J U L L E Y หรือในภาษาไทยออกเสียงว่า 'จูเล'

_____________________________________

ภาษา Ladakhi คำแรกที่ได้ยินหลังจากเท้าแตะพื้นเมืองเลห์ ที่คุณลุงแท็กซี่จากสนามบินสอนเราตอนมาส่งที่เกสเฮ้าส์ใช้ทักทาย สวัสดี บอกลา ขอบคุณ บลาบลา หรืออะไรไม่ออกก็จูเล่ไว้ก่อน ฮ่าๆ คำที่พูดง่ายแสนง่ายในวันแรกๆแต่กลับเป็นคำที่พูดยากและไม่อยากพูดในวันสุดท้ายในดินแดนที่ได้ชื่อว่า 'ทิเบตน้อย' นี้

_____________________________________



ขอเกริ่นก่อนว่าทริปนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากการอ่านกระทู้ของ พี่ปั้น the walking Backpacker '9 เหตุผลที่ก่อนตาย คุณควรไปเห็น Leh Ladakh กับตาตัวเอง' https://pantip.com/topic/34109505 และดูรายการ View finder ของคุณภูริเมื่อปีที่แล้ว จังหวะนั้นอดใจไม่ได้แล้ว ยังไงก็ต้องได้ไป เลห์ ลาดักห์! บวกกับความใจง่ายของเพื่อน ชวนปุ๊บ ตอบตกลงปั๊บภายใน5นาที จนคนชวนยังแทบช็อค(เหมือนมันแทบไม่ได้คิด) เพื่อน3คนยอมร่วมชะตากรรมไปกับเราในการไปเยือนอินตะระเดีย เมืองแขกเป็นครั้งแรก ทริปนี้ก็เลยเกิดขึ้นมา เราเดินทางกันวันที่ 29 เมษา-7 พฤษาภาที่ผ่านมา โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าช่วงนั้นเป็นฤดูอะไร อากาศหนาวมั้ย ผู้คนจะเป็นยังไง อาหารกินได้มั้ย รู้แต่ถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว ลุยโลด! จนตอนนี้ผ่านมาเดือนกว่าๆ ก็ยังคิดถึง โอ๊ย เข้าใจแล้วที่เค้าว่า 'ชีวิตนี้ต้องไปเห็นด้วยตาและรับรู้ด้วยใจด้วยตัวเองจริงๆ' บอกเลยแล้วจะต้องตกหลุมรัก "ลาดักห์" เหมือนเรา



ฝากติดตามและเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ รีวิวไม่ค่อยเก่ง รูปอาจจะไม่สวยแต่หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ

และฝากเพจน้อยๆของพวกเราด้วย https://web.facebook.com/Everywherewewander/ แวะไปทักทายพูดคุยกันได้ค่ะ



เอาหละ! เกริ่นมาเยอะละตามประสาคนเวิ่นเว้อ ขอเริ่มเลยละกัน 55



เตรียมตัวก่อนเดินทาง

1.เลห์ ลาดักห์ มันคือส่วนไหนของโลกกันนะ ?

"เมืองเลห์" เมืองหลวงหรือ main city ของจังหวัดลาดักห์ ที่เรามักจะคุ้นเคยกันในชื่อ เลห์ลาดักห์(นี่ก็เพิ่งรู้ตอนถามจากลาดัคกี้) เป็นจุดหมายปลายทางที่เราจะต้องนั่งเครื่องไปลงที่นี่ อยู่ในรัฐจัมมู-แคชเมียร์ที่ประกอบไปด้วย 3 จังหวัด คือ ลาดักห์ แคชเมียร์(เมืองหลักคือศรีนาการ์) และจัมมู ซึ่งเป็นรัฐที่อยู่เหนือสุดของประเทศอินเดีย บอกเลยว่าเป็นที่เดียวในอินเดียที่แทบไม่มีความอินเดียอยู่เลย

แอบสปอยก่อนนิดนึง อิอิ

2.การเดินทางและวีซ่า

- ไม่มีไฟลท์บินจากไทยไปที่เมืองเลห์โดยตรง เราต้องบินจากไทยไปลงที่นิวเดลีก่อน แล้วต่อเครื่องไปที่เลห์

-จากนิวเดลีไปเลห์ สามารถเลือกไปทางรถไฟหรือรถบัส ผ่านทางLeh-Manali เส้นนี้เค้าบอกสวยมาก แต่ใช้เวลาหลายวัน

เรื่องสายการบิน

1) พวกเราเลือกนั่ง การบินไทย ไปลงที่นิวเดลี(International Terminal) แล้วบินจากนิวเดลีไปเลห์ด้วยสายการบิน Go Air ของอินเดีย

- มีข้อเสียคือต้องนั่งรถ shuttle bus ไปที่Domestic Terminal ซึ่งไกลกันพอสมควร ต้องเผื่อเวลาในการต่อเครื่องให้ดี

-แต่พวกเรามีเวลาเหลือเฟือ ไปถึงเดลีเที่ยงๆแวบไปเดินเล่นในเมือง แล้วก็กลับมารอไฟลท์ไปเลห์ในเช้ามืดวันถัดไป

2) ถ้าต้องการสะดวก แนะนำเป็นสายการบิน Jet Airways ของอินเดีย อันนี้จะต่อเครื่องจาก international terminal ไปได้เลย

3) สายการบินจากไทยไปอินเดีย : การบินไทย, Jet Airways,Air India,Spice Jet

สายการบินจากเดลีไปเลห์ : Jet Airways,Go Air,Vistara(อันนี้ก็ขึ้นจาก International Terminal),Spice Jet ประมาณนี้

- หลักๆก็คงเป็น Jet Airways กับ Go Air

- ไฟลท์ไปเลห์ส่วนมากจะมีตอนเช้าตรู่อย่างเดียวเลย


ค่าตั๋ว

- ราคาอยู่ที่ประมาณ 15,000-20,000 บาท เราเคยเห็นโปรของ Jet Airways ประมาณ 13xxx

- ควรจองตั๋วตั้งแต่เนิ่นๆ ไฟลท์กทม-เดลีไม่ค่อยมีปัญหา แต่จะแพงกับไฟลท์เดลี-เลห์


เรื่องวีซ่า

เข้าอินตะระเดียก็ต้องทำวีซ่านะเออ

เราได้เขียนไว้ในกระทู้นี้แล้ว https://pantip.com/topic/36523887 หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะคะ ^^


3.แล้วจะต้องเตรียมร่างกายยังไงหละ?

เนื่องจากเมืองเลห์ ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 3,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล ท่ามกลางเทือกเขาหิมาลัยอันหนาวเหน็บ แน่นอนว่ามนุษย์พื้นที่ราบลุ่ม อาศัยอยู่ระดับน้ำทะเลอย่างเราจะต้องปรับตัวกับอากาศที่มีออกซิเจนเบาบาง อาจทำให้เราเหนื่อยง่ายหายใจไม่ออก จนเป็น AMS(Acute Mountain Sickness)หรือโรคแพ้ความสูง อาการก็เหมือนที่บอก เหนื่อย หายใจไม่ออก ปวดหัว เบื่ออาหาร คลื่นไส้ไปจนมีไข้และหนาวสั่น แถมโรคนี้เกิดได้กับทุกเพศทุกวัยไม่เกี่ยวกับความฟิตของร่างกาย เพื่อเป็นการป้องกันและเพื่ออรรถรถในการท่องเที่ยวลาดักห์ ควรเตรียมยา Diamox(Acetazolamide) ไปด้วย

วิธีใช้ยา Diamox

1) ต้องกิน 24 ชั่วโมงก่อนไปถึงที่เลห์

2) อย่าลืมเช็คขนาดยาด้วยนะ

- ถ้าเม็ดขนาด 125 mg ให้กิน 1 เม็ดต่อทุก 12 ชั่วโมง

- ถ้ายาขนาด 250 mg ก็ให้กินครึ่งเม็ดจ้า

ถ้าไม่แน่ใจก็ถามจากเภสัชกรได้ค่ะ


4.ช่วงเวลาไหนที่เหมาะกับการท่องเที่ยว?

ด้วยความที่เป็นที่สูงมากๆ ลาดักห์เลยหนาวเย็นตลอดทั้งปี ช่วงหน้าร้อนอากาศก็ยังเย็นสบาย ส่วนช่วงหน้าหนาวนี่เค้าบอกว่าหนาวขนาด -20 องศา บรึ๋ยยยย

ช่วงหน้าหนาว : ตุลา-มีนา อากาศหนาวจัด หนาวแบบน่าจะแข็งตายไปเลย แต่ลาดัคกี้บอกมาว่า Chadar Trek หรือการเดินเทรคเข้าไปในแม่น้ำ Zanskar ที่เป็นน้ำแข็งก็น่าสนใจนะ ต้องกลับไปแน่นอน!

ช่วงฤดูใบไม้ผลิ : ปลายเมษา-พฤษภา ที่พวกเราไปมา อากาศก็ยังติดลบอยู่ บนักท่องเที่ยวก็ยังไม่เยอะมาก

ช่วงหน้าร้อน : มิถุนา-กันยา เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเยอะ แต่อากาศกำลังดีเหมาะแก่การท่องเที่ยว


5.อื่นๆ

- เตรียมเสื้อกันหนาว กันลม ถุงมือ ถุงเท้า อะไรก็ได้ที่ทำให้ร่างกายอบอุ่นไปให้พร้อม

- ที่นู่นแดดแรงมากจีจี แรงจนคนไม่ชอบใส่แว่นอย่างเราต้องงัดแว่นออกมาใส่

- อาหารที่นู่นก็จะกินลำบากนิดนึง(แต่สำหรับเรา กินมันทุกอย่าง๕๕๕) มีกลิ่นเครื่องเทศ ผงกะหรี่ ใครที่กินยากโปรดจงเตรียมเสบียงไปให้พร้อม หมูฝอย หมูหยอง น้ำพริก มาม่า

- ใช้เงินรูปี คิดเป็นเงินไทยก็เอาสองหารได้เลย เช่น 100 รูปี ประมาณ 50 บาท

- อย่าลืมเตรียมสำเนาพาสปอร์ตไปด้วย เพื่อใช้ทำ inner line permit ด้วยนะคะ เวลาที่เราไปเที่ยวตามที่ต่างๆนอกเมืองเลห์ จะต้องทำ permit เพื่อใช้ผ่านทางค่ะ เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ในลาดักห์เป็นเขตชายแดน เป็นพื้นที่ที่อ่อนไหว สามารถติดต่อบริษัททัวร์ท้องถิ่นที่นู่นให้ทำให้ ราคา 700 รูปี

- บอกกล่าวที่บ้าน พ่อ แม่ แฟน ให้เรียบร้อย เตรียมตัวตัดขาดจากโลกภายนอกชั่วครู่ เพราะอาจจะไม่มีอินเตอร์เน็ตให้ใช้

ไม่ต้องอ่านข้อมูลอะไรมากมาย รูปอย่าไปดูเยอะ เตรียมตัว เตรียมใจ ทำสมองให้ว่างๆ แล้วลุยกันเลย!!!

เอาหละ เอาจริงและ ! ทีนี้ก็เข้าสู่ชั่วโมงต้องมนต์กันเล๊ยยยย

_____________________________________


:: ทริปนี้เราใช้เวลากันทั้งหมด 9 วัน 8 คืน รวมวันเดินทางแล้ว ::


Day 1 : BKK-New Delhi

จากไทยไปนิวเดลีใช้เวลาแค่ประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งเรามาถึงกันตอนเที่ยง! แดดที่เดลีมันช่างแผดเผา เหมือนจะละลายไปกับพื้นถนน

สารภาพเลยว่าพวกเราไปไม่กี่ที่ คือ Connaught Place เพื่อหาข้าวกิน มื้อแรกในอินเดีย รอด!!!,ป้อม Red Fort กับตลาด Chandni Chowk แล้วกลับมาหมดแรงข้าวต้มที่สนามบิน อันนี้ขอไม่ลงรายละเอียดนะคะ

- ถ้าไม่ได้ยินเสียงแตรรถ แปลว่ายังมาไม่ถึงอินเดีย! ตราตรึงมากบอกเลย


Day 2: New Delhi-Leh

-ไฟลท์จากนิวเดลีไปเลห์-

ค่าเครื่องหลักร้อย(ดอลล่า) แต่วิวนี่หลักแปดแสนล้าน

ไฟลท์บินของพวกเราคือตอน 6.40 แต่ฝนเทแต่เช้าเลย ท้องฟ้าขมุกขะมัว พร้อมกับเจ้าหน้าที่ประกาศว่าเที่ยวบินดีเลย์! แอบกลัวเบาๆว่าจะไม่ได้เห็นเทือกเขาหิมาลัย


สัญญากับตัวเองว่าขึ้นเครื่องแล้วจะไม่หลับเด็ดขาด แต่ด้วยความที่เมื่อคืนนอนสนามบิน หลับๆตื่นๆ เลยเผลองีบไปนิดนึง>< ต้องขอบคุณเพื่อนที่สะกิดขึ้นมาดูวิว

เป็นไฟลท์ที่ระยะเวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆ แต่ไม่สามารถละสายตาจากวิวข้างนอกหน้าต่างได้เลยยันเครื่องลง สวยจนแทบจะลืมหายใจ เทือกเขาหิมาลัยสุดลูกหูลูกตาจริงๆ ขาไปให้เลือกที่นั่งริมหน้าต่างฝั่งซ้ายนะคะ ขากลับก็ฝั่งขวา บอกเลยว่าคุ้มเกินคุ้ม

ท้องฟ้าช่างไม่เป็นใจซะเลย แต่ก็สวยไปอีกแบบ

ทันทีที่เครื่องแตะรันเวย์สนามบินเลห์ มองไปรอบๆนี่เหมือนโดนโอบล้อมไปด้วยภูเขา 360 องศา ยกมือถือมาจะถ่าย แต่เจ้าหน้าที่เค้าไม่ให้ถ่ายรูปนะคะ นี่แอบถ่ายตอนเค้าเผลอ555 บรรยากาศมันช่างมาคุเหลือเกิน ฟ้าสีเทาๆ แถมมีหิมะปรอยมาเป็นสาย ในใจก็เริ่มหวั่นๆ ว่าทริปนี้กูจะเห็นอะไรมั้ย พอก้าวออกจากเครื่องบิน อารมณ์ตอนนั้นแบบ อื้อหือ! ใครเอาช่องฟรีซมาเปิดใส่หน้า สั่นตั้งแต่วิแรก จากนิวเดลี 40 องศามาเหลืออุณหภูมิเลขตัวเดียวหรืออาจจะต่ำกว่า0 ด้วยเสื้อยืด1ตัวถ้วนนนน



สนามบินที่นี่เป็นอาคารเล็กๆ ซึ่งถ้าไม่บอกก็คงดูไม่ออกว่าเป็นสนามบิน รับกระเป๋าเสร็จ ออกมายืนเก้ๆกังๆนอกอาคาร หาแท็กซี่เข้าเมืองเลห์ก่อนละกัน หนาววุ้ยยยย ราคาก็จะประมาณ 2-3ร้อยรูปี แม้พี่แขกอินเดียจะได้ชื่อว่าชอบโก่งราคา แต่ที่เลห์เราไม่ต้องกลัวว่าพี่เค้าจะโกงเลยค่ะ เพราะที่เลห์จะมีเรทแท็กซี่มาตรฐานบอกไว้ ขอเค้าดูได้หรือเช็คได้ในเว็บ

http://www.travelhimalayas.in/transportation/taxi-rental/316-leh-local-taxi-rates-2015.html



ที่พักคืนแรกในเลห์ พวกเราพักที่ Ashoka Guesthouse เห็นว่าราคาถูกและห้องพักดูโอเค จองผ่าน Booking.com ประมาณสองวันก่อนมา เพราะช่วงนั้นเป็นวันหยุดยาวด้วย คนไทยก็ไปกันเยอะ เพื่อนเลยเกรงว่าจะหาลำบาก แล้วคืนที่เหลือค่อยไปหาเอาข้างหน้า

อ้อ! ราคาก็คืนละ 2-3ร้อยบาทต่อคน มีน้ำอุ่น ไม่มีฮีตเตอร์ ไม่มีอาหารเช้า



Cr.ภาพจากGoogle นะคะ ตอนนั้นลืมถ่ายมา

แต่จริงๆแล้วเราว่ามาเดินเลือกที่นี่ได้เลย เพราะช่วงปลายหนาวอย่างเมษาฯ-พฤษภา นักท่องเที่ยวยังไม่เยอะมาก ไม่จำเป็นต้องจอง แถมที่เลห์ Guesthouse ค่อนข้างเยอะ มีให้เลือกตามราคาที่พึงพอใจและสบายกระเป๋าตัง

พอเข้าที่พัก โยนทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในห้อง ล้างหน้าล้างตาเสร็จ ห่อตัวเป็นหมีให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ ก็ได้เวลาไปหาอะไรกินกัน! หลังจากกินมื้อเช้าไปตอนตี3 ที่สนามบินเดลี จริงๆมาถึงที่เลห์ สิ่งแรกที่ควรทำหรือต้องทำ ก็คือนอนพักผ่อนให้ร่างกายได้ปรับสภาพตามระดับความสูง3,500 เมตรของที่นี่ กินน้ำเยอะๆ ออกแรงให้น้อย ถ้าไม่อยากเจอ AMS แต่ความหิวไม่ปราณีค่ะ พุ่งตัวออกไปทันที!



ออกมานอกที่พัก บรรยากาศยามเที่ยงก็ยังคงมาคุไปทั้งเลห์อยู่ดี ตอนนั้นเริ่มหวั่นๆอีกแล้วว่า7-8วันนี้กูจะได้เห็น เลห์ ลาดักห์แบบสวยๆเหมือนที่เค้าถ่ายมาลงรีวิวบ้างมั้ยเนี่ยยยย น้ำตาจะไหล หนาวก็หนาว มือก็เริ่มชา(เริ่มตัดพ้อละ)555



ลาดัคกี้ที่เกสต์เฮ้าส์แนะนำให้เราเดินไปหาอะไรกินแถวๆ Main Bazaar หรือตลาดหลักของเมืองเลห์ ออกจากเกสต์เฮ้าส์เดินตรงไปเรื่อยๆ

: ระหว่างทางไป Main Bazaar :

: อ้าว ซากุระก็มา ตกลงอยู่ญี่ปุ่นหรืออินเดีย เลห์ก็มีความคาวาอี้นะ :

ณ ตอนนั้นนี่ตกลงกันว่าเจอร้านอาหารไหนเปิดก็เข้าเห๊อะ เข้าไปร้านแรก ปิด! เดินถัดไปอีกนิด ปิด! จนมาเจอร้านนี้ "LAMAYURU" เป็นร้านที่แนะนำว่าถ้ามาเลห์ต้องมากิน(โดยพวกเรา) รับรองรอด!!!

: ร้านอยู่บน Fort Road ถ้ามุ่งหน้าไปตลาด ก็อยู่ทางซ้ายมือ

เปิดเมนูอาหารมา ก็แทบจะไม่รู้ว่าเมนูแต่ละชื่อมันคืออะไร จิ้มถามมันไปเรื่อยๆเลยจ้า 5555 ดีที่ช่วงนั้นในร้านไม่ค่อยมีคน คุณพี่ลาดัคกี้ก็แสนจะน่ารัก ช่วยแนะนำอาหาร Local ให้ แถมยังแอบห้ามปรามเบาๆว่า มันจะเยอะเกินไปสำหรับ4คนแล้วน้าา ชั้นว่าเท่านี้ก็พอ ยังมีเวลากินอีกหลายวัน

เอ้ะ! 555 น่ารักจีจี



: อาหารท้องถิ่นเมนูแรกที่จะแนะนำคือ 'Momo' เหมือนเกี๊ยวซ่านึ่ง

: เมนูถัดมาชื่อว่า Chicken Biryani หรือข้าวหมกไก่อินเดีย กินกับโยเกิร์ต

: และสำหรับเครื่องดื่มอุ่นๆ แก้หนาว ก็นี่เลย 'ไช' 'ไจ' หรือ Milk Tea กินมัน3เวลาก่อนอาหาร ฟินนน

และอีกหลายเมนูตามมา สั่งกันด้วยความหิวจริงๆ ด้วยความหวังดี! อย่าสั่งเยอะเกินไป เพราะปริมาณอาหารของร้านที่เลห์มันแบบมหึมามาก ข้าวหมกไก่นี่พูนจานมาเลย ขนาดเราที่ว่ากินเยอะๆ กินไปได้ครึ่ง กินเท่าไหร่ก็ไม่ลดซะที ยอมใจจริงๆ ฮ่าาา ตอนเรียกเช็คบิล คุณพี่ลาดัคกี้คนเดิมกับที่รับออร์เดอร์ เสิร์ฟอาหาร เห็นอาหารเหลือเต็ม เค้าเหมือนแอบเสียใจ แถมถามด้วยว่าไม่อร่อยหรอ? อร่อยค่ะ แต่หนูกินไม่หมด ฮือ ขอโทษข่า



การกินข้าวมื้อนี้นอกจากท้องจะอิ่มแบบพุงกางจนจะคลานออกจากร้าน ยังได้ภาษาลาดัคกี้มาอีกคำ

"SHIMPO" แปลว่า อร่อย



จบภารกิจการกินข้าวกลางวัน ไม่มีการกลับไปนอนแต่อย่างใด เราต้องหาเอเจนซี่ทัวร์กันแล้วแหละ ด้วยความที่ก่อนไปพวกเราสี่คนงานยุ่งมากกกก เน้นคำว่ามาก55 เลยแทบจะไม่ได้ศึกษาหรือวางแผนการเดินทางครั้งนี้กันเลย อาศัยหลักการเดียวกับการเลือกร้านอาหาร คือเจอที่ไหนก่อนเข้าเลย เดินถัดมาจากร้านที่เรากินข้าวประมาณ 20 เมตร ก็จะเจอ 'Dream Land Trek and Tour' อยู่ทางขวามือ ที่ที่เราจะฝากฝังให้ช่วยเรื่องเที่ยวตลอดทริปนี้

' Javeed ' ทักทายพวกเราด้วยคำว่า julley อีกตามเคย แล้วถามว่าแพลนยังไงบ้าง พวกคุณยังอยากไปที่ไหนบ้าง?

ตอบได้เพียงสั้นๆว่า I have no idea โอ๊ยย รู้แค่มีเวลา 7วัน 6 คืนที่ลาดัค อยากไปทะเลสาบปันกอง Khardung La Pass แล้วก็เพื่อนแนะนำมาว่าให้ไป Tso Moriri นอกนั้น.........เถียงกันไปมาหลายรอบ สรุปได้ประมาณนี้


Day 1 : เที่ยวในเลห์ตอนบ่ายนี้เลย เริ่มจาก Leh Palace,namgyal tsemo monastery,shanti stupa จบด้วย Main Bazaar

Day 2 : One day trip to Lamayuru (Magnetic hill,Indus&Zanskar,Alchi monastery,moonland,Lamayuru)

-เราเลือกไป Lamayuru เพราะต้องรอ permit เพื่อใช้เที่ยวที่ต่างๆในวันที่เหลือนอกเมืองเลห์

Day 3 : Leh to Nubra Valley via Khardung La Pass

Day 4 : Nubra Valley to Pangong Lake via Shyok route

Day 5 : Pangong Lake to Leh via Chang La Pass

Day 6 : Leh to Tso Moriri

Day 7 : Tso Moriri back to Leh

Day 8 : ส่งที่สนามบิน



Javeed จะติดต่อคนขับที่จะพาเที่ยวทั่วลาดักห์ให้เรา ทำ permit ที่จะต้องใช้เที่ยวนอกเมืองเลห์ให้ และเสนอราคาพร้อมที่พักคืนที่เหลือทั้งในเลห์และนอกเลห์ ลองคำนวณกันดูแล้ว ราคาก็สมเหตุสมผล ดีลเลยละกัน ขี้เกียดหาแล้ว



** แนะนำให้ติดต่อคนขับโดยตรงจะได้ราคาถูกกว่าค่ะ แล้วที่พักกับอาหารจัดการเอง อันนี้เป็น contact ของคนขับที่พาเราเที่ยวนะคะ เหมือนเป็นไกด์ไปในตัว พี่เค้าพูดภาษาอังกฤษเก่ง ขับรถค่อนข้างปลอดภัย แถมน่ารักมากๆ ชื่อ จิมมี่>> ลองส่งอีเมล์ไปถามได้ค่ะ [email protected] หรือถ้าติดต่อไม่ได้ หลังไมค์มาบอกเราได้ค่ะ (ไม่มีส่วนได้เสียนะคะ แฮ่ๆ)



ครึ่งวันบ่ายที่เหลือ เราจะเที่ยวในเมืองเลห์ เป็นการอุ่นเครื่องที่ความสูงระดับ3,500เมตร ด้วย Taxi Cab คันเล็กคันนี้ พร้อมพี่ลาดัคกี้คนนี้(ที่ไม่ได้ถามชื่อเลย)

Taxi Cab คันเล็กค่อยๆพาเราลัดเลาะไต่ระดับขึ้นไปที่ 'LEH PALACE' หรือ พระราชวังเลห์ ที่ตั้งอยู่บนเนินนเขาเหนือเมืองเลห์ เป็นที่แรก!

: Leh Palace หรือ พระราชวังเลห์ :


เป็นวังเก่า เคยเป็นที่ประทับของราชวงศ์ลาดักห์ในสมัยก่อน


อย่าลืมยื่นพาสปอร์ตไทยให้เค้าดูนะคะ จ่ายค่าเข้าเพียง 15รูปีจากค่าเข้าจริง หรือ 7.5 บาทเท่านั้น กับการได้เห็นวิวเมืองเลห์แบบพาโนราม่า

: เมืองเลห์จากมุมสูง :


:ถนนเบื้องล่างตรงที่เต็มไปด้วยธงสีๆ หรือ'ธงมนตรา' ตรงนั้นคือ Main Bazaar หรือตลาดหลักของเมืองเลห์


: ภายในตัวพระราชวัง มีบางห้องจัดแสดงภาพถ่ายสถานที่สำคัญๆ ในลาดักห์ นอกนั้นก็มืดๆ เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา เน้นถ่ายวิวเมืองเลห์มากกว่า

: เหมือนใครเอาภาพวาดมาแปะไว้ มองไปทางไหนภูเขาก็ฟูลเอชดีเต็มตาจริงๆ บนยอดเขานั้นหิมะน่าจะกำลังตก ครึ้มเชียว

: ชั้นบนสุดของพระราชวังเลห์ ตรงนี้จะเห็นวิวเมืองเลห์ได้แบบ 360 องศา แบบไม่มีอะไรมาบดบัง ข้างหลังที่อยู่สูงกว่าพระราชวัง คือ Namgyal Tsemo Monastery



แอบเล่านิดนึง อยู่อินตะระเดียมาสองวัน มีคนอินเดียมาขอถ่ายรูปกับพวกเราหลายครั้งมาก ตั้งแต่ที่นิวเดลี มีคู่รักมากันสองคน สลับกันมาถ่ายกับพวกเรา จนมาที่เลห์ ที่ Leh Palace ตอนเรายืนถ่ายรูปตรงนี้ก็มีพี่ๆอินเดียนที่มากันเป็นกลุ่ม มาขอถ่ายรูปกับพวกเราสี่คนอีก ตอนแรกก็นึกว่าเค้าจะให้เราช่วยถ่ายให้ แต่ป่าว! ให้ไปร่วมเฟรมจ้า อ้ะ ถ่ายก็ถ่าย ทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าเค้าไม่เคยเห็นของแปลกหรือตัวประหลาดหรือยังไง 5555

: ตัดภาพมาที่อีกด้านของเมือง อาจจะเพราะตอนนี้ยังเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ ในเมืองเลห์เลยยังไม่มีสีเขียวให้เราเห็น สีน้ำตาลอ่อนๆของต้นไม้สลับกับบ้านสีขาวสวยไปอีกแบบ

มีต้นผอมๆสูงๆ สีน้ำตาลแบบนี้อยู่ทั่วเมืองเลย

: วิวอีกด้าน เป็นภูเขาหิมะขาวโพลนอยู่ไกลๆ เดาว่าเป็น Khardung La Pass มองไปมองมาก็เหมือนน้ำตาลไอซ์ซิ่งโรยบนช็อกโกแลต น่ากิน ฮ่าๆ

: เมื่อเสพวิวจากตรงนี้อย่างเต็มอิ่มแล้ว(โดยที่แทบไม่ได้สนใจกับพระราชวังเลย) ก็ได้เวลาไปกันต่อ.....

ที่ Namgyal Tsemo Monastery อยู่สูงถัดขึ้นไปจากพระราชวังเลห์ มีทางให้เดินขึ้นไป แต่เห็นทางเดินแล้ว คนขี้เกียจอย่างเราขอบาย นั่งรถดีกว่า 555 แค่เดินขึ้นดาดฟ้านี่ก็หอบจะแย่!

: Namgyal Tsemo Monastery :


อีกสถานที่สำคัญของเมืองเลห์ แอบเสียดายไม่ได้เข้าไปดูข้างใน เพราะเห็นทางขึ้นแล้ว พวกเราก็ขอเดินเรียบๆไปอีกทางเพื่อถ่ายวิวก็พอ

: เจอเจ้าตูบตัวนี้ นอนดื่มด่ำกับบรรยากาศยามเย็น แหม่ ช่างน่าอิจฉาจริงๆ ไม่กล้ารบกวนเลยค่ะ

" ธงมนตรา" เราจะเห็นธงสีๆแบบนี้อยู่ทั่วลาดักห์ เค้าจะนิยมผูกไว้ที่สูงๆ เช่น บนยอดเขา ภูเขา ลำธาร ในวัดหรือสิ่งก่อสร้างศักดิ์สิทธิ์เพื่อความเป็นมงคล ชาวลาดัคกี้เชื่อว่าเวลาที่ลมพัด ก็จะพามนตราที่อยู่ในธงนี้ลอยไปตามสายลม เหมือนเป็นการสวดมนต์หนึ่งบท

เราว่าตอนนั้นเราเองก็เริ่ม 'ต้ อ ง ม น ต์ ' สะกดเมืองเลห์ เมืองที่สูงที่สุดในโลกแล้วแหละ เมืองอะไรสวยเป็นบ้า!


อ้ะ ก่อนไปขอเดี่ยวๆซักภาพกับธงมนตรา เผื่อจะได้โชคดี ฟ้าฝนเป็นใจตลอดทั้งทริป


ถ้าถ่ายมุมกว้างๆกว่านี้ จะเห็นธงมนตราพริ้วเป็นสายเลย เรียกว่าดงมนตราดีกว่า มุมที่ใครๆก็ต้องมาถ่าย อิอิ


ไปกันต่อ ที่จุดเช็คอินที่สามของวันนี้ "Shanti Stupa"


สิ่งที่ดึงดูดหนึ่งในพวกเราเป็นสิ่งแรกเมื่อมาถึง Shanti Stupa ไม่ใช่ตัวสถูปหรือวิวแต่อย่างใด แต่เป็น 'ห้องน้ำ'


จะขี้ทั้งทีก็ขอวิวดีๆไปเล๊ยยยแกร กลิ่นจะเป็นยังไงนี่ต้องลองไปพิสูจน์ เราก็ไม่เคย 5555


สิ่งที่ดึงดูดหนึ่งในพวกเราเป็นสิ่งแรกเมื่อมาถึง Shanti Stupa ไม่ใช่ตัวสถูปหรือวิวแต่อย่างใด แต่เป็น 'ห้องน้ำ'


จะขี้ทั้งทีก็ขอวิวดีๆไปเล๊ยยยแกร กลิ่นจะเป็นยังไงนี่ต้องลองไปพิสูจน์ เราก็ไม่เคย 5555


เข้าโหมดมีสาระกันบ้าง "Shanti Stupa" สันติสถูป หรือ เจดีย์สันติภาพ 1 ใน Landmark ของเมืองเลห์ เป็นเจดีย์สีขาวที่สร้างขึ้นโดยชาวญี่ปุ่น เพื่อแสดงถึงสันติภาพของโลก

จาก Shanti Stupa จะมองเห็น Namgyal Tsemo ที่เราไปมาก่อนหน้านี้ และเห็นเมืองเลห์ในมุมที่กว้างขึ้น

แสงตอนเย็นๆ กำลังสวยเลย เหมาะกับการมาถ่ายรูป ชมวิวเป็นอย่างยิ่ง

ระหว่างเดินไปรอบๆเจดีย์นั้น เราก็มีสมาชิกมาขอแจมด้วย ขอตั้งชื่อภาพนี้ว่า 'ชีวิตฉันมีแต่หมานำ'

เจ้าตัวสีขาวนี่น่าจะรู้ว่าในกระเป๋าที่เพื่อนเราสะพายนั้น มีของกินอยู่ข้างใน คือโมโม่ที่เหลือจากตอนกลางวัน เดิมตามต้อยๆกันเลยทีเดียว แหม่ สุดท้ายก็ต้องใจอ่อนให้กินไปจนหมด

หลังจากชมวิวกันแบบเต็มอิ่มจุใจ 3 ที่ 3 มุมแล้ว ก็ได้เวลาไปที่เช็คอินที่สุดท้ายของวันนี้....


: Main Bazaar หรือ ตลาดหลักของเมืองเลห์ :


"Main Bazaar ก็อารมณ์คล้ายๆถนนคนเดินหรือจตุจักรบ้านเรา จะมีสินค้าพื้นเมืองขาย เช่น ผ้าพันคอขนสัตว์ Pashmina เสื้อผ้ากันหนาว ของกิน ผลไม้แห้ง ร้านขนม ร้านอาหาร ร้านขายอุปกรณ์กล้องและอัดรูป ครีม Himalaya(ลิปเค้าดีจริงๆนะ) และอื่นๆอีกมากมาย แต่เรามาช่วงเย็นแล้วคนเลยไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่ ถ้ามาช่วงเช้าจะเห็นคนท้องถิ่น ลาดัคกี้เอาของสดมาวางขายสองข้างทาง

มาเดินเล่นดูเมือง ดูบรยากาศ ดูผู้คนก็เพลินไปอีกแบบ ก่อนที่ท้องฟ้าเมืองเลห์จะมืดและความหนาวเหน็บกำลังจะคืบคลานเข้ามา



วันแรกในเมืองต้องมนต์นี้หมดไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังอิ่มจากมื้อกลางวัน พวกเราเลยจบวันด้วยการต้ม 'Maggi' มาม่าอินเดียซองสีเหลือง ซดร้อนๆ(ถ้ากินอาหารอื่นๆไม่ได้ แนะนำให้ซื้อ Maggi ที่ร้านขายของชำติดไปด้วย รับรองรอด)แล้วรีบเข้านอน เพราะพรุ่งนี้ Javeed ให้คนมารับไปเที่ยวตอน 9โมงเช้า สิ่งที่พวกเรากลัวมากที่สุดคือ คืนนี้พวกกูจะรอดจากความหนาวไปได้มั้ยวะ! 5555 เค้าบอกว่าคนนี้อุณหภูมิจะลดต่ำกว่า 0 องศา เอามือจับไปที่ผ้าห่มกับเตียงก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบมากกกก และแม้ว่าเกสเฮ้าส์จะมีน้ำอุ่นให้อาบ แต่เราก็ทำใจไม่ได้อยู่ดี ฮ่าาา

และมากไปกว่านั้น จากที่จองห้องนอนไว้ 2 ห้องสำหรับ 4 คน จบลงด้วยการมาอัดกันเป็นหมูอยู่ในห้องเดียว! เตียงเดียว! พร้อมกับห่มผ้าห่ม 5 ชั้นถ้วน ผ่ามมมมมม ตะคริวกินไปดิ นอนท่าเดิมทั้งคืนเนื่องจากไม่สามารถเปลี่ยนท่าได้ เพราะความหนักของผ้าห่ม โอ๊ยยยย แถมยังหนาวสะท้านลำไส้มากๆ >< ใครมันบอกว่ามาช่วงนี้อากาศไม่หนาวมากไง๊(เราเอง)

Day2 in Ladakh


: L A M A Y U R U - One Day Trip :


Magnetic Hill - Confluence of Indus and Zanskar River - Alchi Monastery - Lamayuru Moonland



คืนแรกในเลห์กับความหนาวสะท้านลำไส้ผ่านไปได้ด้วยดี อาจจะเพราะความเหนื่อยและเพลีย ท้องฟ้าที่นี่สว่างเร็วมากๆ กดดูนาฬิกาเพิ่งจะตี 5 กว่า สว่างจ้าแล้วจ้า (แอบชมตัวเองในใจ ตื่นเช้าเหมือนกันนะเนี่ยเรา อิอิ ลืมไปว่าเวลาที่นี่ช้ากว่าไทยชั่วโมงครึ่ง!) ตื่นมาวันนี้ด้วยความแฮปปี้ โอ้ยยยย ฟ้ามันฟ้ามาก แทบไม่มีเมฆเลย ความมาคุเมื่อวานหายไปแล้ว!

วันนี้เราจะไปเที่ยวที่ 'Lamayuru' กัน


คุณพี่คนขับที่จะพาเราเที่ยววันนี้มาตรงเวลามากๆ 9 โมงปุ้บมาปั้บ! ไอ้พวกเราก็เลทตั้งแต่วันแรกที่เจอกันเลย555 แถมก่อนออกจากที่พักก็ทำเรื่องหน้าอายไว้ ด้วยความที่อาจจะเมายา เราไปเถียงคุณป้าคุณลุงเจ้าของที่พักเรื่องราคาค่าห้อง เพราะสับสนเงินไทยกับรูปี เก็บเศษหน้าแทบไม่ทัน ฮ่าาา คุณลุงคุณป้าลาดัคกี้อวยพรให้พวกเราสนุกกับเที่ยวลาดักห์ในวันที่เหลือ แล้วบอกลาด้วยคำว่า 'จูเล' เพราะคืนนี้เราจะย้ายไปพักอีกที่

'กองทัพต้องเดินด้วยท้อง' พวกเราเลยขอให้คุณพี่คนขับพาไปแวะซื้ออาหารเช้าไปกินระหว่างทางด้วย

วันนี้เรามาลองกินที่ร้าน 'Gesmo' ร้านสีเขียวๆอยู่ข้างร้าน Lamayuru ที่เรามากินกันเมื่อวาน เป็นอีกร้านที่แนะนำเลยค่ะ

เมนูอาหารก็จะคล้ายๆที่ Lamayuru แต่ว่าที่นี่มีพวกเบเกอร์รี่ให้เลือกด้วย

ยืดเยื้อถ่วงเวลามานาน ได้เวลาออกเดินทางกันจริงๆก็ตอน9โมงกว่า ผ่านสนามบิน มุ่งหน้าออกนอกเมืองไปทางถนน Leh-Srinagar highway

: ยิ่งออกนอกเมืองเลห์ วิวสองข้างทางมันตื่นตาตื่นใจมาก จนต้องควักมือถือมากดถ่ายเป็นระยะๆ


พี่คนขับบอกว่าแม่น้ำที่เราเห็นนี่คือ แม่น้ำ Indus หรือแม่น้ำสินธุ และต้นไม้ต้นสูงๆผอมๆที่เราเห็นได้ทั่วเมืองเลห์ คือ ต้น Popular คนท้องถิ่นเค้านิยมเอาไปทำกรอบหน้าต่างบ้าน

ระหว่างทางที่จะไป Lamayuru ก็จะมีจุดให้จอดเที่ยว ถ่ายรูปหลายที่เลย


ขับรถออกมาจากเมืองเลห์ประมาณ 30 กิโลฯ ก็จะถึง " Magnetic Hill " หรือเนินเขาพิศวง เป็นจุดแรก


จุดที่สอง : แม่น้ำสองสี จุดตัดระหว่างแม่น้ำ Indus และ Zanskar ตอนพวกเราไปแทบจะแยกสีไม่ออก 555


แต่แอบชอบสีฟ้าของแม่น้ำ Indus ที่เห็นระหว่างทางมากกว่า


อ้อ! และนี่คือ " จิมมี่ " (ที่เราให้ contact ไว้ด้านบน) คนที่จะพาเที่ยวและอยู่กับพวกเราตลอดทั้งทริป 6 วันเต็มๆ


เป็นทั้งคนขับ ทั้งไกด์ คนตอบคำถามพวกขี้สงสัย เป็นเหมือนแดดดี้ดูแลพวกเราตลอด เอาเป็นว่า เป็นทุกอย่างให้เธอแล้วแม้ว่าเธอไม่เคยเป็นอะไรกับฉันเล๊ยยย โว้ะ!5555

: เดินทางต่อไปอีกนิด ก็จะถึง 'Alchi Monastery' วัดที่เก่าแก่ที่สุดในลาดักห์ :


ระหว่างทางจะเห็นซากุระสีชมพูตัดกับภูเขาแห้งๆสีน้ำตาล ที่แรกเราก็นึกว่ามันคือซากุระ คุณพี่จิมมี่บอกว่ามันคือต้น'แอปปริคอต' โถ่ววว เข้าใจผิดมาตั้งนาน ถ้ามาช่วงสปริงก็จะออกดอกสีชมพูคาวาอี้ให้เราได้เห็น แต่ถ้ามาช่วงหน้าร้อนแอปปริคอตก็จะออกผลให้เราได้ชิม

: Moon Land ดินแดนโลกพระจันทร์ :


น่าทึ่งในความเจ๋งของธรรมชาติจริงๆ ไม่คิดว่าจะมีสถานที่แบบนี้อยู่บนโลก ให้อารมณ์แบบ walking on the moon สุดๆ

: และจุดหมายปลายทางของวันนี้ " Lamayuru Monastery "


'วัดลามะยูรู' ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง สามารถมองเห็น Moon Land และหมู่บ้านลามะยูรูได้แบบชัดๆ เป็นวัดที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในลาดักห์

เค้าบอกว่าแต่ก่อนมีลามะจำศีลอยู่ที่นี่เกือบ 400 กว่ารูป แต่ตอนนี้น่าจะเหลืออยู่แค่ร้อยกว่ารูป รู้สึกได้ถึงความสงบและเหมาะแก่การมาปฏิบัติธรรมมาก

ถ้าตามวัดที่บ้านเราก็จะมีระฆังให้ตี แต่ที่ลาดักห์จะเป็นการเดินหมุนกงล้อแห่งธรรมแทน แต่จุดประสงค์น่าจะเหมือนกัน

พวกเราอยู่ที่นี่ซักพักจน 4 โมงเย็นก็ต้องเดินทางกลับเข้าเลห์ ระหว่างทางกลับ จิมมี่ก็พาพวกเรามาแวะที่แม่น้ำสองสีอีกรอบ ตรงนี้เป็นอีกจุดที่น่ามานั่งมองพระอาทิตย์ค่อยๆลับเหลี่ยมเขาซันสการ์ มันจะโรแมนติกมาก ถ้าลมไม่แรงและหนาวจนเกินไป!

วันนี้เป็นการนั่งรถที่เราไม่นอนหลับเลย วิวข้างทางเพลินมาก อย่างนึงที่เราชอบก็คือ ถนนในลาดักห์จะมีป้ายเหมือนเป็นคำคมให้คนใช้รถใช้ถนนกันอย่างระมัดระวัง เช่นในรูปนี้

" AFTER WHISKY "
" DRIVING RISKY "


เจอเพื่อนร่วมทางชาวไบเกอร์ พี่ฝรั่งคนนี้เค้าขับมอไซต์ฝ่าลมหนาวแบบไม่สะทกสะท้านเลย ยอมใจจริงๆ

-จากที่ใช้เวลาอยู่ใน' เลห์ ' เมืองต้องมนต์บนหิมาลายา มา 2 วันถ้วน เราจะสังเกตได้ว่าชาวลาดักห์ หรือ ลาดัคกี้ หน้าตาเค้าแทบไม่ได้มีความเป็นอินเดียนเลย อย่างเช่น จิมมี่ ไกด์ของพวกเรา หน้าจะคล้ายกับคนทิเบตมากกว่า อาหาร ภาษา(ใช้ภาษาลาดักห์) ศาสนา วัฒนธรรม บลาบลา ได้รับอิทธิพลมาจากทิเบต ที่นี่เลยได้ชื่อว่า ‘Little Tibet’ หรือ ‘ทิเบตน้อย’



- จิมมี่เล่าให้พวกเราฟังว่า ชาวลาดัคกี้นับถือศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน เกือบ80% ก็เลยจะมี stupa,monastery อยู่ทั่วลาดักห์ และเค้าจะนับถือดาไลลามะกันมากๆ ส่วนเรื่องนิสัยใจคอ สัมผัสจากพี่ๆลาดัคกี้ที่เกสเฮ้าส์ ร้านอาหาร ตลาด เอเจนซี่ทัวร์ตลอดจนพี่ taxi cab คนที่นี่น่ารักมากกก มีความเฟรนลี่ ไปที่ไหนก็จะมีเสียงทักทายว่า 'จูเล' ใจดี ใจเย็น แทบไม่ได้ยินเสียงแตรรถแสบแก้วหูเหมือนเมืองอื่นๆในอินเดีย จนอยากจะเรียกที่นี่ว่า ‘ประเทศลาดักห์’ เป็นที่เดียวในอินเดียที่แทบไม่มีความเป็นอินเดียเลย



ก็ขอจบกระทู้นี้ไปด้วยภาพสุดท้ายภาพนี้นะคะ อันนี้เป็นแค่การวอร์มร่างกาย เพิ่งผ่านมาแค่ '48 ชั่วโมงต้องมนต์บนหิมาลัย' เท่านั้น ตอนหน้าพวกเราจะพาไปตะลุยลาดักห์ส่วนที่เป็นไฮไลท์สำคัญด้วย 120 ชั่วโมงที่เหลือ เช่น ขี่อูฐท่ามกลางทะเลทราย ถนนที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในโลก ทะเลสาบน้ำเค็มที่สุดในโลกฯลฯ บอกเลยว่าพลาดไม่ได้ค่ะคุณผู้ชม! ฝากติดตามกันด้วยนะค๊า และแวะไปทักทายพวกเราได้ ที่ https://www.facebook.com/Everywherewewander/

ไปทั่วไปทีป

 วันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 22.32 น.

ความคิดเห็น