ถ้าคุณเคย... ไปเที่ยวในสถานที่หรูหรา ศิวิไลซ์ เว่อร์วัง อลังการ
ถ้าคุณเคย... ไปเที่ยวทะเลที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว จนเหมือนสระว่ายน้ำหมู่บ้าน
ถ้าคุณเคย... ไปเที่ยวในสถานที่แนวชิคๆ คูลๆ พร้อมกับวิญญาณความเป็นฮิปสเตอร์

ถ้าคุณเคย… ทำทุกอย่างข้างต้น แล้วอยากลองทำอะไรใหม่ๆ เราขอแนะนำให้คุณอ่านรีวิวนี้
แล้วร่วมสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบ UNSEEN ไปพร้อมกับพวกเรา “ทีมกลมกลิ้ง" ได้เลยค่ะ



สวัสดีค่ะ พวกเราคือทีม "กลมกลิ้ง" เป็นทีมที่ได้รับคัดเลือกจากโครงการ CU Creative Travel เราสามคนได้รับภารกิจให้ไปเที่ยว จ.เลย และมีชัยภูมิเป็นจังหวัดเชื่อมโยงคอนเซ็ปของเราในการท่องเที่ยวครั้งนี้คือ “ADVENTURE" และ “UNSEEN"



ถ้าพร้อมแล้วร่วมออกเดินทางไปสัมผัสธรรมชาติและสัตว์ป่าไปพร้อมกับพวกเราได้เลยค่า GO! GO!



ทริปนี้เราใช้เวลาทั้งหมด 5 วัน 4 คืน โดยเริ่มเดินทางไปจ.ชัยภูมิ 1 คืน และต่อด้วยจ.เลยอีก 3 คืน

จุดหมายปลายทางแรกของเรา คือ ภูเขียว-ทุ่งกะมัง จ.ชัยภูมิ เหตุผลหลักที่มาที่นี่คือเราอยากสัมผัสความเป็นธรรมชาติและอยากเห็นสัตว์ป่าแบบ exclusive ที่ไม่ใช่ในกรงสวนสัตว์



เราออกเดินทางด้วยรถทัวร์ไปลงที่ชุมแพ รอบ 22.30 น. ถึงชุมแพประมาณ 5.30 น.

การเดินทางไปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียวเหมาะกับการนำรถส่วนตัวไป เพราะไม่มีรถสาธารณะบริการ เจ้าหน้าที่แนะนำให้เราเหมารถของคนในหมู่บ้านพร้อมกับให้เบอร์คนขับรถมาด้วย ใจดีมากๆ ถ้าใครไปติดต่อพี่อำนวย (089-728-1950) ได้เลยจ้า



พอไปถึงที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว เราก็ไม่รีรอ รีบไปบอกเจ้าหน้าที่ว่า “พี่คะ พวกหนูมาดูกวางที่ทุ่งกะมังค่ะ" เจ้าหน้าที่ถามเรากลับว่า “ได้ทำหนังสือขออนุญาตมาก่อนหรือเปล่าครับ?" เรา 3 คนหันมามองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร พร้อมกับสายตาที่สื่อความหมายว่า “OMG!! มันต้องทำด้วยหรอวะแกรรร!!!"



ตอนนั้นรู้แค่ว่ามาถึงแล้วจะกลับไปฟรีๆ ไม่ได้! และวิญญาณนางเอกก็เข้าสิง เราส่งสายตาอ้อนวอนน่าสงสารไปให้พี่เจ้าหน้าที่ จนเค้ายอมให้เข้าไป นอกจากจะอนุญาตให้เราเข้าไปแล้ว “พี่วุธ" เจ้าหน้าที่ผู้ใจดี มีเมตตายังเป็นไกด์นำเที่ยวให้เราอีกด้วย เรานี่แทบกราบบบบบขอบคุณที่พี่เค้าเมตตาพวกเรา 555555



ใครจะมาเที่ยวที่นี่ ถ้ามา 3-4 คน โทรติดต่อสอบถามเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียวได้ที่เบอร์ 0843340043 แต่ถ้ามาเป็นกลุ่มใหญ่ต้องทำเอกสารขออนุญาตจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียวค่ะ อย่าเลียนแบบพวกเรานะคะ เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี 5555



จุดแรกที่พี่วุธนำเที่ยวคือ รังนกขุนแผน จุดเด่นของนกชนิดนี้คือจะอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ พ่อแม่ลุงป้าน้าอา จะช่วยกันเลี้ยงลูกนกตัวเล็กๆ ต่างจากนกชนิดอื่นที่จะแยกกันไปตั้งครอบครัวใหม่

มีนกตัวจิ๋วบินมาแจม ชื่อ นกไต่ไม้ คือบินได้นะ แต่มันคงเบื่อ เลยอยากไต่ไม้แทน เกร๋ๆ


พอชมนกขุนแผนแฟมิลี่เสร็จ เราเลยให้พี่วุธพาไปที่ทุ่งกะมังทันที อยากเห็นฝูงกวางแล้วววว แต่! พี่วุธบอกพวกเราว่ากวางจะออกมาตอนเย็นๆ ไปตอนนี้ก็ไม่เจอหรอก แดดมันร้อน! พวกเราก็ไม่เชื่อ เพราะเห็นจากรูปรีวิวมันเยอะมากเป็นร้อยตัวเลย(เว่อร์) สุดท้ายพี่วุธก็ยอมพาไปจนได้


แต่สิ่งที่เห็นคือ แถ่น แทน แท้นนนน!! ทุ่งหญ้ากว้างขวางงงง กวางหนูอยู่ไหน! T_T


ถ้าเราเป็นพี่วุธ เราคงอยากตะโกนออกมาดังๆ ว่า “สมน้ำหน้า! บอกแล้วไม่เชื่อ!" อีกอย่าง ความจริงที่นี่ไม่ได้มีแค่กวาง ยังมีเนื้อทรายที่หน้าตาคล้ายกันยังกะแกะอีกด้วย แต่ส่วนใหญ่ที่ออกมาจะเป็นเนื้อทรายนะจ้ะ ไม่ใช่กวาง สังเกตุได้ที่หางจะเป็นสีขาว



เมื่อไม่มีเนื้อทรายให้ดู พวกเราก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ พี่วุธจึงอาสาพาเดินป่าและให้ความรู้พวกเราไปด้วย



“ทุ่งกะมัง" มาจากคำว่า “ทุ่งกะละมัง" เพราะมองรอบๆ จะมีลักษณะเหมือนกะละมัง แต่ที่ไม่ใช้คำว่ากะละมัง คงกลัวคนเข้าใจผิดว่าถ้ามาแล้วจะเจอกวางยืนซักผ้าอยู่(อันหลังนี่เติมเอง 555555)

รอบๆ ทุ่งหญ้าจะเห็นต้นไม้หลากสี เกิดจากการเผาป่าที่เรียกว่า “การจัดการทุ่งหญ้า" เป็นการจัดการ


พื้นที่ เพราะถ้าไม่เผาต้นไม้ก็จะขยายพื้นที่เข้ามาบริเวณทุ่งหญ้า ฝูงกวางและเนื้อทรายก็จะไม่มีอาหารกิน



ระหว่างทางที่เดินชมป่า เราก็ไปเจอ บ่อน้ำมหัศจรรย์ เป็นบ่อที่มีการฝังท่อจากใต้ดินแล้วให้น้ำซึมออกมา เพื่อให้นกและสัตว์อื่นๆ มากินน้ำ แล้วเราก็จะได้สังเกตพฤติกรรมสัตว์โดยไม่รบกวนพวกมันเลย บ่อน้ำมหัศจรรย์ของที่นี่เริ่มสร้างปี 2540 และเป็นบ่อน้ำมหัศจรรย์ที่แรกของประเทศไทย

หลังจากที่พี่วุธอธิบายเสร็จ พวกเราก็อยากเข้าไปมาก แต่พี่วุธบอกว่าถ้าจะมาต้องจองล่วงหน้า และรับแค่วันละ 2 กลุ่ม ตอนที่เราไปคิวจองยาวไปจนถึงปลายปีแล้ว เราได้แต่มองบ่อน้ำมหัศจรรย์อยู่ข้างนอกแบบเศร้าๆ T_T



พี่วุธผู้มีเมตตาลองเข้าไปขออนุญาตพี่บี(นามสมมติ) คนที่เค้ากำลังส่องนกอยู่เพื่อให้เราเข้าไปด้วย ซึ่งเค้าก็ยอมให้เราเข้าไปดู ซาบซึ้งมากกกก น้ำตาจะไหล พี่บีเคยเรียนและเคยเป็นอาจารย์จากมหาลัยที่พวกเราเรียนอยู่ กลายเป็นการคุยกันแบบรุ่นพี่รุ่นน้องแทน พี่บีใจดีมาก เฟรนลี่มาก รู้สึกขอบคุณจนถึงตอนนี้

พอเข้าไปเราก็นั่งส่องนกจากรูเล็กๆ รอซักพักนกตัวแรกก็มาเกาะกิ่งไม้ ตอนนั้นตื่นเต้นมาก แต่กรี๊ดไม่ได้เดี๋ยวนกบินหนี กลัวพี่บีไล่ออกไปข้างนอกด้วย 5555555


พอเห็นตัวแรก รอไม่นานก็มีตัวอื่นมาอีก รอบนี้มาแบบดูโอ้


อากาศร้อน โดดลงน้ำให้ผ่อนคลายสักหน่อย


ชื่นจายยยยยย


นอกจากนกแล้ว ยังมีกระแตมาดื่มน้ำจากบ่อด้วย การสังเกตผ่านช่องเล็กๆ นี้ ทำให้ได้เห็นพฤติกรรมสัตว์แบบเป็นธรรมชาติมาก เช่นกระแตตัวนี้จะขี้ระแวง กว่าจะมาดื่มน้ำในบ่อ วิ่งไปวิ่งมา หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ตั้งนาน


กระเล็นตัวจ้อย


ระหว่างนั่งส่องนกก็มี ไก่ฟ้าพระยาลอ เดินมาทักทาย พี่วุธบอกว่าไก่ตัวนี้เป็น Single Dad เลี้ยงลูกคนเดียว ตัวแม่โดนจิ้งจอกกินไปเมื่อปีที่แล้ว


หลังจากส่องนกไปหลายสิบตัว จู่ๆ ก็มีเสียง “โครกกกกก ก ก กก..." ดังลั่นป่า นั่นก็คือเสียงท้องร้องของเพื่อนเราเอง 5555555 ฮากันทั้งป่า พี่บีถึงกับแซวว่า “ใครปล่อยเสือโครกออกมา 555555" พอดูเวลาก็เที่ยงเป๊ะพอดี ร่างกายนี่ตรงเวลามาก



ที่นี่ไม่มีร้านอาหารเหมือนอุทยานฯ ถ้าจะกินต้องสั่งล่วงหน้า เค้าจะซื้อของเข้ามาทำให้ ซึ่งพวกเราก็ไม่ได้จองอะไรล่วงหน้าซักอย่าง แต่พี่วุธก็ช่วยจัดการเรื่องอาหารให้ รู้สึกเป็นภาระตลอดเวลา T_T แต่พี่เค้าคงกลัวเสียงเสือโครกจะลั่นป่าอีก 5555



หลังจากทานข้าวเสร็จ เราก็เคว้งคว้างกันอีกครั้ง ไม่รู้จะทำอะไรต่อ พี่วุธต้องดูแลนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นด้วย พวกเราเลยตัดสินใจว่าจะไปนั่งรอที่ทุ่งกะมัง จนกว่าน้องเนื้อทรายทั้งหลายจะออกมา

รอแล้วรอเล่า ท้องอิ่มก็เริ่มง่วง อากาศก็เย็นสบาย ของีบหน่อยแล้วกัน zZzzZ



ตื่นมาอีกทีเนื้อทรายก็ยังไม่โผล่มาซักตัว เกิดมาไม่เคยอดทนรออะไรได้นานขนาดนี้ รอไปเกือบ 3 ชม.



การรอคอยก็สิ้นสุดลง เมื่อเริ่มเห็นเนื้อทรายเดินออกมาเรียงรายกัน เยอะมากกกกก เป็นภาพที่สวยมากกกกจริงๆ พวกเราถ่ายรูปพวกมันจากไกลๆ เพื่อไม่รบกวนความเป็นส่วนตัวของสัตว์ เราชอบที่นี่มาก ไม่เหมือนมาเที่ยว แต่เหมือนสัตว์เป็นเจ้าถิ่นที่เราเป็นผู้เยี่ยมเยียนที่ต้องเคารพชีวิตส่วนตัวของพวกมัน

เราประทับใจกับทริปวันแรกของพวกเรามาก โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ ได้วางภาระจากความวุ่นวายทั้งหมด ได้พักผ่อนแบบจริงจัง แม้รู้ดีว่ากลับไปจะต้องมีเรื่องมากมายให้คิดและต้องเผชิญกับความจริงที่วุ่นวาย แต่การได้พักและได้ใช้ความคิดอยู่กับตัวเอง ก็ถือว่าเป็นความสุขที่คุ้มค่าเหลือเกิน



สิ่งที่ประทับใจอีกอย่างคือ “การทำงานของพี่วุธ" เราสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพี่วุธได้ทำงานที่ตัวเองรักและมีความสุขกับงานนี้แค่ไหน ทุกครั้งที่พี่วุธเล่าเรื่องธรรมชาติให้เราฟัง เหมือนเค้าได้แบ่งปันสิ่งที่เค้ารักให้คนอื่นได้รับรู้ด้วย จะมีสักกี่ครั้งที่เราจะได้เจอคนแบบนี้ที่พร้อมมอบความสุขให้คนอื่นผ่านสิ่งที่ตนเองรัก



หลังจากถ่ายรูปฝูงกวางป่าและเหล่าเนื้อทรายตัวเล็ก พวกเราก็ร่ำลาพี่วุธด้วยความรู้สึกขอบคุณทุกอย่าง



เราออกจากภูเขียว แล้วแวะชมศูนย์เพาะเลี้ยงพันธ์สัตว์ป่า และบ่อน้ำพรม กันเล็กน้อย ก่อนออกเดินทางไปเขื่อนจุฬาภรณ์ซึ่งเป็นที่พักของเราในคืนนี้

ที่พักในเขื่อนจุฬาภรณ์ราคาถูกมาก ห้องพักสะอาดเกินราคา อาหารก็อร่อย ประทับใจที่นี่มากเลย


สรุปค่าใช้จ่าย


ติดตามการเดินทางของพวกเราที่ จ.เลย ในกระทู้หน้านะคะ “ไปกัน เลย!"

ตอนที่ 2 ตะลุยเชียงคาน เรียนรู้วันวาน ณ หมู่บ้านฯไทดำ


http://pantip.com/topic/35052392



ตอนที่ 3 นาเเห้ว - ด่านซ้าย สัมผัสกลิ่นอายวัฒนธรรม

http://pantip.com/topic/35052498

ไปทั่วไปทีป

 วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 10.19 น.

ความคิดเห็น