โฮมสเตย์ที่กลายเป็นกระแสมาสักพักนึง แต่เราเองก็พึ่งจะมีโอกาสได้มาสัมผัสกะเขาสักที เพราะงานดีๆแบบนี้เรามักจะไม่พลาด ตามสโลแกน คือ " มีธรรมชาติที่ไหน จะต้องมีเราที่นั้น " ฮ่าๆ โดยเป็นการมาพักผ่อนเมื่อช่วงเดือนเมษาที่ผ่านมาครับ ไม่อยากจะดองภาพเอาไว้นาน เลยเอาบรรยากาศมาอวดเพื่อนๆที่ชอบอะไรที่มันดูดิบๆ และชอบนอนโฮมสเตย์ที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ให้มีความอยากกันสักหน่อย


" เฌอชีวา " ชื่อสั้นๆ แต่ฟังแล้วดูดี เป็นโฮมสเตย์ในหมู่บ้านแม่แมะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ที่อยู่ท่ามกลางหุบเขา มีน้ำตกไหลผ่าน ผ่านเส้นทางอันคดเคี้ยว เสียวและแคบ ด้วยระยะทางเกือบ10 กม. จากถนนใหญ่ แต่ด้วยความอยากของเรา จึงทำให้อุปสรรค์เป็นเรื่องที่จิ๊บๆมาก ฮ่าๆ


ฝากติดตามเพจการเดินทางของเราไว้ด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/wanderaroundthailand/


โฮมสเตย์หาไม่ยากเลยครับ ขับตามเส้นทางมาเรื่อยๆ เส้นทางจะเป็นเหมือนในภาพซะส่วนใหญ่นะครับ แคบ และที่สำคัญเวลาถึงทางโค้งอย่าลืมบีบแตรด้วยนะ เพราะเป็นกฏระเบียบของที่นี่ หากเห็นบ้านต้นไม้(อีกหนึ่งโฮมสเตย์ฮิต) ก็แสดงว่าถึง "เฌอชีวา" แล้วครับ เพราะที่พักจะอยู่ถัดลงไปด้นล่าง ห่างจากบ้านต้นไม้ แค่ 20เมตร เพราะโฮมสเตย์ที่บ้านแม่แมะอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน จึงหากันได้ไม่ยากเลย



เมื่อเห็นป้ายแบบนี้ที่อยู่ด้านหน้าที่พัก ก็แสดงว่าเราได้มาถึงแล้ว

ขอบอกรายละเอียดกับกับที่พักคราวๆกันก่อนนะครับ โฮมสเตย์ที่นี่จะเป็นบ้านหลังเดียว ที่มีห้องพักเพียงแค่3ห้องเท่านั้น โดยห้องที่ใหญ่ที่สุดจะเป็นห้องใต้หลังคา (ชั้น3) นอนได้6-8คน ซึ่งห้องนี้เป็นห้องของเราในค่ำคืนนี้ ค่าเสียหาย 2000บาท/คืน (นอนได้4คน) และ 400บาท/คน สำหรับที่นอนเสริม หากต้องการอาหารเย็นด้วย ก็ตกหัวละ 150บาท ครับ ส่วนอีก2ห้องที่เหลือ ราคาอยู่ที่ 1500บาท/คืน นอนได้2คนครับ ทุกราคารวมอาหารเช้าด้วยครับ



เมื่อมาถึงหน้าห้องพัก มีพนักงานสี่ขาอยู่คอยต้อนรับเราด้วย แถมยังเป็น รปภ ส่วนตัวให้เราเกือบตลอดทั้งคืน ฮ่าๆ

บริเวณรอบๆของโฮมสเตย์ จะมีน้ำตกเล็กๆไหลผ่าน ซึ่งมีน้ำไหลตลอดทั้งปี ความเงียบสงบกับความเป็นธรรมชาติ ทำให้ที่นี่เป็นอีกที่ที่น่ามาปลีกวิเวกสุดๆ



ขนาดน้องหมายังฟิน ดูหน้าเธอสิ แล้วเราจะไม่ฟินตามได้อย่างไร อิอิ


เราเดินทางมาถึงที่นี่ก็เกือบจะเย็นๆแล้วครับ แถมไม่ได้แวะซื้ออะไรติดไม้ติดมือเข้ามาด้วย เลยต้องจ่ายค่าอาหารเย็น แล้วก็นั่งรอนอนรอเพื่อชิมฝีมือ


ไม่ใช่แค่เราเท่านั้นที่รอ เจ้าตูบก็รอเพราะความหิวไม่แพ้กันกับเรา ฮ่าๆ


เสียงในห้องครัว บ่งบอกว่ากิจกรรมการทำให้อาหารเย็นให้เราทานกำลังเริ่มขึ้นแล้ว มีความตื่นเต้นนิดๆที่จะได้นั่งทานอาหารเย็นท่ามกลางป่าไม้และสายน้ำ ซึ่งโมเม้นแบบนี้มันห่างหายไปจากตัวเราไปนานพอสมควร


ภายในห้องครัวมีมุมหนึ่งที่สะดุดตามาก ก็คือรูปนี้หละครับ จู่ๆก็รู้สึกคิดถึงพ่อคนนี้ทันที T-T


ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง กลิ่นหอมเริ่มโชยมาเตะจมูก รอลุ้นกันว่าวันนี้หน้าตาอาหารของเราจะเป็นอะไร (เพราะในแต่ละวันอาหารที่ทำนั้นจะไม่ซ้ำกัน) และแล้วอาหารก็มาเสริมลงตรงหน้า หืมมมมม....มันน่ากินมากกก ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริก ปลานึ่ง ต้มไก่ อยากจะบอกว่านี่คือของโปรดของเราท้างน้านนนน เราไม่รอรี ด้วยความหิว จึงกินกันอย่างไม่ยั้ง ฮ่าๆ


อ้อ..ลืมบอก อาหารจะมีทั้งหมด4อย่างนะครับ คนละ150บาท หากเทียบกับรสชาติอาหารและบรรยากาศ เราถือว่าคุ้มครับ เพราะมันอร่อยจริงๆแถมบรรยากาศก็ชวนให้นั่งกินกันแบบเพลินๆอีกด้วย

อิ่มท้องเสร็จ ก็ได้เวลาเข้าห้องไปพักผ่อนกัน เพราะไม่รู้จะทำอะไร ไม่มีทีวีให้ดู ได้แต่นอนมองหน้ากันเพื่อให้หลับ (ใครที่จะมาที่นี่อย่าลืมพกยาทากันยุงมาด้วยนะครับ ช่วงเย็นๆยุงจะเยอะหน่อย แต่พอค่ำๆ ดึกๆ จะไม่ค่อยเห็นละ) สักพักเราก็หลับไปพร้อมๆกับเสียงสายน้ำที่ไหลอยู่เบื้องล่างตลอดทั้งคืน


สวัสดีเช้าวันใหม่ ด้วยอุณภูมิ 14องศา นิดๆ เฮ้ยย..นี่เรามาช่วงหน้าร้อน แต่ทำไมอากาศมันเย็นดีเช่นนี้ ตื่นมารับความสดชื่นกันแบบเต็มๆ พร้อมรออาหารเช้าด้วยการลุ้นอีกเช่นเคยว่าจะเป็นเมนูอะไร


ระหว่างรออาหารเช้า ได้ยินมาว่าที่นี่มีกาแฟดริปให้เราได้ลองกันด้วย มีรึที่คอกาแฟอย่างเราจะพลาด


ระหว่างรอกาแฟดริป ก็พึ่งนึกขึ้นได้ ว่า "วันนี้เราจะต้องกลับแล้วเหรอเนี๊ย.." รู้สึกขยับตัวไม่ออก เพราะไม่อยากจะกลับ ยังซึมซับกับบรรยากาศที่นี้ไม่เท่าไหร่เล้ยย อยากอยู่ต่ออีกสัก 3-4วัน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะมีภารกิจทริปอื่นๆที่กำลังรออยู่


อาหารเช้ามาเสิร์ฟแล้วว เป็นข้าวต้มครับ เป็นอาหารง่ายๆ ที่อร่อยมาก นั่งทานข้าวต้มร้อนๆพร้อมกับอาหารเย็น ฟินเป็นที่สุดครับ จริงๆไม่ได้โม้


ทานอาหารเช้าเสร็จ ก็ได้เวลาเดินสำรวจ ดื่มด่ำกับธรรมชาติให้เต็มที่ ก่อนจะกลับไปรับมลพิษในแบบชีวิตคนเมืองกัน หนึ่งวันที่เลือกมาเยือนที่นี่ ถึงมันจะดูสั้นมากกก เพราะความบ้าของเรา จึงทำให้ขับรถจากกรุงเทพมาถึงที่นี่ได้ ฮ่าๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ รู้สึกเหมือนธรรมชาติมันมีแรงดึงดูดยังไงยังงั้น ต่อให้มีเวลาแค่วันเดียวก็ตาม หากตัวเราโดนกฏของแรงดึงดูดนั้นแล้ว ก็ยากที่จะปฏิเสธที่จะไม่มาได้


สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณที่เข้ามาอ่านรีวิวฉบับมินิของเรานะครับ รูปอาจจะมีน้อยไปนิสนึง หากข้อมูลตกหล่นหรือผิดพลาดจุดไหน ต้องขออภัยด้วยนะครับ ส่วนการเดินทางมา "เฌอชีวา" สามารถขับรถตาม Google Map ได้เลยครับ โดยขับมาตามถนน เชียงใหม่ - เชียงดาว (ทางหลวง107) พิกัดตามลิ้งค์นี้เลยครับ https://goo.gl/maps/4TGkR8pDGno



Freelance บ้าเที่ยว

 วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 15.05 น.

ความคิดเห็น