผมเลือกที่จะเดินเที่ยว เพื่อจะได้เข้าไปตามจุดเล็กจุดน้อย
และมีเวลาถ่ายภาพตามสถานที่ต่างๆให้ได้มากที่สุด
..
มาถึงโยนกระเป๋าเข้าที่พัก สะพายกล้อง ออกตระเวนมะละกาตั้งแต่บ่ายจนดึก
และเริ่มต้นอีกครั้งตอนเช้ามืดอีกวัน
.
ตามไปดูบรรยากาศ มะละกา ที่ผมมองผ่านเลนส์ กันยาวๆเลยครับ



เบื่ออาหารมาเลมาหลายวัน อยู่มะละกาก็มาฝากท้องที่ร้านอาหารไทยร้านนี้แหละ
พี่สาวเจ้าของร้านใจดี ให้ข้าวก็เยอะ แถมให้ข้อมูลต่างๆ
...


อิ่มท้องมีแรงก็ออกเดินตระเวนกันต่อ .. ก็เดินมันไปเรื่อยๆครับ ไม่มีแผนอะไร
ตรงไหนสวยก็แวะเก็บภาพนานหน่อย
..
หลายๆที่มารู้ทีหลัง ไม่ได้ไป ก็แอบเสียดาย
อย่างว่าก็มาแบบไม่มีข้อมูลอะไรอยู่แล้ว



"มะละกา" นอกจากเมืองที่มีเสน่ห์ของสถาปัตยกรรม
สิ่งปลูกสร้าง อาคารบ้านเรือน ความสวยงามของเมืองแล้ว
รีวิวนี้จะมาว่าด้วยเรื่องอีกด้านของเมืองมะละกาที่ควร ระวัง !!!
=====
จากที่ได้มาสัมผัสความงามของเมือง "มะละกา" ในช่วงเวลาอันสั้น ก็พอจะทำให้รู้ว่าความปลอดภัยก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ควรระวังเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน การวิ่งราว ตลอดจนไปถึงชีวิตของเราเอง
.
ทุกครั้งที่ลงจากรถ จะถูกเตือนจากคนขับทุกครั้งเกี่ยวกับความปลอดภัย ให้ระวังโดยฉกของ ทั้งๆที่คุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ก็พอจับใจความได้ในความหวังดีที่มีให้ ถึงแม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ตาม
.
โดยเฉพาะช่วงเวลากลางคืน ที่มะละกา 2 ทุ่ม ของที่นี่ก็จะเริ่มเงียบแล้ว ถนน ตรอก ซอยเริ่มที่จะเปลี่ยว ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน
ร้านค้าต้างทยอยปิด แม้กระทั้งร้านอาหารเองก็เริ่มที่จะหาอะไรกินลำบาก
.
ถ้าเป็นไปได้การมาเที่ยวเมืองนี้ควรมากับเพื่อนเป็นกลุ่ม ไม่ควรเดินทางมาคนเดียว โดยเฉพาะผู้หญิง จะเดินไปไหนมาไหนควรที่จะมีเพื่อนไปด้วยถึงแม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ตาม
.
จากที่ได้พูดคุยกับคนไทยที่อาศัยอยู่ที่มะละกา บอกว่ามีเหตุการณ์วิ่งราวนักท่องเที่ยวบ่อยพอสมควร หนักสุดถึงขั้นเสียชีวิตก็มี
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ไม่ใช่ว่าน่ากลัวจนไม่น่าจะมา ไม่ว่าจะส่วนไหนของโลกก็่มีอันตรายกันทั้งนั้น ไม่ว่าในซอยบ้านท่านเองก็อันตรายได้เช่นกัน ตามสถานที่ท่องเที่ยวเมืองไทยเราก็ใช่ว่าจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็พอจะเห็นกันตามข่าวหน้าหนังสือพิมพ์
.
แต่สิ่งเหล่านั้นก็สามารถป้องกันได้ด้วยความไม่ประมาท เช่นหลีกเลี่ยงที่จะเดินทางไปในที่เปลี่ยว การสะพายกระเป๋าให้รัดกุม ไม่แสดงหรือโชว์ของมีค่าให้มาก กล้องก็ควรคล้องคอไว้ตลอด ไม่ควรนำมาถือกับมือ หรือมือถือก็เช่นกัน ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม
=====
"แต่ว่าถ้ามัวแต่พะวงกลัวกับสิ่งเหล่านี้มาก กลัวอันตราย
ท่านก็จะทำได้แค่นั่งดู TV อยู่ที่บ้าน หรือตามนิตยสารท่องเที่ยว"
=====
#ออกมาเที่ยวกันเถอะ
"มะละกา" เมืองที่มีเสน่ห์ ควรสะพายเป้มาสักครั้ง
#NikonThailand #Nikon #D750
.
#นายเตร็ดเตร่ #สะพายเป้ #เท่ทั่วไทย


และอีกหนึ้งการเดินทางของผม สามารถเข้าไปติดตามชอได้ที่เพจ สะพายเป้ เท่ทั่วไทย
https://www.facebook.com/saphipae



สองวันหนึ่งคืน หน้าจะเพียงพอสำหรับผม ที่มะละกา
ใช้เวลาอันน้อยนิดตระเวนเก็บภาพบรรยากาศ
ของเมืองเล็กๆเหล่านี้ที่เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ ไม่แพ้ที่ต่างๆของมาเลเซีย
...
การเดินทางเริ่มจะเหนื่อย เพราะการออกเดินทางมาครั้งนี้
ผมเริ่มต้นมาจากที่อื่นก่อนแล้ว
วันที่อยู่มะละกา ก็เป็นวันที่ 15 ของการเดินทาง

หลายๆคนออกเดินทางท่องเที่ยวเพื่อชาร์จ
พลังงานให้ตัวเอง
ส่วนผมขอเดินทางกลับบ้าน ชาร์จพลังงานเพื่อที่จะออกเดินทางต่อ
...



และขอแก้มือกับแอร์เอเชียอีกครั้ง หลังจากที่ตกเครื่องไปหาดใหญ่
ทำให้หัวใจเซ มาเท่ห์ที่มาเลเซีย ได้เปิดมุมมองใหม่ให้ตัวเองอีกครั้ง

มีเวลา 1 วันไม่รู้จะไปไหน ก็มานั่งคอยเชคอินที่สนามบินนี่แหละ
รับรองไม่ตกเครื่องแน่นอน 55555
...
ขอบคุณทุกท่านที่เสียเวลาแวะเข้ามาเยี่ยวชมรีวิวนี้
โอกาสหน้าจะเดินทางไปไหน
แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังแน่นอนครับ

"นายเตร็ดเตร่"
สะพายเป้ เท่ทั่วไทย
https://web.facebook.com/saphipae/



สะพายเป้ เท่ทั่วไทย

 วันพฤหัสที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 13.19 น.

ความคิดเห็น