เลห์... เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่นึงของคนไทยหลายๆคน ผมว่า เลห์ยังเป็นโรงเรียน สนามฝึกซ้อม หรือกระทั่งเป็นสนามสอบของช่างภาพหลายๆท่านรวมทั้งตัวผมเองด้วย ทีนี้ เรามาว่าเรื่องที่เป็นหลักเป็นการณ์กันนิดนึงนะครับ เลห์ เป็นเมืองหลวงของแคว้นลาดักห์ อยู่ทางตอนเหนือของอินเดีย มีพรมแดนติดจีน และปากีสถาน จึงถือว่าเป็นพื้นที่อ่อนไหว เราเลยเห็นทหารอยู่ตลอดทางที่เราเดินทางผ่านไปยังสถานที่ท่องเที่ยวในเลห์

ครั้งนี้ ผมขออนุญาตข้ามเรื่องพวกนี้ไปนะครับ

- การขอวีซ่า

- การเดินทาง

- อาหารการกิน

- ราคาทริป

เพราะผมเชื่อว่า ถ้าเราพิมพ์คำว่า “เลห์ ลาดักห์” ใน Google แล้วก็จะขึ้นข้อมูลเหล่านี้มาเพียบเลย กระทู้นี้ ผมเลยจะขอพาทุกคนไปเที่ยวด้วยรูป เน้นรูป เน้นขายฝัน เน้นว่าอยากให้ไปกัน เน้นว่าสวยจริงจริง เน้นว่าเที่ยวง่าย เล่าประสบการณ์ว่าเราเจออะไรกันมาบ้าง จะได้เอาไว้ระวัง โดยที่ประสบการณ์แย่ๆของผม ผมจะเน้นบอกเอาไว้ครับ จะได้ไม่โดนแบบผม หรือ ถ้าโดน ก็จะได้หาทางรับมือได้อย่างไม่ยุ่งยาก

ผมเชื่อว่า ประสบการณ์การเดินทางแล้วเจอปัญหาเนี่ย มันจะสามารถกลับมาเล่า กลับมาถ่ายทอดได้อย่างไม่มีทางเบื่อ แต่เชื่อผมสิ ถ้า ณ เวลานั้นเจอปัญหากันจริงๆ มันจะไม่สนุกเอาเสียเลย หนำซ้ำยังจะพาลไปเบื่อเรื่องอื่นๆอีก (ผมเป็น แฮร่....)

ครับ ครั้งนี้ สมาชิกเราไปกันทั้งหมด 11 คนรวมผมด้วย จากจุดเริ่มต้นที่อยากไปที่สวยๆ ราคากำลังงาม ไม่แพงมาก ไม่ถูกเกิน กินพอดี อยู่พอได้ เลยมาลงเอยที่ เลห์ ลาดักห์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมฝันว่าจะได้ไปตั้งแต่หลายปีก่อน เลยตกลงทันที แต่คราวนี้ ไหนๆก็ไปแล้ว ก็ขอไปดูทัช มาฮาล ด้วยเลยละกันจะได้ไปทีเดียว ครบๆ จบๆ ทริปเราเป็นอย่านี้ครับ

=========================================================

Day1 กรุงเทพ - เดลี (Spice Jet) แล้วนั่งรถต่อไป อัครา นอนที่อัครา 1 คืน

Day2 อัครา เที่ยว Taj Mahal, Itimud-ud-Daulah, Agra Fort แล้วนั่งรถ กลับมาเดลี นอนเดลี

Day3 ไฟลท์แคนเซิล (Go Air) ต้องนอนเดลีอีกคืนนึง แพลนที่เลห์จำต้องเลื่อน

Day4 เลห์ นอนพัก ปรับตัว บ่ายเย็น เที่ยว Leh Palace, Namgyal Tesmo, Shanti Stupa นอนเลห์

Day5 เลห์ ไป Alchi Monastery, Lamayuru, Moonland, Likir, Basgo กลับมานอนที่เลห์เลย (ตามจริงต้องค้างคืนที่ Moonland)

Day6 เลห์ ไป Nubra Valley ผ่าน Khardung La Pass นอนที่ Nubra Valley

Day7 Nubra Valley ไป Diskit Monastery กลับมานอนที่เลห์

Day8 เลห์ ไป Shey Palace, Thikshey Monastery, Chang La Pass ไป Pangong Lake นอนในกระโจมริมทะเลสาบปันกอง

Day9 Pangong Lake กลับมาที่นอนที่เลห์

Day10 กลับบ้าน

=========================================================

คือ เยอะเกิ๊นนนนน แน่นดี แต่ถ้าจัดเวลาให้ดีดี เรามีเวลาเหลือนะครับ



****** ผมจะใช้คำว่า แปะไว้** สำหรับอะไรที่ผมโดน ผมพลาด และไม่อยากให้คนที่ตามไปเที่ยวพลาดแบบผมนะครับ ก็ลองดูๆกัน คนตามไปอาจไม่เจอแบบผมก็ได้ก็ดีไป แต่ถ้าเจอ หรือกำลังจะเจอ จะได้รับมือ แก้ไข เตรียมตัวทัน



*รูปที่ถ่ายทั้งหมด ผมใช้

Canon EOS 6D + 24-105 F4L, 70-200 F2.8L IS2, Quantaray19-35

GoPro Hero3+

ทุกรูปผ่าน Process ใน Light Room หมดแล้วครับ

**ช่วงที่ผมไปคือ 30 เม.ย. - 9 พ.ค. ใครตามรีวิวมาอาจเจอสภาพอากาศประมาณผมเจอ หรือหนาวไปเลย หรือร้อนดับเลย ก็สามารถเกิดขึ้นได้ครับ

**อาจมีถ้อยคำไม่สุภาพบ้าง และผิดหลักไวยากรณ์บ้าง ผมขออภัยล่วงหน้ามา ณ ที่นี้นะครับ กราบบบบบบ ^___^



ป่ะ ได้เวลาขายฝัน


วันแรก เป็นวันแห่งการเดินทาง เราเดินทางกันยาวๆ ขึ้นเครื่องมาลง นั่งรถกันยาวๆ โชคดีกว่าคราวที่แล้วที่รอบนี้ได้รถบัสเล็กและแอร์เย็น เราใช้เวลาทั้งวันเดินทางจากเดลีมาอัครา เป้าหมายแรก Metah Barg สวนที่อยู่ตรงข้าม Taj Mahal โดยมีแม่น้ำยมุนา เป็นตัวกั้น แต่มาแล้ว รูปใบแรก ดิบๆเลยนะ เป็นแบบนี้

น้ำก็ไม่มี เดินไปชิดตลิ่งก็ไม่ได้ อารมณ์เสีย คือ เราไม่ได้เข้าไปในสวน Metah Barg เพราะเรากะว่า เลาะๆมาข้างๆแล้วจะได้รูปในมุมที่เราต้องการ แต่ นี่ไง!! แบบนี้ไง กดมาใบนึง เก็บกล้อง เดินกลับ ขึ้นรถ เข้าโรงแรม นอนพัก ให้หายหงุดหงิด

ลองคิดกันดูสิ แหม่ รูปประเดิมทริป เป็นแบบนี้ แล้วต่อไปจะยังไง พยายามลบความเบื่อหน่ายนี้ไปด้วยอาหาร และการพักผ่อน ระหว่างนั่งรถกลับโรงแรม รถก็จอดรับไกด์ท้องถิ่นขึ้นมา พยายามจะขายตั๋วเข้า Taj Mahal ให้เราให้ได้ แต่เรารู้ทันว่า ซื้อที่ทางเข้าดีกว่า ถูกกว่า ชัวร์กว่า แค่ตื่นเข้าหน่อย


แปะไว้** ยอมจ่ายค่าเข้า Metha Barg จะดีกว่า จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ แต่ไม่มากมายครับ ได้รูปแน่นอน ไม่มีอะไรให้กวนใจ

แปะไว้** ตรงนี้นะครับ ใครที่จะไป ถ้าคนไทย ไปซื้อตั๋วที่ทางเข้า ยื่นไปพร้อมพาสปอร์ตไทย จะได้ราคาที่ถูกลงนะครับ (ต่างชาติ 750INR คนไทย 510INR)

หมดไปวันนึงกันอารมณ์บูดๆของผม พาลไง ไม่ได้ดั่งใจแล้วพาล 5555


วันที่สองของการเดินทาง เราตื่นกันแต่เข้า เก็บข้าวของ ขึ้นรถ พร้อมไป Taj Mahal รถเราถึงประตูฝั่งตะวันตกประมาณตี5 แล้วเดินเข้าไปชิลๆ ระยะทางประมาณ 300 เมตร ก็ถึงที่ซื้อตั๋ว พระอาทิตย์ขึ้นพอดี

ซื้อตั๋วเสรจ ต้องตรวจสิ่งของที่เอาเข้าไป ที่เขาห้ามก็พวกปากกา อาหาร ไม้เซลฟี่ (แต่พอเข้าไป ไม้เซลฟี่ตึมเลย) ผ่านจุดนี้ เราก็จะได้เริ่มชมความสวยงามของสถาปัตยกรรม เริ่มที่ ประตูทางเข้าก่อน

เดินผ่านเข้ามาสิ่งที่เราเห็นมันคือความสวยงาม สงบ ร่มเย็น กับคนเป็นหนอนเลย ฮ่าาา หันกลับมาที่ซุ้มประตูที่เราผ่านมา แหงนขึ้นไป สวยจัง

ป่ะ ไปถ่ายพระเอกของเรากันดีกว่า ทัชมาฮาล ตรงนี้เป็นมุมแรกที่หลายๆคนที่เข้ามาต้องถ่ายก่อน มันก็จริงนะ เพราะเราถึงก่อนนี่นา อ่ะ ซักรูปนึงละกัน

รูปบนนี้ ถ่ายจากทางเข้า ถ่ายไปจะเจอมหาชนอยู่ที่บริเวณเกาะกลางทาง (ผมเรียกอย่างงั้นนะ)


ตอนที่เราไป ทัช มาฮาลกำลังอยู่ระหว่างซ่อมแซม เสา 3 จาก 4 ต้น มีนั่งร้านพาดอยู่อย่างสวยงาม และเต็มต้น โอเค ไม่เป็นไร เรารับได้ ยังไง ทัชมาฮาล ก็ยังคงสวยงามอยู่ดี เราเดินมาตามทางเดินกลาง แล้วจะเจอเกาะกลางอีกจุดนึง ผมว่า ใครที่มาแล้ว เดินตรงมาตรงนี้ จะได้รูปที่คนค่อนข้างไม่มาก ไม่กระจุกตัวนะครับ

รูปนี้ จากเกาะกลางครับ


จากนั้น หันกลับไปดูซุ้มประตูที่เราผ่านเข้ามาบ้าง

ตรงนี้ มันจะมีทางเดินไปทางซ้ายขวา ผมเลือกเดินไปทางซ้ายก่อน(ตะวันตก) เพราะพระอาทิตย์ยังขึ้นไม่สูง ยังถ่ายย้อนแสงแล้วยังอุ่นๆ นวลๆ

จากนั้น ก็เดินเข้าไปรอบๆ แล้วก็หาช่อง หาซุ้มที่จะมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ

เดินจนหนำใจ ขากลับ เราเดินฝั่งขวา(ตะวันออก) เพราะพระอาทิตย์เริ่มขึ้นสูงแล้ว เดินวนๆมาตรงทางที่จะออกมาเกาะกลาง ก็เห็นช่องต้นไม้ใหญ่ๆ สำหรับที่นี่ ผมชอบมุมนี้ที่สุดละ ดูแล้วมันสบายตามากๆ

ที่ทัช มาฮาล ถ้าไม่นับเรื่องซ่อม ผมให้ 9 เต็ม 10 เลยนะครับ มันผิดกับที่ผมคาดหวังไว้มาก ผมแค่คิดว่า ก็เข้ามา เจอคงไม่สวยมาก เดินๆร้อนๆแห้งๆ กลับ แต่เอาเข้าจริง ถ้ามีโอกาสมาตอนที่เขาซ่อมเสร็จ และแม่น้ำยมุนา มีน้ำเต็มกว่านี้ ก็น่ามาอีกทีครับ

ต่อไปจากทัชมาฮาล เราไปที่ Agra Fort เป็นป้อมปราการ ตั้งอยู่ถัดจากทัชมาฮาล เรามาถึงที่นี่กันเวลาเกือบ 10 โมง พร้อมกับแดดแรงๆๆๆๆๆมากๆๆๆๆ ที่นี่มีอาคารแยกย่อยออกไปมากมาย คือเดินกันแล้วหลงกับเพื่อน คือนัดเวลากันเลยครับว่า จะมาเจอกันตรงจุดไหน กี่โมง เพราะที่นี่ เดินไปเดินมาหลง ผมวนไปวนมา เจอห้องต่างๆมากมาย การตกแต่งก็ต่างกันออกไป หินอ่อนสีขาว หินสีแดงแต่สิ่งที่ไม่เจอคือเพื่อนๆที่มาด้วยกัน 55555

แต่ที่มาสะดุดตาคือ วิวที่มองจาก Agra fort สามารถมองไปเห็นทัชมาฮาลได้ โดยมีคุ้งน้ำยมุนาเป็นฉากหน้า แค่ตอนนี้ มันไม่มีน้ำ และยังแล้งมากๆเท่านั้นเอง T___T

ต่อจากที่นี่ เรานั่งรถกันอีกไม่ไกลก็ถึง Itimud – ud- Daulah หรือ Baya Taj พร้อมกับอากาศช่วงเที่ยง พระอาทิตย์ตรงหัว เพิ่มความร้อนแรงในการเดินทาง และการเข้าชม เพราะที่นี่ ถ้าจะขึ้นไปชม Baby Taj ข้างใน ต้องถอดรองเท้าเดินขึ้น ซึ่ง ร้อน ีน มากๆๆๆๆๆๆ

เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจร้อนๆในวันนี้ แล้วนั่งรถ กลับจากอัครา มายังเดลี

ที่เดลี เราเข้าพักที่ย่านพาะกัณจ์ ตรงนี้จะเป็นย่านใจกลาง ติดสถานีรถไฟ เป็นย่านที่มีความคึกคัก เสียงดัง แตรรถ ของขาย และมายเฟรนด์ คำหลังนี้ พอดีเพื่อนที่มาก่อนผมบอกว่า

“ถ้าแขกเข้ามาทักเราว่า Hello my Friend เมื่อไหร่ นั่นหมายความว่า เรากำลังจะถูกหลอก” เพราะมันโดนหลอกมาแล้ว ฮาาาา เป็นจริงดังคาด Hello my Friend ทั้งถนน ของที่นี่ หาซื้อได้นะครับ มีของดีซ่อนอยู่ อย่างน้องในทริปได้ผ้าพันคอมาผืนนึง สวย นิ่ม ดี ราคาถูก เอามาถามที่เลห์เขาก็บอกว่า ซื้อมาราคานี้ได้ยังไง ได้ราคาดีมากๆ และตรงนี้ สาวๆในทริป ก็ได้จับจ่ายของฝากเป็น Himalaya ลิปบาล์ม ครีมทาตา โลชั่น นั้นนี้ รอกันแขวนท้องล่ะครับ ได้ออกมากันถุงใหญ่ๆๆๆ คือคิดว่าช้อปวันสุดท้ายกันเหรอคะ ต้องแบกไปเลห์อีกนะ ว่าได้ที่ไหน ผมยังจัดมาถุงนึงเลย แฮร่

แปะไว้** จริงๆแล้ว แขกย่านนั้นไม่มีอะไรครับ เขาขายของก็หากำไรบ้าง โก่งราคาบ้าง ก็เหมือนบ้างเรานั่นล่ะ ถ้าเราไม่ซื้อก็อย่าไปเริ่มสนทนา แต่ถ้าเรามองแล้วน่าจะดี อยาดูใกล้ๆก็เริ่มเข้าไปดู ถ้าไม่เวิร์คก็ถอยออกมาไม่ต้องต่อปากต่อราคา แต่ถ้ามันเวิร์ค สวย ดี ก็ .... ต่อให้สุดๆเลยครับ

หมดวันร้อนๆ จอแจ เสียงดัง ไปอีก 1 วัน พรุ่งนี้ เราจะเดินทางไปที่หนาวๆแล้ว


อ้อออ ลืมไป พวกผมเริ่มกินยา Diamox ที่คืนนี้ครับ ก่อนเดินทางไปเลห์ เพื่อกันอาการแพ้ความสูง อันนี้สูตรผมเอง กินก่อนเดินทางไป 1 วัน และพอไปอยู่นู่น ก็กินวันละ 1 เม็ด แต่ก็แล้วแต่ครับ ไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จ บางท่านอาจมีวิธีหรือสูตรการกินยาที่ไม่เหมือนผมก็ได้เหมือนกัน ขอแค่ ไปแล้วไม่ป่วย ก็ดีมากครับ


วันที่3 ของการเดินทาง วันนี้เราต้องนั่งเครื่องจากเดลี ไปที่เลห์ เราตื่นเต้นกันมาก รีบเก็บข้าวของ อ้อ ลืมเรื่องนึง ถ้าเรานัดให้รถมารับที่โรงแรม เราต้องย้ำกับเขาอีกทีตอนเย็นว่า ให้มารับกี่โมง กลางคืน ก่อนนอนย้ำมันไปอีกรอบ ย้ำๆไป รถจะได้มาตรงเวลานะครับ ครั้งนี้ รถมารับเราตรงเวลา จัดแจงขึ้นรถ ตรงไปสนามบิน ดูตารางไฟล์ท .....เอ ทำไม ไม่มีไฟล์ทเราว๊าาาาา เดินไปเค้าน์เตอร์ ปรากฎ ....แคนเซิล คำเดียวที่ออกมาจากใจตอนนั้นคือ โพ่งงงงงงงง (ขออนุณาตหยาบคาย) คือ จะบินแล้ว แคนเซิล ทำไมเราไม่รู้ แคนเซิลเมื่อไหร่ ยังไง สรุป มันแคนเซิลตอนวันที่เราอยู่ที่อัครา แล้วเราไม่มีใครได้เช็คเมล์ ตอนนั้น เราเบรคอารมณ์โมโหไว้ แล้วพยายามช่วยกันหาเครื่องที่จะไปที่เลห์เพื่อจะได้ไม่พลาดทริปที่เราวาง แต่...จนแล้วจนรอด เราก็หาไม่ได้ เพราะการจะไปพร้อมกัน 11 คน มันยากมาก สุดท้ายต้องเจราจากับสายการบินว่า เราต้องการความรับผิดชอบ โมโหไปมา ต่อรองไปมา สุดท้าย เราได้ไฟล์ทวันรุ่งขึ้น 8.45น. 11 ที่นั่ง ไปเลห์ ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม

เหตุการณ์นี้ มาย้อนๆดู คือ ถามว่าสายการบินผิดไหมที่แคนเซิล ลองมาชี้ออกก่อนเลยคือ ผิดซิ เราจองไปแล้ว แล้วแคนเซิลได้ไง แต่ถ้าชี้เข้าตัว คือ เขาแคนเซิลไฟลท์ 2 วันก่อนไฟล์ทจริง และแจ้งมาแล้แต่เราไม่ได้เปิดโรมมิ่ง ไม่ได้ Msg นั่นหมายความว่าเรา "สามารถรับรู้ได้ แต่เราพลาดการสื่อสาร" อ่ะ เปลี่ยนความคิดเป็น ผิดทั้งคู่ แล้วต่อไปทำไง ก็ต่อรอง เจรจา สุดท้ายให้เขารับผิดชอบ เขาก็รับผิดชอบ ให้ไฟล์ทวันรุ่งขึ้นกับเรา ส่วนพวกเรา ยอมรับและมานั่งจัดแพลนเที่ยวใหม่ ว่าจะยังไงให้ได้ครบตามที่อยากไป สุดท้ายก็จัดการได้ แล้วนั่นแท๊กซี่กลับที่พักที่พาหะกัณจ์ ไปนอนฟังเสียงแตร เสียงดัง และมายเฟรนด์ กันอีกคืน

แปะไว้** ไปถึงก็เช็คไฟล์ทล่วงหน้าของเรา 1 วัน 2 วันก่อนบินให้ตลอด เพราะเหตุการณ์แบบนี้อาจเกิดขึ้นได้กับสายการบินเล็กๆอย่าง GoAir ได้นะครับ แต่ในทางกลับกัน เขาก็ยังดำเนินการแก้ปัญหาให้เราได้ในระดับที่เราพอใจครับ แม้จะทะเลาะกันบ้างก็ตาม


วันนี้ ก็เลยถือเป็นวันแห่งการเดินเล่น พบแขก กิน นอน กันเต็มๆก่อนเดินทางไปเลห์ ซึ่ง มองในทางดี ก็ดีนะ เพราะทำให้เราได้พักผ่อนเต็มๆอีกวันนึง วันรุ่งขึ้น บินไปถึงเลห์ ก็นอนพักปรับร่างกายอีก และด้วยยาที่ต้องกินเบิ้ลอีกคืน ทำให้ทีมเราไม่มีใครมีอาการแพ้ความสูงแรงๆครับ


วันที่4 ของการเดินทาง วันนี้ได้บินแล้วววววววววววววว ปลุกความตื่นเต้นกลับมาอีกครั้ง คราวนี้ผ่านคร้าบบบบ สบายเลย ขึ้นเครื่องหยิบกล้อง แล้วนอน ซักพัก ตื่นมากดชัตเตอร์ให้กับสิ่งที่มาต้อนรับเรา แนวเทือกเขาหิมาลัย

เราลงเครื่องตอน 11 โมงที่สนามบินเลห์ อากาศเย็น แต่แดดแรง สิ่งสำคัญที่ควรมีคือ เสื้อแขนยาว แว่นกันแดดที่ดีหน่อย ครีมกันแดด ไม่งั้นวันแรกหน้าใส วันสุดท้ายหน้าโทรม

วันแรกของการมาถึงที่เลห์ จะต้องทำการพัก พักอย่างจริงจัง เพื่อปรับสภาพร่างการ เพราะการที่เราอยู่ในเดลี แล้วบินขึ้นมาที่สูง 3000+ เลย ร่างกายต้องการการปรับตัวอย่างมาก ดังนั้น วันนี้ เราจะ นอน นอน แล้วก็นอน ตามที่เราดีลไว้ เรามีรถมารับจากสนามบินไปที่พักชื่อ Sia-La Guest House เป็นที่พักที่ดีนะ มีคนกรุ๊บคนไทยเข้าพักที่นี่เยอะ อย่างจอนที่เราไปก็เจออีก 2-3 กรุ๊ป อุ่นใจๆๆ เราเข้าถึงที่พักเที่ยง เขาจะให้เรานอน เพื่อตอนเย็นๆ จะไปเที่ยวรอบเมืองเลห์ แต่ด้วยความที่ผมนอนไม่หลับ นอนไป 2 ชม. ตื่น เลยคว้ากล้องออกมาเดินเล่น (เปรี้ยวไง เขาให้พักไม่พัก) ผมเดินเล่นรอบๆ แล้วเดินไปเรื่อยๆ เจอภูเขาเล็กๆ เอาวะ จัดซักหน่อย ลองของไง สุดท้าย ยังเดินไม่ถึงครึ่งทางเลย ใจจะขาด ยอมแล้วครับ นั่งพัก แล้วค่อยๆเดินลากๆกลับมาที่พัก นั่ง กินชารอเวลารถมารับ คือสำคัญนะ อย่าทำแบบผม มันอันตรายมาก ให้พักคือพัก นี่ถ้าผมยังดื้อเดินต่อ ทั้งทริปอาจจะไม่สนุกเลยก็ได้

ในขณะที่ผมนั่งพักเป็นหมาหอบ-อยู่ พี่สองคนนี้ เขายังทำงาน ทุบหิน กันสบายใจ

แปะไว้** มาถึง ต้องนอนพัก นอนให้สุด บ่ายแก่ๆค่อยเริ่มเที่ยว เพราะการเที่ยววันแรกในเมือง แต่ละที่จะห่างกันไม่ไกล อย่าเปรี้ยวแบบผมที่ออกไปเดินๆๆๆ คุณอาจหมดสนุกในวันที่เหลือก็เป็นได้

แปะไว้** กลุ่มผม กิน Diamox วันก่อนบินมาถึงเลห์ (วันสุดท้ายที่นอนเดลี) และกินต่อเนื่องวันละเม็ด จน 2-3 วันสุดท้าย ก็ไม่ได้กินเพราะยาหมด แต่ช่วงแรกสำคัญต้องกิน ไม่งั้นไม่สนุกแน่ .... แต่ ร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ อันนี้คือวิธีของกลุ่มผมที่ใช้กัน ท่านอื่น อาจมีวิธีใช้ Diamox ที่ดีกว่านี้ได้ครับ


เย็นละ รถมารับ วันนี้จุดหมายเรา 3 ที่ Leh Palace, Namgyal Tesmo และ Shanti Stupa คราวนี้ หลังจากได้พัก จิบชา ชมวิว (ดูหรูเนาะ จริงๆนั่งหอบแฮกมากๆ) ก็มีแรงขึ้นหน่อย นั่งรถ ลงรถ ค่อยๆทำ ค่อยๆเดินครับ

แปะไว้*** ที่ Leh Palace มันจะมีมุมที่ถ่ายจากในเมือง ซึ่งสามารถเดินจากที่พักได้ ผมเลยย่ามใจ เก็บไว้ถ่ายวันหลัง แต่สุดท้ายลืม ลืมถ่ายมา มานึกได้ วันกลับซึ่งไม่มีเวลาแล้ว ต้องกลับไปซ่อมสินะ สินะ สินะ

ถ่ายจากบน Leh Palace

ถ่ายจากบน Namgyal Tsemo แล้วมองลงมาดูเมืองเลห์

Namgyal Tsemo


Shanti Stupa


หมดไปอีก 1 วัน 3 ที่ที่ผมไปมานี่ สามารถเดินเที่ยว หรือนั่งแท้กซี่เที่ยวได้ครับ ยิ่ง Leh palace จะอยู่ในเมืองเลย ถ้าพักละแวกที่ผมพัก เดินออกมาไม่ไกลมากก็ถึงแล้ว (ถึงด้านล่างนะครับ)

พักผ่อน วันพรุ่งนี้ เราจะเดินทางไปกลับแบบมาราธอน


วันที่5 ของการเดินทาง วันนี้เราจะเหนื่อยหน่อย เพื่อทำให้เวลาเราในวันพรุ่งนี้กลับเข้าแพลนเดิมโดยการ ไปเที่ยวจนสุด แล้วกลับมานอนที่เลห์ เป็นการทำ 2 วัน ให้เป็นวันเดียว ดังนั้น ค่อนข้างบีบ แต่เราจัดเวลาค่อนข้างดี ได้ไปครบ ได้รูปครบ ได้ช้อปปิ้ง แล้วกลับมาถึงเลห์เวลา 2 ทุ่ม เราให้ที่พัก ทำอาหารเย็นให้เราไว้รอ จะได้ไม่ต้องไปเดินหาร้านข้าวอีก วันนี้เป็นวันที่เหนื่อย แต่ได้อะไรเยอะแยะมากมาย ได้เห็นอะไรสวยๆสมใจที่เคยหวังไว้ว่าจะมาเที่ยว

วิวระหว่างทางจุดบรรจบกันของแม่น้ำสินธุ และแม่น้ำซันสการ์

Alchi Monastery

Lamayuru Monastery

Moon Land

Likir Monastery


แปะไว้** ที่ Likir Monastery ผมลงรถระหว่างทางเพื่อถ่ายรูปวัดมุมนี้ เพราะอยากได้รูปสวยๆ แล้วบอกให้รถเราไปที่วัดก่อน แล้วผมจะเดินตามขึ้นไปเอง ผมลงมากับน้องอีกคนนึง เราเดินถ่ายรูปกันจนพอใจ แล้วก็เดินไปที่วัด แต่.........ยิ่งเดิน ยิ่งไกล คือ มันอ้อมเขา ขึ้นเนิน เยอะมา ตอนนั้น เราโดนเนินเขาบังทางไว้ เลยนึกว่า ลงแล้ว จะได้เดินขึ้นวัดเลย แต่ไม่ใช่ คือ มองแล้วหมดอนาคต ถ้าเดินขึ้นไปคงถึงค่ำๆ หรือไม่ก็เพื่อนๆคงนั่งรถลงมารับ สุดท้าย 2 หนุ่มอย่างเราก็โบกรถ โบกกันอยู่ 2-3 คัน จนได้รถใจดี เพราะเขาจะเอาของขึ้นไปส่งที่วัดอยู่แล้ว ให้เราติดรถขึ้นไปข้างบน พอขึ้นไปปุ้บ สายตาของการสมน้ำหน้าจากเพื่อนร่วมทริป พร้อมเสียงหัวเราะเยาะลอยมา ไม่ซ่าแล้ว ต่อไป ไม่เดินแล้ว ฮาาาา

Basgo Gompa

แสงสุดท้าย ขณะเดินทางกลับมานอนที่เลห์


วันที่6 ของการเดินทาง วันนี้เรามีจุดหมายที่ Nubra Valley ระหว่างทางจะผ่านถนนที่สูดที่สุดในโลก Khardung La Pass เราเตรียมใจกันไว้ว่าจะเจออากาศหนาวๆเย็นๆกันระดับนัง แต่พอถึง Khardung La Pass สิ่งที่เจอคือลมหิมะบางๆ หนาว เย็น ลมตึง มือแข็ง เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก

ที่ Khardung La Pass เจอพายุหิมะอ่อนๆที่เราไม่คาดคิดว่า มาต้นพฤษภา จะมาเจอ เล่นเอาสะท้านกันทุกคน


มีซีนอารมณ์ด้วยนะ


ถ้าใครเกิดอยากจะเข้าห้องน้ำ ระหว่างทาง มีห้องน้ำสาธารณะไว้บริการครับ ไม่คิดตังค์ด้วย วิวดี แต่เชื่อผมสิ นอกห้องน้ำ จะดีกว่า เยอะเลย....

ห้องน้ำสาธารณะ


ต่อไปเราก็ไปถึง Nubra Valley มีทะเลทราย มีขี่อูฐ

แปะไว้** เพราะความเป็นทะเลทราย ดังนั้น จะมีพายุทรายพัดมาเรื่อยๆ ไม่สิ เรียกว่า ลมแรงๆ พัดมายาวๆเรื่อยๆมากกว่า ดังนั้น อุปกรณ์กล้อง หาอะไรคลุมให้มิดๆนะครับ เพราะเวลาเราอยู่ในช่วงลมแรงๆ มันจะพัดอยู่เป็นหลายนาทีเลย แล้วหอบเอาทรายเม็ดละเอียดๆๆๆๆๆ เข้ามาด้วย กล้องบางคน ทรายเข้าก็มีครับ ตรงนี้ก็ระวังๆกันไว้ด้วยนะครับ แต่ถ้าช่วงลมสงบ ก็นั่งเล่น กระโดดเล่น ถ่ายรูปกันสบายๆเลย

หลังจากหนำใจกับการเล่นทราย ขี่อูฐแล้ว เราก็เข้าที่พัก ที่ Nubra Valley ช่วงเย็นๆจะสวยมากๆ ตอนที่เรามากันนี้ อยู่ช่วงที่ต้นไม้ใบหญ้ากำลังจะผลิใบ ดังนั้น จะมีความเขียวเกิดขึ้นน้อยมาก ซึ่งผมว่า ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อนหน่อย ที่นี่จะต้องสวยแน่ๆ ดังนั้น ก็ต้องมาอีกรอบนึงสินะๆๆๆๆๆ

เหนื่อยเล่นมาทั้งวัน เข้าที่พัก เข้านอน เตรียมร่างกายเพื่อการเดินทางในวันถัดไป


วันที่7 ของการเดินทาง เป็นทางกลับมาที่เลห์ เมื่อคืน เราออกมาถ่ายดาว ล่าช้าง ผมเปลี่ยนเมม เริ่มถ่ายช้าง เช้ามา ถ่ายวัด Diskit ออกมาเจอแอ่งน้ำ ถ่ายภูเขาสะท้อนน้ำ ตามอย่างที่คิดไว้เลย นั่งรถไปพักนึง Card Error โอ้วววววววววว ถอดใส่ ย้ายกล้อง ก็ไม่หาย นี่ยังไม่ได้กู้เลยจนวันนี้ แต่ ตอนนั้น ทำใจไปแล้ว และคิดว่า ยังโชคดีที่ถ่ายไปแค่ 20 กว่ารูป กู้ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็เอาไว้มาใหม่ แฮร่ คิดแล้วก็ทำใจ เปลี่ยนเมม แล้วเริ่มกันต่อ ระหว่างทางเป็นวิวเดิม ผ่าน Khardung La Pass ซึ่งวันนี้ อากาศสดใสและเคลียร์มาก

กลับไปถึงเลห์ตอนบ่ายๆ เรามีเวลาเดินขึ้นไปภูเขากลางเมืองลูกนั้นที่ผมเปรี้ยวในวันแรก รอบนี้ มีแรงแล้ว ขึ้นถึงยอด แบบสดใสกันทุกคน

ภูเขาลูกนี้ ข้างบนมีเหมือนสิ่งก่อสร้างเป็นสถูปอยู่ ผมวนหาทางขึ้น แต่ไม่เจอ เหมือนกับเขาทุบทิ้ง เพื่อจะสร้างใหม่ ผมเห็นเด็กๆวิ่งเล่นอยู่ข้างบน ก็ถามว่า ขึ้นทางไหน เขาก็ชี้ๆ ว่าให้ปีนขึ้นมา โอเค เริ่มปีน ปีนไปได้หน่อย ก็เป็นทางเขา ทางบันได วนขึ้นไปถึงยอด บนนั้น เราจะมองเห็นเมืองเลห์ได้แบบ 360 องศา

ทางขึ้นที่หายไป

เลห์!!! 360 องศา (แล้วทำมือวนๆแบบพยากรณ์อากาศด้วยนะฮะ)

ส่งท้ายวันนี้ด้วยแสงสุดท้ายที่ฉาบบนเทือกเขาหิมาลัย


วันที่8 ของการเดินทาง วันนี้เราจะไปนอนที่ Pangong Lake เส้นทางผ่าน Shey Palace, Thikshey Monastery, Chang La Pass ไปยังปันกอง

Shey Palace


Thikshey Monastery

ระหว่างทางวันนี้เมฆเยอะ ดีเลยจะได้บังแดดให้เรา

Chang La Pass

ระหว่างทางคนขับรถพาเราแวะทุ่งหญ้าที่นึง เราก็งงนะ แวะทำไม เขาก็พาเราลงไป เจอเจ้าตัวนี้ Marmot หรือ หนูหิมาลัย มันน่ารักมากๆๆๆๆ มีอยู่เพียบเลย ขึ้นมาจากโพรง ออกมาหาของกินหลังจากที่หลับอยู่ใต้ฤดูหนาวอันยาวนาน

แปะไว้** ป้ายติดไว้ชัดเจนครับ ลงไปถ่ายรูปได้ แต่ ห้ามจับ ห้ามให้อาหารมาร์มอต นะครับ เพราะเขาคงกลัวว่า ถ้าให้อาหาร ต่อไปมันจะหากินเองไม่ได้ ต้องมาเกาะที่คน เป็นเรื่องที่ดีครับ และเราควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วยนะครับ


มาถึงละนะ ปันกอง...ทะเลสาปน้ำเค็มที่อยู่สูงที่สุดในโลก น้ำที่เค็มน่าจะมาจากแร่ธาตุที่ละลายอยู่ ผมชิมแล้ว ก็ไม่ถึงกับเค็มมาก แต่ก็กร่อยๆอยู่นะ ปันกอง แว่บแรกที่ไปถึง คือ มันไม่สวยเอาซะเลย มันฟ้าตุ่นๆ เทาๆ หม่นๆ ผิดหวังครับ ผมยืนๆกดชัตเตอร์แบบส่งๆ คือ มันไม่รู้จะถ่ายยังไงกับทะเลสาปจืดๆ ที่ผมเคยดูมาคือ มันฟ้าสวยๆเลยนี่นา โดนหลอกละ เห้ออออ

ภาพแรกที่เห็นที่ปันกอง

แต่พอสักพัก เมฆเริ่มเคลื่อน พระอาทิตย์สาดแสงกระทบผิวน้ำเท่านั้นล่ะ โอ้โหหหหหหหห ผมขอถอนคำพูดเมื่อกี้อย่างแรง คือ ปันกองตอนนี้ มัน สวย มาก มาก มาก สีน้ำเงินในเฉดที่ธรรมชาติสร้างออกมา ตัดกับถูกเขาสีส้มฝั่งตรงข้างอย่างชัดเจน เราไปในช่วงที่หญ้าเพิ่งขึ้นหลังจากถูกฝังใต้หิมะมานาน พอเราเอาสีเขียวใส่เข้าไปอีก คือสวยเลยครับ ขอถอนคำพูดเมื่อกี้ทิ้งอย่างหมดสิ้น ฮ่าาาา

คืนนี้ เรานอนกันที่กระโจมริมทะเลสาป ด้วยอุณหภูมิในเต๊นท์ที่ -2 องศา พอตี2 เหล่าตากล้องก็เคาะเรียกกันไปถ่ายช้าง รอบนี้ผมต้องแก้มือให้ได้ ผมเล็งต้นไม้ขาวๆต้นนึง แต่มันอยู่บนเนินเขาที่มีลมอ่อนๆจนถึงแรงปะทะตลอดเวลา อุณหภูมิข้างนอกนั้นน่าจะต่ำกว่า -3 แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเราถอย ยืนแช่ถ่ายรูปกันอยู่อย่างนั้น พอได้รูปสมใจทุกคนแล้ว ก็สลายตัวเข้ากระโจมอย่างรวดเร็ว ซุกผ้าห่ม 4 ชั้นที่เขาเตรียมให้ ฮร่าาาาาาา สบาย

จับช้างที่ปันกอง

เพื่อเป็นการยืนยันถึงความหนาวเย็นของคืนที่ผ่านมา ผมเดินไปเจอแอ่งน้ำขังที่เมื่อเย็นตอนเป็นน้ำขังธรรมดา แต่เช้ามาเป็นน้ำแข็ง และไม่ได้เป็นแค่ผิวหน้า คือผมเอาหินเขวี้ยงลงไป ยังไม่แตกเลย

เช้านี้เราตื่นกันอย่างสดใส ตั้งใจถ่ายแสงเช้า แต่นอนกันยาว ตื่นมา 7 โมง พระอาทิตย์มาอยู่สูงแล้วเก็บมาได้แค่ แสงอุ่นๆแบบนี้

ถือเป็นการปิดทริปที่ดี วันนี้เราเดินทางกลับไปเมืองเลห์ ระหว่างทางที่ทุ่งหญ้ามาร์มอตที่เราผ่านมาเมื่อวาน วันนี้มีแขกรับเชิญมาเพิ่มด้วย

ทุ่งหญ้ามาร์มอตที่เดิม เพิ่มเติมคือพี่แพะทั้งฝูง


ส่วนตัว พอกลับมาถึงเลห์ผมเก็บกล้องถ่ายรูปเลยนะ เพราะคิดว่า ผมได้อะไรอย่างที่อยากได้อยู่แล้ว และไม่อยากเพิ่มอะไรอีก วันสุดท้าย ขอเดินเป็นผู้ชม ชมวิถีชีวิต ชมการเป็นอยู่ของคนที่นี่ และซึมซับบรรยากาศที่นี่ให้เต็มตาดีกว่า เราเดินเล่น กิน ช้อปปิ้ง กิน เดิน ช้อป กันจนมืดค่ำ แล้วกลับมาที่ที่พัก เก็บกระเป๋าพร้อมอำลาเลห์

วันรุ่งขึ้น เราพร้อมใจกันตื่นแต่เข้า มานั่งกินกาแฟที่ข้างนอกห้องอาหาร สัมผัสอากาศเย็นๆ วิวหิมาลัย ก่อนจะนั่งรถไปขึ้นเครื่องกลับบ้าน บ๋าย บาย เลห์ แล้วเราจะมาอีกนะ เรายังติดใจ และยังประทับใจเธออยู่ และอีกไม่นาน เราจะมาหาเธออีก เก็บความเป็นธรรมชาติ และความมีมิตรภาพไว้ก่อนนะ แล้วเราจะกลับมาหาอีกครั้ง

ขอบคุณทุกๆคนที่พยายามอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ รีวิวครั้งนี้ อาจไม่ละเอียดมาก แต่ยาวมากกกก ฮ่าาา คือผมเชื่อว่า ข้อมูลเรื่อง Leh หาง่ายมากจริงๆ แต่ผมจะบอกแค่ข้อควรระวังที่ผมพบเจอ และไม่อยากให้คนที่จะตามไป เจอปัญหาแบบผมอีก เพราะการเจอปัญหาระหว่างเที่ยว มันเป็นประสบการณ์ที่จะนำมาบอกเล่าได้อีกนาน แต่ ณ เวลานั้น เชื่อสิ มันไม่สนุกเอาเสียเลย


ทริปหน้า จะไปไหน ไว้จะมาเล่าให้ฟังอีกนะครับ

TrailTrav

www.facebook.com/trailtrav

TrailTrav

 วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 19.48 น.

ความคิดเห็น