>>llเมื่อมนุษย์เงินเดือน นั้งทำงานหน้าคอมพ์ทั้งวัน เกิดความคันไปหาความมันส์ให้กับชีวิต อยากหนีรถติด ภาระกิจพิชิตภูจึงเกิดขึ้นll<<



คำเตือน กระทู้นี้อาจไม่มีสาระ แต่อยากแชร์ประสบการณ์ ความฮา และมิตรภาพ ที่เกิดขึ้นจากการเดินทางในครั้งให้คุณผู้ชมได้รับชมกันนะครับ กระทู้นี้ขอเน้นเป็นภาพบรรยากาศระหว่างเดินเท้า(ภาพอาจจะไม่สวยอย่าว่ากันนะครับ) หากมีข้อผิดพลาดประการใด ทาง จขกท ต้องขอกราบหว่างใจขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยนะครับ



ภารกิจ พิชิตลานสนภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์



วันที่ 18-19 ก.ค. 58



โดยแกงส์ลูกหมู ผู้ชายนวลๆ 5555 (ท่านผู้นำเผ่าผมเป็นคนตั้งชื่อนี้นะครับ)



เราเป็นมนุษย์เงินเดือนที่แสนธรรมดา นั้งทำงานหน้าคอมพ์กันทั้งวัน กับชีวิตที่รีบเร่งในเมืองหลวงอันแสนวุ่นวาย เกิดความคันที่อยากจะออกไปสัมผัสธรรมชาติ หลังจากที่นั้งทะเลาะกันมาเกือบเดือน เราก็สรุปกันได้ว่าเราจะไปพิชิต "ภูสอยดาวดินแดนแห่งหมอกเที่ยงวัน" จากนั้นเราก็หาข้อมูลกัน


(ข้อมูลการเดินทางเราก็สืบๆ และรวบรวมมากจากกระทู้เก่าในพันทิปครับ ซึ่งข้อมูลครบถ้วนทั้งหมดแล้ว กระทู้นี้ผมขอผ่านเรื่องรายละเอียดไปเลยนะครับ เพราะผมก็อธิบายไม่ค่อยเก่ง หาจากกระทู้เก่าๆของท่านอื่นๆจะแจ่มกว่าครับ อิอิ)



แต่กว่าเราจะไปกันได้ก็หลังจากนั้นอีกเกือบเดือน จนมาเคาะกันที่ 18-19 ก.ค. 58



ไปเป็นผู้พิชิตลานสนภูสอยดาว 1,633 เมตร จากระดับน้ำทะเลด้วยกันนะครับ



ตอนที่ 1 จากบางกอกสู่สอยดาว1/2


จากข้อมูลที่หากันมาได้คือ อุทยานเริ่มเปิดช่วงปลายเดือนมิถุนายน แล้วช่วงที่จะเจอหมอกฟุ้งๆคือช่วงกรกฏาคม



จะรอช้าอะไรระครับ เมื่อเดอะแกงส์พร้อมเราก็โทรจองแล้วเดินทางกันเลย



ออกจากบางกอกกันได้ก็เกือบสองทุ่ม รถจะติดอะไรอย่างงี้



"จะลางานทำไมละ ไปคืนวันศุกร์ ขึ้นภูวันเสาร์ ลงมาวันอาทิตย์ วันจันทร์ทำงานต่อเลย"



ท่านผู้นำเผ่าผมกล่าวไว้ก่อนที่จะเดินทางกัน



สรุปหลังจากลงภูสอยดาวดาวมา ก็เหลือแต่ท่านผู้นำเผ่าที่ไปทำงานต่อ นอกนั้นต้องลาเปื่อยกันอีก2วัน เลยคร้าบบบบ



ที่เห็นในภาพคือมือของท่านผู้นำเผ่านะครับ ที่จะสื่อคือจะแปดโมงแล้วยังอยู่บนถนนอยู่เลยชิมิ



ปล.ภาพปลากรอบ จะสลับบรรยากาศกันไปมานะครับ คือผมกับท่านผู้นำเผ่าตกลงกันไม่ได้ว่าจะใช้รูปใคร เลยต้องสลับภาพกันไปมานะครับ ขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะครัช



ตอนที่ 2 จากบางกอกสู่สอยดาว2/2



การเดินทาง: เราใช้เส้นทาง บางกอก-นครสวรรค์-พิษณุโลก-ชาติตระการ-ภูสอยดาว ครับ



ทริปนี้อากู๋พาไป ต้องขอบคุณอากู๋ด้วยนะครับ



ถึงชาติตระการประมาณตี2 มีโมเตล อยู่ด้านขวามือก่อนเข้าตัวอำเภอ ชื่อวิษณุ...อะไรสักอย่างเนี้ยะแหละครับ 350บาท



พักเอาแรงกันก่อนเพราะไม่มีใครรู้เลยว่า ชะตากรรมที่จะพบในเช้าวันเสาร์ จะต้องพบกับอะไรบ้าง



ณ เช้าวันเสาร์ ที่ 18 ก.ค. 58



เราออกจากที่พักกันประมาณ6โมงเช้า กะว่าชิวๆอีกนิดเดียวถึงอุทยาน (หัวหน้าเผ่าผมบอกงั้น)



เพื่อความชัวร์ ไหนดูอากู๋หน่อยดิ ฉิบหา.....อีกเกือบ 80 โล (พึ่งพาได้ดีจริงๆหัวหน้าเผ่าเรา --")



จากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะไปถึงอุทยานสัก7โมงเช้า เริ่มเดินกันสัก8โมงเช้า



ผิดคาดสิครับ 555



แต่ยังไม่หมดแค่นั้น เรายังไม่ได้เตรียมสะเบียงเลย แวะตลาดก่อนดิ (ป๋า นายเสบียงของเรากล่าว)



เป็นตลาดที่มีขนมครกขายเยอะมาก ทั้งชาวบ้าน ชาววัง 4-5เจ้าได้มั้ง แต่บ้าบิ่นอร่อยเว่อร์ครับ อย่าลืมแวะซื้อด้วยนะครัช



แวะเดินตลาดป่าแดงกันเกือบชั่วโมงเลยครับ ได้เสบียงมาเยอะพอสมควร คร่าวๆประมาณ 4 มื้อที่เราต้องเตรียมไป



ก่อนออกจากตลาด ผุ้คุมตลาดก็เข้ามาคุยด้วยครับ ถามว่าจะไปไหน ไอ่เราก็บอกว่ากำลังจะไปภูสอยดาว คุยกันได้สักพักก็เก็บค่าคุ้มครองเป็นบ้าบิ่นชิ้นนึง แล้วเขาก็เดินจากไป

ตอนที่3 ก่อนออกเดินทาง



หลังจากออกจากตลาดมา เราก็เปิดวาร์ปโตเกียวดริฟ เพื่อไปถึงอุทยาน ติ่ง ติ่ง ติ่ง ติ่ง ติ๊ง ติ่ง อายุวันโน...



ถึงอุทยานกันเกือบ9โมง ไม่รอช้ารีบเตรียมกระเป๋า และของที่จะฝากลูกหาบขึ้นไป



ขอข้ามรายละเอียดส่วนตรวจคนเข้าเมือง และค่าเสียหายที่ทำการอุทยานนะครับ เพราะข้าศึกผมบุกมาถึงปากแม่น้ำอริวดีละ



หลังจากจัดแจงของเสร็จก็มาเติมพลังกันก่อนขึ้นภู (ได้ข่าวว่าเพิ่งจัดที่ตลาดไปแล้วนะ ถามจริงหนูจะกินกันอีกเหรอลูก?)



ที่ทำการอุทยานมีร้านค้าสวัสดิการนะครับ มีอาหารสั่งตาม เครื่องดื่ม และอาหารแห้งบริการ ราคาก็ไม่เกินจริงครับ อุดหนุนเขากันหน่อยเนอะ ^^

ตอนที 4 ได้เวลาสนุกแล้วสิ



โม้ซะยืดเลย เรามาถึงทางขึ้นลานสนภูสอยดาว โดยที่เราจะเริ่มเดินจากน้ำตกภูสอยดาวเนี้ยะแหละครับ



ระยะทางเดินเท้าประมาณ 6.5 กิโลเมตร เราใช้เวลาเดินขึ้นกันประมาณ 7 ชั่วโมงครับ ขาแทบลากเลยครับ



เอาบรรยากาศน้ำตกภูสอยดาวมาให้ชมกันก่อนนะครับ



เสี่ยหมีเราบอกว่า บรรยากาศฟินสุดๆ ชอบๆ หารู้ไม่ว่าทางข้างหน้าที่เจอมันโหดร้ายยิ่งนัก เปรียบเหมือนกุหลาบงามมักแฝงด้วยหนามอันแหลมคม 5555



ตอนที่ 5 เสี่ยหมี นักสู้แห่งบางระจัน



มาต่อกันดีกว่าถึงไหนละ 555555



ตลอดระยะทาง 6.5 กิโลแม้ว เราได้สัมผัสกับบรรยากาศป่าที่ชื้นๆแฉะๆ มีทั้งฝน และหมอกปกคลุมเป็นระยะๆ เสื้อกันฝนใส่ๆถอดๆ ใส่ก็ร้อน ถอดฝนก็ตก --" โอ้ยยยยยได้ฟินสมใจไหมละครัช



ข้อแนะนำที่อยากเพิ่มเติมระหว่างการเดินทางนะครับ


1.ควรพกน้ำเปล่าไปจิบระหว่างทางด้วยนะครับ


2.อย่าลืมพกข้าวกลางวันขึ้นไปกินระหว่างทางด้วยนะครับ


3.อย่าแบกกระเป๋าไปหนักเกินนะครับ เพราะอาจจะอยากโยนทิ้งไว้กลางทางได้



ผมขอแนะนำพระเอกของทริปนี้ก่อนนะครับ "เสี่ยหมี" ทริปนี้จะเป็นทริปที่ธรรมดาไปเลยถ้าไม่มีเสี่ยหมีร่วมทริปนี้ด้วย



เสี่ยหมีเป็น ผู้ชายนวลๆ อบอุ่น น่ากอด สปอร์ต ใจดี กทม. นะครัชแหม่



ตลอดการเดินทางทุกๆ 5 ก้าวจะต้องหยุดให้เฮียหมีพัก



แรกๆหินทุกก้อน ที่เสี่ยเดินผ่านจะต้องถุกเสี่ยนั้ง หลังๆเข้าบันไดเสี่ยก็นั้ง พื้นเสี่ยก็นั้ง



จากตะคริวกินขาซ้าย แล้วก็ย้ายไปขาขวา ทีนี้ก็ขึ้นไปถึงหัวเข่า เสี่ยบอกอีกนิดจะถึงไข่ละ



แต่ต้องยอมรับใจนักเลงของเสี่ยจริงๆ ที่สามารถขึ้นไปพิชิตลานสนได้ ร่างกายไม่ใช่อุปสรรค ถ้าใจเราเกินร้อย



ผมอยากให้เสี่ยหมีเป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนที่อยากไปพิชิตลานสน มันไม่ได้ลำบากอย่างที่เขาๆว่ากันครับ แต่ลำบากมากกกกก

ตอนที่ 6 สองข้างทาง



ตลอดทางเดินเท้า 6.5 กิโลแม้ว บรรยากาศดีมากเลยครับ มีหมอกปกคลุมเป็นระยะ โอ้ยฟินมากเลยครัช



ไม่พูดพร่ำมากดีกว่า เอาบรรยากาศ 2 ข้างทางมาให้ดื่มด่ำไปพร้อมๆกันดีกว่านะครับ



พอหน้าเลนส์เปียกฝน ผมก็หยิบเอาผ้ามาเช็ดๆหน้าเลนส์ แต่ก็ยังมีฝ้าๆอยู่เลยลองถ่ายต่อ แต่รูปที่ได้ออกมาเป็นแบบนี้เลยครับ


ก็สวยไปอีกแบบแฮะ



ตอนที่ 7 จ่าเบี้ยว มือขวาเสี่ยหมี



ทริปนี้เราไปกันทั้งหมด 5 หน่อครับ ผมจะค่อยๆแนะนำผู้ร่วมชะตากรรมไปทีละท่านนะครับ



หลังจากที่ได้เห็นหน้าคาดตา เสี่ยหมีกันไปแล้ว คงอดสงสัยไม่ได้ว่าเสี่ยหมีตกหลุมพลางมาครั้งนี้ได้ยังไง



คงต้องยกความดีความชอบในครั้งนี้ให้กับจ่าเบี้ยว มือขวาคนสนิทของเสี่ยหมี ที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการหลอกเสี่ยหมีมาขึ้นภูสอยดาวในครั้งนี้



บวกกับท่านผู้นำเผ่าที่บอกกับเสี่ยหมีว่าเดินแค่ 200 เมตรเอง



และนี่คือโฉมหน้าของจ่าเบี้ยวของเราครับ ผู้ชายนวลๆ อบอุ่น ขนอุย ขาลุย และเป็นกองหน้าในการเดินทางในครั้งนี้ครับ



ตอนที่ 8 ฟ้าเปิดที่เนินมรณะ



หากใครเคยมาพิชิตลานสนภูสอยก็คงจะพอทราบว่า เนินมรณะ เป็นเนินที่ชันและสูงที่สุดในการเดินเท้าครั้งนี้



เราต้องเดินขึ้นไปตามไหล่เขาที่ค่อนข้างชัน และสูงมาก เนินนี้เป็นเนินที่เสี่ยหมี และเราใช้เวลานานที่สุด เพราะเริ่มหมดแรงข้าวเหนียวมื้อเที่ยงกันแล้ว



แรกๆตอนถึงตีนเนิน ก็รู้สึกเฉยๆคงไม่ต่างจากเนินก่อนๆที่ผ่านมา เราก็เดินๆพักๆกันไปเรื่อยๆ



แต่สักพักกลุ่มหมอกที่ปกคลุมเราอยู่ก็เคลื่อนตัวออกไป เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นไม่ถึง3นาทีครับ



แล้วสิ่งที่หลุดออกจากปากทุกคนคือ สูงฉิบหา...



นี้คือสภาพอากาศก่อนที่เมฆกลุ่มนี้จะเคลื่อนตัวออกไปครับ



ค่อยๆออกไป



ออกไปแล้ววววว



แล้วนี้คือวิวที่เราได้เห็นจากเนินมรณะครับ แต่ก็มาเร็วเครมเร็วไปเร็วมากไม่ถึง3นาที



จะรออะไรกันละครัช ขอฉายภาพไว้เป็นที่ระทึกกันจั๊กหน่อย ว่าเราคือผู้พิชิตเนินมรณะ



ท่านผู้นำเผ่าคนแรกเลยนะครัช



อีกสักภาพนะครัช



หล่อไบ้หล่อหง่าว เลยจัดอีกสักภาพนะครับ



มาทางด้านจ่าเบี้ยวของเราบ้างนะครัช



จ่าเบี้ยวหล่อๆ อีกสักภาพ



หลังจากนั้นก็กลับสู่สภาพเดิครับ หมอกกลุ่มใหม่เข้ามาปกคลุมแทน เอ้า...เดินต่อไป



ต้องขอกราบขออภัยที่ไม่ได้นำภาพเสี่ยหมีมาให้ชมนะครับ เสี่ยหมีของผมนั้งหายใจโรยรินอยู่ริมทาง พร้อมฮัมเพลงในลำคอว่า



"ทำถูกแล้ว...ที่เธอเลือกเขาแล้วทิ้งฉันไว้ตรงกลางทาง..."



ตอนพิเศษ ทิ้งไว้กลางทาง





เพื่ออรรถรสในการรับชมกรุณาเปิด เพลงประกอบไปด้วยนะครับ



เสี่ยหมี นักสู่แห่งบางระจัน

ตอนที่ 9 ผู้พิชิตลานสน



หลังจากล้มลุกคลุกคลาน ได้แผลมาคนละที่สองที่ เราก็ขึ้นมาถึงลานสนกันสักทีครับ



7ชั่วโมงกว่าๆ กับ 6.5 กิโลแม้ว



แต่พอขึ้นมาถึงลานสนก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เมื่อได้เห็นบรรยากาศลานสนที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาวบางๆ



สวรรค์บนดินมันเป็นอย่างงี้นี้เอง



ความรู้สักหน่อย



ลานสนภูสอยดาว อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว สูงจากระดับน้ำทะเล 1,633 เมตร อากาศเย็นสะบายตลอดปี จนได้รับสมยานามว่า "ดินแดนแห่งหมอกเที่ยงวัน"



ตอนที่ 10 ป๋าไก่กองเสบียง



ในการเดินทางของเรานั้นเราวางตำแหน่งให้กับแกงส์เล็กๆของเราทุกคนเลยนะครับ



ตำแหน่งสำคัญขาดไปไม่ได้เลยคือเสบียงทัพ



เราค่อนข้างภูมิใจนำเสนอกองเสบียงท่านนี้ของเรามากครับ



ป๋าไก่กองเสบียง แก่ ใจดี สปอร์ต กทม. ของจริงเลยครัช 555



ด้วยวัยที่ย่างเข้าเลข 5 แล้ว แต่ยังฟิตอยู่เลย เดินนำเสี่ยหมีของเราตลอด



ตลอดทริปนี้ป๋าไก่แทบจะเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป้นทางการเลยก็ว่าได้



ป๋าไก่มีหน้าที่เตรียมเสบียงทั้ง 4 มื้อใหกับเรา เป็นพ่อครัวใหญ่ และแพทย์สนามไปในตัว



ยาฉีด ยาดม ยาลม ยาหม่อง ยากิน และชุดปฐมพยาบาลให้กับเสี่ยหมี ก็ได้มาจากป๋าไก่เราเนี้ยะแหละครับ



ตอนที่ 11 ราชินีแห่งป่าสน



จุดสุดยอดของการเดินทางขึ้นลานสนภูสอยดาวในหน้าฝนก็คงหนีไม่พ้นการได้มาชื่นชมความงามของราชินีแห่งป่าสน



ดอกหงอนนาค



จากที่คุยกับเจ้าหน้าที่ ปีนี้ไฟป่าขึ้นมาไม่ถึงลานสน ทำให้หงอนนาคบานน้อยกว่าปีก่อนๆหน่อยๆ ทั้งๆที่ช่วงนี้ควรจะบานเยอะแล้ว



แต่เท่าที่ฟังจากเจ้าหน้าที่ดู เจ้าหน้าที่ก็ไม่ค่อยอยากให้ไฟป่าขึ้นมาเพราะสนจะไหม้ตายไปทุกปี ปีละหลายๆต้น



เอาเป็นว่าหงอนนาคน้อยไม่เป็นไร แค่พอมีให้เห็นก็ชื่นใจละเนอะ สวยเวอร์ นี่พูดเลอ





"ถึงหน้าพี่จะเหมือนโจร แต่หัวใจพี่ก็อ่อนโยนต่อจุดซ่อนเร้น" ท่านผู้นำผมกล่าวไว้



ตอนที่ 12 ความเป็นอยู่



หลังจากไปถึงลานสนได้สักชั่วโมง ดูดดื่มกับบรรยากาศกันได้พอสมควร



เราก็แบ่งหน้าที่กันตามตกลง ป๋าไก่ทำกับข้าว เสี่ยหมีและจ่าเบี้ยวกางเต๊น ส่วนท่านผู้นำและผมก็ขึงผ้าใบ



รูปช่วงนี้ไม่มีนะครับ เพราะต้องเร่งรีบแข่งกับเวลาเพราะใกล้มืดแล้ววววว



หลังจากกางเต๊นขึงผ้าใบเสร็จ ก้เหมือนฟ้าฝนจะรู้ เลยส่งฝนมาถล่มเรา เพื่อทดสอบความแข็งแรงของผ้าใบกับเต๊นสินะ???



แหม่!!!!!!!!! แหม่ช่างโหดร้าย....



มัวแต่ยุ่งกับการคลุมเต๊น ลืมนึกกันไปเลยว่าป๋าไก่ทำกับข้าวอยู่



อยากจะให้เห็นภาพในขณะที่เราเห็น เป็นภาพผู้ชายวัยกลางคน ยืนตากฝน แล้วก้มลงมองหม้อข้าวที่กำลังระอุ...



เม็ดฝนหยดลงจากคาง เหมือนในMVเพลงไทยที่เวลาพระเอกอกหักจะออกมายืนตากฝน ให้สายฝนกลบรอยน้ำตาประมาณนั้นแหละ



ไปซะยาวเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย



ทำยังไงกันดีละทีนี้ จะย้ายไปกินข้าวกันที่ไหนดี?



เสียงจากท่านผู้นำก็ดังขึ้นครับ "ย้ายไปกินในเต๊น"



ทุกคนหันหน้ามองกันแล้วจิกตาไปที่ท่านผู้นำ



ลองนึกสภาพผู้ชายอบอุ่น 5 คน เข้าไปยัดในเต๊นขนาดที่นอนได้สูงสุดแค่2คนดูสิครับ มันจะรู้สึกอบอุ่นซาบซ่านแค่ไหน



แล้วสุดท้ายเราก็นึกขึ้นได้ว่ามีสถานที่นึกมีชายคาพอให้เราหลบฝนทำอาหารได้ และกลายเป้นที่กินข้าวของเราทั้งมื้อค่ำ และมื้อเช้าที่เราใช้ชีวิตบนลานสนครับ



ขอตัดภาพไปมื้อเช้าเลยนะครับ.....แท่นแท๊น



หน้าห้องน้ำเนี้ยะแหละครับ ที่กินข้าวของเรา



มาดูกันดีกว่าว่าเรากินหรุ อยู่สะบายกันขนาดไหน



หรูหราเลยปะล๊าาาา เรายกภัตตาคารมาไว้บนยอดดอยเลยนะครัช


เราฝากอาหารที่เอาไปทำข้างบนทั้งหมด พร้อมอุปกรณ์เครื่องครัวไปกับลุกหาบนะครับ ^^



ตอน 13 บรรยากาศยามเช้า



ใกล้จบรีวิวแล้วนะครับ อย่าเพิ่งเบื่อกันน๊า





หลังจากนอนฟังเสียงลม และเสียงน้ำค้างตกใส่เต๊น ตลอดทั้งคืน หลับๆตื่นๆ กลัวลมจะพัดเอาทั้งเต๊ยทั้งคนไป



สุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดี เช้าแล้ว เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆ



ออกไปสำรวจลานสนจั๊กหน่อยก่อนจะกลับลงเขา



เช้าๆอากาศเย็นสะบาย ถึงขั้นหนาวเลยทีเดียวครับ หมอกและน้ำค้างหนามาก หัวเปียกกันเลยทีเดียวเชียว



ไม่พูดมากดีกว่าเนอะครับ มาชมบรรยากาสยามเช้าบนภูสอยดาวด้วยกันเลยดีกว่า



มาบนลานสนก็ต้องแวะมาฉายภาพร่วมกับหมุดเขตแดนประเทศไทย-ลาวด้วยนะครัช



จ่ายิ้มโหน่ยยยยยยยย



ตอนที่ 14 กลับละน๊า



หลังจากไปแรดแต๊ดแตร๋บนลานสน ก็กลับมากินข้าว เก็บของเตรียมตัวลง



เวลาทำไมมันไปเร็วอย่างงี้ เกือบจะ10โมงแล้วเหรอเนี้ยะ



ขาลงเราให้เสี่ยหมีนำทัพครับ ด้วยสาเหตุที่ท่านผู้นำบอกว่า เด๋วเสี่ยหมีจะสไตร์ทเราลงไปด้วยหมด 55555



ขาลงเราใช้เวลาประมาณ3ชั่วโมงเศษๆเองครับ แวะเล่นน้ำตกอีก ชีวิตมันช่างฟินอะไรอย่างงี้



ทุกย่างก้าวของเราเก็บเกี่ยวได้ซึ่งความสุข และมิตรภาพดีๆตลอดทาง



ขอบคุณที่เสียสละเวลาอ่านและติกตามการเดินทางของเรานะครับ



แล้วพบกันใหม่ทริปหน้าครับ



ตอนที่ 15 ท่านผู้นำเผ่า



ยังอยู่กันรึเปล่าจ๊ะ............



มีแต่เสียงถามถึงท่านผู้นำของทริปเรามา....



ตอนแรกก็กะจะเก็บไว้ดูคนเดียว ไม่อยากให้พวกหล่อนได้ดูกันหรอกนะยะ....



กะว่าให้ดูแค่วับๆ แวมๆ พอได้คันไม้คันมือ น้ำเดินไปเล่นๆ กันก็พอ 555



แต่ไหนๆก็ไหนๆละ จะลากันไปโดยไม่ให้เห็นโฉมหน้า ท่านผู้นำของเราก็จะทำให้ไม่ถึงจุดสุดยอดเอา



เลยเอาหน้าสดๆ ของท่านผู้นำเรามาให้เห็นกันนะครัช อาจจะทำหมดอารมณ์กันเลยก็ได้นะครัช 55555



ความจริงก็คือ.....ท่านผู้นำของเราได้รับฉายาว่า"เป็นผู้ชายนวลๆที่ข้างหลังดูหล่อที่สุดในโลก...ส่วนตัว"



คนนี้แหละครับ ท่านผู้นำเผ่า ผู้ชายออฟฟิตนวลๆ ขาว ตี๋ มีขนอุย ใจรักการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ



ตัวตั้งตัวตีที่ทำให้ทริปนี้สามารถเกิดขึ้นมาได้



ถ้าไม่มีท่านผู้นำ คงไม่มีมู้นี้มาให้อ่านกันนะครัช



นี่ละฮะท่านผู้ชม....ท่านผู้นำเผ่าของเรา หวังว่าคงจะไม่ผิดหวังกันนะครัช 5555



ตอนที่ 16 สายน้ำเย็นๆแห่งน้ำตกภูสอยดาว



ขาขึ้นเราไม่ได้แวะเล่นน้ำเลย ขาลงพอมีเวลาเราเลยขอแวะเล่นน้ำจีกหน่อยแล้วละกันเนอะ



"น้ำตกภูสอยดาว" เป็นน้ำตกที่มีทั้งหมด 5 ชั้น มีน้ำใสๆไหลๆเย็นตลอดปี แต่ละชั้นมีชื่อไพเราะเพราะพริ้งว่า ภูสอยดาว สกาวเดือน เหมือนฝัน กรรณิการ์ และสุภาภรณ์ ครัช



เอาภาพจากกล้องของท่านผู้นำมาให้ชมด้วยนะครัช ฟุ้งฟริ้งได้เลย


ตอนที่ 17 จบละครับ



ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกลา ไม่มีการเดินทางใดไม่มีจุดสิ้นสุด



ตราบใดที่ไข่มดแดงยังอยู่บนต้นไม้ และหน่อไม้ยังผุดจากดินฉันน์ใด



แกงส์ผู้ชายนวลๆจะกลับมาให้ความบันเทิงกับทุกๆท่านอีกครั้ง



ขอบคุณสำหรับการติดตาม และทนอ่านมู้ไร้สาระจนจบนะครับ



หากมีข้อผิดพลาดประการใด มีการใช้วาจาไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกหลักภาษาไทยอย่างไร ทางเจ้าของกระทู้ ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ



ขอบคุณจากใจอีกครั้งครับ แล้วพบกันใหม่เมื่อชาติต้องการนะครับ



การได้...เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตใครสักคน
การได้...รู้จักและเรียนรู้สิ่งต่างๆไปด้วยกัน,,,
การได้...เดินทางไปในกาลเวลาของกันและกัน
การได้...พบเจอคนที่เดินเคียงข้างไปกับเราในทุกๆความฝัน
อย่า...รีบร้อนเดินทางไปถึงฝั่งฝัน ใส่ใจข้างๆทางใส่ใจคนที่เดินข้างๆกัน
คำตอบ...ของการเดินทางคือ การพบเจอคำว่า"ความรัก"อย่างแท้จริง #การเดินทาง





น ว ล by ผู้ชายนวลๆ

 วันอังคารที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 16.09 น.

ความคิดเห็น