ออกไปค้นหา ออกไปค้นพบ

เพราะคำว่าการเดินทางของเราแต่ละคน มันมีความหมายที่ไม่เหมือนกัน บางคนออกเดินทางเพื่อตามหาอนาคต บางคนออกเดินทางเพื่อสานความฝัน บางคนออกเดินทางเพื่อสร้างพื้นฐานการงานในชีวิตให้มั่นคง ซึ่ง ในแต่ละบริบท ไม่ว่าคุณจะตอบยังไง มันคือความถูกต้อง และสมบูรณ์ในคำตอบของแต่ละคนอยู่แล้ว


สำหรับผม การเดินทางคือการออกไปค้นหาอะไรใหม่ๆที่รอเราอยู่ ออกไปค้นพบ ออกไปมองเห็นโลก และนำสิ่งที่พบเจอ กลับมาสร้างสรรค์การดำเนินชีวิตประจำวันของผมให้สมบูรณ์ หรือเกือบสมบูรณ์ก็แล้วแต่ แล้วสิ่งที่ผมเลือกจะออกไปค้นหาคืออะไรล่ะ มันคือ ธรรมชาติที่อยู่รอบๆตัวพวกเราทุกคน ธรรมชาติที่สร้างสรรพชีวิตขึ้นมา

วันนึง ถ้าคุณได้เห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติด้วยตาของคุณเอง คุณจะรู้สึกเลยว่า โลกใบนี้ น่าอยู่แค่ไหน และใจคุณจะเรียกร้องให้ตัวคุณ สองมือ สองเท้า ออกเดินทางอีกครั้ง


วันนี้จะมาเล่าเรื่องประสบการณ์การไปเทรคกิ้งแบบจริงจังในต่างแดนครั้งแรกของพวกผมให้ฟังกัน ที่ที่ผมจะพาไปชื่อว่า Har Ki Dun อยู่รัฐ Uttarakhand ประเทศอินเดีย ถ้าดูจากแผนที่ จะอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย สภาพอากาศตอนนั้น ช่วงต้น มิถุนายน ในเดลีร้อนมาก ที่ Har Ki Dun หนาวมาก เพราะเป็นส่วนหนึ่งของแนวเทือกเขาหิมาลัย พร้อมแล้ว ตามผมมาเลย…


********************************************

ปล.1 รูปทั้งหมดที่ใช้ในการรีวิวครั้งนี้มาจากการถ่ายภาพของผมเอง กับเพื่อนๆที่ไปด้วยกัน ผ่านการตกแต่งภาพด้วย LR มาแล้ว

ปล.2 รูปถ่าย เหตุการณ์ ข้อมูล รวมทั้งสภาพอากาศ ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเวลา ณ ขณะนั้นเท่านั้น ช่วงเวลาเที่ยวของเราคือ 29 พ.ค. – 8 มิ.ย. 2558 ดังนั้น ถ้าท่านไหนไปช่วงอากาศหนาว อาจเจอวิวที่สวยกว่านี้ และสภาพอากาศที่ดีกว่านี้ได้

ปล.3 มีบางรูปที่ใช้อ้างอิง หามาจากใน Google จะแจ้งที่มาไว้คับ

ปล.4 ภาษาที่ใช้ อาจมีคำไม่สุภาพบ้าง กูบ้าง และการใช้ภาษาที่ผิดไวยากรณ์บ้าง ก็ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าเลยคับผม

********************************************

ฝันร้ายจากเนปาล

ด้วยความเป็นจริง เราวางแผนทริปนี้ของพวกเราด้วยการไป ABC ที่เนปาล ในวันที่ 30 เม.ย. 2558 ถึง 10 พ.ค. 58 การเตรียมการทุกอย่างทำเพื่อการไปเทรคกิ้งแบบจริงจังครั้งแรกในต่างประเทศของพวกเรา เราได้ตั๋วเครื่งบิน และทำการติดต่อทุกอย่างของการไป ABC เสร็จล่วงหน้านานมากคือ ร่วม 6 เดือน สิ่งของทุกอย่าง เสื้อผ้า กล้อง อาหาร ถูกวางเตรียมไว้เพื่อแพ็คลงกระเป๋า แต่แล้ว วันที่ 26 เมษายน 2558 ก็เป็นวันที่เราทุกคน ฝันสลาย......



แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เนปาล 4 วันเท่านั้น ก่อนเราเดินทาง พูดตรงๆเลยว่าทำใจไม่ได้ เราพยามติดต่อกับเอเจนท์ของเราที่นู่น ซึ่งขาดการติดต่อไปเลย เราเองก็นั่งดูข่าวไปเรื่อย ยอดผู้เสียชีวิตที่เพิ่มจำนวนขึ้น ภาพความเสียหายที่ได้เห็น ทำให้เราส่วนหนึ่งลงความเห็นว่า ถ้าเราไปตอนนี้ ไม่เป็นผลดีแน่ๆ หนึ่งเลยคือ ความไม่ปลอดภัย จากอาฟเตอร์ช๊อคที่เกิดอย่างต่อเนื่อง สองคือถ้าเราต้องไปเห็นภาพการสูญเสีย ยังไงก็แล้วแต่ เราคงไม่สนุกใช่ไหม เราเลยตัดสินใจว่า “ไม่ไปแล้วนะ ABC รอให้เขาฟื้นตัวดีดีก่อน แล้วเราจะกลับไปอีกครั้ง”


หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เราเฟล ทุกคนเฟล เฮ้ย เราเตรียมตัวมาดีมากเพื่อจะไปเที่ยวแต่ไม่ได้ไป จริงๆคือ มันไปไม่ได้ (แม้ว่าภายหลัง ประมาณวันที่ 30 เม.ย. 58 เราได้รับการติกต่อจากเอเจนท์ที่เนปาลว่า ไปได้นะ ทางยังปลอดภัย แต่เราตัดใจไปแล้ว และบอกไปว่า เราจะกลับไปใหม่ ในเวลาที่เขาฟื้นตัวได้มากกว่านี้)

จุดเริ่มครั้งที่สอง คือการ “หาที่ไป เพื่อสนอง NEED” จุดหมายหลายๆจุดผ่านเข้ามา ฟิลิปปินส์ จีน ญี่ปุ่น รัสเซีย ตุรกี ไต้หวัน คุยไปคุยมา พี่เอกบอกว่า เฮ้ย เราต้องตอบโจทย์ของที่เราซื้อมานะ… 3 วันผ่านไป พี่เอกพิมพ์มาในกรุ๊ป ว่าถามเพื่อนที่เป็นคนอินเดีย มีที่นึงน่าสนใจ เป็นเทรคกิ้ง ไปภูเขา มีหิมะ ได้ใช้ของที่เราซื้อหามาแน่ๆ ผมรีบถามกลับไป “ที่ไหนอ่ะพี่” พี่เอกตอบกลับมาในกรุ๊ปว่า


HAR KI DUN


เหยยย อันนี้มันอยู่ตรงไหนของอินเดีย อยู่ตรงไหนของโลกเนี่ย เลยลองเปิดหารีวิวดูตามเว็บทั่วไป ตามพันทิพแต่ “มันไม่มีรีวิว” มันไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรที่เป็นภาษาไทยเลย เราเริ่มหวั่นๆละ ไม่มีใครเคยไปเลย แล้วมันจะเวิร์คมั้ยเนี่ย อากาศเป็นไง ทางเป็นไง ต้องเตรียมอะไรเพิ่มไหม ....... ไม่รู้อะไรเลย พี่เอก Search รูป Har Ki Dun ใน Google แล้วส่งรูปมาให้ดู มันจะเจออย่างงี้นะ เนี่ยๆๆ มีหิมะเต็มเลย ทางสวยเลย

ภาพจาก wikipedia

หลังจากที่หาข้อมูลกันอยู่พักนึง ก็ลองหาเป็นคลิปวิดีโอจากใน Youtube ก็เจอ แต่ส่วนมาก จะเป็นจากชาวอินเดียเป็นส่วนใหญ่ เอาวะ!!!! เป็นไงเป็นกัน ไปที่นี่แหละ จากนั้นเราแต่ละคนก็แยกย้ายกันทำหน้าที่ งานนี้ เรื่องติดต่ออะไรนี่ ผมไม่ถนัดเลย ภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยแข็งแรง จนต้องเป็นธุระของเล็ก เพื่อนในกลุ่มที่เชี่ยวชาญ ช่ำชองมาเป็นคนช่วยติดต่อ เพราะแกเที่ยวบ่อย ให้ช่วยโทรคุย เมล์คุย ติดต่อเอเจนท์ที่อินเดีย จนได้รูทออกมา ได้แพลนออกมา ได้คำยืนยันว่า ได้เจอหิมะแน่ๆ หนาวเเน่ๆ ได้เดินแน่ๆ สวยแน่ๆ อ่อ แพลนเดินทางของเราขยับจากช่วงต้น พ.ค. มาเป็นช่วงต้น มิ.ย. ช่วงวันหยุดวิสาขบูชา เพื่อให้เพื่อนที่ทำงานประจำ ใช้วันลาน้อยลง (ซึ่งก็เยอะอยู่ดี ฮ่าๆๆ)

พวกเราได้ดูรูปจากในเว็บของเอเจนท์ บอกตรงๆ ความคาดหวังนี่ไม่มีเลยนะ ไม่ตั้งความหวังเลย อินเดียก็ไม่เคยไป นี่ก็ปาไปกลางเดือนละ ตั๋วเครื่องบินก็ยังไม่มี วีซ่าก็ยังไม่ได้ขอ แล้วจะได้ไปมั้ยเนี่ย

.....แต่เชื่อมั้ย ทุกอย่างเกิดขึ้น ใน 2 สัปดาห์นี่แหละ ทั้งตั๋วเครื่องบิน ทั้งวีซ่า ในที่สุด เราก็ได้ไป

เตรียมตัวอีกรอบ เบาๆ

ก่อนช่วงที่เราจะเดินทาง ข่าวออกมากันโครมคราม ว่า อินเดียร้อนมาก 47 องศา มีคนเสียชีวิตหลักพันคน โอ่ยๆๆๆๆๆ แล้วหิมะจะเหลืออะไร แม่เรา พ่อเรา น้องเราก็ถาม นี่แกจะไปจริงเหรอเนี่ย ร้อนขนาดนี้ เดี๋ยวก็ตายเอาหรอก


นั่นสิ ร้อนขนาดนี้ แล้วน้ำแข็ง แล้วหิมะจะเหลืออะไร แล้วยิ่งวันที่เราเดินทาง 29 พ.ค. 58 เป็นวันที่คลื่นความร้อนกำลังเข้าโจมตีอินเดียพอดี แต่ถามว่า สนมั้ย ไม่ล่ะ ไปคือไป แต่ในใจ จากที่ไม่เคยตั้งความหวังกับความสวยงาม ก็เริ่มตั้งความหวังไว้นิดนึงว่า “ขอให้ได้เจอหนาวๆบ้าง สักนิดก็ยังดี เพราะจะให้เดินร้อนนี่ ตายแน่” เสื้อผ้าที่เคยเตรียมจะไปเนปาล ถูกเอามากองอีกครั้ง ครั้งนี้ เนื่องจากช่วงเวลาที่เราไป ข่าวที่เราดู และรูปแบบการแบกของที่นั่น เราเอากางเกงขายาว และเสื้อกันหนาวออกจำนวนหนึ่ง ทำให้กระเป๋าเรา เบาลงมาก (ซึ่งตอนไปถึง Har Ki Dun ทำให้เราถึงกับบ่นออกมาว่า กูจะเอาเสื้อกันหนาวออกไปทำไมเนี๊ยะ)


แต่สิ่งสำคัญ และจำเป็นครั้งนี้ นอกจากพวกอาหารแห้ง ยารักษาโรคแล้ว “ขวดกรองน้ำ” เป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างที่ควรพกไป เพราะที่นู่น เขาใช้น้ำในลำธารมาประกอบอาหาร ต้มชาให้เราดื่ม น้ำที่เราขอให้เขาต้มให้ เขาก็ตักจากในลำธารนี่แหละ มาต้ม มันก็จะมีตะกอน เศษหญ้า หรืออะไรต่ออะไรลอยๆอยู่ เราก็เอาน้ำที่เขาต้มมา มากรองใส่กระติก หรือขวดของแต่ละคนเพื่อพกเวลาเดิน



ผมซื้อเจ้ายี่ห้อนี้มาใช้ ถือว่าโอเคเลย


Day Bag สำคัญต้องไม่หนักมากเกินไปเพราะ มันจะอยู่กับหลังของเราตลอดระยะทาง 65 กม.เป็นเวลา 5 วัน (ส่วนกระเป๋าเสื้อผ้า ทริปนี้ จะมี “ล่อ” มาเป็นผู้ช่วยในการแบกสัมภาระ เต๊นท์ ถุงนอน อาหารให้เรา) และควรจะกันน้ำได้ในระดับหนึ่ง เพราะระหว่างทางเจอฝนด้วย ใน Day Bag ของผมคือไอ้ใบเหลืองๆนั่น ก็ไม่มีอะไรมาก จะเป็นกล้อง 1 ตัว เลนส์ 3 ตัว เสื้อกันลม เลื้อกันฝน กระบอกกรองน้ำ ช้อคโกแลต ทอฟฟี่ น้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 9 กก. ส่วนอีกใบเป็นกระเป๋าเสื้อผ้าปกติ

เต๊นท์ ถุงนอน เราไม่ต้องเอาไป เพราะเขาจะเตรียมให้เราพร้อมสรรพ (รอบนี้หลังจากเริ่มเดิน เราจะพักที่บ้าน 1 คืน และนอนเต๊นท์ 3 คืน) สิ่งที่เราอาจจะต้องเตรียมเพิ่มคือ ไลน์เนอร์ไว้ห่อตัวเราก่อนใส่ร่างกายเข้าไปในถุงนอน หรือบางคนไม่ซีเรียสก็ใช้ถุงนอนเขาไปเลย ไลน์เนอร์ผม ทำเอง ไม่อยากเสียตังค์ซื้อ ทำง่ายๆ เพราะที่บ้านมีผ้าเหลือจากการทำงาน เอามาตัดๆ เย็บๆ เป็นถุงทรงสี่เหลี่ยม กว้าง 90 ซม. สูง 170 ซม. ง่ายๆ ม้วนๆเหลือเล็กนิดเดียว เตรียมไปด้วย


โอเคละ หลังจากที่บอกสิ่งของคร่าวๆที่สำคัญที่อยากให้เอาไปหมดแล้ว ทีนี้ เรามาเริ่มเดินทางกันเลยคับ


อินเดีย ร้อนมาก

29 พ.ค. 58 ออกเดินทาง เราเดินทางด้วยสายการบินไทย ปลายทาง นิวเดลี ออกจากสุวรรณภูมิ 5ทุ่ม ถึง อินเดีย ตี 3 หลังจากรับกระเป๋า เช็คของเรียบร้อย เราก็รอรถที่จะมารับเราเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายแรก เมืองตากอากาศ Mussoorie ครึ่งทางก่อนถึงจุดเริ่มต้นเทรค


อินเดีย ร้อนมากจริงๆ ความโชคดีของผมคือ ทริปนี้เราไปกัน 12 คน จะมีรถมารับเราที่สนามบิน 2 คัน ซึ่งเรารีเควสรถที่มีแอร์ 7 ที่นั่ง เพราะเรารู้ว่ามันร้อนมาก และเดินทางยาวมากคือร่วม 7 ชั่วโมง (แต่เอาจริงๆ เวลาที่ใช้ไปในการเดินทาง รวมกินข้าว รวมหลง รวมปิดถนน รถติด ก็ปาไป 11 ชั่วโมงนู่นเลย) เลยอยากหารถที่นั่งกันหลวมๆสบายๆ เรานัดรถมารับตอนตีสามครึ่ง เพราะอยากจะเดินทางเร็วๆ หนีออกจากเดลีให้เร็วก่อนจะร้อน แต่ความประทับใจแรกก็มาเลยจ่ะ …. ตี 5 ครึ่ง รถมาจอดที่หน้าสนามบิน 2 คัน เลทไปร่วม 2 ชม. เราเลยรีบจัดของ แบ่งคนนั่ง เราจัดสรรที่นั่งกันแบบหลวมๆ คันนึง นั่ง 8 คน คันนึง นั่งแค่ 4 คน เพราะเอากระเป๋าเกือบทั้งหมดมาไว้ด้วยกัน สรุป

คัน 8 คน มีแอร์ แอร์เย็น

คัน 4 คน มีแอร์ แต่แอร์เสีย

แอร์เสีย!!!!!! แล้วผมนั่งคันนี้ละ แอร์เสีย คิดดูสิ อุณหภูมิกว่า 45 องศา แล้วต้องมานั่งรถไม่มีแอร์ โชคดีมั้ยล่ะ พอไม่มีแอร์ ก็ต้องเปิดกระจก พอเปิดกระจก ฝุ่นสิครับ รถก็ติด ถนนก็ปิด หลบทางนั้น ไปทางนี้ ลุยทางฝุ่น ลงทางลูกรัง วนไปๆมาๆ จน 10 โมงเช้า อาหารเช้ามื้อแรกของเราที่อินเดีย สั่งอะไรกันก็ไม่ค่อยเป็น โดนเจ้านี่แหละง่ายสุด “คลับ แซนวิช” แต่เป็นแบบมังสวิรัตินะคับ ที่นี่อาหารส่วนใหญ่เป็นมังสวิรัติ แต่มันเป็นแซนวิชผักที่ล้ำค่ามากในเวลานั้น


และที่นี่เอง ที่ทำให้คณะเราได้รู้จักกับ “พิ้กเกิ้ล” เป็นครั้งแรก พิ้กเกิ้ลคืออะไร ลักษณะมันคือผักดองเค็ม มีผักหลายๆอย่างรวมๆกันอยู่ หรือบางกระปุกก็มีผักอย่างเดียว เช่น มะกอก แตงกวา และอื่นๆที่ผมระบุไม่ได้ ซึ่งรสชาติมันคือ “เค็มล้วนๆ” อะไรก็ตามที่ว่าเค็มในโลกหล้าของผม ต้องมาแพ้พิ้กเกิ้ล คือ แค่ปลายช้อนเล็กๆเท่านั้น ทำให้ลิ้นผมพังเลย รสชาติอื่นนี่ ไม่รู้จักแล้ว หลายๆคนอาจบอกว่า ผมนี่ก็เว่อร์ พูดไปเรื่อย แนะนำครับ ถ้ามาอินเดีย ตามหาเลยครับ แล้วคุณอาจจะชอบก็ได้

หลังจากนั้น รถเราก็พาเราออกจากเมืองหลวง ผ่านเส้นทางต่างๆ ลัดเลาะออกมา เริ่มขึ้นเขาแห้งๆ ร้อนๆ จนบ่ายโมง .... บ่ายโมงครับ รถติด!!!! ติดยาวเลย ติดแบบไม่ขยับ คนขับดับเครื่องเดินลงมาคุยกัน ทีนี้ละใครไม่เชื่อว่า อินเดีย ร้อนจนยางมะตอยละลาย ผมห็นกับตา ลงมา เหยียบพื้นถนน ทำไมมันหนืดๆ ก้มลงไปดู ละลายจริงๆ ละลายติดรองเท้าเลยค๊าบ โอ่ยๆๆๆๆๆ แล้วจะหนาวมั้ยเนี่ย สุดท้ายรถ ก็ติดอยู่ตรงนั้นอีกร่วม 2 ชั่วโมงแบบนิ่งสนิท คนที่นั่งในรถคันแอร์เสียไม่ต้องพูดถึง ผมนี่ใส่ขาสั้นครับ เหงื่องี้ ไหลจากหลังลงร่องตูดเลย

ระหว่างรถติด คนขับดับเครื่อง เดินลงไปคุยกับคันอื่น ทันใดนั้น ก็มีเด็กเดินมาข้างรถเราทั้งสองคัน มองๆ ชี้ๆ แล้วก็หันไปคุยกัน เท่านั้นยังไม่พอ ยังไปตามเพื่อนให้มาดูเรา ชี้ๆ หัวเราะเราอีก คือ ยังไงครับ นี่คือมาดูละครสัตว์ใช่มั้ย หรือไม่เคยเห็นหว่า เราคนไทยครับ ไม่ใช่หลินฮุ่ย ที่จะไปเรียกกันมาดู แหม่ เล่นไปพากันมาขนาดนี้ ผมนี่แทบอยากติดป้ายข้างรถเลยว่า ห้ามให้อาหารสัตว์ -“- แหม่ ดูคนเดียวไม่ว่า ดั้นน ไปพาเพื่อนมาดูเราด้วย เสียดาย คว้ากล้องไม่ทัน มัวแต่นั่งปาดเหงื่ออยู่ ชิ

พอเลยจุดที่รถติดมาได้ประมาณชั่วโมงกว่าๆ เราก็มาถึงจุดหมายแรกของเราเวลา 4 โมงเย็น ที่เมืองตากอากาศ Mussoorie

Mussoorie เมืองตากอากาศเล็กๆ ที่แตรดังมาก

ที่ Mussoorieเป็นเมืองตากอากาศเล็กๆตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย อยู่ไม่ไกลจากเดลีมาก (ประมาณ 303 กม.) เป็นเมืองเล็กๆที่มีที่พัก ตั้งอยู่บนไหล่เขา เรียงราย ลดหลั่นกันลงไป หากใครคิดไม่ออก มันจะประมาณ ภูทับเบิก บ้านเรานั่นแหละ อากาศก็ ช่วงกลางวันร้อน ช่วงเช้า กับเย็น-ค่ำ นี่จะเย็นสบายๆ แต่ต่างกันตรงที่ มันวุ่นวายกว่ามาก ทั้งคนเดิน ทั้งรถ บีบแตรกันสนั่น แล้วยิ่งช่วงที่เราไปกัน ก็ตรงกับข่วงวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดยาวพอดี คนเลยจอแจมาขึ้นไปอีก เสียงแตรรถที่ดังเป็นทุนเดิม พอมีคนมากขึ้น รถก็ติดเพิ่มขึ้น ก็ยิ่งดังเพิ่มขึ้น (แต่ข้อดีอย่างนึงคือ แตรที่นี่มีหลายเสียงมาก เราเลยรู้สึกเหมือนเราฟังดนตรีอะไรสักอย่างอยู่ตลอดเวลาเลย)

พอถึงที่พักก็จัดแจง เก็บกระเป๋า หยิบกล้องพร้อมออกมาเดินเล่น กินข้าวเย็น แล้วจะได้รีบพักผ่อน เพราะรู้ว่า พรุ่งนี้ต้องนั่งเขย่ากันอีกทั้งวัน ป่ะ ออกไปเดินเล่นกัน

กองทัพต้องเดินด้วยท้อง มื้อนี้แหละจะโดนอาหารอินเดียให้เต็มคราบ จัดเลยครับ แป้งนาน แกงดาล จาปาตี ข้าวผัดอินเดีย หมี่ผัดอินเดีย ไก่เครื่องเทศ แกงแพะ ครั้งแรกไง ทุกอย่างมันอร่อยหมดเลย แม้จะมี “มาซาล่า” ผสมอยู่ในทุกเมนูก็ตาม (มาซาล่า เป็นเครื่องเทศประจำครัวของที่นี่ จะใส่อยู่ในอาหารเกือบทุกเมนูของเขาเลยที่ผมกิน) มื้อนี้เป็นมื้อแรกที่เราโดนอาหารอินเดียแบบอร่อยๆ โดยที่เราไม่รู้เลยว่า ....


“ต้องกินอย่างงี้ ทุกมื้อ ที่อยู่ที่นี่ โดยที่ไมีมีเนื้อสัตว์ปนเลย”

หลังจากอิ่มหนำ ก็มาเดินเล่นที่ย่านถนนคนเดินที่นี่ คนเยอะ รถแยะ แต่มันเป็นความวุ่นวายที่มีเสน่ห์มากนะ ได้เห็นไลฟ์ไสตล์ต่างๆ ของที่ขาย มันแปลกตาไปหมด

เนื่องด้วย อินเดียน่าจะมีกฎหมายที่ค่อนข้างเข้มงวดในเรื่องการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร้านที่จำหน่ายในเมืองนี้จึงมีร้านเดียว ฟังไม่ผิดครับ ร้านเดียวจริงๆ ต้องติดลูกกรงไว้ด้วย คนอยากซื้อคุณต้องต่อคิว(หรือเปล่า) เพื่อซื้อเหล้า เบียร์ มันมีเสน่ห์จริงๆนะ เป็นค่ำคืนแรกที่วุ่นวายดีเลยครับ แต่พอเริ่มดึกขึ้นๆ เสียงแตรรถก็เบาลงๆ จนเงียบสงัดไปในที่สุด แต่เมืองเล็กๆแห่งนี้ ก็ยังคงแสงสีของความมีชีวิตไว้ตลอดค่ำคืน

WoW!!!!!! INDIA


เช้าวันรุ่งขึ้น เรารีบตื่นนอน ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์หลังจากที่เมื่อวาน และเมื่อคืนผ่านความวุ่นวายมาระดับหนึ่ง ซื้ด......ฮร่าาาาาาา อากาศเย็นสบายดีจัง อากาศยามเช้าที่นี่ดีครับ เย็นๆสบายๆ อุณหภูมิน่าจะประมาณภูทับเบิกบ้านเรา และที่สำคัญ เช้าๆอย่างนี้ ไม่มีเสียงแตรมากวนใจเลยครับ สงสัยยังไม่ตื่นกันดี ความคิดแรกที่แว๊บขึ้นมาเลยคือ อากาศเย็นวุ้ย ดีแล้วๆ เอาแค่นี้ก็พอใจละ อย่างน้อย ก็ไม่ร้อนเท่าในเดลี ได้เท่านี้ก็สุขใจละ เก็บกระเป๋า อาบน้ำอาบท่า เอาของมากอง เตรียมขึ้นรถเดินทางต่อ วันนี้เราเปลี่ยนรถ จากคันเมื่อวาน วันนี้ เราจะนั่งรถจี๊บ เพื่อเดินทางกันต่อ สู่ Sankri ระยะทางวันนี้ เบาๆ 154 กม.

สบายใจได้ คันนี้แอร์ไม่เสีย เพราะมัน... ไม่มีแอร์ แล้วมันไม่มีแอร์ ทั้ง 2 คัน เท่าเทียมทุกคนครับงานนี้

เราเดินทางออกจาก Mussoorie ช่วงเช้าตรู่ ระหว่างทางเราแวะร้านอาหารกลางทางเพื่อกินข้าวเช้ากัน ที่ร้านชื่อ Devbhoomi แน่นอนว่า เป็นอาหารมังสวิรัติ และพวกแป้ง จาปาตีและเราทุกคนยังตื่นเต้นกับอาหารเหล่านี้อยู่ และที่เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างนึงคือ Maggi หรือจะเรียกได้ว่าเป็น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอินเดีย แกะห่อ ต้มน้ำ ใส่ รอ จบ หน้าตาอย่างที่เห็น ไม่สนใจละ จ้วงเลยคับ หิวด้วย อร่อยด้วย

ข้างบนนี้คือ Maggi หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบ้านเขา

ส่วนอันนี้คือจาปาตี

พอกินมื้อเช้ากันเสร็จ เดินไปหลังร้าน จะเป็นระเบียงกว้างๆจุดนี้แหละที่ทำให้ WOW แรกของพวกเราเกิดขึ้น มันเป็นทางน้ำที่ทอดตัวยาวมาตามช่องเขา ถึงแม้ว่า อากาศจะดูร้อนๆ แต่ก็เป็นความแปลกตาที่เรารู้สึกชอบจริงๆ ทีนี้ละแต่ละคนหยิบกล้องออกมา รัวชัตเตอร์กับเลยทีเดียว หลังจากได้รูป เราก็ออกเดินทางต่อ

แม่น้ำสายเล็กๆ ที่ไหลขนานแนวหุบเขา

เส้นทางคือการขับรถลัดเลาะไปตามไหล่เขา เส้นทางไม่แย่ ลาดยางตลอด แต่มีปรับปรุง ซ่อมแซมเป็นบางช่วง การขับรถของที่นี่จะเน้นการ “บีบแตร” บีบมันเข้าไป สั้นยาวบีบหมด สเตปจะเป็นอย่างงี้



จะแซง>>>บีบแตร-ออกขวา→ถ้ามีเสียงแตร - หลบเข้าซ้าย

→ถ้าไม่มีเสียงแตร - แซงโลดดดดด



ดังนั้น จึงไม่แปลกใจเลยที่รถที่นี่บางคันถึง “พับกระจกมองข้าง” หรือ “เอากระจกมองข้างออก” และในหลายๆครั้งของการเดินทาง ลัดเลาะหน้าผาของเรา ถึงเรียกเสียงกรีดร้องของพวกเราได้ เมื่อการแซงทางโค้ง มาเจอกับรถสวน และด้วยความชำนาญ จึงมีการเบรคกันตูดปัดอยู่เรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้น คุณลองคิดถึงตอนที่คุณชะโงกไปนอกรถ แล้วไม่เห็นขอบทางสิ ผมรับตำแหน่งนั่งริมประตูฝั่งซ้าย ตอนที่หลบกันตรงไหล่เขา มองไป ไม่เหลือไหล่ทางเลย กรี๊ดสิครับรออะไร แต๋วแตกมันในรถนั่นล่ะ

ผจญภัยในรถกันมาเรื่อยๆ ก็ได้เวลามื้อเที่ยง เราจอดพักกันที่เมืองเล็กๆระหว่างทาง พอขึ้นไปร้านอาหาร .....ป่อก แป่ก ป่อก แป่ก .... ฝนตกครับ โอ้โห สัมภาระอยู่บนหลังคารถจี๊บ เด็กรถช่วยกันเอาผ้าใบคลุม ใจผมนี่หวั่นเลยนะ ว่า เจอฝนด้วยเหรอเนี่ย ร้อนนี่น่าจะไม่ค่อยเจอละ แต่มาโดนฝนอีก ถ้าฝนตกตอนเดินนี่ ไม่สนุกเลยนะ แต่ตอนนั้นมันก็ไม่ได้ตกหนักอะไร หลังกินข้างเที่ยงเสร็จ เราก็พร้อมออกเดินทางต่อ คนขับบอกว่า เหลืออีกไม่ไกลแล้ว

รถเรามาหยุดพักอีกครั้งที่หน้าด่านทางเข้าอุทยานชื่อ Govind Wildlife Sanctuary and National Park ก็มีค่าธรรมเนียม ค่ากล้อง อะไรก็ว่าไป เราให้ทางไกด์เราจัดการหมด เพราะจ่ายไปเรียบร้อยกับทางเอเจนท์แล้ว สภาพอากาศตอนนั้น บ่ายสอง เรียกได้ว่า “หนาว” หนาวจริงๆ ไอ้ที่ไส่ขาสั้นกับเสื้อ Airism นี่ ถือว่าผิดอย่างมาก ที่นี่เองเราได้พบกับไกด์ที่จะดูแลเราตลอดการเดินทาง ชื่อว่า บันจัน พอเสร็จขั้นตอนที่ด่าน ก็เดินทางต่อ เข้ามาในอุทยานคือ มันร่มรื่น ต้นไม้เขียวๆเต็มไปหมด อากาศก็ดี

แล้วระหว่างทาง WOW ที่สองของเราก็เกิดขึ้นมองออกไปฝั่งซ้าย ยอดเขาหิมะครับ จริงๆ แม้มันจะอยู่ลิบๆก็เถอะ ผมนี่กรี๊ดเลย คือพูดก็พูดนะ เราไม่เคยเห็นหิมะ ไม่เคยเห็นภูเขาหิมะตัวเป็นๆ เคยเห็นแต่ในรูป ดังนั้น การปรากฎตัวของยอดเขาออกมาให้เราเห็นในครั้งนี้ เราทุกคนทั้งสองคัน เรียกได้ว่า “มีความสุข” จากในเดลีที่โคตรร้อน มาถึงนี่ มันหนาว และเจอภูเขาหิมะ ความรู้สึกคือ มันโคตรดีใจ บันจัน(ไกด์)หันมาบอกเราว่า เดี๋ยวเราจะไปตรงนั้นกัน โอ้โห..... สุดยอดแล้วทริปนี้

ขับต่อมาอีกไม่นาน รถจี๊บทั้ง 2 คันก็จอด ถึงแล้ว Sankri หมู่บ้านเล็กๆ ที่คอยทำหน้าที่พนักงานต้อนรับนักเทรคกิ้งจากทุกมุมโลก หมู่บ้านนี้ เราจะพักกันคืนนี้ และคืนวันที่เดินลงมาจาก Har Ki Dun พวกเรารีบขนของเข้าห้องพัก ล้างหน้าล้างตา ..... พอน้ำสัมผัสหน้าเท่านั้นล่ะ กรี๊ดสิครับ น้ำที่นี่โคตรเย็น คืออุณหภูมิตรงนั้นนี่คือ หน้าหนาวของไทยเลยนะ น้ำนี่เย็นหน้าชาเลย แต่ละคนล้างหน้าเสร็จนึกว่าไปร้อยไหม ฉีดโบท๊อกซ์มา เดินหน้าตึงกันออกมาทุกคนเลย ถามว่าจะพักเหนื่อยไหม คำตอบของแต่ละคนมาเสียงเดียวกัน กล้องอยู่ที่คอ ขาตั้งครบมือ “ป่ะ ไปเดินเล่นในหมู่บ้านกัน”

หน้าตาที่พักเราคืนนี้

ที่นี่เอง ตรงข้ามที่พักพวกเรา มีร้านขายขนมและข้าว ลักษณะเหมือนร้านขายของชำบ้านเรา ร้านนี้กลายเป็นที่สังสรรค์ของพวกเราไปเลย ขนมซองเลย์สารพัดรสชาติ แม้แต่รสมาซาล่า ถั่วสารพัดแบบ ถูกพวกเราสอยกันลงมากินไม่ยั้ง คือ มันเป็นห่อเล็ก ตีเป็นเงินไทยแล้วตก ราคาห่อละ 2 บาทห้าสิบตังค์ จัดไปคนละแผงก็ปาไปเกือบหมดร้านละ ไม่เว้นแม้แต่ครัวของเค้า เราก็เข้าไปเพ่นพ่าน เราบุกถึงครัวสอนคนอินเดียทำไข่ลวกสูตรคนไทย boiled egg only 2 minutes แฮร่….อากาศหนาวๆ กินไข่ลวก ฟิน (หลังจากที่กินไข่ต้มกันมาคนละฟอง เพราะเขาทำได้แต่อย่างงั้น)

Sankri เมืองในม่านหมอก และอ้อมกอดหิมาลัย

Sankri เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่เป็นประตูเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยว นักเดินทาง ที่จะเข้ามาเทรคกิ้งในโซนนี้ ให้ได้เป็นที่พักพิงก่อนที่จะเริ่มเดินทาง ตอนที่เรามาถึง หมอกลงค่อนข้างจัดมาก หลังจากเก็บของ เราก็มาเดินเล่นที่ระเบียงของที่พัก ภาพที่เห็นตรงหน้า โอ้ยๆๆๆๆๆๆๆ โคตรสวย หมอกไหลๆ บ้านหลังเล็กหลังน้อยเรียงราย ลดหลั่นกันตามไหล่เขา เห็นแค่นี้ก็โคตรฟินละ ผมเดินไปหาพี่เอก กับเล็ก บอกว่า “ได้มาเห็น ได้มาเจอแค่นี้ ผมก็โคตรแฮปปี้ละล่ะ”

“หลังฝนซา ฟ้าจะสดใส” มันเป็นอย่างงั้นจริงๆ หลังเมฆหมอกเคลื่อนตัวผ่านไป แสงสุดท้ายของวัน ก็ทอดยาวทะลุเมฆลงมา เรานั่งดูมุมนี้ สัมผัส และซึมซับบรรยากาศนี้ตั้งแต่เรามาถึง แต่สิ่งที่ เราต้องตะโกนเรียกทุกคนให้หันมาดู มันอยู่อีกมุมนึงของสายตาเรา หลังสายหมอกเคลื่อนผ่านไป ยอดเขาก็ปรากฎตัวให้เราเห็น ...

ฟ้าเปิด พร้อมแสงสุดท้ายที่กระทบยอดเขา

ยอดเขาหิมะ ยามต้องแสงอาทิตย์ตอนเย็น มันสะกดเราทุกคนให้ยืนนิ่ง มองมันแทบไม่กระพริบตา เสียงชัตเตอร์ ค่อยๆเริ่มดังขึ้น แล้วเราก็เริ่มออกเดินในหมู่บ้าน เดินเพื่อไปดูยอดเขา มันใกล้กว่าตอนที่เรานั่งรถผ่านมากๆ แล้วความรู้สึกตอนนั้นคือ “เฮ้ย กูได้มาเห็นแล้วนะ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง” ยิ่งเดินไป สภาพอากาศยิ่งเปิด วิวเริ่มเปิดมากขึ้น เราเห็นยอดเขาได้ชัดมากขึ้น เราแต่ละคนรู้ดีว่า ช่วงเวลาหลังแสงสุดท้าย มันมีไม่นาน เราจึงไม่ค่อยพูดคุยอะไรกันมาก เดินไป ถ่ายรูป ตั้งขา ถ่ายรูป จนแสงหมด แล้วเดินกลับที่พัก

ก่อนนอน ผมเห็นพี่เอก กับฉลาม ทำอะไรอยู่ดาดฟ้า เลยเดินไปแจม อ้อ ถ่ายรูปกันอยู่ รออะไรล่ะครับ ไปหยิบกล้องหยิบขามาเลยครับ ฟ้าคืนนี้ ถือว่าเคลียร์มาก เมฆน้อย แต่สิ่งนึงที่เพิ่มขึ้นมาคือ “พระจันทร์เต็มดวง” แน่ล่ะ เราไปช่วงคืนวันวิสาขบูชานี่นา อ่ะ ตั้งกล้อง หลบพระจันทร์ สายตาเราเหลือบไปเห็น (แม้มันจะโคตรมืดก็ตาม) ยอดเขาหิมะ เอาล่ะ ลุย!!!!


วันแรก เริ่มเดิน โดนรับน้อง

เช้านี้ จัดระเบียบสัมภาระใหม่ เอาเฉพาะของที่จำเป็นต้องใช้ เพราะเราจะเอากระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นไปบนหลัง “ล่อ” ดังนั้น จึงต้องควบคุมน้ำหนักให้เหลือไม่เกินใบละ 12 กก. ต่อคน แต่ภาพฝันร้ายที่เคยปรากฎตอนไปโมโกจูก็ลอยขึ้นมา คราวนั้น จ้างลูกหาบไว้ 5 คน แต่ได้มาแค่ 3 คน ที่เหลือ แบกกันเอง คราวนี้ เราเลยจัดกระเป๋าให้เอาเฉพาะสิ่งจำเป็นไป ที่เหลือ ฝากไว้ที่นี่ (เพราะเราต้องกลับมานอนที่นี่อีกในวันกลับ) ส่วน Day Bag ของใครของมัน ต่างคนต่างแบก หลังจากกินมื้อเช้ากันเรียบร้อย รถจี๊บของเราก็พาเรามาส่งที่จุดเริ่มต้นเทรค “หมู่บ้าน Taluka”

ก่อนเริ่มเดิน ไกด์เรียกเรามาประชุม เพราะเรามากลุ่มค่อนข้างใหญ่ ดังนั้น การเดินอาจจะทิ้งช่วงกันบ้าง (ซึ่งก็เป็นจริงตามที่เขาว่า) ไกด์เราบอกว่า เราจะเดิน เลาะแม่น้ำสายนี้ ที่ชื่อว่าแม่น้ำ Tons ไปตลอด โดยให้แม่น้ำใหญ่นี้ อยู่ฝั่งซ้ายมือไว้ แม้จะต้องข้ามลำธารเล็กๆยังไงก็แล้วแต่ แล้วพอถึงจุดนึง จะมีลูกศรสีแดงบนพื้นบอกทางไป และเราจะข้ามแม่น้ำใหญ่นี้ เพื่อเดินขึ้น ขึ้น ขึ้น และขึ้น ไปนอนที่ Osla หมู่บ้านริมสันเขา รวมถึงถ้าระหว่างทางเดินมี ล่อ เดินมา ให้เราหลบเข้าฝั่งด้านใน เพื่อความปลอดภัย กันไว้ก่อนหากเกิดการชนกัน หรือโดนดีด ถ้าเราหลบฝั่งด้านนอก อาจจะตกเขาได้ หลังจากฟังเสร็จเป็นอันเข้าใจ ก็เริ่มเดิน ช่วงเริ่มเดิน สภาพเส้นทางเป็นปูนดีดีเลย เดินง่าย แล้วอยู่ดีๆ ทางปูนก็หายไป กลายเป็นทางป่าเขา เดินขึ้นๆลงๆ ลัดเลาะไหล่เขา ข้ามแม่น้ำบางช่วง

สภาพอากาศระหว่าเดิน มีเมฆครับ ไม่ร้อน เรียกได้ว่า เย็นๆเสียด้วยซ้ำ เดินไปได้สักพัก จุดหมายเราก็มาปรากฎตรงหน้า ไกลๆราวกับเชื้อเชิญให้เรารีบเดินไปหา

ผมว่าการที่มียอดเขามาเป็นตัวกระตุ้นให้เราเดิน มันทำให้เรามีแรงในการที่จะเดินไปแต่ละก้าวนะ บางทีที่เราเหนื่อยๆกันนี่ ไม่ได้เหนื่อยเพราะเส้นทางหรอก แต่มันเหนื่อยเพราะเพื่อนร่วมทางเรานี่แหละ เดินไป 3 ก้าว เล่นกันมุขนึง จะเอาฮากันไปไหน เดินก็เดินขึ้น ขำก็ขำ แล้วไง หยุดพักมันทุก 10 ก้าว มันเหมือนเป็นสเตปเลยนะ มองทางข้างหน้า เล็งหินที่จะไปนั่งพัก เดิน 10 ก้าว นั่ง ยาดม ลูกหยี

จะบอกว่า คราวนี้เราไปกัน 12 คน การเดินก็ไม่ได้เดินไปพร้อมกันหมดหรอก เพราะแต่ละคนมีสเตปการเดินต่างกัน ก็จะแยกเป็นกลุ่มนำ กลุ่มกลาง แล้วก็กลุ่มหลัง โดยที่มีไกด์ 2 คน ประกบหัว-ท้าย ลักษณะนี้ถือว่า ดีมาก เพราะคนที่เดินนำ ก็จะล่วงหน้าไปแบบไม่หลง ถึงแม้ทางจะไม่ยากก็ตาม แต่ อย่าลืมว่าเราไม่เคยมา กลุ่มกลางเดินง่ายหน่อย เพราะมองไปไกลๆจะเห็นกลุ่มนำ จะพอรู้ทาง ส่วนกลุ่มหลัง เดินๆเล่นๆพักๆ ถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ ก็จะมีไกด์ประกบท้ายอยู่ คอยกระตุ้น ไม่ให้ช้ากันจนเกินไป


วันแรกที่บอกว่าโดนรับน้อง คือทางเดินที่ยาวมาก ตามที่จับระยะ คือยาวสุดของการเดินตลอด 5 วัน คือ เดินกันไป 18.5 กม. เป็นทางเดินช่วงขึ้น เลาะไปตามไหล่เขา ข้ามไปลูกแล้ว ลูกเล่า จุดหมายปลายทางของวันแรกเรา เดินจากหมู่บ้าน Taluka ไปยังหมู่บ้าน Osla หลังจากเราเดินมาได้ครึ่งวัน เราก็เจอหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งตระหง่านอยู่บนสันเขา สวยมาก มีแม่น้ำอยู่ข้างล่าง ในใจนึก เฮ้อ ถึงละ ก็ไม่ยากนี่นา นี่ไงหมู่บ้าน เหมือนในรูปที่ไกด์บอกเลย Osla แหม่ ถึงง่ายจัง มีเวลาพักนอน เดินเล่น ถ่ายรูปสบายใจละวันนี้

แล้วพ่อไกด์อาละดิน ที่หยุดคุยกับชาวบ้านที่เดินสวนไป ปล่อยเราเดินมาก่อน ก็ปรากฎตัวราวกับนั่งพรมมา บอกว่า ยังไม่ถึงๆ เดินไปอีก นี่ครึ่งทางเอง ห้ะ!!!! อะไรนะ!!! ครึ่งทาง พักเลยครับ กินข้าวเที่ยงที่ไกด์ทำมาให้ อ้อ จะบอกว่า อาหารที่นี่แต่ละมื้อเป็นมังสวิรัติหมดครับ อาหารกลางวัน จะเป็นอาหารที่ไกด์ทำ แล้วแพคเป็นถุงๆให้เราตั้งแต่เช้า ก็จะประกอบด้วย แป้งนาน/แป้งจาปาตี/แป้งโรตี เวียนกันอยู่อย่างงี้ กับน้ำผลไม้ เช่นน้ำมะม่วง/น้ำแอปเปิ้ล วันแรกๆก็กินกันอร่อยดีหรอก แต่วันหลังๆ เริ่มเบื่อ เลยต้องห่อเอาคุ้กกี้ที่เป็นอาหารเช้า ใส่ถุงแพคไปอีก 5-6 ชิ้นเผื่อกินกลางวันด้วย


หลังจากกินเสร็จ ก็ออกเดินต่อ ครึ่งหลังของวันนี้ค่อนข้างยาก เพราะอากาศเหมือนจะอบอ้าวขึ้น มองไปข้างหน้า เห็นท่าจะไม่ดี คือ มันครึ้มมาก นี่กูจะเจอฝนอีกเหรอเนี่ย เห้ย เอาวะ ได้ใช้ครบที่เตรียมมาแน่ แต่จะดีเหรอ เดินริมเขา ฝนตกเนี่ยนะ

เส้นทางสู่หมู่บ้าน Osla เริ่มจะชันขึ้นๆ และชันขึ้นเรื่อยๆ น้ำหนักเป้ที่กดลลงบนไหล่ เริ่มหนักขึ้นๆ ตอนที่ผมหยุดพัก ก็มีชาวบ้านเดินแซงผมขึ้นไป ภาพที่เห็น มันหลากหลายความรู้สึกมาก คือ สิ่งที่เขาแบกมันหนักกว่าเป้ผมมากมายนัก สายที่สะพายไหล่ เป็นเชือกเพียวๆไม่ได้มีอะไรมาซับพอร์ตมากเลย อายุของเขาก็มาก แล้วเราล่ะ สิ่งที่เราเป็น มันสบายกว่านี้มาก อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากไปไหนก็ได้ไป ไม่ต้องมาแบกหาม ไม่ต้องมาเจอความยากลำบากแบบนี้ ดังนั้น ระลึกไว้เถอะว่า เราเกิดมาสบาย เรื่องลำบากที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิต มันจะมีทางออกเสมอ อย่าท้อ เดินหน้าต่อไป ปัญหาทั้งหมด มีทางออกเสมอ

ในที่สุด ฝนก็เริ่มตก โปรยปรายลงมากระทบใบหน้า จนกระทั่งต้องเก็บกล้องใส่กระเป๋า แล้วเตรียมเสื้อกันฝนพร้อมใส่ แล้วออกเดินต่อ ตอนนั้นเวลาประมาณ บ่ายสองโมงกว่าๆ เราเร่งเดินให้ไปถึงหมู่บ้านให้ทันก่อนฝนตก แต่ทางเดินที่เป็นทางขึ้นล้วนๆ กินแรงพวกเราไปมากเลยทีเดียว ในที่สุด ก็เดินขึ้นมาถึงในหมู่บ้าน เราเห็นไกด์อาละดินของเรา นั่งรออยู่ที่บ้านเล็กๆหลังนึง ในใจคิดว่า เฮ้อออ ถึงแล้วโว้ย เหนื่อยแทบขาดใจ แต่พ่ออาละดินบอก ยูววว!! เดินต่อไปตามทางนี้ตรงๆเลย เดี๋ยวจะเจอบ้านพักที่เตรียมไว้ให้ ไม่หลงหรอก เดี๋ยวเขาจะรอกลุ่มที่กำลังเดินตามขึ้นมาก่อน อ้าวววว สรุป ต้องเดินต่อ เอาวะ น่าจะอีกไม่ไกล เดินต่อไปอีกนิดเดียว ก็เห็นบ้านที่เราจะพักกันคืนนี้ เป็นบ้านทรงยกพื้นสูง ข้างบนนอนรวม 2 ห้อง มีระเบียงไว้นั่งกินข้าว ประตูบานเล็กๆ ไม่มีหน้าต่าง

บ้านหลังแดงๆนั่นแหละ ที่นอนคืนนี้

แต่ละคน เดินขึ้นมา วางกระเป๋า แล้วนั่งหมดแรงกันไปตามๆกัน ฝนก็ตก ฟ้าก็ครึ้ม ผิดแผนไปหมด จะออกไปเดินเล่นถ่ายรูป เจอฝนอีก เฮ้อออ เอาน่า พักกันก่อนละกัน ระหว่างนั้น Cook BJ (พ่อครัว) ก็เอา Maggi หรือมาม่าอินเดีย มาให้เรากิน เป็นอาหารว่าง รองท้องก่อนมื้อเย็น และมื้อนี้แหละ ที่ทำให้ผม กับพี่ต่อเกิดอาการแพ้อาหาร....


Osla หมู่บ้านริมเขา ใต้เงาหิมาลัย

ระหว่างที่กำลังกิน Maggi กันอยู่ ฝนก็เริ่มซา และหยุดตอนประมาณ 5 โมงเย็น พี่เอกตะโกนมาว่า รุ้งๆๆๆๆๆๆๆ เราทุกคนที่กำลังง่วนกับการกิน ก็วางจานหันกลับไปดู โอ้โห!!!! เอาจริงๆนะ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นรุ้งกินน้ำที่ใหญ่ขนาดนี้ ใกล้ขนาดนี้ และมาเต็มขนาดนี้เลย คือ มันสวยจริงๆ แล้วอยู่หน้าบ้านพักเรานี่เอง เสียงชัตเตอร์รัวๆกันเลยครับ เราถือว่า หลังจากที่เราเดินมาเหนื่อยๆ โดนรับน้องด้วยเส้นทางที่โหดหิน เดินฝ่าฝนมากันครึ่งวัน นี่เป็นรางวัลที่นักเดินทางทุกคนควรจะได้รับ มันเป็นของขวัญชิ้นโตจากธรรมชาติ ที่เตรียมเอาไว้ให้ผู้มาเยือน เพื่อเป็นแรงใจให้เดินเข้าไปต่อในวันรุ่งขึ้น



หลังจากถ่ายรูปกันหนำใจแล้ว หลังฝนซา ฟ้าจะสดใส กล้องคล้องคอ ขาตั้งกล้องครบมือ เตรียมเดินสำรวจหมู่บ้าน สำรวจธรรมชาติแล้วล่ะ ผมเดินขึ้นจากที่พักมากับฉลาม เพื่อนร่วมทริปนี้ เดินอ้อมไปหลังบ้าน เชื่อมั้ย ยิ่งเดิน ยิ่งสวย ยิ่งเดิน ยิ่งเห็น คือ ด้วยความที่ผมไม่เคยเห็นภูเขาหิมะ ฉลามก็ไม่เคย มันเลยกลายเป็นความตื่นเต้นกันทุกสิ่ง หันไปทางไหนก็เจอวิวแปลกๆที่ไม่เคยเห็น

และอีกครั้ง ที่ยอดเขาหิมะจะปรากฎตัวให้เราเห็น คราวนี้ ยิ่งใกล้ ยิ่งชัดเจน และมันยิ่งใหญ่มาก ยอดเขาหิมะ ต้องแสงสุดท้ายของวัน ทำให้กลายเป็นสีธรรมชาตที่สวยงามปรากฎอยู่ตรงหน้า คือต่อให้บรรยายออกมายังไง ก็ยังไม่เท่าที่ตามองเห็น ความรู้สึกในวันนั้น ผมบอกกับฉลามไปว่า “คือ กูก็ไม่รู้นะว่า พรุ่งนี้ จะได้เจออะไรยังไง แต่กูว่า ได้มาเห็นเท่านี้ ก็คุ้มแล้วล่ะ”

หลังจากเดินถ่ายรูปกันได้สักพัก ตะวันก็ลาลับฟ้าลงไปแล้ว ความปวดท้อง ความคลื่นไส้ก็มาเยือนผม คือ มันมวนๆท้องแบบบอกไม่ถูก อาหารเย็นผมกินแต่ซุปร้อนๆ แต่ก็ไม่ทำให้อาการดีขึ้นเลย อีกคนที่เป็นแบบผมก็คือ พี่ต่อ คือด้วยความที่เราทั้งคู่เป็นคนธาตุเบา กินอะไรที่มันเสาะท้องหน่อย ก็พร้อมจะท้องเสียกันแล้ว เพราะทุกคนก็กิน Maggi เหมือนกัน พี่ต่อท้องเสีย ส่วนผมท้องไม่เสีย แต่ผะอืดผะอม เดินลงไปข้างล่าง ล้วงคออ้วก แต่มันไม่ออก (ขออภัยคับ ที่ต้องเล่าเรื่องไม่ค่อยน่าฟัง แต่มันเป็นเรื่องที่นักเดินทางควรรู้ว่า เราเป็นอะไร และสาเหตุมาจากอะไร) พี่ต่อดื่มเกลือแร่แล้ว นั่งพักอยู่ ผมมันท้องไม่เสีย เลยยังไม่รู้ว่าต้องทำยังไง เลยนั่งนิ่งๆ รออาการ แต่ก็กินยานะครับ ตัวสำคัญเลย พกไปจากไทย “ยาธาตุน้ำขาว กระต่ายบิน” ขวดนี้ ทำให้ผมอาการเริ่มดีขึ้น ถึงแม้ยังไม่มากก็ตามเถอะ


ระหว่างที่นั่งอึนๆท้องอยู่หน้าบ้านก็เหลือบไปเห็น ฝั่งตรงข้าม ที่ยอดเขาอีกฝั่ง พระจันทร์ครับ พระจันทร์ขึ้น อาการอึนๆก็ยังคงอยู่ ต่อมอยากถ่ายรูปก็ทำงาน วิ่งเข้าห้อง หยิบกล้อง ประกอบขา ตั้งมันบนบ้านนั่นล่ะ เล็งๆ แล้วก็กดชัตเตอร์มารูปนึง รูปเดียวเท่านั้น ที่มันเป็นจังหวะนั้น เพราะอีกแป๊บเดียว พระจันทร์ก็เดินทางขึ้นมากลางฟ้าแล้ว แต่เป็นรูปเดียวที่มีค่าจริงๆ

เช้าวันรุ่งขึ้น อาการแพ้อาหารของผมกับพี่ต่อก็ดีขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่หายเสียทีเดียว แต่เราก็พร้อมจะออกเดินทางสู่ Har Ki Dun กันแล้ว เราเก็บกระเป๋า คราวนี้ ผมเอาขาตั้งกล้องฝากไปกับล่อเลยครับ ประสบการณ์การแบกวันแรก ทำให้ผมต้องทำอย่างนั้น Day Bag ผมเบาลงโลกว่า เท่านี้ก็มีแรงเพิ่มขึ้นแล้ว หลังเก็บกระเป๋ามารวมกันเสร็จ ก็มาขอถ่ายรูปกันกับวิว Osla ก่อนจะร่ำลากันไป บ๊าย บาย Osla


เส้นทางสู่ Har Ki Dun ร้อน ฝน ฝนหนักมาก หนาว และหนาวมาก

เราออกเดินทางจาก Osla ตอนเช้าตรู่ เดินได้หน่อยเดียว เราก็มองลงไปด้านล่าง เห็นหมู่บ้านเล็กๆอีกที่นึง เราเลยถามบันจันว่า นั่นคือหมู่บ้านอะไร บันจันตอบเราว่า นั่นคือหมู่บ้าน Seema ซึ่งเราจะพักกันคืนวันที่เราเดินลงจาก Har Ki Dun เพราะเราเลือกว่า เราจะพักกันคนละหมู่บ้าน

วันนี้เส้นทางเดินสั้นกว่าวันแรกนิดนึง มียากง่ายสลับกันไป แต่ส่วนมากเป็นทางราบ ลัดเลาะไหล่เขาไปเรื่อยๆ ช่วงเดินขึ้นโหดๆก็มี พอขึ้นไปก็เป็นลานโล่งๆ นั่งพักกัน เราเดินกันมาเรื่อยๆ จนมาหยุดพักที่ลานนี้ มีบ้านไม้ผสมหินตั้งอยู่ราวกับจัดไว้เป็นพร๊อพ รอตากล้องจากแดนไกลมาเก็บภาพไป ทุ่งหญ้าสีเขียว ตัดกับบ้านไม้ โดยมีพื้นหลังเป็นภูเขาหิมะ แค่ยืนมองอย่างเดียวก็เป็นสุขแล้ว

เราเดินชิลล์มาเรื่อยๆ พักกินข้าวกลางวันที่เพิงเล็กๆ มีวิวน้ำตกน้อยๆอยู่ด้านข้าง แล้วก็เหมือนเดิมครับ ข้าวกลางวันนี้ห่อมาตั้งแต่เช้าก็ยังเป็น แป้งจาปาตี ไข่ต้ม และน้ำมะม่วง อยากบอกว่า ผมหิวนะ แต่เห็นแป้งแล้วเริ่มจะเอือมเลยทีเดียว ดีที่มีคุ้กกี้ที่ห่อมาจากมื้อเช้าประทังชีวิต ก่อนจะท้องอิ่มและเดินทางต่อ ฝนก็เริ่มตกลงมาปอยๆแล้ว เสื้อกันฝนของทุกคนได้ใช้งานอีกแล้วครับ พวกเราเดินพร้อมเสื้อกันหนาว และเสื้อกันฝน เดินต่อกันยาวๆจนบ่ายกว่าๆ เดี๋ยวเก็บเดี๋ยวถอดเสื้อกันฝนกันมาสักพัก เหมือนมาตามนัด ตั้งแต่วันที่เรามาที่ Sankri มา Osla ฝนในหุบเขาจะมาต้อนรับเราช่วงบ่ายๆเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน มาเต็ม และเริ่มมาหนักเลย

แต่คราวนี้เอาจริง กลุ่มนำล่วงหน้าไปไกลแล้ว กลุ่มนี้ขาแรงจริงๆ กลุ่มกลางคือผม นุ่น ฉลาม พี่ตรี พี่นก พี่วัลย์ เดินตามไปไกลๆ กลุ่มหลังมีพี่ต่อ พี่เอก เล็ก เอ๋ ผมว่า กลุ่มนำน่าจะเจอฝนไม่โหดมาก กลุ่มผมเจอค่อนข้างแรงจนผมต้องเก็บกล้อง แล้วเอาเสื้อกันฝนมาใส่ สภาพอากาศตอนที่ผมเจอนี่เรียกว่าแย่เลยครับ ฝน หมอก มองไม่เห็นทางเท่าไหร่ แต่ยังพอมีบางช่วงที่ลมพัดเปิดทางบ้าง ส่วนความเย็นเรียกได้ว่าหนาว แล้วมาผสมกับน้ำฝนอีก เรารีบเดินกันผ่านหุบเขา ป่าสน เร่งเดินเท้าเข้าสู่ Har Ki Dun ตอนที่กลุ่มเราเดินเข้าไป หมอกลงตรงหน้ามากๆ มองแทบไม่เห็นอะไรเลย ที่พักของเรา อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ เราต้องเดินไปจนสุดทาง แล้วข้ามสะพานไม้ แล้วเลี้ยวลงข้างสะพาน ผ่านโขดหินที่ดูเมือนไม่ใช่ทางเดิน เพื่อเดินมาที่แคมป์ เราเดินฝ่าฝนกันมาถึงแคมป์จนได้ แล้วกลุ่มหลังล่ะ ยังไม่เห็นเดินตามมาเลย ฝนก็ตกหนักขึ้น ลมแรงขึ้น หมอกจัดขึ้น อากาศหนาวขึ้น

เราเริ่มเป็นห่วงกลุ่มหลัง แต่ก็พอจะใจชื้นเพราะมี บันเดฟ ไกด์เราอีกคนประกบหลังอยู่ ผ่านไปสิบกว่านาที เราเห็นบันเดฟ เดินมาที่แคมป์ .... คนเดียว!!!! อารมณ์นั้นเราโกรธนะ สภาพอากาศมองไม่เห็นทางขนาดนั้น แล้วปล่อยเพื่อนเราอีก 4 คนไว้โดยไม่ตามประกบเนี่ยนะ ผมเสียงแข็งเลย เดินตากฝนออกไปถาม

ภาพกลุ่มหลังช่วงเจอฝนหนักๆ

Hey Baldev, Where’re my friends? Are they OK or have Accident or not? (คือ ภาษาก็ไม่ได้ดี แต่โกรธไง)

เขายิ้มๆ แล้วตอบผมกลับมาว่า they’re OK no Accident. They took a lot of photos tu tu tu tu (ตุ้ ตุ้ ตุ้ ตุ้ แล้วทำท่าถ่ายรูป)

แล้วก็เดินจากไป อารมณ์โกรธผมหายไปเกือบหมดเลยนะ (คือจริงๆก็โกรธอยู่แหละ แต่เห็นคำตอบ และท่าทางแล้วขำนะ ในใจก็ห่วงเพื่อน) สิบนาทีต่อมา ลมเริ่มแรงขึ้น ฝนเริ่มหนักขึ้น ผมเห็นเสื้อกันฝนสีส้มเดินมาฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ นั่นเอ๋นี่นา แสดงว่า มากันแล้ว แล้วจะมาแคมป์ถูกไหม แค่สภาพอากาศปกติ ยังเดินยากเลย ผมตัดสินใจ หยิบเสื้อกันฝน คลุมตัวออกไป แล้วเดินออกไปรับ

มันเป็นความรีบร้อนส่วนนึงของผมที่ใส่แค่เสื้อยืดตัวเดียว แล้วใส่เสื้อกันฝนทับ แล้วเดินออกไป ลมแรง และหนาวมาก มือที่เปียกฝนนี่ชาไปหมด แต่ความคิดตอนนี้คือเพื่อนผมกำลังมา ไม่มีใครไปรับ เดี๋ยวหลง เดี๋ยวไม่เห็นสะพาน กลัวจะเดินลุยน้ำข้ามมา ผมเลยเดินอ้อมออกไปรับ สิ่งที่ได้รู้คือ พี่ต่อขาพลิก เลยเดินมาช้า เอ๋เดินล่วงหน้ามาก่อนนิดเดียว ผมเดินไปบอกเอ๋ กับพี่เอกให้รอตรงหินหลังข้ามสะพาน แล้วเดินไปรับพี่ต่อกับเล็ก แล้วพามา เดินลัดเลาะโขดหิน สุดท้ายทุกคนถึงแคมป์โดยสวัสดิภาพ


หลังเมฆหมอกผ่านไป หิมาลัยอยู่ตรงหน้า

หลังจากที่ทุกคนมาถึงแคมป์ ก็เริ่มแยกย้ายเข้าเต๊นท์ใครเต๊นท์มัน เปลี่ยนเสื้อผ้า ทำตัวให้อุ่น รอฝนหยุดตก ค่อยออกมากัน พอฝนเริ่มซา ไกด์เอาชาร้อนๆมาเสริฟให้เราบรรเทาความหนาวถึงหน้าเต๊นท์ แล้วเราก็ได้ยินเสียงพี่เอกก็ดังมาจากนอกเต๊นท์ “เฮ้ยๆๆๆๆ โคตรสวยเลยว่ะ มาดูดิ” ผมเปิดเต๊นท์ออกมา ภาพที่ผมเห็นตอนนี้ มันต่างกับเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมาราวฟ้ากับดิน สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมนี่มันสรวงสวรรค์ชัดๆ ผมมาถึงแล้วนะ Har Ki Dun

จากที่ผมเคยบอกว่า ผมไม่คาดหวังอะไรจากทริปนี้ เพราะช่วงเวลาเดินทางด้วย เพราะข่าวด้วย เราจะมาเจอหิมะได้ยังไง แต่สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้า มันมากกว่านั้นเยอะ ความรู้สึกตอนนั้นมันพูดไม่ถูก ตั้งแต่ระหว่างทางที่ยอดเขาแห่งนี้ โผล่ออกมาเชื้อเชิญให้เราเดินเข้าไปตามหา บทพิสูจน์นักเดินทางด้วยสภาพอากาศร้อน ฝน หนาว ในวันเดียวกัน รางวัลตามจุดพักต่างๆที่เราได้พบ จนตอนนี้ รางวัลนี้ มันยิ่งใหญ่เหลือเกิน แด่นักเดินทางทั้ง 12 คน ซึ่งอาจจะเป็นนักเดินทางจากประเทศไทยกลุ่มแรกของของที่นี่ก็ว่าได้ (แต่เป็นกลุ่มแรกของไกด์เรานะคับ ^____^)

หลังจากเราออกจากเต๊นท์มาแต๋วแตกกันแล้ว ไกด์เราก็ยกอาหารว่างมาให้เรา ตั้งโต๊ะกันตรงนั้น คือ ผมว่า มันเป็นวิวกินข้าวที่สวยที่สุดแล้ว ต่อให้มีเงินมากมายเท่าไหน เต็มที่ก็ซื้อได้แค่วิว แต่ความรู้สึกในการกินข้าวร่วมกันของพวกเรา เงินซื้อไม่ได้ อาหารว่างมื้อนั้น คือ ข้าวผัดสไตล์อินเดีย กับป๊อบคอร์น โอ้โห โคตรฟิน ยืนกินป๊อบคอร์นไป ดูวิวไป ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่เราจะได้มาสัมผัสแบบนี้ มีความสุขที่สุดละล่ะ

อ้อ…สิ่งสำคัญอีกอย่างนึงของที่นี่คือ (รูปต่อไป) จะเห็นบ้านที่เชิงเขา หลังคาสีฟ้าๆ ตรงนั้นเหมือนเป็นที่ทำการอุทยาน จะมีการเก็บค่ากล้องถ่ายรูป ยิ่งเป็นกล้องโปร เลนส์ตัวใหญ่ๆ จะมีค่าใช้จ่ายทันที ไกด์เราบอกว่า ถ้าจะเดินผ่านไปตรงนั้น ก็อย่าเอากล้องขึ้นมา หรือถ้าเอาขึ้นมา ก็ติดเลนส์ตัวเล็กๆ เพราะที่นี่ ดูที่ขนาดของเลนส์ ฟังไม่ผิด ดูขนาดเลนส์ ถ้าคุณเอา 5D ติด Fix50 ไป ถือว่าเป็นกล้องเล็ก แต่ถ้าเดินถือ 70-200 ผ่านไป เขาจะถือว่าเป็นกล้องโปรทันที เก็บค่าใช้จ่าย ตีเป็นเงินไทย หลายตังเลยทีเดียว ดังนั้น ก็เก็บ ก็เปลี่ยนกัน พอเดินเลยไปหน่อย ค่อยงัดขึ้นมา ไม่มีอะไรต้องกลัวมากครับ

หลังจากรองท้องมื้อเบาๆกันเสร็จ ผมก็เดินสำรวจบริเวณที่พัก ด้านหลังที่พักเราเป็นเนินเล็กๆ พอเดินขึ้นไป (รอบนี้ผมแอบเดินไปคนเดียว) เท่านั้นแหละ ภาพที่พี่เอกเคยส่งมาให้ดู ภาพแรกที่ส่งมาขายพวกเราว่าจะมาเจออะไร มันอยู่ตรงหน้าผมแล้วครับ

หลังจากนั้น ผมก็เดินกลับไปที่แคมป์เราข้างๆ บอกเพื่อนๆว่า เฮ้ย พวกเราต้องมาดูที่นี่ ตรงที่ผมไปนี่ มันสวยมาก ว่าแล้ว ไกด์ก็พาพวกเราขึ้นมาเดินสำรวจกันบนนี้ มันไม่มีคำบรรยายอะไรเลยจริงๆ สิ่งที่เราเห็นตรงหน้า บวกกับเพื่อร่วมทางที่ไปด้วยกัน มันทำให้ความสุข ที่เกิดจากความไม่คาดหวังของเรา เพิ่มขึ้นเป็นพันเท่า

แล้วแสงสุดท้ายของวันนี้ ก็ทอดผ่านท้องฟ้า ถือเป็นชุดโชว์ต้อนรับที่พิเศษสุด เริ่มต้นด้วยการเปียกปอน หนาวเหน็บ เพื่อส่งอารมณ์เราขึ้นมาเพื่อให้ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของเขา แสงสีแดง ทอดผ่านยอดเขาหิมะ ตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงิน เป็นภาพที่โคตรฟิน

ค่ำคืนอันหนาวเหน็บเริ่มคืบคลานเข้ามาหาเรา วันนี้เรานั่งล้อมกองไฟกินข้าว เพราะมันหนาวมากหลังจากกินข้าวกันเสร็จ หันหลังกลับไปดูทางภูเขาอีกครั้ง ภาพที่เห็นทำให้พี่เอก กับฉลาม ถึงกับร้องออกมา คือ เมฆมันวิ่งเป็นทาง ไหลเข้าไปสู่ยอดเขา ตอนนั้น แต่ละคนเก็บกล้องไว้ในเต๊นท์แล้ว จนต้องรีบวิ่งไปหยิบออกมา ตั้งบนขา แล้วเสียงชัตเตอร์ก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง แสงเหนือก็แสงเหนือเหอะ วันนี้ได้เห็นหิมาลัย กับเมฆไหลอย่างงี้ก็ถือว่า ทริปนี้ สุดยอดละ


วันพิเศษ = วันที่เราเปียกเป็นพิเศษ

วันนี้จริงๆต้องเป็นวันที่เราต้องเดินลงกันเลย ถ้าว่ากันตามแพลนปกติ แต่เล็กขอให้เพิ่มวันนี้อยู่บนนี้เป็น Extra Day อีกวันนึง เพื่อให้เรามีเวลาบนนี้มากขึ้น ได้เดินสำรวจไปทั่วๆ เพราะเราสังเกตจากอีกฝั่ง ชาวอินเดีย ที่เทรคขึ้นมาพร้อมเรา เช้านี้เริ่มเก็บของเดินลงกันแล้ว เรารึ อุตส่าห์เดินมาตั้งไกล จะให้กลับง่ายๆได้ไง ต้องขอบคุณเล็กมากๆนะ ที่ช่วยดีลเป็นธุระเรื่องทริปนี้อย่างมากเลย

เอาล่ะ เริ่มเดินกันเลยวันนี้ ระยะทางไปกลับ 5 กม.เท่านั้น แต่ใช้เวลาเดินขึ้นลงประมาณ 5 ชม. ต้องอย่าลืมว่าจุดที่พวกเราอยู่ตรงนี้ ความสูง 3,550 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อากาศอาจจะค่อนข้างเบาบางกว่าข้างล่าง ดังนั้นการเดินของเราจะต้องทำด้วยความระมัดระวัง ถ้ารีบร้อน เราจะหายใจไม่ทัน

วันนี้ วิวสองข้างทางของเรา มีแต่ทุ่งหญ้า กับภูเขาหิมะ ยิ่งเดินขึ้นไป ยิ่งสวยงาม เล็งมุมไหน ออกมาก็สวย นี่แค่เริ่มต้นเดิน ก็พบกับความวิเศษสุดแล้ว และที่สำคัญ วันนี้อากาศดี แดดออก ฟ้าเริ่มเป็นฟ้าให้เราเห็น หุบเขาที่เราเห็นเมื่อวาน เมื่อเดินขึ้นมาอีก รูปแบบมันก็เปลี่ยนไป

เราหันหลังมองกลับไป ภาพที่เราเห็นนั่นคือทางที่เราเดินมาเหรอ เราเดินกันมาได้ยังไงตรงเต๊นท์หลังคาสีส้มๆ บริเวณนั้นคือแคมป์ของเรา ทางเดินที่ทอดยาวไปด้านหลัง ผ่านหุบเขานับไม่ถ้วน นั่นคือทางที่เราผ่านมาเหรอ ถึงตรงนี้ ถึงทางข้างหน้าจะยากยังไงก็ไม่ถอยละ พร้อมลุยกันต่อเลย

ยิ่งเราเดินลึกเข้าไป ภาพตรงหน้าเรายิ่งเปลี่ยนไป จากที่เห็นแค่ยอดเขาที่เป็นหญ้าปกคลุม ยิ่งเดินสูงขึ้น ยิ่งเปลี่ยนเป็นหิมะ อย่างที่เคยบอก ผมไม่เคยเจอหิมะเลยตั้งแต่เกิดมา นี่จึงเป็นหิมะแรกของผม พอได้มาอยู่บนมันแล้ว ก็เล่นสิครับ รออะไร ลงไปนั่ง ลงไปนอน พวกเราทุกคนดีใจ สุขใจ แม้จะเป็นหิมะตรงเชิงเขา ที่อาจจะไม่ขาวมาก แต่นั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเรากลับมาเป็นเด็กกันอีกครั้ง

หลังจากเล่นกันอยู่ครึ่งชั่วโมง เราก็เริ่มเดินต่อ เดินลึกขึ้นไปตามไหล่เขา ลึกเข้าไปจนจุดสูงสุดที่เราสามารถไปกันได้ในวันนี้ จุดที่ความสูง 3877 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เราเดินกันลืมหิวเลย บ่ายโมงกว่าแล้ว สัญญาณเตือนจากธรรมชาติกลับมาอีกครั้ง เมฆเริ่มปกคลุมตัวพวกเรา อากาศเริ่มเย็นลง ทัศนวิสัยเริ่มแย่ลง จากฟ้าที่เคยเคลียร์ กลับมาเห็นได้ไกลสุด 20 เมตร ในเวลาไม่กี่นาที หยดน้ำฝนก็เริ่มปะทะใบหน้า แต่แค่เริ่มต้นเท่านั้น แต่ละคนยังถ่ายรูปกันสนุกสนาน จนไกด์เราเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี และมาบอกให้เรารีบถ่ายรูป จะได้รีบเดินลงไปข้างล่างกัน คือด้วยความที่เราก็ดื้อไง ยังถ่ายรูปเล่นกันอยู่อย่างงั้น ฝนเริ่มตั้งเค้ามา ทัศนวิสัยเริ่มแคบลง พวกเราตัดสินใจ ถ่ายรูปสุดท้าย ณ จุดที่สูงที่สุด ที่เรามีความสุขที่สุด ด้วยกันใต้ร่มธงไตรรงค์ จากนั้นก็เริ่มเก็บของ เอาเสื้อกันฝนมาคลุมพร้อมเดินลง

ที่นี่ อาจจะไม่ใช่จุดที่สูงที่สุด แต่ที่นี่ คนไทยกลุ่มนี้ มีความสุขที่สุด

ตอนเราเดินกลับ ฝนตกหนักมาก จนเราเดินกลับเส้นทางเดิมไม่ได้ สิ่งที่เราทำ ได้แต่มองไปข้างหน้า กับมองเท้าตัวเอง เพราะตอนนี้เส้นทางของเราคือเดินบนสันเขา ลัดเลาะลงมาเรื่อยๆเพื่อกลับสู่แคมป์ แต่ละก้าวต้องระวังกันมาก คือ ถ้าก้าวพลาด คุณจะสไลด์ลงไปยังตีนเขาระยะ 100 เมตรทันที ไม่ใช่แค่เดินลัดเลาะ บางช่วง ยังต้องมีการปีนลงเขา แบบไม่มีทางเดินด้วย เราแต่ละคนต้องค่อยๆเดิน ค่อยๆ หยั่งกอหญ้าก่อนจะทิ้งน้ำหนักเหยียบลงไป

เราเดินลงกันมาเรื่อยๆจนมาถึงสุดทางที่มีแม่น้ำขวางหน้า แม่น้ำสายนี้เกิดจากน้ำที่ละลายจากยอดเขา ไหลรวมกันลงมาเป็นแม่น้ำ ความเย็นไม่ต้องพูดถึง มันคือน้ำในช่อง Freeze ดีดีนี่เอง ช่วงเวลานั้น อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็วมาก ฝนก็ตก ลมก็แรง หมอกก็เยอะ เรามองเห็นทางข้างหน้าไม่เกิน 10 เมตร และตอนนี้มาหยุดอยู่ตรงหน้าแม่น้ำสายนี้

ดูจากการคุยกันของไกด์ จับทางได้ว่า แม่น้ำเปลี่ยนทางไหล ทำให้จุดที่เราจะข้ามไปนั้น ไม่สามารถเดินได้เพราะน้ำสูงขึ้น และเชี่ยวมาก จะให้เดินกลับย้อนขึ้นไปทางเก่าก็ต้องปีนเขาขึ้นไปเพราะไม่มีทางเดิน ซึ่งไม่เป็นผลดีแน่ๆ ไกด์ของเราหลังจากที่ปรึกษากันแล้ว เขากระโดดข้ามก้อนหิน ก้อนต่อก้อน ข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่งได้สำเร็จ เรามองดูแล้ว แล้วกูจะข้ามไปยังไง ถ้าให้โดดนี่ไม่รอดแน่ เขาเดินมาดูตรงทางที่แคบที่สุดคือระหว่างหินสองก้อน ระยะเกือบ 2 เมตร ด้านล่างคือสายน้ำที่ถูกบีบทางไหล ดังนั้น ด้านล่างจะเป็นน้ำที่เชี่ยวมาก ถ้าร่วงลงไปนี่เจ็บแน่นอนเพราะหินเพียบ เรื่องหนาวไม่ต้องพูดถึง ตอนนั้น เรายืนกันโดยที่ไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปยังไง

แล้ววันนี้ก็เป็นวันที่สุดพิเศษจริงๆ จากที่เรายืนรออยู่ว่า ไกด์เราจะทำยังไง จะให้เราไปทางไหน ภาพที่เราเห็นมันทำให้พวกเราทุกคนประทับใจกันอย่างมาก นั่นคือ บันจัน ไกด์ขอเรา ถอดเสื้อกันฝน โยนกระเป๋า แล้ววิ่งไปอีกฝั่งนึง เพื่อไปแบกเหล็กมา 2 ท่อน!!!! ฟังไม่ผิดครับ เหล็กกล่องหนา 5 มม. ยาวประมาณ 2 เมตรขึ้นบ่า แล้วขึ้นบ่าทั้ง 2 ข้างด้วย ตอนนั้นเขาคือซุปเปอร์ฮีโร่เลยครับ เดอะฮัลค์ชัดๆ แบกเหล็กที่โคตรหนักเอามาทำสะพาน (คือ ตอนหลังผมลองไปจับๆเหล็กไซส์เท่าๆกัน ที่กองอยู่ตรงนั้นดู คือ ถ้าเป็นเราแบกคงต้องใช้ 2 คน)

เขาค่อยๆพาด เล็ง เอาหินมาขัด พอวางได้ทั้ง 2 อันแล้ว เขาก็ลองข้าม ขึ้นไปยืนขย่มตรงกลาง เพื่อให้พวกเราดูว่า มันแข็งแรงนะ มันเดินข้ามมาได้สบายนะ ภาพที่เราเห็น มันคือความอุ่นใจท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ เขายืนรับเราอยู่อีกฝั่งจนเราทุกคนข้ามมาจนครบ แล้วเราก็เดินกลับลงไปที่แคมป์กัน วันนี้เราได้เสพทั้งสุดยอดวิว และเสพทั้งความประทับใจ สมกับเป็น Extra Day จริงๆ


ค่ำคืนสุดท้าย ภายใต้แสงจันทร์บนหิมาลัย

คืนนี้ จะเป็นคืนสุดท้ายที่เราอยู่บน Har Ki Dun เพราะพรุ่งนี้เช้าเราก็จะเดินลงแล้ว คืนนี้เป็นคืนรอบกองไฟอีกครั้ง แต่สมาชิกบางคนอาจจะไม่ครบ เพราะตากฝนต่อเนื่องกันมาหลายวัน เลยขอไปพักผ่อนก่อน เราเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการขอให้ทีมไกด์เขา พูดถึงพวกเราที่มาทริปนี้ ซึ่งโดยรวมเขาประทับใจในพวกเรามาก ขยันเดิน ขยันหยุดถ่ายรูป ฮาาา และเขาประทับใจในความสนุก และมิตรภาพของเรา เขาบอกว่า เราเป็นคนไทยกลุ่มแรกของเขา และเขาเชื่อว่า เป็นกลุ่มแรกๆที่มาที่ Har Ki Dun เพราะเขาไม่เคยเจอคนไทยมาที่นี่เลย เราเองก็บอกเขาไปว่า ทีมงานเขาแต่ละคนทำหน้าที่ได้ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นไกด์ทั้ง 2 คน พ่อครัว ลูกหาบ คนดูแลล่อ คนดูแลกระเป๋า ทุกอย่างอาจไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่มันสามารถทำให้คนไทยกลุ่มเล็กของเราประทับใจในตัวพวกเขามากๆ หลังจากจบกิจกรรมรอบกองไฟ เราก็ต่างคน ต่างแยกย้ายเข้านอน เพราะเหนื่อกันมาท้งวัน

หลับฝันดี Har Ki Dun

ที่นั่งกุมหัวกับผ้าขาวม้านั่นผมเอง ความคิดตอนนั้นคือ "ตรูจะเอาเสื้อกันหนาวออกไปทำไม นี่มันโคตรเย็นเลย โธ่ววววว ชีวิต"


ฟ้าใส แดดแรง วันจากลา

วันนี้ทุกคนตื่นเช้ากันเป็นพิเศษ เพื่อออกมายืนดู Har Ki Dun เป็นครั้งสุดท้ายแบบใกล้ๆ โต๊ะอาหารเรายังอยู่ที่เดิม วิวเราสวยแปลกตาไปอีกเพราะวันนี้ฟ้าเปิด อาหารเช้าวันนี้ง่ายๆ เฟรนซ์ฟรายด์ ขนมปังปิ้ง เนย แยม คุ้กกี้ และกาแฟ ได้ยืนจิบกาแฟกับ เพื่อนร่วมทางสุดพิเศษ มองวิวที่แสนมหัศจรรย์ ... โคตรมีความสุข หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ เก็บกระเป๋า ไกด์ให้พวกเราออกเดินทางก่อนเลย เดี๋ยวพวกเขาจะแพคของขึ้นหลังล่อ แล้วจะเดินตามมา และแซงเราเหมือนทุกวัน

เรามายืนถ่ายรูปด้วยกันอีกครั้งก่อนจะร่ำลา Har Ki Dun เราจะจากที่นี่ไปด้วยความรู้สึกดีดี พร้อมกับเก็บเกี่ยวแรงใจกลับมากรุงเทพฯ เพื่อใช้ชีวิตอันวุ่นวายต่อไป

ตอนขามา ไม่ค่อยได้ถ่ายทางเดินไว้เท่าไหร่ มัวแต่วิ่งหนีฝน วันนี้วันกลับ ก็จะได้ถ่ายทางเดินมาฝากกันสวยๆ เราเดินออกจาก Har Ki Dun ผ่านป่าสน เดินเลาะไหล่เขาลงมาเรื่อยๆ วันนี้ถือว่าเดินไม่เหนื่อยเพราะส่วนใหญ่จะเป็นการเดินลง ซึ่งจะช่วยผ่อนแรงของเราเป็นอย่างมาก กลุ่มนำยังคงเหมือนเดิม ยิ่งขาลง ยิ่งนำไปไกลมาก หันไปอีกที ไปนู้นแล้ว กลุ่มตามก็รวม 2 กลุ่มเข้าด้วยกัน เดินชิลล์ ถ่ายรูปกันต่อไป

นี่แหละ ลูกหาบของเรา เจ้าล่อพวกนี้แหละ ที่พาสัมภาระของเราไปส่งทุกวันๆ

เราเดินลัดเลาะ ผ่านไหล่เขาตามทางที่เราเดินขามา อากาศเริ่มร้อนขึ้น แดดแรงขึ้น ฟ้าก็เปิดมากขึ้นเช่นกัน ทางที่เราเดินผ่านมา หันกลับไปมองกี่ครั้งก็ยังอดถามตัวเองไม่ได้ว่า เดินเข้าไปได้ยังไง วิวระหว่างทางวันนี้ สวยผิดกับวันที่เรามา ฟ้าเป็นฟ้า ลองดูรูปละกันครับ ว่ามันสวยขนาดไหน

ไม่ใช่จะมีแต่พื้นที่สีเขียวๆนะ ช่วงไหนไม่มีต้นไม้ก็ร้อนดับเลยเหมือนกัน ยิ่งตอนผ่านกลางทุ่งงี้ แดดเผาหน้าไหม้กันทุกคนเลย

วันนี้เราแวะพักเที่ยงกันใต้ต้นไม้ระหว่างทาง ข้าวกลางวัน ไม่สิ เรียกว่าแป้งกลางวันดีกว่า เหมือนเดิม โรตีเปล่า กับน้ำเแอปเปิ้ล พอกินเสร็จ ก็ออกเดินต่อ วันนี้เราจะไม่ได้ขึ้นไปที่ Osla แต่จะลงไปนอนที่ Seema หมู่บ้านเล็กๆที่เราเห็นจากข้างบนตอนขามา เราเดินมาเรื่อยๆ วันนี้เราทำเวลากันได้ดี จนมาถึงทางที่เราจะลงไป Seema


ผ่าน Seema แต่ไม่ได้นอน Seema

ตามแพลนเราจริงๆ คืนนี้เราจะต้องนอนกันที่ Seema แต่ไกด์เราเพิ่งมาบอกว่า จองที่ Seema ไม่ได้นะ บ้านเต็ม แต่เราจะไปนอนเลย Seema ไปประมาณ 1 กม. แล้วเราจะกางเต๊นท์กัน คือ เราก็โอเคนะ กับการที่เรานอนเต๊นท์มา 2 คืนแล้ว นอนอีกสักคืนจะเป็นไรไป เราเดินผ่านหมู่บ้าน Seema มาสักพักนึง น่าจะเกิน 2 โลแล้วล่ะ แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววที่พัก ลานกางเต๊นท์ เรากลุ่มหลังทุกคน ด้วยอากาศที่ร้อน แล้วเราเดินมาไกลแล้ว เราก็เริ่มโมโหละ เราเดินเลย Seema มาร่วม 3 โลแล้วนะ ทำไมยังไม่ถึงซักที สุดท้าย เราก็มาถึงลานกางเต๊นท์ที่ทางไกด์เราปักหลักให้เราอยู่กันในค่ำคืนนี้

ที่นอนเราคืนนี้เป็นลานโล่งๆอยู่ริมแม่น้ำ ทำเลดีมาก น้ำใสๆเย็นๆ ลานกว้างๆ ลูกหาบกางเต๊นท์รอเราเรียบร้อยแล้ว เราที่กำลังทะยอยมาก็เริ่มเลือกเต๊นท์นอนกัน พอเอาของเข้าเต๊นท์เรียบร้อย แขกไม่ได้รับเชิญก็มาครับ มากันเยอะด้วย

ฝูงแพะ ผสมแกะ มากันเป็นร้อยๆตัว มาอยู่ตรงนั้น พอเราถามไกด์ไป คำตอบคือ จริงๆลานนี้มันเป็นลานสำหรับให้ฝูงแพะ แกะ มานอนพักกันเป็นเรื่องปกติ เราเองนี่ล่ะ ที่มาแย่งที่นอนพวกมัน แหม่... แล้วคืนนี้จะยังไงล่ะ ง่ายๆเลย นอนท่ามกลางฝูงแพะ ฝูงแกะเป็นร้อยๆตัวไงครับ นี่นอนแบบนี้ สวนผึ้งนี่ชิดซ้ายไปเลย สวนผึ้งนี่ตอนเย็นๆเก็บแกะเข้าโรงเลี้ยง ที่นี่ แกะ แพะ เดินกันให้ขวัก มุดเต๊นท์นั้น ออกเต๊นท์นี้ เอาหัวพุ่งมาชน สบายละคืนนี้ นอนท่ามกลางธรรมชาติ

หมดเรื่องที่นอน ว่าต้องนอนกับแพะ กับแกะไป วันนี้เดินมาร้อนๆ เก็บของเรียบร้อย ลำธารอยู่ข้างๆ เอาวะ เดินมาร้อนๆ น้ำไม่ได้อาบมา 3 คืน วันนี้ล่ะ จะโดดน้ำให้ฉ่ำใจซักที เปลี่ยนกางเกง ถอดเสื้อเลย ผ้าเช็ดตัว เครื่องอาบน้ำพร้อม พี่เอกนั่งรออยู่ริมน้ำอยู่แล้ว เรียกเราเลย เฮ้ย ธัญ ลงมาเลย น้ำเย็นชื่นใจมาก สดชื่นเลย เรานี่แทบจะพุ่งลงไปเลย แต่เอะใจนิดนึง ถ้ามันสดชื่น ทำไมพี่เอกไม่ลงไปก่อนวะ เดี๋ยวนะ ของลองแช่เท้าก่อน

โอ้โห... (ขออุทานไม่สุภาพหน่อย) ชายันหลังตีนเลยครับ แหม่ ลงมาเลยบ้าอะไร ถ้าลงไปนี่ช๊อคเลยนะ สุดท้ายก็ไม่กล้า ได้แค่แช่เท้า เพราะน้ำมันโคตรเย็นจริงๆ ผ่านไปอีกแป้บ ฉลามเดินมาพร้อมกับลองจอนตัวเก่ง ยืนคุยกันอยู่พักนึง “มันพุ่งลงไปเลย” โอ้โห แล้วเป็นไงครับ สั่นสิครับ แหม่น้ำเย็นขนาดนั้น พุ่งลงไปได้ ต่อมาตามด้วยพี่เอกลง ยอร์ชลง เล็กลง พอลงกันหมด เราจะไม่ลงก็ไม่ได้ พุ่งลงไปเลย โคตรรรรรรรหนาว สมง สมอง ชาไปหมด ยิ่งโง่ๆอยู่ เจอน้ำเย็นแบบนี้ ภาวะสมองวุ้นเข้าครอบงำเลย เดินสติลอยกันอยู่ 5 คน



แต่เชื่อมั้ย พออาบเสร็จ ตัวเบาเลย โล่งมาก โล่งราวกับไม่มีสมองไว้คิดอ่านอะไรเลย มันหายเหนื่อยเลยนะ เราเองก็ไม่คิด เพราะขนาดแปรงฟันตอนอยู่บน Har Ki Dun ยังเย็นจนปวดหัวเลย ไม่คิดว่าเราเดินมาตั้งสิบๆกิโล น้ำมันจะยังโคตรเย็นอยู่ หลังจากอาบน้ำกันเรียบร้อย ก็ถึงเวลาจัดเตรียมมื้อเย็น เราคุยกันเรียบร้อยแล้วว่า วันนี้เราจะเริ่มทำการเคลียร์เสบียงที่เราเตรียมขึ้นไป เพื่อผ่อนแรงบรรดาล่อที่แบกของให้เรา ทุกอย่างถูกเอามาเปิด กิน กันอย่างสนุกสนาน ที่เด็ดที่สุดคืออันนี้เลย “มาม่าต้มยำซุปไข่ญี่ปุ่น”



มันคือการเอาซุปไข่ญี่ปุ่น 2 ห่อที่ซื้อมาจาก 7-11 มาต้ม พร้อมมาม่าอีก 2 ห่อ แกะใส่ลงไปรวมกัน เชื่อมั้ย มันคือมาม่าที่อร่อยที่สุดในสามโลก สี่จักรวาลเลย อ่างเดียวนั่นแหละ เวียนกันกินคนละคำสองคำ หมดอย่างรวดเร็ว นี่สินะ ความอร่อยที่เกิดจากความสนุกของพวกเรา แค่มาม่าธรรมดา ยังกลายเป็นความอร่อยในสามโลกเลย


เริ่มด้วยขาของตัวเอง ก็ต้องจบ ด้วยขาของตัวเอง

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะเดินเทรคกันจากจุดที่เราอยู่ กลับหมู่บ้าน Taluka โดยใช้เส้นทางเดิม เราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าเหมือนเดิม ผ่านหมู่บ้านที่เราผ่านช่วงตอนขามา ผ่านร้านขายของ หลายๆครั้งที่เรายังหันกลับไปดู Har Ki Dun ที่ยังคงตั้งเด่นตระหง่านอย่างกับรอส่งพวกเราจนลับสายตา

พอเลยหมู่บ้านมา ก็เริ่มเป็นทางที่เป็นป่า เริ่มมองไม่เห็น Har Ki Dun แล้ว จากนี้ไปก็เดินลัดเลาะป่า ผ่านไหล่เขา ข้ามลำธาร เดินตามทางน้ำไหลไปจนเจอหมู่บ้าน Taluka การเดินท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างร้อนนี่ไม่ใช่เรื่องสนุกสักเท่าไหร่ แต่โชคดีที่ เราไม่ได้เดินกลางแจ้งมากนัก ส่วนมากเราจะเดินกันบนป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมเสียเป็นส่วนใหญ่ จนมาถึงจุดพักกินข้าวกลางวันของเรา มาถึงตอนนี้ เพื่อนร่วมทริปของเราเริ่มมีอาการบาดเจ็บให้เห็นกันบ้างแล้ว นุ่นเริ่มเจ็บเข่า พี่นกก็เจ็บเข่าและเข่าบวมมาก แต่ทุกคนก็ยังไม่ยอมแพ้ เพราะเส้นทางเหลืออีกไม่ไกล

เราตัดสินใจเริ่มออกเดินก่อน เพราะเราจะให้พี่นกนั่งพักอีกหน่อย แล้วค่อยเดิน เราก็เดินมาเรื่อยๆ ระหว่างทางไม่ไหวก็พัก เราเริ่มพักถี่ขึ้นๆ งานนี้ผมกับนุ่นลงความเห็นตรงกันว่า รองเท้าที่เราเอาใส่เดินที่นี่ หรือการเดินเทรคลักษณะนี้ ควรเลือกรองเท้าที่ดี จะได้ช่วยผ่อนแรง และยังเพิ่มแรงยึด แรงฉุดเวลาเราเดินบนหินลื่นๆได้เป็นอย่างดี งานนี้ The North Face เอาใจผมไปเลยครับ (ปล. ไม่ได้ค่าโฆษณาเล้ยยย ความประทับใจล้วนๆ)

เดินมาอีกสักพัก ต้นไม้ใหญ่เริ่มหายไป เป็นสัญญาณที่ดีที่เราจำได้ว่า เราใกล้ถึงหมู่บ้าน Taluka แล้ว ตอนใกล้จะถึง นุ่นมีอาการเจ็บเข่าอย่างเห็นได้ชัด และทำท่าจะเดินไม่ไหว ผมเลยเอากระเป๋านุ่นมาช่วยผ่อนแรง และให้พยายามเดินอีกหน่อย เอ๋ก็เริ่มมีอาการเจ็บ เลยไปกันช้าๆ แต่ในที่สุด เรากลุ่มกลางก็เดินมาถึงปลายทางที่หมู่บ้าน Taluka ที่ที่ยอร์ชกับฝน เดินมาถึงก่อนได้สักพักแล้ว แล้วอีก 20 นาทีต่อมา กลุ่มหลังก็ตามมา กลุ่มหลังที่เราเป็นห่วงว่าจะมาได้ไหม ก็เดินทางมาถึง เป็นอันว่า เราทุกคนเดินจบด้วยตัวเองทุกคน มันโคตรดีใจเลยนะ

เรานั่งรถกลับจาก Taluka มาที่ Sankri ด้วยสภาพที่หมดแรง แต่ทั้ง 2 คัน ยังมีเสียงคุย เสียงหัวเราะ พูดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาอยู่ตลอดเวลา กลับมาถึง Sankri เราเอากระเป๋าที่ฝาก เข้าห้องพัก อาบน้ำอาบท่า น้ำที่นี่ที่เคยว่าเย็น ยังไงก็ยังเย็นน้อยกว่าบน Har Ki Dun อาบสบายมากเลย อาบน้ำเสร็จ เราออกมาเดินเล่น บางคนนั่งชิลล์ มองไปไกลๆ พี่ตรีเป็นคนนึงที่เข้ามาจอยทริปนี้ทีหลัง และผมก็ไม่ค่อยได้คุยกับพี่ตรีเท่าไหร่ เห็นแกนั่งชิลล์อยู่ เลยเดินเข้าไปถามแกว่า “พี่ตรี พี่คิดไงถึงมาทริปนี้กับพวกผมได้” พี่ตรีตอบผมกลับมาว่า “ก็พี่เอกนั่นแหละ ส่งรูปมาให้ผมดู แล้วถามว่าจะไปมั้ย ผมก็ตอบเลยว่าไปดิ” แล้วแกก็หัวเราะ ผมถามแกต่อว่า แล้วพอมาแล้วเป็นไง แกบอกว่า “มันสุดยอดมาก ดีใจมากที่ได้มา ไม่เคยได้มาเดินอะไรอย่างงี้เลย แล้วถ้าครั้งนี้ไม่ได้มา ก็ไม่รู้ว่าจะได้ไปเห็นอะไรแบบนี้อีกทีเมื่อไหร่”

มีหลายๆคำถาม ถามมาที่พวกเราทุกคนนะ ทำไมต้องมาเดินอะไรไกลๆ ระยะทางรวมตั้ง 65 กม. ไกลก็ไกล เดินไปทำไม มันลำบากนะ มาทำไม เดินแล้วได้อะไรขึ้นมา มันสวยขนาดนั้นเลยเหรอ จ่ายตังค์ทั้งทีทำไมไม่ไปเที่ยวสบายๆ

ผมว่า สิ่งที่พวกเราทั้ง 12 คนได้เจอร่วมกันมา มิตรภาพที่เกิดขึ้นตลอดทาง วันที่เราได้อยู่ด้วยกัน ประสบการณ์ดีดีที่พวกเราช่วยกันสร้าง สิ่งนี้ต่างหากที่จะเป็นตัวตอบคำถามของพวกเรา ทริปของพวกเรามันมีความสนุกตั้งแต่ก่อนเดินทาง ระหว่างเดินทาง และหลังการเดินทาง แม้มันจะผ่านไปความทรงจำต่างๆจะยังคงโลดแล่นอยู่ในหัวของพวกเรา ว่าเราได้เคยไปฝ่าฟันอะไรต่างๆด้วยกันมา

ไม่ต้องเป็นทริปที่ไกล หรือทริปที่ลำบากก็ได้ จะเป็นที่ไหนก็แล้วแต่ ต่อให้นั่งอยู่ริมคลอง ขอให้มีเพื่อนที่ดี เพื่อนที่รู้ใจ อยู่ข้างๆกัน มันก็ทำให้ทริปนั้น มีความสุขมากๆแล้ว เพียงแต่ทริปคราวนี้ของพวกเรา มีภูเขาหิมะเป็นจุดหมายร่วมกัน เท่านั้นเอง.....

วันรุ่งขึ้น เรานั่งรถสู่เมือง Dehradun พักที่นี่ 1 คืน แล้ววันรุ่งขึ้น ออกเดินทางสู่เดลี แล้วกลับเมืองไทย


อีกอย่างที่เป็นนิสัยเราคนไทยคือ ชอบช่วยเหลือ ขาไปเราเดินผ่านบ้านของ Cook BJ (พ่อครัวของกรุ๊ปเรา) เราได้รู้ว่าลูกเขาป่วย โดนแมงมุมกัด เป็นแผลพุพองเลย และติดเชื้อ ขากลับ เราทุกคนจึงรวบรวมเงินเพื่อให้เขาไปรักษาลูกเขา นั่นยิ่งทำให้บรรยากาศของทริปเรา มันอบอุ่นขึ้นไปอีก


การเดินทางครั้งนี้มันสนุก หรืออาจด้วยความที่เคมีพวกเราเข้ากันด้วย ไกด์ก็เป็นกันเองด้วย และอีกอย่างนึงคือ ความที่เราไม่ได้ตั้งความหวังไว้เลยว่าจะได้เจออะไรที่สวยขนาดนี้ คิดดูไปอินเดียเดือนมิถุนา ช่วงที่มีข่าวคลื่นความร้อนคร่าชีวิตคนอินเดียนับพัน แต่เราก็ยังได้ไปสัมผัสหิมาลัย สัมผัสหิมะ ความหนาวเย็น สิ่งที่ได้กลับมามัน เกินคาดหวังไปอีก มิตรภาพจากคนท้องถิ่นที่เดินสวนกับเรา หรือแซงเราไป มันเป็นอะไรที่น่ารัก เดินผ่านกันก็จะทักกัน นมัสเต กันตลอดทาง ขอบคุณเพื่อนร่วมทางทั้ง 11 คน พี่ต่อ พี่เอก พี่ตรี ฉลาม ยอร์ช ฝน เอ๋ เล็ก พี่วัลย์ พี่นก นุ่น ที่ไปทุกข์ ไปสุข ไปเหนื่อย ไปหัวเราะไปพร้อมๆกัน


ขอบคุณที่ร่วมกันเขียนความทรงจำดีดีขึ้นมาในชีวิตพวกเรา

ปล.ส่งท้าย

กับข้าวที่เราเตรียมไปพวกที่มีส่วนผสมของ หมู เนื้อ คือ เราก็กินในส่วนของเรานะคับ ไม่ต้องไปแบ่งพวกไกด์อะไรพวกนี้ เดี๋ยวเขาเกิดกินด้วยความไม่รู้ มันจะผิดข้อห้ามของเค้าน่ะคับ

ระยะทางที่เราเดิน ทั้งหมด 65 กม. คือ ไป 30 กลับ 30 เดินเที่ยวข้างบน 5 อาจจะมีบวกลบนิดหน่อยคับผม

ถ้ามาเส้นเดียวกับเรา ที่สุดท้ายที่จะหา Wifi ได้คือ ที่ Dehradun ตอนเราอยู่ dehradun พอดีขาไปไม่ได้แวะพัก แค่ผ่านเฉยๆ เลยไม่ได้ส่งข่าว แล้วพวกเราก็หายกันไปร่วม 10 วัน กว่าจะเจอ wifi อีกที ก็วันกลับ ที่กลับมานอนที่ Dehradun

Dehradun เป็นเมืองทางผ่านที่ถือว่า มีของครบ ดังนั้น ถ้ามาแล้วขาดเหลืออะไร เราอาจจะยังพอหาซื้อได้จากที่นี่ ซึ่งของจะเยอะ ใหม่ และมีให้เลือก เช่น ยา อุปกรณ์ดำรงชีวิต ที่นี่มีเอ้าท์เลทบ้าง ร้านขายอุปกรณ์เดินป่าบ้าง ลองดูคับ อ้อออ McDonald KFC ก็มีนะคับ แหะๆ วันกลับลงมา ผมนี่ พุ่งเข้า KFC จัดกันหนักๆเลย ^___


จบแล้วคับ เล่ายาวมาก ^___^ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ และความบันเทิง ขอทุกท่านที่เข้ามาอ่านะคับ เดี๋ยวคราวหน้า ไปเที่ยวไหนอีก จะเอามาเล่าให้ฟังนะคับ



ขอบคุณที่ติดตาม "เรื่องเล่าหลายบรรทัด" มาจนถึงบรรทัดสุดท้าย

TrailTrav

www.facebook.com/trailtrav


เรื่องค่าใช้จ่าย เฉพาะค่าทริป 16,xxx บาท

- รถมารับ - ส่งจากสนามบินเดลี (อยู่ที่ดีลว่าจะให้รับจากที่ไหน)

- รถจี้บ พาไปจุดเริ่มเทรค

- ค่าลาล่อ ลูกหาบ เต๊นท์ ถุงนอน อาหาร ที่พัก (โรงแรมธรรมดา 4 คืน + บ้าน 1 คืน + เต๊นท์ 3 คืน)

ราคานี้ เพื่อนผมดีลมาด้วยจำนวนคนเดินทาง 14 คน (แต่มีคนถอนตัว 2 คนกระทันหัน โชคดีทางอินเดียยังคิดราคาเดิม)


ราคานี้ ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินคับ


ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าซื้อขนมระหว่างทางเทรค ค่าชา ไข่ลวก เลย์ และอาหารบางมื้อ

ผมใช้อยู่ที่ประมาณไม่เกิน 1,500 บาทไทย (มาหมดเยอะก็ตรง Duty free วันกลับ -"

ความคิดเห็น