ทริปนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคม 2559 เหตุเริ่มจากมีตั๋วโปรของแอร์เอเชีย บินกรุงเทพ - มอริเชียส (แวะพัก KL 10 ชั่วโมง) และด้วยความมือลั่น เลยกดจองตั๋วไป โดยไม่สนสิ่งที่อยู่ในวงเล็ก ฮาาา ก่อนหน้าผมไปก็จะมีคนไทยเดินทางมาเยี่ยมเยือนบ้าง แต่ที่รู้จักเลยก็ฝ้ายโบ๊ทแห่ง PAKAPRICH ที่มาก่อนหน้าเรา แล้วก็แก๊งค์เพื่อนผมที่เวลาว่างเราไม่ตรงกัน เลยให้เพื่อนมาเที่ยวกันก่อน

โน้ตไว้ก่อน

- ผมไปช่วงต้นธันวา อากาศดี เจอฝนบ้าง หนักบ้าง เบาบ้าง แดดจัดบ้าง ดังนั้นใครที่สนใจจะไปต้องลองเช็คสภาพอากาศในช่วงที่จะเดินทางอีกครั้งครับ

- ผมจองที่พักตลอดการท่องเที่ยวผ่าน Booking.com ได้ราคาที่น่าพอใจ และที่พักดีมากๆ

- อุปกรณ์ถ่ายภาพที่ใช้มี Canon EOS6D+24-105+Tamron70-200 , GoPro Hero3+ , GoPro Hero5 , Huawei P9

- ต้องออกตัวขออภัยถ้าหากในการรีวิวนี้ใช้ภาษาบ้าง หรือคำไม่สุภาพ หรือคำที่อาจจะดูผิดแปลกหลักไวยากรณ์ไปบ้าง ขอโทษค้าบบบบบ

ป่ะ ค่อยๆลุยไปกันเลย

อาจจะมีคนสงสัยว่า มอริเชียส อยู่ตรงไหนของโลกหล้าใบนี้

นี่คือเกาะมอริเชียส

ขยายออกมาอีกหน่อย ก็จะเจอเกามาดากัสการ์อยู่ข้างๆ

ขยายออกมาอีก แทบจะมองไม่เห็นละ ว่าอยู่โซนแอฟริกา

ขยายออกมาอีก เราเดินทางจากไทย ไปพักที่มาเล แล้วต่อไปมอริเชียส

โหมดสาระ .....

Mauritius (อ่านว่า มอ-ริ-เชียส) เป็นเกาะเล็กๆ ประเทศเล็กๆ อยู่ห่างจากชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของแอฟริกาใต้ประมาณ 2400 กม. ถัดจากเกาะมาดากัสการ์ 800 กม. เกาะนี้เคยเป็นเมืองขึ้นของ ดัชต์ ฝรั่งเศส และอังกฤษมาก่อน บนเกาะจึงมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย อาจจะด้วยการที่เคยตกเป็นเมืองขึ้นตอนช่วงล่าอาณานิคม และการกวาดต้อนแรงงานทาสตอนนั้นก็จะมีทั้งชาวโมซัมบิก ชาวอินเดีย เข้ามาอยู่ที่นี่

ที่นี่จึงเป็นที่ที่มีความหลากหลายของวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว


มาเรื่องการเดินทาง ทำไมต้องมอริเชียส สารภาพเลยว่า ผมเองไม่รู้จักมอริเชียสมาก่อน จนวันนึงพี่ในกรุ๊ปไลน์ส่งโปรฯตั๋วสายการบินแอร์เอเชีย บินมอริเชียสในราคาเร้าใจมาก เลยจัดการจองไปซะ แล้วค่อยมาทำการบ้าน ว่าเที่ยวไหนดี

มอริเชียสเป็นประเทศที่เป็นเกาะเล็กๆ ขนาด 2040 ตารางกม. เท่าที่อ่านดู สามารถนั่งรถเมล์เที่ยวได้ สื่อสารด้วยภาษาฝรั่งเศส และอังกฤษ จากข้อมูลรถเมล์ ทำให้เรารู้ว่า เราสามารถนั่งรถข้ามฝั่งของเกาะ (ตะวันออก ชนตะวันตก) ด้วยรถเมล์ได้ โดยใช้เวลาประมาณ 2ชม.ครึ่ง) และเรารู้มาอีกว่า ค่าแท็กซี่ โคตรแพง เราเลยตกลงใจกันว่า จะเที่ยวด้วยรถเมล์ (ซึ่งเอาจริงๆแล้ว การเช่ารถขับที่นี่ก็เป็นอีกทางเลือกนึง ด้วยค่าเช่ารถวันละ 1000Rs. ค่าเงิน 1Rs=1.1THB ณ เวลาขณะนั้น และรถเขาวิ่งซ้าย พวงมาลัยขวาเหมือนบ้านเรา)

ผมวางแพลนเที่ยวให้ครบรสอย่างงี้ครับ

วันแรกไปเดินทางถึง เข้าที่พัก ซื้อข้าวของ สเบียง ของสด เพื่อเก็บไว้ทำกับข้าวกิน

วันที่สอง เที่ยวเมือง นั่งรถเมล์เที่ยวในเมืองหลวง

วันที่สาม เที่ยวภูเขา ปีนเขา ดูวิวจากมุมสูง

วันที่สี่ เที่ยวทะเล นั่งเรือ ออกไปดูโลมา ไปเล่นน้ำ

วันที่ห้า พักผ่อนชิลๆปล่อยใจไปเรื่อยเปื่อย

คืนวันที่ห้า กลับกทม.

ผมทำได้ตามแผนได้เกือบครบถ้วน ขาดแค่วันที่ต้องพักผ่อนชิลๆเท่านั้นเอง วันนั้น ผมต้องเดินเข้าออกโรงพักมอริเชียสเป็นว่าเล่น ซึ่งนี่ถือได้ว่า เป็นความพลาด และประสบการ์ณที่ล้ำค่าของผม และเป็นที่มาของชื่อเรื่อง “ตื่นเต้นผิดคาด” นั่นเอง


โหมดบันเทิง ....

วันที่ 1 ธันวาคม 2559

เราออกจากบ้าน เริ่มเดินทางด้วย BTS ลงสถานีหมอชิต เพื่อไปขึ้นรถเมล์สาย A1 เพื่อเดินทางต่อไปดอนเมือง (ค่ารถ 30 บาท จากหมอชิต ไปส่งในสนามบินเลย)

โหนรถเมล์ช่วงเย็นก็อบอุ่นดีนะ

รอบนี้เอากระเป๋าไป 2 ใบ เหมือนเคยใบนึงเสื้อผ้า ใบนึงกล้อง

18.00 เราถึงสนามบินดอนเมือง แล้วก็เข้า Check In เลย (ไฟล์ทเรา 21.00) ที่เค้าน์เตอร์ แถวไม่ยาวมาก ต่อคิว ชั่งน้ำหนักกระเป๋า แจ้งเคาน์เตอร์ว่า “ให้เชคทรู ไปมอริเชียสเลย” เพราะเราต้องไปต่อเครื่องที่มาเลเซีย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเรื่องกระเป๋า เจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ ยังจัดแจง Print ตั๋วขาที่ต่อจากมาเลฯ ไปที่มอริเชียสให้เราเลย ใจดีมั่กๆ ผ่านด่านมาเรื่อยๆถึงตรงตม. คนยังไม่เยอะ ประทับตรา เสร็จ 18.50 รอเครื่องออกกัน

21.00 ไฟล์ทดีเลย์ อันนี้เราชิลๆนะ เพราะเราต้องลงที่มาเลฯ แล้วรอต่อเครื่องอีก 10 ชม. ฟังไม่ผิดฮะ 10 ชม. ที่สนามบิน KLIA

ระหว่างรอ เราติดต่อไปที่นู่น ไปหาที่พักที่เราจองไว้ผ่าน Booking.com ว่า เครื่องเราไฟล์ทอะไร เพื่อให้คนของเขามารับเราจากสนามบิน ทีแรกเรากะจะนั่งรถเมล์ไปกันเอง แต่ดูเวลาแล้ว อาจจะไม่ทันรถเมล์เที่ยวสุดท้ายตอนต่อรถ เลยขอให้ทางที่พักส่งรถมารับเรา (ค่าแท๊กซี่จากสนามบิน ไปเมืองที่เราพัก Flic en Flac เรตมาตรฐานอยู่ที่ 65-85 ยูโร แต่รถที่ทางที่พักเราจัดการให้ เขาคิดแค่ 40 ยูโร ที่นี่ ค่าแท็กซี่ไม่ธรรมดา เพราะแพงมากกกก)

21.14 เครื่องออกล๊าววว 2 ชม.กว่าๆ ถึง ฝนตก สนามบินคนน้อย แอร์เย็นมาก หนาวมากกก

นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องมารอต่อเครื่องด้วยเวลาขนาดนี้ แล้วเราก็ไม่ออกไปในเมืองด้วยนะ เพราะขี้เกียจเดินทาง และอยากพักผ่อน เวลาตอนนั้น 1.00 น. ไฟล์ทต่อไปของเราคือ 11.00 เริ่มการหามุมนอน ที่นี่มีเพื่อนร่วมทางที่มานอนที่นี่เยอะครับ ในสนามบิน KLIA2 นี่มีส่วนของห้องอาบน้ำไว้บริการด้วยนะครับ น่าจะเผื่อคนที่มาต่อเครื่องยาวๆแบบพวกเรา

จับจองที่ แล้วนอนกันเป็นแถวเลย เราก็ยึดเก้าอี้ นอน พลิกไปพลิกมา ยืดขา หดขา พลิกแล้วพลิกอีกก็ไม่หลับ สุดท้าย จับจองพื้น แล้วนอนยาวๆเลย ตื่นมาอีกที สายๆ คนเพียบเลยแอบเขินเหมือนกัน

ในทริปนี้ พี่คนไทยอีกคู่นึง เดินทางไปมอริเชียสพร้อมเราด้วย คือพี่ตู้กับพี่อ้อ มาและกลับไฟล์ทเดียวกัเรา แต่แยกกันเที่ยว คู่นี้เช่ารถขับเที่ยวเก็บหาด เที่ยวน้ำตก ได้รสไปอีกแบบครับ


ถึงเวลาเครื่องออก นั่งแช่ยาวๆบนเครื่องอีก 7 ชม. รอบนี้เราสั่งอาหารบนเครื่องไว้กล่องนึง แบ่งกันกิน เป็น Chicken with garlic rice อาหารพร้อมเสริ์ฟตอนเที่ยงพอดิบพอดี รสดี ไม่แย่ แค่ผมไม่อิ่มมมม

สภาพอากาศเหนือมหาสมุทรอินเดีย ใสมาก เคลียร์มาก ฟ้างี้ เป็นฟ้า ใสกริบๆเลย ก่อนเครื่องลง พนักงานเอาฟอร์มตม.ขาเข้าเมืองมาให้กรอก น่ารักมากๆ เป็นฟอร์ม ด้านหลังเป็นรูปนกโดโด้ เท่าที่อ่านมา นกโดโด้สูญพันธุ์ไปแล้ว และที่เกาะนี้คาดว่าในอดีต จะมีประชากรนกโดโด้เยอะพอสมคร (อาจจะเรียกได้ว่าเยอะมากเลยแหละ) ถึงเอานกโดโด้มาเป็นสัตว์สัญลักษณ์ของที่นี่ (ตราของมอริเชียส ข้างนึงก็เป็นนกโดโด้)

เครื่องลงแล้ว ปรากฎว่า ฝนตก!!!

เราเดินเข้าสนามบินแบบจ๋อยๆ เอ...เพื่อนเราเพิ่งมาเที่ยวเมื่อสองอาทิตย์ก่อนยังสดใสอยู่เลย ทำไมเนี่ย

สนามบินที่มอริเชียส น่าจะเป็นสนามบินใหม่ บางส่วนยังไม่เรียบร้อย สนามบินดูโล่ง สวยงาม เดินเข้าไป ไปทำเรื่องของ VISA on Arrival ใช้เวลาไม่นาน นักท่องเที่ยวที่เข้ามาที่นี่เยอะระดับนึง การขอมีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก กรอกที่พัก วันเดินทางไปกลับ ใส่ฟอร์มอีกอันนึง (คนละอันกับเมื่อกี้) แล้วยื่นที่เค้าน์เตอร์

ปุ้ง!! เรียบร้อย เดินไปตามทางก็จะมีอีกด่าน ตรวจเรื่องสุขภาพ มีเอกสารให้ติ๊กตามช่อง เราก็ติ๊กไปว่าไม่ได้เป็นอะไรปลอดเชื้อ ส่งให้ พนง. ตรวจแล้วก็เดินผ่านมาที่สายพานรับกระเป๋า เป็นอันจบ

(เพิ่มเติมเอกสาร สำเนาการจองที่พัก สำเนาพาสปอร์ต และสำเนาตั๋วเครื่องบิน เผื่อไว้ในการขอทำ VISA on Arrival ด้วยก็ดี เผื่อทาง ตม. ขอดูข้อมูลเพิ่มเติม)

ออกมา คนที่มารับเรา ถือป้ายชื่อเรารออยู่ จัดแจงเอาของขึ้นรถ แล้วเดินทางกัน

ที่พักของเราตลอดทริปนี้ อยู่ฝั่งตะวันตก ชื่อเมือง Flic en Flac (อ่านว่า ฟลิก-ออง-ฟลัก) หาดสวย เงียบ สงบ คนที่อยู่นี่เท่าที่สังเกต นอกจากนักท่องเที่ยวก็จะมีฝรั่งสูงอายุ มาอยู่กันเป็นเดือนๆ

นั่งรถผ่านมาก็จะเจอภูเขาสูงรูปร่างแปลกตา อ่อ ภูเขาสูงที่นี่ ความสูงที่สุดประมาณ 900+ เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งถือว่าไม่สูงมาก (ดอยอินทนนท์สูง 2556 เมตร) แต่ก็มีรูปร่างและการถูกกัดกร่อนที่แปลกตาดี

สภาพอากาศบอกเลยว่าประมาณเมืองไทย แต่เย็นสบายกว่า ขับรถมาได้ 1 ชม.ก็ถึงแล้ว ที่พักของเรา ชื่อ Residence Les Peupliers (อ่านว่า เรส สิ เด้น เล พู พลิ เย่) เจ้าของบ้านน่ารักมาก นิสัยดี มารู้ทีหลังว่าคนที่มารับเราก็สามีแกนั่นแหล่ะ แหม่ น่าจะขอให้ลดราคาอีกนิด แหะๆ

จัดแจงเอาข้าวของลง คุยกับ Priscil เจ้าของ แกเตรียมห้องชั้น 4 ให้เรา ข้างในเป็นเหมือนคอนโด มีครัว ไมโครเวฟ เตา ที่ต้มกาฟ เครื่องครัว อุปกรณ์ที่จำเป็นในการประกอบอาหารพร้อม มีเตารีด โต๊ะรีดผ้า เครื่องซักผ้า และมีระเบียงกว้างๆอยู่ด้านหลัง พร้อมให้เราเอาโต๊ะออกไปตั้งกินข้าวเคล้าบรรยากาศ

ที่พักของเราทำเลดี อยู่ห่างจากทะเล 200 เมตร ข้ามถนนมานิดเดียว เจอซุปเปอร์มาร์เก็ต ผับ บาร์ เดินไปอีกนิดเจอสถานีตำรวจ ถัดจากสถานีตำรวจ ก็ถึงหาดแล้ว

วันนี้ไม่ทำอะไรละ เก็บของ ออกไปทะเล เดินเล่น ดูพระอาทิตย์ตก แล้วกลับมาซื้อของสด ของแห้งสำหรับการทำกับข้าวตลอดที่อยู่นี่ แล้วเข้านอน เพราะพรุ่งนี้เราจะนั่งรถเมล์ไปเมืองหลวง Port Louis

กับข้าว เราซื้อเส้นเพนเน่ ไส้กรอก แฮม เห็ดแชมปิญองกระป๋อง ซอส น้ำมัน ไข่ ขนมปัง ผัก เนยถั่ว น้ำดื่ม รวมการช้อปครั้งนี้คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 600 กว่าบาท หยิบเบียร์ติดมาอีกขวดนึง รสดีนะ

พรุ่งนี้ 9.00 เราจะออกจากที่นี่ นั่งรถเมล์ไป Port Louis เมืองหลวงของที่นี่ ไปตามาหา Aluoda ของกินที่ฝ้าย โบ๊ท แห่งเพจ Pakaprich ที่ได้มาเยือนก่อนเรา แนะนำไว้ว่า ต้องมาลองให้ได้เพราะอร่อยมากกก แล้วจะไปพิพิธภัณฑ์ ดูโครงกระดูกนกโดโด้ ไปเยื่อนบ้านเก่าสไตล์ยุโรปอายุกว่า 180 ปีที่ Ureka Maison


วันที่ 3 ธ.ค. 2559

ข้ามวันที่ 2 มาได้ไง ก็ วันที่ 2 เดินทางท้างงงงวัน เอาน่ะๆๆๆ ข้ามมาวันนี้ล่ะ เริ่มมมม

ฝนตก ตก และตกหนักด้วย แต่เช้าเลย แพลนเราคือ 9.00 ออกจากบ้าน นั่งรถเมล์ไป Port Louis ฝนตกตั้งแต่ 7โมง เลยทำกับข้าว ชงกาแฟ กินชิล ไม่รีบ กับเพนเน่กระเพราะเห็ดแชมปิญอง กับไส่กรอกไก่ แค่เซ็งๆว่า แหม่ วันแรกก็แพลนเคลื่อนละ

เพนเน่ไส้กรอก อาหารเช้าชิลๆ

8.30 ฝนหยุด เตรียมออกเดินทาง

8.40 ตกมันอีกรอบ

9.00 หยุด ไปล่ะ ยังไงก็ออก เอาวะ ป่ะๆๆๆๆ

เรานั่งรถเมล์ออกจากที่พักเรา ไปต่อรถที่ Cascavelle shopping mall ที่นี่ จะเป็นที่ต่อรถ คือรถทุกคัน จะต้องวนเข้ามาจอดในนี้ก่อน ที่จะไปต่อ ไม่ว่าจะเข้าหาด ลงใต้ หรือขึ้นเหนือ ค่ารถเมล์จากหาดมาที่นี่ ระยะทาง 5กม. คนละ 24Rs. ค่อนข้างแพงนะ

เราลงรถที่นี่ ต่อรถไป Port Louis ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมอริเชียส อ่อ รถเมล์ที่นี่ ไม่มีเลขสายที่ชัดเจน แต่จะมีป้ายเขียนปลายทางไว้ ถ้าเป็นเราๆที่ไม่รู้ว่าจะไปไหนยังไง เวลารถจอด ก็ตะโกนขึ้นไปถามกระเป๋ารถเมล์ว่า เราจะไปตรงนี้ ผ่านไหม ถ้าผ่าน เขาจะกวักมือให้ขึ้น ถ้าไม่ผ่านก็จะโบกมือว่าไม่ผ่าน

อีกอย่างของรถเมล์ที่นี่คือ ขับเร็วน้องๆสาย 8 บ้านเรา แต่!!!! การเข้าป้ายของทุกคัน ดีมากถึงมากที่สุด ลำดับจะเป็นงี้ ถ้าจะลง ก่อนถึงป้ายจะกดกริ่งที่มีอยู่ทุกแถวที่นั่ง กดปุ้ป รถจะเข้าป้าย เรายังไม่ต้องลุกยืนแล้วเดินไปรอที่ประตูนะ ให้รถจอดสนิท (สนิทจริงๆ นิ่งๆเลย) แล้วเราถึงจะลุกออกจากที่นั่ง ค่อยๆเดินไป แล้วลงรถ โดยที่คนที่รอขึ้น จะดูว่า มีคนลงไหม ถ้ามี เขาจะรอคนลงจนหมดก่อน แล้วเดินสวนขึ้นไป แล้วรอจนเราได้ที่ยืน หรือได้ที่นั่งก่อน แล้วค่อยออกรถ

อ่ะ ต่อ เรารอรถจาก Cascavelle ไป Port Louis ไม่นานรถก็เข้ามาเทียบป้าย เราตะโกนขึ้นไป Port Louis!! กระเป๋าก็กวักมือเรียกเราขึ้นไป ค่ารถ 31Rs. ไกลกว่า แต่ถูกกว่ามะกี้อี้กกกก คันนี้เหมือนรถ ขสมก.บ้านเรา มียูนิฟอร์ม ขับดี ช้ากว่าคันมะกี้นิดนึง และดีงามตรงที่มีสัญญาณ wifi

10.40 ถึง Port Louis ฟ้าใส แอบเห็นเค้าเมฆฝนไกลๆ เป้าหมายแรก Central Market อยู่ที่นี้ เราใช้ 2 App.

1. Mauritius Bus ไว้หาสายรถเมล์ที่เราจะใช้เดินทาง

2. Map me ไว้ดูแผนที่ตอนเดิน หรือเดินทาง

โอเค จากที่เราลงรถ ไปอีก 400เมตร ก็ถึง Central Market ถามว่า ที่ต้องมาตลาดก็จะมาตามหา Aluda ตามการป้ายยาของฝ้าย-โบ๊ท เดินตามๆหา ถามไปถามมา เจอแล้วววววว Aluda มันคือ นมกลิ่นวนิลา ชงสด ท้อปปิ้งด้วย ไอศครีมวนิลา 1 ลูก ท้อปของท้อปเป็นเม็ดแมงลัด และท้อปของท้อปของท้อปปิ้งด้วย แยมสตอเบอรี่ คือฟังดูไม่เข้ากันเท่าไหร่ แต่..... อร่อยมากกกกกก หอม เย็น ชื่นจายยยยยย จัดไป 1 ขวดเป็นตัวทดลอง แล้วต้องด้วย 1 แก้ว ความคิดผม กินแบบแก้วได้ฟีลมากกว่า ไอติมเป็นไอติมเลย ฟินกริบๆเลย

หยั่งเชิงด้วยขวดเล็กๆนี่

อุ๊ย อร่อยยยย สั่งเบิ้ลอีกแก้วเลย

จริงๆแล้ว ร้านขาย Aluda มีหลายร้านนะคับ แต่ร้านนี้เจ้าของยิ้มแย้ม คุยเล่น สนุกดี เลยจัดที่ร้านนี้อย่างสาสมใจ



หลังจากโดน Aluda ไป 2 แก้ว ก็เดินไปที่ท่าเรือ ที่นี่ไม่มีสะพานลอย การจะข้ามถนน ถ้าเป็นถนนเล็กๆก็ทางม้าลาย ถ้าเป็นถนนใหญ่ก็จะเป็นอุโมงค์ลอดใต้ถนนไป วันนี้อากาศดี ฟ้าสวย น้ำสีสวย

ดูเวลาอีกที อ่าว จะ 11โมงครึ่งแล้ว พิพิธภัณฑ์วันนี้วันเสาร์เปิดถึงแค่เที่ยงนี่นา เลยรีบเดินไปก่อน เข้าไปดู ก็จะเจอโครงกระดูกนกโดโด้ ซากสตาฟวาฬ ฉลาม เราเข้ามาก็เหลือเวลาไม่เยอะแล้ว ก็เดินดูเท่าที่เวลาจะพอมี ที่นี่ ในอดีตคงเคยเป็นบ้านหลังใหญ่ๆให้เหล่านกโดโด้หลากหลายสายพันธุ์ อุดมสมบูรณ์ทั้งบนบกและในทะเล เดินไปเดินมา


เที่ยงละ ออกมาเดินดิ่งไป SUBWAY ที่เมื่อกี้เดินผ่าน จัดกันคนละชุด Chicken Teriyaki+ Coke + Cookie ในราคา 149Rs. แถม wifi แรงๆฟรีให้เรานั่งพักหลบอากาศที่ร้อนระดับนึงของข้างนอกได้

หลังจากกินเสร็จ เราเดินไปที่ Victoria Bus Terminal ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก เพื่อที่จะไปหารถนั่งต่อไปบ้านเก่า Ureka Maison

มาถึงปุ๊บ เหมือนจะหาง่ายนะรถไปนี่น่ะ ยังไงเหรอ เดินดุ่มๆไป ถามรายคันเลย ว่าไปที่นี่ ตรงนี้ไหม รูปที่เราเซฟมา กับแผนที่อ้างอิงบน Map Me ช่วยเราได้เยอะ แล้วในที่สุด เราก็เจอรถที่ไป บอกปุ๊บ กวักมือเรียกปั้บ นั่งชิลเลย เราบอกกระเป๋าว่า ถึงแล้วเรียกด้วยนะ สักพัก แกเดินมา บอกคนข้างๆเราว่า ถึงแล้ว ให้บอกเราด้วย แน้ะ!!

เรานั่งรถกันประมาณ 20 นาทีบน Super Highway แล้วออกจากเมือง เริ่มขึ้นเขาเล็กๆ ห่างไกลความวุ่นวายออกไป อากาศเริ่มเย็นลงและหายใจง่ายขึ้น และแล้ว พี่ข้างๆก็สะกิดเรา บอกว่า กดกริ่งเลย กดปุ๊บ รอ พอรถเข้าป้าย จอดสนิท ค่อยลุกจากที่นั่ง เดินลงรถสวยๆ

จากป้ายรถเมล์ เราเดินเข้าไปอีกประมาณ 300 เมตร ก็จะเจอป้าย เจอทางเข้า ตอนเดินเข้ามาแดดแรงนะ แต่อากาศดี พอเลี้ยวเข้ามาในเขตบ้านเก่านี่ ต้นไม้ใหญ่เยอะมาก

เดินๆเข้าไป จะผ่านเรือนเล็กก่อนเป็นที่ขายของที่ระลึก ตรงนี้จะมีค่าเข้าชมคนละ 300Rs.

Ureka Maison เป็นบ้านเก่า ทรงเรือนเป็นทรงยุโรป ตัวบ้านทาสีขาว หลังคาสีน้ำเงิน ดูจากทางเข้า อาจจะดูเฉยๆ ไม่เหมือนในรูปที่เราเห็นมา เราเดินสำรวจในบ้าน เครื่องใช้ เฟอร์ยังวางอยู่ในตำแหน่งที่เหมือนมีคนอยู่จริง ทั้งเก้าอี้ โซฟา อ่างอาบน้ำ เปียโน เตียงนอนเด็กทุกอย่างยังคงตั้งอยู่ราวกับมาคนอาศัยอยู่จริง สะอาด ไม่มีฝุ่น ที่นี่เป็นร้านอาหารเล็กๆด้วยนะ แต่เราคิดไว้แล้วว่า นี่บ่ายแล้ว มาคฤหาสน์ยุโรป มันต้อง อาฟเท่อนูนที สิคะ พูดง่ายๆคือ อยากนั่งจิบชาท้องถิ่น เลยสั่งแค่ชามา 1 กา สนนราคา 70Rs.



หลังจิบชาแล้ว อุณหภูมิร่างกายเริ่มเย็นลง ชิลล์มากขึ้น หลังจากเดินดูในบ้านพบว่า อีกฝั่งนึงของบ้านเป็นลานกว้างๆ เราเลยลองเดินทะลุตัวบ้านออกไป เป็นสนามหญ้า กว้างๆๆๆ เดินไปเรื่อยๆ พอมองกลับมา ...

นี่ล่ะ ภาพที่เราต้องการมาเห็น คฤหาสน์ท่ามกลางหุบเขา และความร่มรื่น ฉากหน้าเป็นพื้นหญ้าสีเขียวอ่อน ตัดกับตัวคฤหาสน์สีขาว ที่ลอยออกจากฉากหลังที่เป็นภูเขาสูงใหญ่ 180 กว่าปีที่คฤหาสน์หลังนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมา ไม่ได้ทำให้ความสวยงามของเขาลดลงเลย ในทางกลับกัน กลับเพิ่มมากขึ้นไปด้วยประวัติศาสตร์มากมายผสมแทรกอยู่


พอเราเดินสุดสนามหญ้า เราเจอป้ายเล็กๆเขียนว่า Cascade – Waterfall ที่แรกเราก็ไม่รู้ นึกว่าเป็นชื่อ อ่ะ น้ำตกกัสกาด ไรงี้ แต่พอวันต่อมา เราก็ถามว่า ทำไมมีน้ำตกชื่อนี้หลายที่ อ่ออออ ถึงบางอ้อออ

Cascade (อ่านว่า กั้ส - กาด) เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า น้ำตก หรือ Waterfall คราวนี้ ชัดเลย

มาเดินทางกันต่อ เราเห็นป้าย ถามป้าแล้ว ป้าบอกเดินไม่ไกล เลยลองเดินไปเล่นๆดู เดินลงๆๆเป็นทางเทรลเบาๆไปเรื่อยๆ ก็เจอ น้ำตกเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางป่าเขา เรานั่งพักที่นี่แป้บนึง แล้วเดินกลับขึ้นไปที่ตัวคฤหาสน์

กลับจาก Ureka Maison เรานั่งรถเมล์กลับมาที่ Port Louis แล้วนั่งรถเมล์ต่อมาลงที่หาด Flic en Flac เลย พอลงรถเมล์ ตรงนั้น มีเอเจนซี่ที่เราเห็นอยู่ทุกครั้งเวลามาขึ้นรถ คราวนี้ ตัดสินใจ เดินเข้าไปถาม

ร้านนี้ชื่อร้าน Pom and Jerry เป็นร้านเล็กๆ มีรูปเพื่อการโฆษณาเหมือนร้าน เราคุยๆๆ ว่าเราอยากนั่งเรือคาตามาลัน เพื่อดูโลมา พร้อมแพคเกจ คือ เป็น Full Board กิน ดื่ม เต็มที่ไม่อั้นบนเรือ agent เจ้านี้ก็เสนอเรากลับมาด้วยราคา 1600Rs. ต่อคน รวมค่าเดินทางอีกคนละ 200Rs. ซึ่ง ตรงนี้ Priscil เจ้าของบ้านพักเราก็เคยหามาให้แต่เป็นอีกเจ้าที่ราคา 1600Rs. แต่ค่าเดินทางเขาคิดไปกลับ 2500Rs. หูวววว ทำไมอันนี้ค่าเดินทางถูกกว่าเยอะเลย (นี่ง่ะ เห็นแก่ของถูก) เลยตัดสินใจ จอง Boat Trip Catamalan Full Board ในราคา 1800Rs ต่อคน นัดมาขึ้นรถที่ร้านของเขา วันที่ 5 ธ.ค. เช้าตรู่

จ่ายตังค์เสร็จสรรพ หันไปเห็นรูปน้ำตกที่เรามีแผนว่าจะไปพรุ่งนี้พอดี เลยปรึกษาเขา ว่า เนี่ย เราอยากไปอันนี้ด้วย ไปปีนเขาด้วย แต่เราว่าจะนั่งรถเมล์ไป จะโอเคไหม เขาก็เสนอว่า ถ้าเป็นอย่างงี้ จะจัดเป็น Excursion Trip 1 Day ไหม เขาคิดค่ารถที่ 2,200Rs. เราก็คิด เอ่ ราคานี้ ก็ไม่ได้แน่ แล้วเพื่อนเราที่มาก่อน ด้วยความที่มากันหลายคน เลยเหมาเป็นรถแวน แล้วบอกว่า ที่เที่ยวเยอะ ให้หารถดีกว่า เออ ราคานี้ก็ไม่เลว ไปอย่างที่เราอยากให้เขาพาไป โอเค ใจง่าย จ่ายตังค์ นัดมาขึ้นรถที่ร้าน agent วันที่ 4 ธ.ค. เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เช่นกัน

พอจ่ายตังค์เสร็จเดินกลับบ้าน ห่างไป 200 เมตรก็คิดนะ เอ้ออ คุ้มมั้ยวะ นั่งรถเมล์เที่ยวเองก็ได้มั้ง


ตรงนี้ พอถึงวันเดินทาง บอกได้เลยว่า เหมารถอย่างงี้แหละดีแล้ว คุมเวลาได้ เลือกสถานที่ได้ กลับได้อย่างสบายใจ


วันที่ 4 ธ.ค. Excursion Trip

วันนี้ เราจะได้ไปเที่ยวป่าเขาแล้ว 7.30 มาขึ้นรถที่ร้าน agent ตามนัด คนขับชื่อ Steve เป็นสามีของคนที่เราคุยด้วยเมื่อวาน

อาหารเช้าก่อนตะลอนๆทั้งวัน

วันนี้จุดหมายเราคือ Le Morne Brabant – Baie du Cap – Chamarel Waterfall – Seven colored Earth - ดูเต่ายักษ์

เท่านี้ ไม่เน้นเยอะ แต่เลือกที่เราสนใจ จุดหมายแรก Le Morne Brabant (อ่านว่า เลอ โมน บรา บั้น) อยู่ทางตอนใต้ของเกาะ ที่ยอดเขา มีความสูงที่ 555 เมตร ระยะเดินเทรค 3.5 กม. ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วย ที่ Lemorne จะเอาภูเขา แบ่งการจัดการพื้นที่เป็น 2 ส่วน พื้นที่ครึ่งนึง เป็นส่วนของโรมแรม ที่พัก ความเจริญ ก็จะมีแต่โรงแรมระดับหลายๆดาว คืนละหลายพันถึงหลายหมื่น ตั้งอยู่เยอะไปหมด พื้นที่อีกฝั่งฟากนึง เป็นส่วนของชุมชนดั้งเดิม ที่ห้ามตั้งโรงแรม ให้เป็นที่สำหรับชาวประมง และคนท้องถิ่น ใช้เพื่อทำอาชีพ และอยู่อาศัย

เรามาถึง Le Morne ตอน 8.00 ก็เริ่มเดินเลย ทางเดินขึ้นช่วงแรกๆ เป็นทางราบ สลับเนินซึมไปเรื่อยๆอากาศดีมาก วันนี้เมฆน้อยมาก เลยเจอคุณพระอาทิตย์เต็มๆ

ระหว่างทางเจอเจ้าพ่อสโลว์ไลฟ์

จุดหมายเราอยู่บนยอดนู้นนนนนนน


เก้าอี้ที่ผุพังนี่ ผมเคยเห็นตอนหาข้อมูลเที่ยว ยังสงสัยว่ามันอยู่ตรงไหนของ Le Morne พอมาเจอก็นะ ผุ โยกเยก แต่ มีเสน่ห์

เดินมาเรื่อยๆถุงกม.ที่ 2.4 นุ่นขอนั่งรอตรงนี้ เป็นจุดที่เรียกได้ว่า สิ้นสุดทางราบ เพราะมองขึ้นไปจะเจอผาชันๆ กับเชือก 1 เส้น ขึ้นลง ทางเดียวกัน


โหนเชือก แล้วไต่ขึ้นลง ตรงนี้ ถ้าใครจะไปต่อ ร่างกายต้องแข็งแรงระดับนึง จะได้ขึ้นไปถึงยอดเขาแล้ว ยังรู้สึกสนุกอยู่ เพราะทางที่จะต้องลง ก็คือทางที่เราขึ้นไปกับเชือกเส้นเดิม (อารมณ์ประมาณ ขึ้นเขาล้อมหมวก แต่ไกลกว่า ที่นี่ทางดีกว่าล้อมหมวกตรงที่หินไม่คมเท่า แต่ความชันโหดกว่าเยอะ)

ผมขึ้นๆๆไปเรื่อยๆ ปีนเชือก จับ ดึง ให้มั่นใจ ก่อนจะใส่แรงเต็มๆ ปีนป่ายอยู่สักพัก แล้วก็พักเหนื่อย ชมวิวแล้วเดินทางต่อ ตรงนี้ปีนต่อเนื่อง 1 กม. ก็ขึ้นถึงยอดเขา

รูปนี้ขอให้คนที่ร่วมปีนด้วยถ่ายให้ 1 2 3 ok เขาโอเค ผมก็โอเค พอมาดู แหม่ ไหว้ยังก้ะเป็นสส. ฮาาาาา ได้ฟีลไปอีกแบบ

ที่ยอดเขา จะมีกางเขนเหล็กเป็นจุดหมายของนักเดินทาง อากาศตอนนี้เป็นใจมาก เมฆ หรือหมอกคลุมยอดเขาตลอดเวลา ลมตึง ถึงขั้นหนาว มองไป ไม่เห็นทะเล ถึงเห็นก็จะเห็นผ่านเมฆหมอก ผมนั่งพักเหนื่อยข้างบนนี้อยู่ร่วม 10 นาที

ระหว่างรอก็ขอเซลฟี่ ผูกมิตรกับวัยรุ่นเจ้าถิ่น จะได้ขอที่ทางถ่ายรูปง่ายๆ

เมฆกลุ่มนี้ก็เคลื่อนผ่านไป เปิดให้ผมเห็นถึงความสวยงามของทะเลที่อยู่ตรงหน้า ฟ้าสีฟ้า น้ำทะเลสีน้ำเงินเข้ม ตัดกับเขียว มองเห็นได้อย่างชัดเจน ที่สุดแหลมนั่นคือ น้ำตกในทะเล ที่เกิดจากน้ำลึก น้ำตื้น และทรายสีขาว ทำให้เราเห็นภาพเหมือนเป็นน้ำตก ที่ไหลลงสู่ก้นทะเล


(ข้อมูลเพิ่มเติม น้ำตกในทะเล ถ้าใครอยากเห็นวิวมุมสูงของมอริเชียส และน้ำตกในทะเลชัดๆ ที่นี่เค้ามีทัวร์เฮลิคอปเตอร์ บินชมวิวได้ แต่ขอให้เช็คก่อนเพราะต้องจองกันล่วงหน้า)

หลังจากถ่ายรูปเล่นอยู่สักพัก ก็ถึงเวลาลง เกล็บกล้อง เก็บขา พร้อมลง ขึ้นมาว่ายาก ลงนี่ยากกว่า โรยตัวลงมาเรื่อยๆ สวนทางกับคนที่กำลังขึ้นไป ลงมารับนุ่นที่นั่งรอที่กม. 2.4 แล้วเดินกลับลงพื้นล่างด้วยกัน สรุป ขึ้นลง ระยะ 7.14 กม. ความชันสะสม 582 เมตร ลงถึงพื้นตอน 11.30 รวมเวลาขึ้นลง 3 ชม.พอดิบพอดี


ต่อจากปีนยอดเขา เราจะไปเที่ยวง่ายๆ เป็น View Point อีกที่ อยู่ไม่ไกลกัน ชื่อว่า Baie Du Cap (น่าจะอ่านว่า เบ ดู แคป) เป็นถนน ผสมภูเขาที่ยื่นลงไปในทะเล ทางลักษณะเหมือนเกือกม้า ดูตามรูปละกันฮะ ไม่รู้จะบรรยายยังไง เป็นจุดที่วัยรุ่นที่นี่น่าจะชอบมากัน เพราะเห็นวัยรุ่นเพียบเลย แว๊นมาบ้าง ขับรถมาบ้าง ดูสนุกดี ที่นี่ถามว่า ทำไมอยากมา ก็เพราะตอนเราทำการบ้านหาที่เที่ยว เราเปิด Google Earth ดูที่เที่ยวไปๆมาๆ คลิกไปโดนตรงนี้ เห็นว่าแปลกตาดี แล้วก็ใกล้ที่เที่ยวของที่เราวางแผนไว้ น่าจะผ่าน เลยปักหมุดมากัน

ตรงนี้ใช้เวลาดู เที่ยว ไม่นานนัก แล้วเดินทางต่อ จุดหมายหลักอีกที่ที่วางไว้ Chamarel Waterfall น้ำตกในหุบเขา ที่เป็นเหมือนหลุมยุบ ความสูงน้ำตกสูงเท่าเทพีเสรีภาพ เราดูมาว่า ต้องจอดรถตรงนึง แล้วเดินเข้าไปต่อประมาณ 2 กม. ถึงจะเจอน้ำตก แต่เอาเข้าจริง เปลี่ยนไปจากที่ดูไว้

รถเราขับเข้ามาที่นี่ จะเสียค่าเข้าเหมือนค่าเข้าอุทยาน คนละ 225Rs. จ่ายเสร็จ จะได้ตั๋วมา 2 ใบ ใบนึงฉีกแล้ว เที่ยวน้ำตก อีกใบ เก็บไว้ยื่นที่ตู้ตอนไปดู Seven Colored Earth รถก็ขับพาเราเข้ามาเรื่อยๆ จอดรถปุ๊บ Steve ชี้ให้เราดู นั่นง่ะ น้ำตก อ่าวเฮ้ยยย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา จอดรถปุ๊บ ถึงเลย ไม่ต้องเดินอะไรเลย สบายสิ ตรงจุดชมวิวแรก จะเป็นน้ำตกในมุมเกือบระดับเดียวกับความสูงน้ำตก

แต่จะมีทางให้เดินเข้าไปสูงขึ้นไปอีก เดินไม่ถึง 5 นาทีก็จะเจอจุดชมวิวจากมุมสูง ก็จะได้เป็นตามที่เราเคยเห็นมาจากในเน็ต สภาพอากาศยังดี ต้นไม้เยอะ ร่มรื่น ไม่ร้อนมากครับ

ต่อจากน้ำตก เราก็นั่งรถต่อเข้าไปอีก (ทีแรกดูมาว่า ต้องเดินเข้าไปอีก) ก็ถึงลานจอดเพื่อชม Seven Colored Earth ต่อไปขอเรียกดิน 7 สีละกัน ง่ายดี เอาตั๋วส่วนที่เหลือยื่นที่ป้อมตรวจตั๋ว เดินเข้าไป ไม่น่าเกิน 100 เมตร ก็จะเจอลานดิน ที่โค้งๆ เนินๆ สีสันแปลกตา คือไอ้ดิน 7 สี นี่ก็คือ ดิน ที่ผสมแร่ธาตุต่างๆเช่น เหล็ก กำมะถัน ทำให้เกิดสีสันต่างๆ แต่ที่มันแปลกและดูเด่นคือ มันดันมารวมกันอยู่ในเวิ้งนี้เวิ้งเดียว

ข้างๆดิน 7 สี ก็จะเป็นคอกเลี้ยงเต่ายักษ์ (Aldabra Giant Tortoise) สมใจนุ่น ที่อยากมาดูเต่ายักษ์ แค่ว่า ที่นี่ กั้นเป็นคอกเป็นโซน ไม่ให้เราให้อาหาร หรือจับตัวเต่า แต่ แค่เห็นแค่นี้ ก็ตื่นเต้นละ มันตัวใหญ่มาก และ พวกนี้ เดินไม่ช้านะฮะ

ปิดทริปวันนี้ด้วยเต่ายักษ์ กลับบ้าน ทำกับข้าว เตรียมของ เพราะวันรุ่งขึ้น เราจะไปนั่งเรือ ออกทะเล นั่งคาตามาลัน ดูโลมา

โอเค พักเก็บของแพร้บ (ไฮไลท์ จะมาแล้วฮะ)

ช่วงค่ำของวันที่ 4ธ.ค. หลังจากที่เรากลับจากเที่ยวป่าเขา เรื่องไม่น่าเกิดก็เกิดขึ้น ตอนนี้ ไม่มีรูปปลากรอบเลยนะ เหลาเน้นๆ ไม่อยากให้คนที่มาเที่ยวที่นี่ โดนแบบพวกผม แล้วมันจะพาลเที่ยวไม่สนุก



ก่อนเรากินข้าว ก็มีเสียงเคาะประตูห้อง (ห้องเราอยู่ชั้น 4) เราก็เปิดแง้มๆไป เจอเป็นคนที่ร้านที่เราไปจองทริป(คนเมีย) ยืนอยู่หน้าห้อง หน้าตื่นๆ เราก็คิด เอ่ หรือจะมาบอกว่าแคนเซิลทริปวะ เพราะเห็นถือสมุดจดทริปมาด้วย คุยกัน เขาบอกว่า ลูกเขาประสบอุบัติเหตุ ต้องการใช้เงินด่วน เงินเขาไม่พออีก 5500Rs. อยากจะขอยืมเรา เพราะวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ธนาคารปิดแล้วไม่มีที่ให้เค้าถอนเงิน เห้ยย ตอนนั้น คิดทั้งดีและไม่ดี แต่ ใจอ่อนไง คิดแล้วว่า คงจะให้แต่ให้ไม่เต็ม คุยกับนุ่น เลยให้ยืมไปแค่ 2000Rs. แล้วเขียนไว้ว่าเขามายืม ให้เซ็นต์เป็นหลักฐานกำกับไว้ เขาบอกว่า เขาจะรีบเอาไปให้ที่รพ.คืนนี้ แล้วจะคืนเรา ตอนเช้าก่อนเราไปนั่งเรือ



พอให้ไป เราก็ออกมายืนที่ระเบียง เห็นเค้าน่ะ เดินขึ้นไปที่ห้องอีกห้องนึง เดาว่า คงไปยืมเหมือนกัน แต่ห้องนั้นให้หรือเปล่าไม่รู้



(เพิ่มเติมข้อมูล : agent รู้ห้องและที่พักเรา เพราะ เราไม่ได้ซื้อซิมโทรศัพท์ของที่นี่ไว้ จึงบอกชื่อที่พัก และเลขห้องเผื่อไว้ติดต่อ แต่พอกลับมาคิดอีกที มันอันตรายกับเราจริงๆที่ไปบอกให้เค้ารู้)



วันที่ 5 ธ.ค.

เช้านี้ Steve สามีของนาง มาทีห้องเราก่อนเวลานัด คือเรานัดเขา8.00 ที่ร้าน นี่ 7.15 แกมาเคาะที่ห้องบอกว่า 7.30 จะมารับเร็วกว่าเดิมหน่อย โอเค เราเตรียมพร้อมตั้งแต่7.00แล้ว และนี้ก็เป็นเอะที่สอง ทำไมไม่ให้เราไปที่ร้านตามที่นัดไว้ตอนต้น


Steve มารับเราไปที่หาด ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเราแค่ 300 เมตร สิ่งที่เจอคือ เรือ Speed Boat จอดรอยู่ เราบอกว่า เฮ้ เราจองคาตามาลันไปนะ ทำไมพาเรามาขึ้น Speed Boat ล่ะ แล้วพี่แกก็โทรไปหาใครสักคน คุยอยู่พักนึง แล้วเดินกลับมาบอกเราว่า “เมียแกคงสับสน เราจองคาตามาลันไว้จริงๆ (เราถ่ายรูป)หลักฐานการจองไว้) แต่วันนี้ไปไม่ได้แล้ว มันไม่ทัน ขอเป็นพรุ่งนี้ จะมารับเวลาเดิม เพื่อไปขึ้นคาตามาลันที่อีกเมืองนึงที่อยู่ใกล้ๆ คือที่ Black River ส่วนวันนี้ ขอโทษ” อะ อะไรกันฟระ เราเลยคุยกับนุ่นว่า ชักจะไม่ดีละ ไม่ยอมให้ไปที่ร้าน นี่มาเข้าใจทริปผิดอีก เช้าจะคืนตังค์ก็ยังเงียบ งั้น เด๋ววันนี้ เราพักผ่อน (คือเราวางว่า วันนี้เที่ยวทะเล พรุ่งนี้พักผ่อนชิลๆ จะได้ไม่เหนื่อยตอนเดินทางกลับ) สลับกันแทน พรุ่งนี้ ไปเที่ยวทะเลก็ได้ แล้วบ่ายวันนี้ ไปที่ร้านเค้าไปทวงตังค์ 2000 ที่เมียเค้ายืมไป

สายๆเรานั่งรถออกไปเดินเล่นวันชิล ที่ Cascavelle Shopping Mall มื้อกลางวันจบที่ KFC

บ่ายละ กลับมาที่ร้าน ไม่มีใครอยู่ แล้วผมไปถามป้าที่ขายของอยู่ข้างๆว่า นี่ไม่มีใครอยู่เหรอ ป้าแกถามผมกลับมาว่า


“นี่เค้ามาเอาตังค์เธอไปเหรอ”


ชัดเลย ชัดมาก โดนแล้วกู ผมเลยถามป้าว่า ติดต่อพวกเค้าได้ไหม Steve ก็ได้ ป้าแกก็โทรเข้าเบอร์ Steve ให้ คนเมียรับ บอกกำลังกลับไป โอเค งั้นไปกินข้าวก่อน แล้วค่อยกลับมาดูอีกที กลับมาแล้ว ก็ไม่เจอใคร ผมก็เดินเข้าไปข้างในร้าน ส่วนที่เอาไว้นั่งคุยทริป ยืนตรงสุดพื้นปูนที่เป็นสเตปแรก

ตาเหลือบไปเห็นครัวที่ มีสภาพยิ่งกว่าผ่านสงครามมา แพนสายตามาทางขวา แอบเห็นสภาพห้องที่น่าจะเป็นห้องนอนที่แย่กว่าสิ่งที่แย่ๆที่ผมเคยเห็น เห้ยยย นี่มันอะไรกันวะ ผมคิด นี่เรามาจองอะไรกับคนแบบนี่วะเนี่ย แล้วคนเมียก็เดินออกมา ตกใจที่เห็นผม


ผมเดินออกมานั่ง เค้าก็เดินตามออกมา ผมบอกว่า ผมมาเอาตังค์ที่ยืมไป เค้าก็นิ่ง บอกว่า เพิ่งกลับมา เราบอกเพิ่งกลับมาก็ต้องมีตังค์มาสิ นัดไว้เช้า ตอนนี้บ่ายสองแล้ว เค้าก็เงียบ บอกว่า ต้องรอ Steve สามีเค้ากลับมา ผมก็อะ โอเค เดินกลับบ้าน ไปปรึกษา Priscil เจ้าของบ้าน


ผมโดน Priscil บ่นเลย แกบอกว่า เราเคยบอกยูแล้วว่า อย่าเชื่อใจใครข้างนอก (ตอนนั้นน่าจะเป็นตอนเพิ่งมาถึง เหนื่อยๆ เลยฟังแกไม่รู้เรื่อง) แกบอกว่า ถ้าจองทริปกับร้านข้างทาง มีโอกาสที่จะโดนโกงสูงมากระดับนึง ผมเลยเล่าให้แกฟัง แกบอกว่า ให้ผมไปแจ้งความ ...


ถึงตอนนี้ ผมคิดหนักเลยนะ ทำไงดีว้าาา ถ้าเจ้งความ แล้วตำรวจเป็นพวกกัน ผมไม่ซวยหนักเลยเหรอ ผมก็เป็นนักท่องเที่ยว ไม่ใช่คนที่นั่นด้วย


มาตอนนี้ ผมเดินกลับไปที่ร้านเค้าอีกที เจอคนเมีย นั่งท่าเดิม ผมก็โมโหเลย ว่า ทำไมไม่ทำอะไร แล้วตังค์ที่เรายืมไปล่ะ มันก็นิ่ง บอกติดต่อสามีไม่ได้ ตรงนี้ผมสุดทนกับสีหน้าและท่าทางเค้าละ เลยบอกว่า จะไปแจ้งความ เค้าก็หน้าถอดสีเลยนะ แล้วก็โกรธผมเลย ว่าผมงั้นงี้ บอกว่า


"ถ้าเธอไปแจ้งความ เขาจะเสียแค่ค่าปรับ 1000Rs. ให้ตำรวจ ส่วนเรา จะไม่ได้อะไรเลยแม้แต่รูปีเดียว" เอ้าาาา ไม่หนี ไม่มี ไม่จ่ายนี่หว่า เออ ได้ พอผมจะออกไป เค้าบอกว่า ถ้าผมไปแจ้งความ มันก็จะแจ้งความผม “ข้อหาบุกรุก” พร้อมกับหัวเราะใส่ผมอีกตะหาก เอาซี้ ผมเดินไปแจ้งความเลยครับ เพราะมั่นใจว่าไม่ได้บุกรุกอะไรยังไง พอไปถึงสถานี บอกตำรวจถึงเรื่องที่เกิด เชื่อไหม สีหน้าตำรวจฟ้องผมว่า “บ้านนี้อีกแล้วเหรอ” แล้วถามว่า เขามาเอาเงินไปยังไง เท่าไหร่ บอกจะใช้เมื่อไหร่ แล้วเราจะกลับประเทศเมื่อไหร่ ช่วงที่ตำรวจกำลังแร็พคุยกันเรื่องจะช่วยเรา เราสังเกตอีกว่า การที่จะได้เงินคืนนี้คงยากมาก แล้วตำรวจ ก็ให้เราขึ้นรถตำรวจ ไปกับเขา ไปที่ร้านของ agent ตัวแสบ ไปถึง ทวงตัง คนเมียก็นิ่งท่าเดียว


เพื่อนๆครับ มาถึงตรงนี้ ผมตัดสินใจ แคนเซิลทริปที่จะไปกับเค้าในวันรุ่งขึ้นละ พร้อมกับจะบี้เอาเงินคืนมาด้วยเพราะผมไม่มั่นใจในความปลอดภัย และความไม่เคลียร์ของเค้า สรุป ตอนนั้นเค้าก็ยังนิ่ง คนเมียก็ยืนยันว่าให้รอจนสามีกลับมา แล้วจะคืนเงินตอนเย็น ตำรวจก็เลยกลับไป เราเลยจะมาที่ร้านเค้าอีกทีในตอนเย็นเพื่อเจอสามีเค้า ทีนี้ เราบอก Steve ว่า เราจะแคนเซิล แล้วจะเอาเงินที่เราจองไปขอคืนเต็มจำนวนเพราะเราไม่ไว้ใจให้เขาจัดทริปอีกแล้ว สามีเค้าเอง เริ่มเขียนเองในสมุดว่า จะคืนตังค์เรา 2000Rs ที่เมียยืม + 3600Rs ค่าทริปที่จ่ายไป แล้วลงชื่อเค้า ชื่อเรา ชื่นนุ่นเป็นพยาน (ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานด้วย) ว่าจะคืนวันที่ 6 ธ.ค. (พรุ่งนี้) ตอนบ่ายๆ แลกกับการที่เราจะไม่เอาตำรวจเข้ามายุ่งอีก แล้วเค้าจะมารอเราที่ร้านตั้งแต่บ่ายสาม เค้าบอกว่างั้นนะ (ผมนัดเค้าบ่ายสาม เพราะกะว่า จะไปทริปเรือที่กับอีกเอเจ้นท์นึง)

นี่คือสมุดที่ Steve เขียนไว้ว่า จะชดใช้อะไรยังไง พร้อมลงชื่อ คนที่ยืนข้างหลังคือคนเมีย


หลังจากที่ตกลงกันเรียบร้อย ด้วยความที่ไม่เชื่อใจ เราเลยเอารูปข้อความตะกี้ที่ถ่ายรูปไว้ ไปให้ตำรวจที่โรงพักดู และให้ตำรวจเป็นพยานเพิ่มว่าเค้าเขียนว่าจะคืนเงินเราในวันพรุ่งนี้ เพราะถ้าหาก agent ผัว-เมียคู่แสบนี้ไม่คืนเงินเรา เราจะมาขอความช่วยเหลือจากตำรวจอีกครั้งในวันพรุ่งนี้


แล้วเรื่องราวของวันที่ผมต้องชิลล์ ก็เป็นด้วยเหตุการณ์นี้ เที่ยวสถานีตำรวจเป็นว่าเล่น แต่... ตำรวจที่นี่ดีมาก ช่วยเหลือเราทุกอย่าง พาเราไปร้าน agent ให้เรานั่งรอในรถ แล้วเขาเจรจาให้ ให้ความช่วยเหลือและเป็นคนประสานทุกอย่าง ขอบคุณตำรวจที่นั่นมากๆ น่ารักกันทุกคน สุดท้าย เย็นย่ำ ก็ออกมานั่งเล่น เอาขาจุ่มทะเลริมหาด ให้หายเซ็ง

หลังจากน้ัน กลับมาซุปเปอร์ หาซื้ออะไรกิน

กลับมาถึงห้อง เราก็หา Agent ที่จะพาเราออกทะเลกันต่อ Priscil ก็ช่วยหา สรุปมาเจอเจ้านึงตอนซัก 3 ทุ่ม Priscil บอกว่าเราต้องเป็นคนจองเอง เพราะต้องใช้บัตรเครดิต อะโอเค เราจะจองเอง กรอกนั้นนี้ครบ แล้ว แต่เราจะได้ไปก็ต่อเมื่อ agent ตอบคอนเฟิร์มที่เราจองเท่านั้น เลยบอก Priscil ไป เธอบอกว่า เดี๋ยวเช้า จะโทรไปคอนเฟิร์มให้ ให้เราเตรียมตัวไว้ก่อน ส่วนเรื่องการเดินทางไป Black River เดี๋ยวแกกับสามีจะมารับพาไปแต่เข้า


เป็นอันสิ้นสุดวันผิดคาดของผม เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าไว้ใจอะไรใครง่ายๆ และถ้าเรามีที่พักที่ดี แล้ว ให้เขาเป็นคนช่วยประสานงาน รับเรื่อง อย่าบอกที่อยู่เรามห้คนนอกรู้เป็นอันขาด


วันที่ 6 ธ.ค. Catamalan Trip

เช้าเราตื่นมาทำอาหารเช้ากิน พอ 6.30 มีเมล์คอนเฟิร์มการจองเข้ามา ห่างกันไม่ถึงนาที Priscil พิมพ์ข้อความมาบอกว่า เขาตอบรับแล้ว เดี๋ยวจะไปรับตอน 7.30 โอเค พร้อมเที่ยว วางเรื่องร้ายๆไว้ก่อน บ่ายนี้ กลับจากทะเลค่อยมาบู๊กันอีกยก


ในใจผมก็คิดนะว่า กลับจากทะเลก็ 4-5โมงแล้ว ผมมีเวลาตั้งแต่ 5 โมง ถึง 3 ทุ่ม เพื่อบี้อิคู่นี้ให้ได้เงินคืน มันยากมากเลยนะ ดูจากท่าทีแล้ว เอาวะ ไหนๆลุยแล้ว ก็ลุยให้สุด ป่ะ


7.30 Priscil ตรงเวลามาก มารับเรา มุ่งหน้าสู่เมือง Black River พาเราเลี้ยวเข้าไปที่หมู่บ้านนึง บรรยายยังไงดี ว่าเป็นหมู่บ้านไฮโซ มีคลองที่เชื่อมมาจากทะเลถึงหน้าบ้านแต่ละหลัง แล้วบ้านแต่ละหลังก็โคตรใหญ่ และมีเรือยอร์ช หรือเรือสปีดโบ๊ท จอดอยู่หน้าบ้านหลังละลำ ที่นี่เป็นที่ตั้งของ Agent ที่ชื่อว่า www.BlackRiverMauritius.com เป็น Agent ใหญ่ น่าเชื่อถือ มีระบบการจัดการที่ดี ผมจ่ายค่าทริปนี้ไปคนละ 2,400Rs แลกกับการบริการที่เหมือนเราเป็น VIP มาถึง เจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับเราอย่างดี เราเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เขาบอกว่า ไม่เป็นไร ตอนนี้ยูอยู่กับไอ แล้วไอจะดูแลพวกยูอย่างดี แล้วก็เป็นอย่างที่เขาบอก ดูแลเราดีจริงๆ สตาฟทุกคนมีฟอร์มที่สะอาด ยิ้มแย้ม สุภาพ

ห้องรับรองลูกค้า

เรือที่เราจะไปใช้ชีวิตวันนี้

เช้านี้อากาศดีมาก

9.00 ออกเรือ เรานั่งเรือเล็กเพื่อไปขึ้นคาตามาลัน ที่จอดลอยลำรอยู่นอกอ่าว เรือลำนี้จุคนได้เต็มที่ 26 คน แต่สตาฟบอกว่า เขาจะรับเต็มที่แค่ 13 คน ฟังไม่ผิดครับ ครึ่งเดียว เพื่อให้มีที่บนเรือเหลือ และให้แขกที่มาใช้บริการไม่ต้องเบียดเสียด (ผมคิดในใจว่า เราเพิ่งจองเราคงเป็นคนที่ 14 กับ 15 สินะ แอบรู้สึกผิด ซึ่งก็จริง ตอนเช้าที่ Priscil โทรไปช่วยคอนเฟิร์มนั่นแหละ จริงๆแล้วโทรไปอ้อนวอนให้ช่วยเพิ่มเรา 2 คนเข้าไปในทริปด้วย เพราะเจอเหตุการณ์ไม่ดีมา และเราจะกลับในคืนวันนี้แล้ว ถ้าเราพลาดเรือรอบนี้ เท่ากับวันนี้เราจะว่าง ไม่มีที่ไปอีกวัน)

สต้าฟบนเรือ

บั้บป้า คนขับเรือเราวันนี้

กลับมาบรรยากาศบนเรือดีกว่า มีห้อง โต๊ะสำหรับนั่งเล่น มีที่นั่งอาบแดดรอบลำเรือ ด้านหน้า เป็นตะแกรงเชือกผ้าใบไว้ให้นอนเล่น นั่งเล่น มองลงไปเห็นเป็นน้ำทะเลใสๆ เริ่มทริป สตาฟก็แนะนำตัวเอง แจงรายละเอียดทริป ตามด้วย เสริฟ!!! นำ้อัดลม น้ำผลไม้ เบียร์ เหล้า ไม่อั้น เรานั่งเรือได้สักพัก เราก็เจอ ครอบครัวโลมา คือ มันใกล้มาก มาว่ายอยู่ใต้เรือ ว่ายไปพร้อมกับเรือเลย สภาพอากาศวันนี้สดใส แดดดีมาก คือเราดูโลมาว่ายน้ำ โดดน้ำกันจนเพลิน แล้วสตาฟก็เริ่มเตรียมเตา ปิ้งบาร์บีคิว

เสิร์ฟมาทีละไม้ ไก่ กุ้ง ปลา ไส้กรอก สลัด ข้าว ไม่พอก็ขอเพิ่มได้ แต่เชื่อสิ ชุดเดียวนี้ อย่างแน่น แต่แล้ว อยู่ดีดี ฟ้าก็ครึ้ม ฝนก็เริ่มปรอยๆลงมา บวกกับลมที่พัดเข้ามาอีก เริ่มหนาวละฮะ

ตรงนี้เป็นจุดที่น้ำตื้น คือเรามองเห็นพื้นล่างเพราะน้ำใสมาก น้ำทะเลที่นี่เป็นสีเข้ม แต่ใส ยิ่งสะท้อนกับผืนฟ้านี่ยิ่งสวย แต่...จะบอกว่า ปะการังบ้านเราเช่นสิมิลัน ตาชัย หรืออะไรๆที่ผมเคยเห็น(ผมไม่เคยดำน้ำ ดูจากรูปของเพื่อนๆมา) สวยกว่าที่นี่แน่นอน ข้อดีของทะเลที่นี่คือ ไม่เหนียวตัว แปลกนะ ผมตากแดดทั้งวัน บนเรือทั้งวัน ถ้าเป็นที่บ้านเราจะเหนียวตัว เหนอะหนะ แต่ที่นี่ไม่เหนียวตัวเลย กระทั่งลงไปเล่นน้ำ ขึ้นมาฉีดน้ำจืดนิดเดียว ตัวก็ไม่เหนอะหนะ

มาถึงตรงนี้ สตาฟบอกว่า เราสามารถลงไปว่ายน้ำ หรือดำสน๊อกเกิ้ลได้ อ่าาา ไม่รอช้าสิ คนแรกเลย ของเล่นใหม่เตรียมมาอย่างดี เดี๋ยวไม่ได้ใช้จะเสียใจแย่ แถ่นแท้นนนน โดมติดโกโปร ลองเลยๆๆ ได้รูปประมาณนี้ครับ ครึ่งบก ครึ่งน้ำ เห็นเด็กชาวจีนกับลังให้อาหารปลาตัวเล็กๆด้วย ปลาเลยเข้ามากันเพียบเลยฮะ

จากตรงนี้ ผมก็เล่นน้ำ ว่ายๆ ดำๆ ไปเรื่อย ขึ้นมาฝนก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุด ขึ้นมาก็หนาวสิครับ ดีนะเตรียมเสื้อกันลมมา เพราะเขาจะให้เรานั่งเรือเล็กไปลงที่เกาะเล็กๆ เพื่อไปดู Diamond Stone เป็นหินรูปเพชร ที่เกิดจะการกัดกร่อนด้วยลม และน้ำทะเลจะเป็นรูปอย่างที่เห็น ตรงนี้ชื่อว่า ilot benetier (อ่านว่า อิ ลอท เบ เน ทิ เย หรือ อิ ลอท เบ เน เทีย ก็ได้) แล้วไปที่เกาะข้างๆ เดินเล่นแป้บนึง พอเรือเล็กวนมาส่งอีกกรุ้ป เราก็กลับขึ้นเรือใหญ่ เพราะฝนมันตก แล้วหาดมันก็ไม่ได้ขาวสวยมากเท่าไหร่

ถ่ายกับสมาชิกบนเรือ

ปิดทริปวันนี้ เรานั่งรถเมล์กลับจาก Black River มาลงที่ Flic en Flac ที่หน้าร้าน agent ตัวแสบเหมือนเดิม มาบู๊กันต่อ ลงปุ๊บ เดินเข้าร้าน คนเมียนั่งอยู่ เราถามหา Steve เค้าก็ยังนิ่ง แล้วบอกว่า “ฉันบอกเธอไปเมื่อวานแล้วนี่ ว่าถ้าเธอแจ้งตำรวจ ยังไงเธอก็ไม่มีวันได้เงินของเธอคืน” แน้ะะะะ!!!! แล้วทิ้งท้ายว่า เดี๋ยวเค้าจะไปสถานีตำรวจเหมือนกัน ไปแจ้งความเราข้อหาบุกรุก เราก็ถามว่า เราไม่ได้บุกรุก นุ่นอยู่หน้าร้าน เราเดินลงไป 2 ก้าวเท่านั้น นุ่นเป็นพยานได้ เค้าก็บอกเค้ามีพยานเหมือนกัน เราถามไหนละพยานของเธอ เค้าบอกว่า God is a withness เออ โอเค ยอม เราบอกว่า งั้นเธอก็ไปแจ้งความเลยนะ แล้วนางก็เดินออกไป เราก็ปล่อยนางไปนะ แล้วเราก็เดินออกไปด้วย ดูดิ้ว่าจะยังไง คนเมียตัวแสบก็เดินไป (ก่อนถึงสถานีตำรวจ มีซอยให้วกกลับมาหลังบ้านเค้าได้ ผมตามมันอยู่ห่างๆ เพราะกะเดินไปซุปเปอร์ด้วย) นางก็เดิน เลี้ยวเข้าซอย วกกลับมาบ้าน แหน่ะ!!! ไม่กล้าไปสถานนีนี่หว่า ผมคิดในใจ เอาวะ เวลานี้แล้ว เป็นไงเป็นกัน

แล้วผมก็เดินไปซุปเปอร์ ซื้อของกินคืนนี้ คืนสุดท้ายที่มอริเชียส เสร็จปุ๊บ ขึ้นที่พัก เอาของเก็บห้อง ล้างมือล้างหน้า ก็เดินกลับไปที่ร้านอีกครั้ง หวังจะเจอ Steve ตามที่เขาสัญญาไว้ แต่ไปละก็ไม่เจอ ป้าหน้าร้านบอกว่า เพิ่งออกไปก่อนเรามาได้ 10 นาทีเอง หนอยยยยย ผมตรงไปสถานีตำรวจ บอกเขาว่า ช่วยเราที นี่เหมือนจะหนีเลย คราวนี้พี่เข้ม(พี่ตำรวจผิวเข้มร่างสู่ใหญ่ที่คุยกับเราตั้งแต่แรก) เรียกตำรวจอีก 2 นาย แล้วขึ้นรถ ไปกับเรา พี่เข้มลงดักที่หลังบ้าน อีก 2 คนมาดักหน้าร้าน อารมณ์ล้อมจับเลย ตำรวจ 2 คนเข้าไปเรียก ไม่มีใครตอบรับ แล้วป้าหน้าร้าน ก็โบกมือ ชื้ให้ดูรถของทั้งคู่ที่ขับผ่านร้านไป กำลังจะยูเทิร์นด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ไม่รู้ หนีหรือจอดก็ไม่รู้ ผมเลยบอกตำรวจ พี่แกก็ลงไปขวาง แล้วโบกให้ขึ้นมาจอดขอบทางหน้าร้าน

Steve เดินออกจากรถ โมโหลงมาเลย เดินตรงมาที่รถตำรวจที่ผมนั่งอยู่ จะมาเปิดประตูรถตำรวจ พี่ตำรวจนายนึงมาขวางไว้ มันโวยวายว่า ทำไม คุยแล้วไงว่าจะไม่ถึงตำรวจ แล้วนี่พามาทำไม ผมบอกว่า ผมมาแล้วไม่เจอใคร มาอีกทีเจอเมียคุณแล้วนางบอกว่า ผมไม่มีทางได้เงินคืน ผมเลยต้องแจ้งความ นี่ไม่มีใครพูดเรื่องบุกรุกต่อหน้าตำรวจสักนิด ผมบอกตำรวจว่า นัด 3 โมง ผมมาแล้ว ไม่เจอใคร พอเจอก็ไม่คืนเงิน ให้ตำรวจจัดการให้เด็ดขาดที ตำรวจกับ Steve แร็พกันไปมาอยู่สักพัก พี่เข้มบอกผมว่า 19.00 หรือ ทุ่มนึง เค้าจะเอาเงินมาคืน ผมเลยบอกว่า ให้นัดที่สถานีตำรวจเลย เพราะทุ่มนึง เริ่มโพล้เพล้ ผมกลัวไม่ปลอดภัย พี่เข้มย้ำกับ Steve ก็รับคำไป


ถึงตอนนี้ ผมกลับมาเก็บของที่ห้อง เปรยๆกับนุ่นว่า จะได้ตังค์คืนมั้ยว๊าาา โอกาสเหลือน้อยยยยมากเต็มที Priscil ก็บอกว่า น้อยคนมาก ที่ได้เงินคืน ตำรวจเองก็มีท่าทีไม่มั่นใจเลย แต่ก็นะ สู้มาแล้ว ก็สู้ให้สุด


19.00 ผมลงไปสถานีตำรวจ พี่เข้มโทรเรียก Steve มาที่โรงพัก ผมนั่งอยู่ด้านใน มีเค้าน์เต้อร์สูงระดับอก กันผมไว้ 1 ชั้น ผมนั่งหันหลังให้ประตูทางเข้า Steve มันเดินเข้ามา ตบโต๊ะอย่างดัง ผมหันไป ลุกขึ้นยืน ผมเลือกยืนให้เยื้องจากเขาประมาณ 45องศา ตอนนั้นคิดแค่ว่า ถ้ามันเอาอะไรออกมา เรายืนไกลหน่อย คงพอหลบทัน หรือคิดทัน แหะๆ


ที่เคาน์เตอร์ Steve หยิบเงินออกมาปึกนึง (เอาวะ กูได้เงินคืนบ้างละวะ ไม่มากก็น้อยล่ะ) เริ่มนับ 2000Rs แล้วคืนมาก่อน บอกว่า นี่คือส่วนที่เมียเค้ายืม ผมหยิบมานับ แล้วหันไปหาพี่เข้ม บอกว่า นี่คือส่วนที่เมียเค้ายืมไป คืนมาแล้ว จบไป 1 เคส พี่เข้มพยักหน้าเป็นพยาน และตอบรับ


ทีนี่เหลืออีก 3600Rs ค่าทริปเรือ เค้าบอกว่า ผมเป็นคนแคนเซิลเอง ผมต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ส่วนค่าดำเนินการที่เกิดขึ้นส่วนนึง มาถึงตรงนี้ ผมฟังว่า เค้าจะคืนผมแค่ คนละ 700Rs รวมเป็นคืนมา 1400Rs ผมหันไปปรึกษากับนุ่นอย่างเร็ว (กลัวเสียเชิง ว่า ได้มาแค่นี้ก็ดีกว่าไม่ได้คืน) สรุปคือ โอเค เรารับได้


Steve นับเงินส่วนที่เหลือ กองแรก 1000Rs กองที่สอง 1000Rs หัวผมประมวลผลอย่างเร็ว เมื่อกี้ตรูฟังผิดนี่นา หรือมันบอกว่า จะหักคนละ 700Rs รวมหักไป 1400Rs


เหลือคืนผมมาอีก 2200Rs


กองสุดท้าย Steve นับมาวางอีก 400Rs


รวมเงินที่วางกองไว้ 2400Rs


ผมกอบตังค์ทั้งหมด นับอย่างเร็ว ครบ 2400Rs หันไปบอกพี่เข้มว่า เคสนี้ ผมได้คืนเท่าที่ตกลงกันแล้ว ผมปิดเคสนี้ได้นะ พี่เข้มพยักหน้า (คือ ถ้ามันจะหักคนละ 700Rs. ก็ต้องเหลือคืนเราแค่ 2200Rs. แต่ดั้นนน คืนมาเกินอีก)


ก่อนแยกย้าย Steve หันมาสบถอีก แร็พมาเป็นชุดเลย เราก็คิด เอ... ก็เงินที่เอาไปก็เงินกูนะ แล้วที่กูยกเลิก เพราะพวกเมิงทำให้กุไม่ไว้ใจเองนะ เอาๆๆ ผมพูดกับมันไปคำสุดท้ายว่า


Thank You, Bye


หลังจากที่ Steve ไปแล้วผมบอกพี่เข้มว่า ให้รบกวนเดินไปส่งผมที่บ้านพักหน่อย(ห่างไปแค่ 500 เมตร) ผมกลัวไม่ปลอดภัย พี่เข้มแกก็ตอบตกลง ระหว่างทาง เรากล่าวขอบคุณเค้าเป็นการใหญ่ ถ้าพี่เข้มและทีมตำรวจที่นี่ไม่ช่วยเหลือ ผมไม่มีทางได้เงินคืนเลย พี่เข้มบอกว่า พวกนี้เคยถูกจับเเล้ว ก็ออกมาก็เปิดๆปิดๆร้าน มีคนโดนหลอกหลายคน แต่ไม่มีใครได้เงินคืนเลย เราถือว่าโชคดีมากที่ได้เงินคืน


ถึงห้องละ เราบอก Priscil ว่าเราได้เงินคืน แล้วให้เขามารับเราไปส่งสนามบินตอน 23.00


23.00 Priscil มารับเราตรงเวลา มากันทั้งครอบครัวเลย ครอบครัวนี้น่ารัก ช่วยเหลือเราตลอดในทริปนี้ คุยกันในรถ เราเล่าเหตุการณ์ให้เค้าฟัง เค้าฟังแล้วก็บอกว่า ยินดีด้วยที่ได้เงินคืน แล้วบอกว่า


“You have a big heart”


อ่อ เราขับผ่านหน้าร้านตัวแสบผัว-เมีย ขากลับด้วย สิ่งที่เห็นคือ Steve นั่งกินเบียร์อยู่หน้าร้าน จ่ะ ตามนั้นจ่ะ


ถึงแอร์พอต ร่ำลา Priscil กับสามีและลูกสาวเธอ ทิ้งท้ายว่า ถ้าจะมาอีก หรือเพื่อนจะมา ให้ดีลกับเธอตรงๆเลย ได้ราคาถูกกว่าผ่าน Booking แน่นอน ฮาาาาาา

เดินทางกลับอย่าง Happy Ending



ถ่ายรูปกับ Priscil กับสามี และลูกสาว


ขากลับ เราบิน Air Asia มาลงที่ KLIA2 รอต่อเครื่อง 3 ชม. เดินเล่น ช้อปปิ้ง นั้นนี้ แล้วขึ้นเครื่องกลั

โดยรวมๆ แล้ว...มีเสน่ห์เหลื้อออเกินนนน นั่นมันเพลง!!!!! ยังจะเล่นยังสุดท้าย



โดยรวมแล้ว มอริเชียส เที่ยวไม่ยาก เอาจริงๆคนที่นั่นเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว

ใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสารเป็นหลัก แต่ก็พูดภาษาอังกฤษได้

มีคนหลากหลายเชื้อชาติ วัฒนธรรมที่มาอยู่รวมกันแล้วน่ารักดี

ขับรถชิดซ้ายเหมือนบ้านเรา

ค่าเช่ารถวันละ 1000+

ค่าแท็กซี่แพงมาก จะไปไหน ต้องต่อรองราคาให้ดีดี ชัวร์ๆก่อน

รถเมล์สะดวก รอไม่นาน (แต่บางสายที่เข้าป่า อาจจะรอนาน และมีแค่ 2 รอบต่อวัน)

จะขึ้นรถเมล์ รถมาจอด ถามจุดหมายที่เราจะไป ถ้าเค้าไป เค้าจะกวักมือเรียกเราขึ้นไปเอง

รถเมล์ เข้าป้าย และจอดสนิทก่อน แล้วเราต้องรอคนลง พอลงหมด แล้วค่อยขึ้น

ตอนลงรถเมล์ กดกริ่งที่ข้างๆที่นั่ง/ยืน พอรถจอดป้ายสนิท ค่อยลุกขึ้น ค่อยๆเดิน แล้วลงสวยๆ ไม่ต้องรีบไปยืนรอตรงประตู

เอเจ้นท์ริมหาดในการไป 1 Day Trip ไว้ใจได้ยากหน่อย ราคาถูกจริง แต่เสี่ยงเจอปัญหาว่า ไม่ตรงที่ตกลง หรือ ไม่ได้ดั่งใจ

ถ้าอยากเที่ยวแพคเกจ ให้ปรึกษาเจ้าของที่พัก ให้เขาเป็นคนประสานให้ อาจจะจ่ายแพงกว่ากันหน่อย แต่ได้ของดีชัวร์ๆ อย่างพวกผมมันเข้าข่าย เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย

อย่าให้ใครยืมเงิน อันนี้เป็นเบสิคที่สุดของทุกที่ แต่เราใจอ่อนเอง (เคยไปอินเดีย แล้วให้เงินช่วยเด็กในป่า เลยคิดว่า เคสนี้คงจนตรอกจริงๆเลยมายืมเรา)

มาที่นี่ควรมีเวลาซัก 15 วันขึ้นไป (เพราะเดินทางอย่างเดียวก็ไปละ 3 วัน) จะได้เที่ยวทั้งเกาะ

ตอนเหนือของเกาะ เป็นแหล่งท่องเที่ยว มีกิจกรรมเยอะ พาราเซลลิ่ง ดำน้ำ พาราไกด์ดิ้ง

ตอนตะวันออกของเกาะ เป็นเมือง มีสนามบิน ที่พักเยอะ จอแจหน่อย

ตอนใต้ของเกาะ ธรรมชาติสูง มีสวนสัตว์ที่เราใกล้กับสัตว์ได้ (เอาจริง สวนสัตว์ มีหลายที่มากๆ แต่ค่าเข้าก็แพงเช่นกัน)

ตอนตะวันตกของเกาะ เป็นธรรมชาติ และความสงบ ถ้าใครอยากชมธรรมชาติ มาฝั่งนี้ชิลล์

เมืองหลวงชื่อ Port Louis อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ อยู่ริมทะเล จอแจ แต่สะอาด อาจจะสะอาดไม่มาก มีบางที่จะแย่เลยก็มี คนเยอะ ของแยะ น่าช้อปของกระจุ้กกระจิ้ก

ตลาดกลางในเมืองหลวง อารมณ์จตุจักรบ้านเรา จะซื้อของ ให้ถามราคา แล้วทดไว้ในใจ เดินหาต่อไป อาจเจอถูกกว่า

อาลูด้า เป็นนมวนิลา ดื่มแบบเย็นๆ ท๊อปด้วยเม็ดแมงลัก ท้อปของท๊อปด้วยไอติมวนิลา แล้วท๊อปของท๊อปของท๊อปเป็นแยมนิดหน่อย ดื่มแล้ว ฟิน สดชื่น



น่าจะหมดเท่านี้แหล่ะครับ มอริเชียส มีทั้งดี ทั้งร้าย มีตื่นเต้น มีผิดคาด แต่โดยรวมๆแล้ว เป็นทริปที่ดี สนุก ครบรส ได้หมด ถ้าสดชื่นนนน

สุดท้าย หลังจากกลับมาเล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง เพื่อนผมคนนึงก็บอกว่า

“ถ้าเป็นเค้านะ เค้าจะทิ้งเงินก้อนนั้น แล้วกอบโกยความสุขของวันเที่ยวที่มีอยู่ที่นั่นดีกว่า”


ก็จริงอย่างที่เค้าพูดนะครับ

ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้น ด้วยความเสียดาย เลยตัดสินใจตามๆเพื่อที่จะได้เงินคืนให้ได้

แต่พอผมกลับมานั่งคิดถึงคำพูดเพื่อนผมตอนนี้ ทำไมผมไม่เลือกที่จะทำแบบนั้นนะ


บ๋าย บาย มอริเชียส

จบละ เล่ายาว รูปเยอะ ดราม่าบ้าง ปนๆกันไป ขอบคุณที่ติดตามอ่านนิทานเรื่องยาวนี้จนจบนะครับ

ขอบคุณมากๆๆๆ



ขอบคุณครับ เจอกันทริปหน้าครับผม

TrailTrav

www.facebook.com/trailtrav

TrailTrav

 วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 19.46 น.

ความคิดเห็น