.

.

ผมมาเที่ยวภูเก็ตน่าจะเกินสิบรอบแล้ว (บ้านผมอยู่ลพบุรี) แต่ครั้งนี้ถือเป็นทริปที่พิเศษกว่าครั้งไหน ๆ เนื่องจากมีโอกาสได้เข้าพักที่ Sawasdee Village นี่เองครับ แล้ว Sawasdee Village เนี่ยมีอะไรดีหนักหนา ผมถึงได้ประทับใจมาก ลองติดตามรีวิวนี้ดูนะครับ แล้วจะรู้ว่าที่นี่มีดียังไง

Sawasdee Village ตั้งอยู่ที่หาดกะตะ ทางเข้าโรงแรมถือว่าเล็กกว่าโรงแรมอื่น ๆ ที่ผมเคยเข้าพักมามากเลยทีเดียว แต่การตกแต่งของทางโรงแรมดูร่มรื่นมาก ๆ ครับ ทางเข้าถูกปกคลุมไปด้วยต้นลีลาวดี แถมมีบ่อน้ำเล็ก ๆ พร้อมน้ำพุ ทำให้รู้สึกถึงความชุ่มชื้น และเงียบสงบมาก ๆ ครับ

เดินถัดประตูเข้ามา จะพบกับป้ายโรงแรม ที่ออกแบบเป็นสไตล์สถาปัตยกรรมไทยผสมอาระเบียนครับ

ขณะที่ติดต่อห้องพัก ทางโรงแรมจัด Welcome Drink เป็นน้ำใบเตยหอมหวาน แก้วใหญ่ พร้อมผ้าเย็น ทำให้ผมหายเหนื่อยเลยครับ

The Baray Villa ถือว่าเป็นโซนพิเศษของ Sawasdee Village ประตูไม้บานใหญ่พร้อมป้ายบอก Permission Guest Only จะเป็นตัวแบ่งอาณาเขตของโซน The Baray Villa และโซน Sawasdee Village ขอบอกเลยครับว่า เมื่อเดินผ่านประตูไม้บานใหญ่นั้นมา ความรู้สึกแตกต่างระหว่างโซน The Baray Villa และโซน Sawasdee Village ก็บังเกิดอย่างชัดเจน ในโซนของ The Baray Villa มีความเป็นส่วนตัวมาก เงียบสงบ และดูหรูหราไม่เบาเลยครับ

ผมขอชื่นชมพนักงานต้อนรับที่นี่นะครับ ให้การต้อนรับที่อบอุ่นจริง ๆ หลังจากได้ห้องพักเรียบร้อยแล้ว พนักงานพาผมไปที่ห้อง เพื่อแนะนำอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในห้องพักครับ

ห้องพักใน The Baray Villa มีทั้งหมด 14 ห้อง ผมได้พักที่ห้อง 214 ชื่อห้อง North Star สำหรับการตั้งชื่อห้องพักของที่นี่จะตั้งชื่อตามจักรราศีทั้ง 12 ราศี แต่จะมี 2 ห้องคือ ห้องที่ผมเข้าพัก ชื่อ North Star และอีกห้องคือ The Moon ซึ่งจะเป็นห้องริมสุด พนักงานบอกว่า สองห้องนี้จะเป็นห้องที่ดีที่สุดของที่นี่ เนื่องจากว่าจะมีพื้นที่มากกว่าห้องอื่น ๆ พื้นที่ส่วนที่มากกว่าห้องอื่นจะเป็นส่วนของสวนหย่อม ซึ่งแขกสามารถมานั่งพักผ่อนได้

จุดเด่นของห้องแบบ Villa นี้ จะเป็น Villa แบบ Triple pool access ซึ่งถือว่าเป็นแห่งแรกในภูเก็ตที่มีการออกแบบอย่างนี้ครับ ส่วน Triple pool access มีการออกแบบอย่างไร เดี๋ยวผมจะมาเฉลยทีหลังครับ

เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้ว จึงได้รู้ว่าห้องพักของ The Baray Villa แบ่งเป็น 2 ชั้นครับ ด้านซ้ายจะพบพื้นที่สำหรับวางรองเท้า ใกล้ ๆ กันทางโรงแรมตกแต่งลักษณะเหมือนสระบัว สำหรับพื้นที่จะแบ่งเป็น 2 โซน โซนด้านซ้ายจะเป็นพื้นที่สำหรับนั่งทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น นั่งอ่านหนังสือ ดูหนัง หรือนอนแช่อ่างน้ำก็ได้ครับ ส่วนด้านขวาจะเป็นบันไดที่จะพาเราขึ้นไปยังห้องนอนข้างบนครับ

ผมขอพามาดูพื้นที่ในส่วนห้องพักผ่อนข้างล่างก่อนก็แล้วกันนะครับ เมื่อเดินไปตามทางเดินจนสุด พื้นที่บริเวณนั้นจะเป็นพื้นที่สำหรับจัดเตรียมอาหาร มีตู้เย็น ตลอดจนเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เกี่ยวกับอาหารจัดเตรียมไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็น จาน ชาม ช้อน ส้อม แก้วน้ำ แก้วไวน์ ที่เปิดขวด กาน้ำร้อน กระติกน้ำแข็ง ซึ่งน้ำแข็งสามารถขอจากพนักงานได้ฟรีตลอด 24 ชม. ที่นี่ยังมีน้ำดื่มฟรีให้กับแขก 6 ขวดครับ พื้นที่ด้านขวามือของพื้นที่ส่วนนี้จะเป็นห้องน้ำ ส่วนพื้นที่ด้านซ้าย จะเป็นพื้นที่ที่พาไปสู่ห้องนั่งเล่นครับ

มาดูพื้นที่ส่วนที่เป็นที่นั่งทำกิจกรรมชั้นล่างกันก่อนดีกว่าครับ จุดนี้จะมีชุดโซฟาขนาดใหญ่สำหรับนั่งเล่น ดูทีวี หรืออ่านหนังสือ พร้อมกับ Welcome Fruitซึ่งมีทั้งเงาะ ลำใย กล้วย เตรียมไว้ให้อย่างพอเหมาะครับ ด้านในสุดจะเป็นพื้นที่สำหรับใช้เขียนหนังสือครับ

ทางโรงแรมมีหนังสือเตรียมไว้ให้แขกได้อ่านเพลิน ๆ ด้วยครับ

มาดูพื้นที่สำหรับทำงานเขียนหนังสือแบบชัด ๆ ครับ การตกแต่งของที่นี่จะเป็นสไตล์ดูไบ ผสม โมรอคโค และยังมีมีกลิ่นอายความเป็นไทยร่วมอยู่ด้วย เพราะที่ดูจากการเอาของมาตกแต่ง บ่งบอกถึงเมืองพุทธครับ จะมีพระพุทธรูปเข้ามาเป็นองค์ประกอบในการตกแต่งห้องด้วย

จากมุมโต๊ะเขียนหนังสือ หันหลังกลับไป จะเห็นเป็นพื้นที่สำหรับนั่งดูทีวีครับ ด้านซ้ายที่เห็นเป็นผ้าม่านนั่น ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผมประทับใจมาก ๆ ครับ แล้วเดี๋ยวผมจะรูดม่าน เฉลยว่าด้านหลังม่านนั้นมันมีอะไร

ถ้าหากมองไปที่ผนังด้านหน้าจะมองเห็นประตู ประตูนี้จะเชื่อมออกไปยังพื้นที่สวนหย่อมด้านนอก และยังสามารถใช้ทะลุไปยังสระว่ายน้ำด้วยครับ ห้องที่ผมพักจะมีพื้นที่เป็นสวนหย่อมส่วนตัวด้วย บอกแล้วว่า ห้องที่ผมพักดีที่สุดใน The Baray Villa ครับ

สวนหย่อมมีขนาดกว้างขวางมากครับ แขกห้องอื่นไม่สามารถเข้ามาในส่วนนี้ได้ พื้นที่บริเวณสวนเชื่อมต่อกับสระว่ายน้ำด้วยครับ

ก่อนจะไปดูส่วนอื่นกันต่อ ผมขอเฉลยก่อนแล้วกันครับว่า การออกแบบแบบ Triple pool access เป็นอย่างไร ทำไมผมถึงประทับใจกับสิ่งที่อยู่ด้านหลังม่านมาก ๆ

เมื่อรูดม่านออก ก็จะพบกับสิ่งนี้ครับ เป็นอ่าง Jacuzzi ด้วย ด้วยความลึกอ่าง 0.40 เมตรครับ ที่เห็นก็ไม่ใช่ Jacuzzi ธรรมดานะครับ

เมื่อเปิดประตูออกมา ก็สามารถย้ายตัวจากอ่าง Jacuzzi เข้าสู่สระว่ายน้ำส่วนตัวเลยครับ บริเวณนี้ไม่ต้องกลัวคนข้างนอกเห็นนะครับ เพราะล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ที่ทางโรงแรมปลูกไว้บังสายตาคนข้างนอกครับ

เมื่อเปิดประตูอีกบาน ลักษณะคล้ายประตูรั้วบ้าน ก็จะมาพบกับสระว่ายน้ำส่วนกลาง (Main Pool) ที่มีชื่อเรียกว่า Oasis Poolขอบอกว่าขนาดใหญ่มาก จากขอบสระด้านหนึ่งถึงขอบสระอีกด้านหนึ่ง ยาวถึง 55เมตรครับMain Pool นี้จะเชื่อมต่อกับสระว่ายน้ำส่วนตัวของแต่ละห้องพักครับ

ด้านซ้ายและขวาตลอดความยาวของ Oasis Pool จะมองเห็นเป็นกำแพงต้นไม้ ที่ทางโรงแรมได้ปลูกตกแต่งให้ปิดบังสายตาของแขกที่มาว่ายน้ำมองเข้าไปยังห้องพักต่าง ๆ ทั้ง 14 ห้อง ที่อยู่ขนาบข้างของ Oasis poll แห่งนี้ ผมลอยตัวอยู่ตรงกลางสระน้ำ แล้วมองออกไปที่ปลายของสระว่ายน้ำอีกฝั่งหนึ่ง รู้สึกสดชื่นมาก ๆ ครับ ด้วยความเขียวของกำแพงต้นไม้ บวกกับสีฟ้าครามของสระว่ายน้ำและความเย็นของน้ำในสระ ผมอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงนี้จริง ๆ ครับ

มองย้อนกลับไปอีกด้านหนึ่งของสระน้ำ มีการตกแต่งอย่างสวยงาม มีน้ำตกขนาดเล็กตกลงมาจากผนังที่ทางโรงแรมตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ด้วยแจกันทรงสูงจำนวน 4 ชิ้น จุดนี้อยู่ติดกับห้องพักของผมเลยครับ ทางโรงแรมได้เตรียมเตียงน้ำเป่าลมสำหรับให้แขกนอนลอยอยู่บนเตียงน้ำอย่างสนุกสนานครับ ขอบอกนิดนึงว่า บริเวณ Oasis Pool นี้ แขกอื่นไม่สามารถเข้ามาใช้บริการได้นะครับ นอกจากแขกที่พักใน The Baray Villa เท่านั้น

ทีนี้มาดูบริเวณห้องน้ำชั้นล่างกันบ้างดีกว่าครับ

บริเวณห้องน้ำชั้นล่าง เรียกว่าโอ่โถงมาก ๆ แยกส่วนโซนอ่างล้างหน้า บริเวณขับถ่าย และบริเวณอาบน้ำได้อย่างลงตัว ในห้องน้ำนี้ยังมีประตูที่เชื่อมไปยังสวนหย่อมส่วนตัวข้างนอกได้ด้วยครับ

ดูพื้นที่ใช้สอยด้านล่างหมดแล้ว เราไปดูชั้นสองที่เป็นส่วนที่พักกันต่อครับ เดินตามขึ้นบันไดมาเลยครับ

เมื่อเปิดประตูบนชั้นสองเข้าไป ก็จะพบกับพื้นที่แบบนี้ครับ ด้านซ้ายจะเป็นโซนห้องน้ำ ส่วนถ้าเดินตรงเข้าไป จะเป็นโซนเตียงนอนครับ

ผมขอพาเดินตรงเข้าไปชมบริเวณส่วนที่เป็นห้องนอนก่อนเลยนะครับ ด้านซ้ายขวาจะเป็นตู้เก็บเสื้อผ้า ภายในตู้เสื้อผ้าจะมีชุดคลุมสำหรับให้แขกใส่ลงไปว่ายน้ำข้างล่าง มีผ้าขนหนูสำหรับว่ายน้ำ นอกจากนี้ยังมีตู้เซฟไว้คอยบริการด้วยครับ

ดูการตกแต่งฝาตู้เสื้อผ้านะครับ มีความใส่ใจในรายละเอียดมาก ๆ ครับ

เดินผ่านตู้เสื้อผ้าเข้ามาก็จะเป็นโซนห้องนอน ที่ด้านขวาจะพบชุดโซฟา พร้อมจอ LCD 42 นิ้วครับ ชุดโซฟาที่เห็นไม่ได้ธรรมดาแบบที่คิดนะครับ มีฟังก์ชั่นอำนวยความสบายด้วยครับ

บริเวณที่วางเท้าที่เห็นเป็นผ้าขนหนูพับไว้ หากเลื่อนแผ่นไม้เก็บไว้ที่ใต้ชุดโซฟา บริเวณนี้จะกลายเป็น Foot Bath ที่มีทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็น สุดยอดไหมละครับลองคิดดูนะครับ ได้มานั่งบนโซฟานุ่ม ๆ ดูทีวีไปด้วย แล้วได้เอาเท้าแช่น้ำอุ่นไปด้วยมันจะมีความสุขขนาดไหน ที่ด้านข้างของ Foot Bath มีเครื่องฟอกอากาศที่เปิดทำงานอยู่ตลอดเวลา ผมลืมบอกไปว่า นอกจากทีวีจะใช้ดูข่าว ดูหนังฟังเพลง สารคดีต่าง ๆ ได้แล้ว ยังสามารถเล่น Internet ผ่านทีวีนี้ได้อีกด้วยครับ

เขยิบมาทางซ้ายอีกนิดนึง ก็จะพบเตียงขนาดใหญ่ ที่เมื่อได้ทิ้งตัวลงไปบนเตียงแล้ว เรียกได้ว่าไม่อยากจะลุกขึ้นมาเลยครับ เตียงและหมอนนุ่มมาก ๆ ที่ปลายเตียงยังมีชุดโซฟาสำหรับใช้นั่งดูทีวีได้อีกด้วย ที่หัวเตียงตกแต่งด้วยโคมไฟหลากสี พร้อมไม่สลักขนาดใหญ่สีทองอร่าม ทำให้รู้สึกว่า ณ ช่วงเวลานี้ได้นอนอยู่ในวังเลยครับ

ดูที่เพดานห้องกันบ้างครับ เป็นไงละครับ มีการเจาะเพดานเข้าไปด้วย ไม่ธรรมดาจริง ๆ ครับ

ด้านข้าง ๆ ของเตียงนอน เมื่อมองผ่านช่องประตูออกไป จะเป็นส่วนของห้องน้ำครับ มีอ่างน้ำตั้งอยู่กลางห้องเลยครับ

มาดูในส่วนที่เป็นโซนห้องน้ำกันบ้างครับ โอ่โถงมาก ๆ เลยครับ ด้านซ้ายมือจะเป็นอ่างล้างหน้า ด้านขวามือจะเป็นอ่างสำหรับแช่ตัว ส่วนตรงกลางจะเป็นโซนฝักบัวและโถสุขภัณฑ์ครับ

พื้นที่อ่างล้างหน้าครับ มี 2 อ่าง มีการตกแต่งเหมือนกล่องสมบัติ ใช้สำหรับวางเครื่องอาบน้ำ พร้อมไดร์วเป่าผมไว้ด้วย เก๋ไม่เบาครับ

ห้องน้ำที่นี่ Open ขนาดไหนครับ มีอ่างอาบน้ำอยู่กลางห้องเลยครับ

มาดู Facilities ที่จัดไว้ใน The Baray กันบ้างครับ ที่นี่มีห้องอาหาร Al Majlis สำหรับบริการแขกที่พักใน The Baray ครับ ถ้าหากจะใช้บริการ ต้องจองล่วงหน้านะครับ

อีกจุดเป็น counter bar สำหรับแขกที่มาว่ายน้ำบริเวณ Oasis Pool ครับ

Facilities ที่อยู่ในโซนของ The Baray Villa อาจจะมีน้อยไปหน่อย แต่ขอบอกว่า แขกที่พักใน The Baray Villa สามารถใช้ ดู Facilities ที่อยู่ในโซน Sawasdee Village ได้ทุกอย่าง แต่แขกที่พักในโซน Sawasdee Village ไม่สามารถเข้ามาใช้ Facilities ที่อยู่ในโซน The Baray Villa ได้ครับ

ทีนี้มาดู Facilities ที่อยู่ในโซนของ Sawasdee Village กันบ้างดีกว่า จุดแรกที่ผมอยากนำเสนอคือ The Baray Spa

The Baray Spa ได้รับการโหวตให้เป็น1 ใน 50 Spa ที่ดีที่สุดจากการสำรวจของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยด้วยครับ

เมื่อเข้ามาด้านใน Spa พนักงานจะแนะนำ Package ต่าง ๆ ซึ่งวันนี้ผมเลือใช้บริการคือ Steam 30 นาที Body scrub 30 นาที Body Massage 60 นาที และ Facial 60 นาทีครับ

ด้านใน Spa ตกแต่งอย่างสวยงามมาก ๆ ครับ

ห้อง Spa แต่ละห้องครับ เป็นส่วนตัวมาก ๆ

ถือว่าเป็นครั้งแรกของผมและเพื่อนของผมเลยก็ว่าได้สำหรับการทำ Spa เข้าไปก็เคอะเขิน พนักงานให้เปลี่ยนเสื้อผ้าที่จัดไว้ให้ ทั้งผมและเพื่อนต่างเก้ ๆ กัง ๆ ว่าจะต้องถอดเสื้อผ้ารวมถึงกางเกงในออกหมดเลยหรือไม่ เพื่อนผมก็เลยแง้มประตูไปถามพนักงานว่า "ถอดหมดเลยเหรอครับ" พนักงานตอบกลับมาว่า ถอดออกหมดเลย ผมเริ่มมองหน้าเพื่อนว่า จะเอายังไงกันดี จะถอยหรือลุยต่อ แต่ท้ายสุดก็ตกลงปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจนหมด เนื่องจากอยากจะลองการทำ Spa สักครั้งในชีวิตเหมือนกัน

เมื่อจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าที่พนักงานจัดให้ไว้แล้ว พนักงานก็ให้ผมนั่งที่โซฟา พร้อมเอาเท้าแช่น้ำ ทำการล้างเท้าให้ โอ้ว... พนักงานเอามือล้างเท้าและขัดเท้าให้อย่างนุ่มนวล ผมเองก็กระดากใจอยู่เหมือนกันเพราะไม่เคยมีใครมาล้างเท้าให้แบบนี้

สักพักพนักงานก็ให้ผมไปอาบน้ำและอบไอน้ำครึ่งชั่วโมงครับ จากนั้นก็ทำการขัดตัวด้วยเมล็ดกาแฟ ลงน้ำมัน นวดตัว ปิดท้ายด้วยบำรุงผิวหน้าครับ ตลอดระยะเวลา 3 ชม. ผมรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมากเลยทีเดียวครับ

เวลา 3 ชม. มันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากเสร็จสิ้นการทำ Spa ทางโรงแรมยังมีอาหารว่าง เป็น คุกกี้ ชา และผลไม้ให้กับเราอีกด้วยครับ บริการดีจริง ๆ ครับ

ขณะที่ผมเข้ามาทำ Spa ผมไม่ได้ติดกล้องถ่ายรูปมาด้วย เมื่อทำ Spa เสร็จผมเลยขออนุญาตเจ้าหน้าที่ว่าจะขอเข้ามาถ่ายรูปใน Spa ได้ไหม เจ้าหน้าที่อนุญาตด้วยความยินดี และมาเปิดห้อง Spa ห้องอื่น ๆ ให้ผมได้เข้าไปถ่ายรูปตามที่ผมต้องการ

มาดูบรรยากาศโดยรอบของ Sawasdee Village ในช่วงแดดร่ม ลมตก กันบ้างดีกว่าครับ

บริเวณ Lobby ครับ ทางเข้าตกแต่งเป็นสระน้ำ มีสะพานนำไปสู่ Lobby ด้านในครับ

บริเวณสระว่ายน้ำส่วนกลางของโซน Sawasdee Village ครับ ดูคับแคบกว่า Oasis Pool เป็นไหน ๆ

บริเวณนี้เป็นที่นั่งพักผ่อน ออกแบบเป็นชิงช้าขนาดใหญ่มาก ตัวนึงนั่งได้2-3 คนเลยครับ

บริเวณทางเดินที่จะไป The Baray Spa และห้องอาหารครับ

บรรยากาศช่วงนี้ผมว่าสวยที่สุดเลยครับ บริเวณทางเข้าในโซน The Baray Villa ครับ หรูเลิสมากครับ

ผมไม่ได้ถ่ายบรรยากาศของห้องอาหารในโซน Sawasdee Village มาให้ชมครับ แต่ Line อาหารเช้ามีแต่ของคุณภาพทั้งนั้น แขกที่พักในโซน The Baray Villa สามารถมาทานอาหารเช้าที่นี่ได้ หรือจะให้ไปเสริฟถึงห้องพักเลยก็ได้นะครับ ถ้ามาทานที่ห้องอาหาร จะเป็น Buffetแต่ถ้าไปเสริฟที่ห้อง จะเป็นอาหารชุดครับ

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในภูเก็ตที่ผมตะเวนเที่ยวมาในทริปนี้ ขอเริ่มจากใกล้ ๆ โรงแรมเลยนะครับ

เริ่มกันที่หาดกะตะครับ อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม หาดกะตะเป็นชายหาดที่มีเม็ดทรายขาว เม็ดละเอียด เวลาเดินเท้าเปล่า จะรู้สึกถึงความนุ่มเลยครับ จากหาดกะตะ สามารถเดินไปที่หาดกะตะน้อยและหาดกะรนได้ครับ

จากหาดกะตะถ้าเราไม่เดินก็สามารถขับรถต่อไปเพียงไม่กี่อึดใจ ก็จะถึงหาดกะรนครับ หาดกะรนเป็นชายหาดที่ยาวที่สุดในภูเก็ต หาดทรายขาวละเอียดเหมือนกับหาดกะตะ บริเวณหาดนี้จะมีคลื่นลมแรง จึงไม่ค่อยนิยมจะเล่นน้ำกัน แต่นักท่องเที่ยวนิยมจะมานอนอาบแดดกันมากกว่า สังเกตจากเตียงชายหาด ตั้งเรียงรายอยู่เต็มไปหมดครับ

จากนั้นผมมุ่งหน้าสู่จุดชมวิว 3 หาด ซึ่งมองเห็นหาดกะตะน้อย หาดกะตะ และหาดกะรนครับ จุดชมวิวนี้ถือว่าเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากครับ

เที่ยวทะเลมา 2 แห่งแล้ว ขอเบรกไปไหว้พระกันบ้าง วัดไชยธาราม หรือที่รู้จักกันในนาม วัดฉลอง วัดนี้เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองภูเก็ต ใครมาภูเก็ตต้องแวะมานมัสการหลวงพ่อแช่มเพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเอง ภายในวัดยังมีพระมหาธาตุเจดีย์พระจอมไทยบารมีประกาศ สร้างขึ้นเพื่อนใช้ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่นำมาจากประเทศศรีลังกาครับ

ไหว้พระเสร็จ ไปหามุมถ่ายรูปเก๋ ๆ กันในโบทลากูนดีกว่าครับ โบทลากูนเป็นรีสอร์ทสไตล์มารีน่า ภายในจะมีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นท่าจอดเรือยอร์ชได้ บรรยากาศเหมือนเมืองนอกเลย ถึงไม่ได้พักก็สามารถเข้าไปถ่ายรูปชมบรรยากาศด้านในได้ครับ

มาชม Unseen Thailand กันที่วัดพระทอง หรือที่รู้จักกันดีในชื่อวัดพระผุดครับ ตามความเชื่อของวัดนี้เล่าว่า มีเด็กจูงควายไปกินหญ้าที่กลางทุ่ง แล้วเด็กก็เอาเชือกผูกควายไว้กับพระเกตุมาลา เนื่องจากเด็กคิดว่าเป็นท่อนไม้ เมื่อเด็กกลับถึงบ้าน ปรากฎว่าเด็กได้เสียชีวิตลง และควายตัวนั้นก็เสียชีวิตด้วยเหมือนกัน พ่อของเด็กได้ฝันถึงสาเหตุที่ลูกชายและควายตาย วันรุ่งขึ้นจึงไปดูที่เกิดเหตุตามในฝัน จึงรู้ว่าจุดที่เด็กเอาควายไปผูกนั้นคือพระพุทธรูปนั่นเอง ปัจจุบัน ทางวัดได้สร้างพระผุดองค์จำลองสวมทับองค์เดิมไว้ครับ

มาชมวิวมุมสูงกันที่จุดชมวิวช่องเขาขาดกันครับ ที่นี่ยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวสักเท่าไร อาจจะเพราะระยะทางมาที่นี่ค่อนข้างไกล หาทางมายากพอสมควร แต่ผมว่าถ้าได้มาที่นี่แล้วคุ้มค่ากับการเดินทางครับ ด้านบนสามารถมองเห็นวิวมุมสูงได้ 360 องศาเลยครับ

โปรแกรมไฮไลท์ของภูเก็ต คือการมาชมพระอาทิตย์ตกดินที่แหลมพรมเทพครับ ใครมาภูเก็ตแล้วไม่มาที่นี่เหมือนมาไม่ถึงภูเก็ตนะครับ

เชื่อหรือยังครับ ที่ผมเกริ่นนำไว้ในตอนแรกว่า ทริปนี้ถือเป็นทริปภูเก็ตที่ผมประทับใจที่สุด ผมอยากให้เพื่อน ๆ ได้ลองมาสัมผัสกับสิ่งที่ผมได้สัมผัสมาแล้ว รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอนครับ

ความคิดเห็น